กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 541.4 ในถ้ำมีฟ้าดินแห่งใหม่
รอจนคนทั้งสี่เดินจากไปไกล จานชิงที่อยู่ในศาลาก็เปลี่ยนสีหน้าราวกับเป็นคนใหม่ ในมือของเขาถือกิ่งไม้แห้งเขี่ยกองไฟ พูดอย่างเฉยเมยว่า “ผู้ฝึกตนอิสระเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ปัญหา ที่จะเป็นปัญหายังคงเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเสิ่นเจิ้นเจ๋อแห่งนครเหนือเมฆนั่น ครั้งนี้ต่อให้เสิ่นเจิ้นเจ๋อจะไม่ได้มาปกป้องมรรคาให้พวกเขาด้วยตัวเอง แต่ก็น่าจะเชิญตัวผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกรคนนั้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสัยของอู่ชวินอาจารย์ผู้คุมกฎของจวนไช่เฉวี่ยผู้นั้นที่แต่ไหนแต่ไรมาก็เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ พูดไปพูดมา อันที่จริงก็ยังต้องมีเรื่องที่เกิดตามมาอีก นั่นคือต้องระวังว่าจะเกิดความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านสองคนนี้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวโชควาสนาของถ้ำสถิตเลย”
สตรีคลี่ยิ้มหวาน “เรื่องที่เกิดขึ้นตามมา? แค่ข้าช่วยไปเยือนจวนไช่เฉวี่ยและนครเหนือเมฆแทนเจ้าสักรอบหนึ่งก็หมดเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ”
จานชิงเงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างระอาใจ “พี่หญิงป๋าย ไหนเลยจะมีเรื่องที่ง่ายดายเพียงนี้ ล่างภูเขาของพวกเราปรารถนาในชีวิตที่สงบสุขมั่นคงอย่างยาวนาน ไหนเลยจะมีหลักการที่ต้องคอยป้องกันโจรหนึ่งพันวัน”
จากนั้นจานชิงก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แต่รอให้วันใดพี่หญิงป๋ายเลื่อนขั้นเป็นเซียนดิน นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยามหลับฝันข้าก็คงไร้ความกังวลได้แล้ว”
ที่แท้ตอนที่ท่านโหวน้อยผู้นี้เป็นเด็ก และครั้งหนึ่งที่ป๋ายปี้แห่งสำนักมังกรน้ำ ผู้ฝึกตนหญิงที่แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นฝูฉวีก็ยังปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาทหวนคืนกลับบ้านเกิด เขาก็ได้รู้จักกับนางแล้ว
หลังจากนั้นมาทั้งสองฝ่ายก็คอยส่งจดหมายหากันมาโดยตลอด
เกี่ยวกับโชควาสนาถ้ำสถิตครั้งนี้ ก็เหมือนอย่างที่พวกตี๋หยวนเฟิงคาดเดาไว้ ต่อให้จะอยู่ในแคว้นฝูฉวี แต่ป๋ายปี้ก็ไม่ได้เกิดความสนใจสักเท่าไร เพียงแต่ว่ามาพบกับจานชิงพอดี ถึงได้มาเยี่ยมเยือนขุนเขาในครั้งนี้ แล้วก็ถือว่าทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาให้กับท่านโหวน้อยของแคว้นเป่ยถิงผู้นี้อย่างลับๆ ด้วย จานชิงก็คือผู้ฝึกตน