กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 542.2 ได้สมบัติ
เฉินผิงอันเดินตามมาด้านหลังคนทั้งสามอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเดินขึ้นไปบนบันไดขั้นสุดท้าย ก็เห็นว่าบนพื้นลานกว้างหยกขาวเบื้องหน้าอารามเต๋ามีโครงกระดูกที่ค่อนข้างเล็กอยู่สองโครง หลังจากตี๋หยวนเฟิงสะบัดชายแขนเสื้อไปแล้ว อาภรณ์ก็สลายหายไปไม่เหลืออยู่อีก ทว่าโครงกระดูกแต่ละโครงกลับทิ้งของสิ่งหนึ่งเอาไว้
เพียงแต่ว่าอาวุธหนักบนภูเขาทั้งสองชิ้นนี้มีรอยแตกร้าวเยอะมาก ระดับขั้นถูกทำลายให้เสียหายไปไม่น้อย
ตี๋หยวนเฟิงทรุดตัวลงนั่งยองหยิบพวกมันขึ้นมา แล้วเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
หวงซือเอ่ย “ดูท่าสมบัติอาคมอาวุธวิเศษของที่แห่งนี้ ระดับขั้นคงไม่ค่อยดีสักเท่าไร”
ตี๋หยวนเฟิงพยักหน้ารับ ยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เน้นปริมาณแล้วกัน”
นักพรตซุนหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี
หวงซือเองก็คลี่ยิ้มบางๆ อย่างที่หาได้ยาก
เฉินผิงอันยังคงไม่ได้ร่วมวงด้วย เขายังคงเคยชินกับการคิดหาทางหนีทีไล่ก่อน แล้วค่อยมาพูดเรื่องค้นหาทรัพย์สมบัติ
ยืนอยู่บนยอดเขา ทอดสายตามองไปไกล จุดที่สายตามองเห็น นอกจากภูเขาเขียวน้ำใสแล้ว ทัศนียภาพในระยะร้อยลี้ล้วนสามารถมองเห็นได้หมด ต่างกันก็แค่ว่าอยู่ไกลหรือใกล้เท่านั้น จุดที่สายตามองเห็นอย่างพร่าเลือนก็อาจจะอยู่ไปไกลสักหน่อย ราวกับว่ามีเส้นแบ่งที่ชัดเจนอย่างถึงที่สุดอยู่เส้นหนึ่ง พอผ่านเส้นนั้นไป ทุกอย่างก็พลันแปรเปลี่ยน เปลี่ยนมาเป็นพร่าเลือน ให้ความรู้สึกกดดันแก่เฉินผิงอันราวกับว่ามาถึงจุดสิ้นสุดบนเส้นทาง ฟ้าดินว่างเปล่า
นี่เป็นเรื่องดี แล้วก็เป็นเรื่องร้าย
เรื่องดีก็คือถ้ำสถิตตระกูลเซียนแห่งนี้คือสถานที่ไร้รากฐานในตำนาน คล้ายคลึงกับถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลยุคบรรพกาลที่ปริแตก ไม่ได้สร้างขึ้นบนขุนเขาสายน้ำที่แท้จริง
นี่หมายความว่าซากปรักตระกูลเซียนแห่งนี้จะต้องมีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างถึงที่สุด ไม่แน่ว่าอาจจะมีวัตถุดิบวิเศษของฟ้าดินที่มีมูลค่าควรเมืองอยู่จริง หรืออาจจะมีวิชาลับตระกูลเซียนที่ชี้ตรงไปยังขอบเขตเซียนดินอยู่สักเล่มสองเล่ม
แต่เรื่องร้ายก็คือ เข้ามาง่ายแต่ออกไปยาก เว้นเสียจากว่ามีคนสามารถทำลายตราผนึกฟ้าดินขนาดเล็กออกไปได้
ด้านหลังเฉินผิงอันสะพายเจี้ยนเซียนที่อยู่ในฝักเล่มหนึ่ง แน่นอนว่าเขาต้องทำได้ ต่อให้เป็นม่านฟ้าที่แข็งแกร่งมั่นคงแค่ไหน เกรงว่าก็คงเทียบกับหุบเขาผีร้ายแห่งชายหาดโครงกระดูกไม่ได้
แต่พอถึงเวลานั้นเขาก็จะกลายเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มอิทธิพลทั้งหลาย นี่ขัดแย้งต่อเจตจำนงแรกของเขาที่ว่า ‘แอบมาหาเงินเก็บตกของดีก้อนเล็กๆ แล้วจากไปเงียบๆ ไม่ต้องมีใครมาสนใจข้า’ อย่างยิ่ง
เฉินผิงอันไม่อยากกลายเป็นเจียงซ่างเจินคนที่สอง กลายเป็นหนูวิ่งข้ามถนนที่ใครเห็นก็ร้องอยากจะทุบตีในสายตาของผู้ฝึกตนอุตรกุรุทวีป
การที่พวกหวงซือสามคนยังอยู่สงบได้เช่นนี้ ก็น่าจะเป็นเพราะยังสังเกตไม่เห็นถึงภาพเหตุการณ์ประหลาดของขุนเขาสายน้ำจุดที่อยู่ห่างไปไกล นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองอย่างหวงซือนั้น ไม่ใช่กระดาษเปียก แต่ก็ไม่ถือว่าแข็งแกร่งสักเท่าไร
การดำรงอยู่ของเส้นเส้นนั้น อันที่จริงไม่ได้มีความหมายต่อเฉินผิงอันในเวลานี้สักเท่าไร
แต่หากผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น เขากลับเป็นคนเดียวที่สามารถมองเห็น อีกทั้งยังสามารถเดินออกไปจากฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้
คนที่เหลืออีกสามคนยังคงถูกปิดหูปิดตา บางทีตอนนี้อาจจะกำลังลอบสื่อสารกันว่าควรจะเล่นงานสหายนักพรตเช่นเขาอย่างไรก็เป็นได้