อีกทั้งการถ่ายทอดที่ได้รับมาจากอาจารย์ก็ไม่ธรรมดา ทว่าอาจารย์ของเขาคือผู้ฝึกตนอิสระก่อกำเนิดที่นิสัยดุร้ายไร้เหตุผลคนหนึ่ง ในอดีตการที่จานชิงได้เป็นลูกศิษย์ของคนผู้นี้ อันที่จริงต้องผ่านหายนะมาไม่น้อย ปีนั้นเขาถูกทรมานจนร่อแร่ใกล้ตาย กว่าจะอดทนผ่านมาได้ ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น หวานขมล้วนมีจานชิงที่รับรู้อยู่เพียงคนเดียว ไม่อาจบอกใครได้เลย
และป๋ายปี้ก็คือคนที่รู้เรื่องนี้พอดี นางถึงได้ติดต่อกับบุตรชายของท่านโหวแห่งแคว้นเล็กในโลกมนุษย์ผู้นี้มาอย่างยาวนาน
ไม่อย่างนั้นด้วยความชื่นชอบน้อยนิดที่มีต่อเด็กน้อยซึ่งหน้าตาราวหยกแกะสลักในปีนั้น ป่านนี้ก็คงกลายเป็นดั่งควันและเมฆหมอกที่จางหายไปท่ามกลางชีวิตของการฝึกตนไปนานแล้ว
ภายหลังอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างจานชิงกับป๋ายปี้ ผู้ฝึกตนอิสระก่อกำเนิดคนนั้นถึงได้มาเป็นผู้ถวายงานที่มีชื่ออยู่ในสำนักมังกรน้ำ
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา
ป๋ายปี้นั้นถือว่าได้สร้างคุณความชอบให้กับทางศาลบรรพจารย์ จึงได้รับรางวัลเป็นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่ง
แต่ครั้งนี้เมื่อได้มาพบกับจานชิงอีกครั้ง ป๋ายปี้กลับเกิดความชื่นชอบอีกแบบหนึ่งที่ต่างออกไป
คิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยน่ารักที่เคยอุ้มไว้ในอ้อมกอดปีนั้นจะเติบโตมาหล่อเหลาปานนี้ ภายใต้การตอแยอย่างหน้าไม่อายของจานชิง นางจึงตอบรับอีกฝ่าย ตกลงทำสัญญากันเป็นการส่วนตัวว่า หากมีวันใดวันหนึ่ง พวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองแล้ว ป๋ายปี้ก็จะผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรเทพเซียนกับเขาอย่างเป็นทางการ ตอนนี้จานชิงยังเป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิต แต่อันที่จริงก็ถือว่าเป็นหยกงามในการฝึกตนลำดับหนึ่งแล้ว
ส่วนสตรีมนุษย์ธรรมดาที่ถูกจานชิงเลี้ยงดูไว้อย่างลับๆ พวกนั้น ในสายตาป๋ายปี้จะนับเป็นอะไรได้? สิบปีผ่านไป ความงามก็ร่วงโรย ผ่านไปอีกสามสิบปี เส้นผมก็ขาวโพลน
แล้วนับประสาอะไรกับที่จานชิงผู้นี้มีจิตแห่งเต๋าที่มั่นคง อันที่จริงความรู้สึกที่เขามีต่อสาวงามในโลกมนุษย์ก็เป็นแค่ใจรักสนุกของเด็กหนุ่มเท่านั้น ไม่ต่างอะไรจากการเก็บสะสมภาพวาดตัวอักษรที่ล้ำค่าของพวกจิตรกรแม้แต่น้อย
แต่วันหน้าเมื่อจานชิงเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตประตูมังกร มีหวังว่าจะได้กลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกัน แล้วจานชิงยังไม่รู้จักหนักเบาเช่นนี้ ยังคงแตะต้องธุลีในโลกโลกีย์ เสเพลมากรักไปทั่ว ก็ต้องระวังว่าไม่อาจผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียร แล้วยังต้องผูกปมแค้นต่อกันอีก
โชคดีที่จานชิงไม่ใช่คนโง่ประเภทนั้น
ป๋ายปี้อดไม่ไหวบอกความจริงเรื่องหนึ่งแก่เขาไปว่า
อันที่จริงตอนนี้นางได้เลื่อนเป็นโอสถทอง ถือเป็นผู้ฝึกตนบรรลุมรรคาบนภูเขาอย่างแท้จริงแล้ว
ดังนั้นต่อให้ไม่อาศัยสถานะลูกศิษย์ของสำนักมังกรน้ำ นครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยที่ไม่มีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเฝ้าพิทักษ์ก็ล้วนมีเหตุผลที่จะกริ่งเกรงนางสองสามส่วน
ป๋ายปี้หยิบขวดกระเบื้องใบเล็กใบหนึ่งออกมาจากในชายแขนเสื้อ นางเทของสิ่งหนึ่งออกมาจากขวด จากนั้นก็แบมือ ปลาน้อยสีเขียวมรกตเหมือนทำมาจากหยกแกะสลักตัวนั้นกำลังว่ายจากฝ่ามือมาถึงบนนิ้วของนาง มันเงยหน้าขึ้นน้อยๆ หันหน้าเข้าหาจานชิง
จานชิงเป็นคนที่มีลางสังหรณ์เฉียบไว เขาพลันรู้สึกขนลุกชัน
ป๋ายปี้ใช้นิ้วมือดีดหัวของปลาน้อยเบาๆ ฝ่ายหลังถึงได้หมอบลงอย่างว่าง่าย ป๋ายปี้จึงยิ้มเอ่ยว่า “นี่คือปลาวัวคำรามที่มีเฉพาะในบ่อลึกของสำนักมังกรน้ำพวกเรา ร้อยปีจะพานพบสักครั้ง เสียงของมันดุจเสียงฟ้าผ่า หากถูกเจ้าตัวน้อยนี่คำรามใส่หน้า อานุภาพก็ไม่เป็นรองการถูกเซียนดินโจมตีหนึ่งทีเลย ข้าเพิ่งได้รับเป็นของรางวัลมาจากทางสำนัก เดี๋ยวตอนที่เจ้าและข้าต้องแยกจากกัน ข้าค่อยมอบมันให้เจ้า”
จานชิงหน้าไม่เปลี่ยนสี เขาหันหน้าไปจ้องมองสตรีหน้าตางดงามที่อยู่ภายใต้แสงไฟสาดสะท้อนนิ่งๆ แล้วพูดเสียงเบาว่า “หวังว่าชาตินี้ภพนี้ ปลาวัวคำรามจะอยู่ในมือของพี่หญิงป๋ายตลอดไป”
ความนัยในถ้อยคำของท่านโหวน้อยผู้นี้ ก็คือหวังให้พวกเขามีเพียงพานพบ มิมีจากลา
ป๋ายปี้หน้าแดงอย่างเขินอาย ก่อนจะพูดอย่างกระเง้ากระงอด “คนเจ้าเล่ห์! ฝึกตนไม่ได้เรื่อง แต่ความสามารถในการพูดคำหวานกลับเป็นอันดับหนึ่ง!”
สีหน้าของจานชิงไร้เดียงสาอย่างยิ่ง
……
กลุ่มของนักพรตซุน นอกจากหวงซือที่ไม่ค่อยชอบพูดคุยยิ้มแย้มแล้ว อีกสามคนที่เหลือต่างก็สัมผัสได้ถึงความอกสั่นขวัญผวาของอีกสองคนนอกเหนือจากตนเอง
เฉินผิงอันจึงเป็นฝ่ายเปิดปากทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้อาวุโสซุนรู้สึกกระอักกระอ่วน
เขาถามคำถามที่เป็นปกติของคนทั่วไป “นักพรตซุน กระพรวนเงินชิ้นนี้ใช่กระพรวนสดับปีศาจหรือไม่?”
นักพรตร่างผอมสูงพยักหน้ารับ “เก็บตกของดีมาได้ ระดับขั้นธรรมดา แต่หากมีปีศาจขอบเขตถ้ำสถิตขยับเข้ามาใกล้ กระพรวนนี้ก็จะส่งเสียงดัง”
เฉินผิงอันทอดถอนใจ “นี่มีมูลค่าหลายเหรียญเงินเทพเซียนเชียวนะ หากไม่มีเงินถึงหนึ่งร้อยเหรียญเงินเทพเซียนก็ไม่มีทางซื้อมาได้แน่นอน!”
นักพรตซุนยิ้มกล่าว “ก็คงประมาณนั้นกระมัง”
ตี๋หยวนเฟิงที่ถือไม้เท้าเดินป่าสวมรองเท้าสาน เวลานี้ยังคงอารมณ์ไม่ใคร่จะดีเท่าไรนัก
เพราะท่านโหวน้อยของแคว้นเป่ยถิงผู้นั้น มีหน้าตารูปร่างในแบบที่ทำให้เขาละอายใจที่สู้ไม่ได้ อีกอย่างการขึ้นเขาค้นหาสมบัติครั้งนี้ทำให้ตัวเขารู้สึกเหมือนเหยียบอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบางๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับมีอารมณ์พาสตรีมาด้วย คิดว่ามาเที่ยวชมขุนเขาสายน้ำหรืออย่างไร?! ประเด็นสำคัญคือสตรีสาวผู้นั้นหน้าตางดงามอย่างถึงที่สุด เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกตนหญิงบนภูเขาที่มีชื่ออยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูล! หลักการเหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก จะมีสตรีผู้ฝึกตนอิสระสักกี่คนที่ข้างกายสามารถทำให้ผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งมาทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์ด้วยความเต็มใจได้บ้าง?
ส่วนหวงซือนั้น ยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงแค่สะพายห่อสัมภาระใบใหญ่เดินอยู่ด้านหลังสุดของขบวน
หลังจากที่คนทั้งสี่เดินผ่านศาลามา ฝีเท้าก็ยิ่งแผ่วเบาถี่กระชั้นราวกับบิน
เส้นทางไส้แกะสายเล็กที่เคี้ยวคดอันตรายไกลร้อยกว่าลี้ นายพรานหรือคนตัดฝืนที่ชินกับเส้นทางบนภูเขามาเดินก็ยังไม่ง่าย ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้ฝีเท้าของคนทั้งสี่กลับไม่ต่างอะไรจากพื้นดินราบเรียบ
นี่ก็คือข้อดีของการฝึกตน
ถนนบนโลกมนุษย์ที่ต่อให้จะคดเคี้ยวเดินได้ยากลำบากแค่ไหน แต่ผู้ฝึกตนก็ยังคงไปมาได้อย่างไร้ปัญหา
บนโลกมีคลื่นมรสุมที่อันตรายอยู่มากมาย แต่ดูเหมือนว่าพวกผู้ฝึกตนยื่นมือออกไปง่ายๆ ก็สามารถกดให้มันสงบราบเรียบได้แล้ว
ส่วนความกังวลและปัญหามากมายบนเส้นทางของการฝึกตน ก็คงจะถือได้ว่ายืนพูดแล้ว ไม่จำเป็นต้องบอกว่าปวดเอวอีก
ระยะทางภูเขาหลายร้อยกว่าลี้หลังจากนั้นก็ไม่เจอกับใครอีก
นักพรตซุนที่พอจะรู้วิชาภูมิศาสตร์คร่าวๆ จึงสามารถวิเคราะห์ลักษณะภูเขาได้ง่าย เขาพาคนทั้งสามมาถึงหน้าผาที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง มีถ้ำหินลึกมืดมน ไม่มีป้ายหินแล้วก็ไม่มีตัวอักษรแกะสลัก บนผนังทั้งสองข้างเต็มไปด้วยต้นตีนตุ๊กแก พืชพรรณชนิดนี้ เมื่ออยู่ท่ามกลางบรรดาพันธ์ไม้ของโลกมนุษย์ ถือว่าสามารถทำให้ภูเขาสายน้ำมั่นคงได้ นักพรตเฒ่าร่างผอมสูงปลดใบสีเขียวที่วาววับราวกับจะสามารถเค้นน้ำใบหนึ่งออกมา ใช้ปลายนิ้วบดขยี้เบาๆ แล้วเอามาดม จากนั้นก็ผงกศีรษะ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร ต่อมาผู้เฒ่าก็เริ่มสาวเท้าออกเดิน บางครั้งก็กระทืบเท้า สุดท้ายจึงทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบดินขึ้นมาหนึ่งกำ ชั่งน้ำหนักมันไว้ในมือ จากนั้นก็หันหน้ามายิ้มถามว่า “สหาย ในเมื่อเจ้าสามารถวาดยันต์ขยุ้มดิน คิดดูแล้วก็คงจะคุ้นเคยกับลักษณะของดินในโลกมนุษย์เป็นอย่างดี มีความเห็นอะไรบ้างไหม? บางทีนี่อาจจะเป็นการช่วยพวกเราในการเข้าไปยังถ้ำสถิตแห่งนั้นก็ได้”
เฉินผิงอันทำสีหน้าลำบากใจ
ตี๋หยวนเฟิงหรี่ตาลง
หวงซือเองก็หันมามองผู้เฒ่าชุดดำที่ท่าทางขลาดกลัวผู้นี้
เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งที แล้วก็เดินออกไปหลายก้าว ฝีเท้าเดี๋ยวเบาเดี๋ยวหนักคล้ายกำลังวิเคราะห์ดินของที่แห่งนี้อยู่ เขาเดินพลางพูดไปด้วยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องแสดงฝีมือน่าอายแล้ว ข้ากลัวจริงๆ ว่าเมื่อมาอยู่กับนักพรตซุนแล้วจะทำตัวชวนขบขัน แต่ในเมื่อนักพรตซุนสั่งความมาแล้ว ข้าก็คงต้องขอโอ้อวดความรู้เล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย”
เฉินผิงอันหยุดเดินแล้วทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบดินขึ้นมาหนึ่งหยิบมือแล้วโยนออกไปเบาๆ จากนั้นก็กำฝ่ามือ กุมหมัดเอาฝ่ามือและนิ้วเสียดสีกันอยู่ครู่หนึ่ง พอปล่อยมือออกแล้วก็เปลี่ยนตำแหน่งไปตามจุดต่างๆ แล้วทำเหมือนเดิมซ้ำอีก สุดท้ายเอ่ยว่า “เป็นดินที่ถูกปราณวิญญาณซึ่งเอ่อออกมาจากถ้ำสถิตอาบย้อมจริงๆ อย่างน้อยก็ได้รับความชุ่มชื้นมานานถึงสามร้อยปี เนื่องจากไอน้ำหนักอึ้ง เหนือกว่าดินปกติทั่วไป หากพื้นดินที่ใช้สร้างบ้านของโลกคนเป็น หรือหลุมศพที่เหมือนบ้านของโลกคนตายเพิ่มดินประเภทนี้เข้าไป ก็สามารถช่วยรวบรวมลมและน้ำมาไว้ได้”
หลังจากพูดจบ
คนทั้งสามก็มองเห็นว่าผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นเอ่ยขออภัยหนึ่งคำ บอกว่ารอสักเดี๋ยว จากนั้นก็ปลดห่อสัมภาระที่สะพายเอียงๆ ไว้บนไหล่ลงมาอย่างรวดเร็ว หมุนตัวกลับหันหลังให้ทุกคน หยิบไหกระเบื้องเล็กใบหนึ่งออกมาอย่างคุ้นเคย แล้วเริ่มขุดดินเติมใส่เข้าไปในไห เพียงแต่ว่าดินที่เลือกมาในแต่ละจุดล้วนมีจำนวนไม่มาก ถึงท้ายที่สุดก็ยังไม่สามารถบรรจุดินได้เต็มไห
ภาพนี้ทำเอานักพรตเฒ่าร่างผอมสูงเกือบจะทนไม่ไหว อยากจะร่ำรวยไปพร้อมกับอีกฝ่าย
เพียงแต่ว่าพอคิดถึงว่าตอนนี้ตนคือเซียนซือของเรือนเทพสายฟ้า นักพรตซุนถึงได้ไม่ขุดดินตามอีกฝ่ายไปด้วย
เฉินผิงอันสะพายห่อสัมภาระไว้บนไหล่ใหม่อีกครั้ง ปัดมือตัวเองแล้วยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง “ได้เงินเล็กๆ น้อยๆ เป็นที่ขบขันแล้วๆ”
เวลานี้ในที่สุดตี๋หยวนเฟิงก็แน่ใจแล้ว หากตาเฒ่านี่เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจริงๆ เขาจะยอมกินไม้เท้าเดินป่าที่ซ่อนกระบี่อ่อนไว้ด้านในชิ้นนั้นกลืนลงท้อง กินไปพร้อมกันทั้งกระบี่ทั้งไม้ไผ่เลย!
จากนั้นทั้งสามคนก็เห็นว่าไอ้หมอนี่ยืนเฉย
นักพรตซุนจึงได้แต่เอ่ยเตือน “สหาย คิดจะเข้าไปในถ้ำสถิตแห่งนี้ ควรจะหยิบยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางแผ่นหนึ่งออกมาหรือไม่?”
แม้จะบอกว่าตราผนึกชั้นแรกของจวนแห่งนี้เป็นเพียงแค่ม่านกีดขวางแห่งสายน้ำขุนเขาที่พบเห็นได้ทั่วไป คล้ายคลึงกับผีบังตา แล้วก็ได้ถูกพวกผีตัวตายตัวแทนกลุ่มแรกที่มาถึงก่อน แต่กลับไม่มีชะตาที่ดีพอจะได้ครอบครองของดีไปก่อนฝ่าทำลายไปแล้ว แต่กลไกต่อจากนี้ต่างหากที่ถึงจะเป็นด่านสำคัญ ต้องระวังไว้ก่อนจึงเป็นการดี แน่นอนว่ายังต้องใช้ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางในการเปิดเส้นทาง นอกจากนี้ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางก็ไม่ต้องจ่ายเงินของทั้งสามด้วย
เฉินผิงอันทำสีหน้ากระจ่างแจ้งอย่างที่ไม่มีความจริงใจอะไร แล้วจึงหยิบยันต์ข้ามสะพานที่เขียนบนกระดาษเหลืองธรรมดาและใช้ก้อนทองบดเป็นผงหมึกออกมาหนึ่งแผ่น
เพียงแต่ว่าไม่นานเฉินผิงอันก็หันหน้าไปมองถนนที่ห่างไปไกล เอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ท่านโหวน้อยผู้นั้นอาจจะอยู่ห่างจากพวกเราไปไม่ไกล”
ตี๋หยวนเฟิงยิ้มกล่าว “หากถึงขนาดนี้แล้วยังไม่กล้าแย่งชิงมาก่อน หรือว่าเมื่อได้สมบัติมาแล้ว หลังจบเรื่องพอเจอกับท่านโหวน้อย พวกเราจะต้องประคองสมบัติส่งให้เขาด้วยสองมือ?”
เฉินผิงอันถึงได้สะบัดแผ่นยันต์เบาๆ เปลวไฟเผาไหม้แผ่นยันต์ดังพรึ่บ ส่องให้เส้นทางของถ้ำสถิตสว่างไสว
จากนั้นก็ไม่ได้เดินนำเข้าไปในถ้ำก่อน แต่คีบยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางที่เผาไหม้อย่างช้าๆ นั้นส่งไปให้ตี๋หยวนเฟิง พูดด้วยรอยยิ้มประจบว่า “คุณชายฉินเป็นคนนำทางดีกว่า? ตาแก่กระดูกกระเดี้ยวไม่ดีอย่างข้าไม่อาจทนรับความเจ็บปวดได้แม้แต่น้อย หากไม่ทันระวังไปเจอกลไกอันตราย แล้วบาดเจ็บไปถึงเส้นเอ็นและกระดูก อันที่จริงก็ยังไม่เท่าไร แต่หากทำให้การใหญ่ต้องเสียหาย คงไม่ดีเป็นแน่”
ตี๋หยวนเฟิงมองไปยังหวงซือที่กำลังมองประเมินผนังหินด้านบนสุดของถ้ำ
ฝ่ายหลังไม่ได้มีความลังเลอะไร เขารับยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางแผ่นนั้นมาแล้วเดินนำไปยังจุดลึกของถ้ำก่อนใคร
เบื้องหน้าคนทั้งสี่คือเส้นทางคดเคี้ยวที่ยาวหลายลี้ ยังคงมองไปไม่เห็นปลายทาง
ลมเย็นพัดมาเป็นระลอก แต่กลับสัมผัสได้ไม่ถึงกลิ่นอายชั่วร้ายแม้แต่น้อย
นี่ทำให้นักพรตซุนพอจะสบายใจขึ้นได้บ้าง
เจ้าของคนเก่าของถ้ำสถิตตระกูลเซียนแห่งนี้ ต้องเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มีคุณธรรมมากอย่างแน่นอน แม้จะบอกว่าเมื่อปิดผนึกถ้ำแล้วยังมีกลไกที่อาจปลิดชีพคนแฝงอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งกีดขวางผีบังตาชั้นแรก เดิมทีก็ถือเป็นการเตือนด้วยความหวังดีอย่างหนึ่ง อีกทั้งหากอิงตามคำบอกของผู้ฝึกตนอิสระที่หนีรอดมาได้คนนั้น สิ่งกีดขวางนี้ไม่ทำร้ายคน สองครั้งที่เขาไปล้วนเดินวนไปวนมา พอหมดเวลาก็จะเดินออกมาจากถ้ำอย่างมึนๆ งงๆ ได้เอง ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนไปเป็นถ้ำสถิตไร้เจ้าของ ส่วนใหญ่ตราผนึกชั้นแรกก็มักจะอันตรายอย่างถึงที่สุดเสมอ ยังจะมีทางเหลือให้คนถอยหนีอีกได้อย่างไร ผู้ฝึกตนบนภูเขาบุกเข้าไปในจวนของผู้อื่น มีใครบ้างที่ไม่สมควรตาย?
เนื่องจากคนทั้งสี่เดินกันช้ามากและระมัดระวังมาก จึงต้องเดินกันไปอีกครึ่งชั่วยามเต็มๆ กว่าจะมาถึงโพรงถ้ำที่เยือกเย็นแห่งหนึ่ง
นักพรตซุนต้องพูดปากเปียกปากแฉะอีกรอบกว่าจะทำให้ผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นหยิบยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางออกมาอีกหนึ่งแผ่นเพื่อส่องสว่างเส้นทาง ขณะเดียวกันก็เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายที่อาจซุ่มโจมตีอยู่
ระหว่างนี้นักพรตซุนที่เห็นแก่ยันต์แผ่นนั้น และก็เพราะรักชีวิตของตัวเองยิ่งกว่า จึงยอมพูดถึงข้อต้องห้ามของการเดินทางมาในครั้งนี้กับสหายแซ่เฉินผู้นั้นอย่างละเอียด
นี่คือสิ่งที่ผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มก่อนหน้านี้ใช้สองชีวิตของสหายแลกมา
แน่นอนว่านักพรตซุนยิ่งไม่หวังให้ไอ้หมอนี่บุ่มบ่ามไปเตะโดนกลไก แล้วเดือดร้อนให้พวกเขาสามคนต้องตายไปด้วย
บนผนังหินเขียวรอบด้านล้วนเป็นภาพวาดฝาผนังที่สีสันสดใสเหมือนใหม่ เป็นภาพของทวยเทพแห่งสวรรค์สี่ท่าน เรือนกายสูงสามจั้ง หน้าตาดุดันแผ่พลังอำนาจน่าเกรงขาม กำลังหลุบตาลงต่ำมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญทั้งสี่คน
องค์เทพทั้งสี่มีชีวิตชีวาเหมือนตัวจริง แบ่งออกเป็นถือกระบี่วิเศษที่ชักออกจากฝัก อุ้มผีผาไว้ในอ้อมอก ในมือมีงูรัดพัน และในมือกางร่มวิเศษ
ใต้ฝ่าเท้าของทุกคนคือยันต์ค่ายกลปากว้า และยังแกะสลักภาพสัญลักษณ์โบราณรูปมังกรสองตัวแย่งชิงไข่มุกกัน เพียงแต่ว่าตำแหน่งที่เดิมทีควรมีไข่มุกอยู่ เวลานี้กลับเว้าเป็นหลุม ว่างเปล่าไร้วัตถุใด น่าจะถูกคนที่เคยเข้ามาก่อนหน้านี้ดึงออกไปแล้ว
นักพรตซุนแค่มององค์เทพไม่กี่ครั้งก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ
แต่ก็ยังแข็งใจหยิบเข็มทิศจิ๋วอันหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
——