อารามเต๋าที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใหญ่ กรอบป้ายก็ไม่เหลืออยู่แล้ว ก่อนที่คนทั้งสี่จะเดินเข้าไปในอารามต่างก็อดไม่ไหวหันไปมองกระเบื้องแก้วสีเขียวมรกตบนหลังคา บนภูเขามีสิ่งปลูกสร้างอยู่มากมาย แต่กลับมีเพียงที่แห่งนี้ที่ถึงจะมีกระเบื้องนี้
กาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านพ้นไป แผ่นกระเบื้องกลับยังคงส่องประกายรัศมีเรื่อเรือง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่กระเบื้องแก้วทั่วไปที่หาได้ในพระราชวังหรือจวนโหวของโลกมนุษย์ เป็นสมบัติบนภูเขา ของใช้ในบ้านของเทพเซียนที่แท้จริง
สรุปก็คือแผ่นกระเบื้องทุกแผ่นล้วนเป็นเงินเทพเซียน
ภาพนี้ทำให้นักพรตซุนที่มองดูอยู่สั่นสะท้านไปทั้งตัว คาดว่าไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะมีมูลค่าถึงเจ็ดแปดเหรียญเงินร้อนน้อยกระมัง? หากเป็นกระเบื้องแก้วชั้นดีที่ใช้วิชาลับตระกูลเซียนเผาขึ้นมาจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจเปลี่ยนจากเงินร้อนน้อยไปเป็นเงินฝนธัญพืชก็เป็นได้!
หวงซือและตี๋หยวนเฟิงต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ ไม่เคยไปมาหาสู่กับภูเขาของสำนักใหญ่ ดังนั้นมูลค่าของกระเบื้องแก้วพวกนี้ พวกเขาจึงประมาณการณ์ไม่ได้พอๆ กับนักพรตซุน แต่สำนักตระกูลเซียนที่เคยไปมาหาสู่กันก็ล้วนไม่เคยใช้กระเบื้องแก้วพวกนี้มามุงหลังคา ทว่าโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขากลับพบเห็นได้ไม่น้อย
สุดท้ายเฉินผิงอันมองไปยังจุดที่คนทั้งสี่จากมา ตรงนั้นยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว
มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง หากเขามีโอกาสก็จะต้องถามคนกลุ่มถัดไปให้จงได้
พวกเขาจะเข้ามาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ประมาณช่วงเวลาไหน
อันที่จริงเฉินผิงอันกำลังคำนวณอยู่ในใจตลอดเวลา
หากความเร็วในการไหลหายไปของแม่น้ำกาลเวลาในที่แห่งนี้มีความต่างจากใต้หล้าไพศาล ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็คงต้องคิดถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้สองอย่างแล้ว
……
กลุ่มของจานชิงท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเป่ยถิงมาถึงหน้าประตูถ้ำ
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่เป็นผู้ถวายงานของตระกูลคนนั้นกำลังตรวจสอบรอยเท้าบนพื้น
เกาหลิงแม่ทัพบู๊แห่งแคว้นฝูฉวีพูดเสียงทุ้มหนัก “ท่านโหวน้อย บริเวณใกล้เคียงกับภูเขามีคนไม่น้อยแอบซ่อนตัวอยู่”
จานชิงยิ้มกล่าว “ก็ให้พวกเขามากินฝุ่นตามก้นพวกเราแล้วกัน ในเมื่อกล้าพอจะเข้ามาในถ้ำ ก็ต้องกล้าพอจะไปหาครรภ์เกิดใหม่”
เขาไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ อันใดต่อผู้ฝึกตนอิสระและเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล
ต่อให้ตัวเองจะเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริงคนหนึ่ง แต่บางทีคงเป็นเพราะส่วนลึกในกระดูกของเขายังคงเป็นลูกหลานชนชั้นสูงร่ำรวย เห็นพวกอัครเสนาบดีและจวนอ๋องมาจนชิ้น แล้วก็เคยชินกับการวางแผนเล่นงานผู้อื่น การฉวยโอกาสและคล้อยไปตามโอกาส หาใช่อาศัยหมัดหนึ่งคู่และสมบัติหลายชิ้นฆ่าแกงผู้อื่นไปมา ดังนั้นสำหรับพวกคนบนเส้นทางเดียวกันที่สูงส่งเหนือใครเหล่านั้น จานชิงจึงเบื่อหน่ายชิงชังอย่างถึงที่สุด แต่หากถึงช่วงเวลาที่ต้องอาศัยวิชาคาถาสังหารคนจริงๆ แน่นอนว่าจานชิงย่อมไม่โอ้เอ้อืดอาด
ป๋ายปี้เอ่ยสัพยอก “ไม่รีบร้อนสักนิดเลยหรือ ไม่กลัวหรือว่าคนสองกลุ่มนั้นจะชิงโอกาสได้เปรียบไปก่อน?”
จานชิงยิ้มกล่าว “หากพวกเขาสามารถหล่อหลอมสมบัติตระกูล หรือกินวิชาลับอะไรได้ในชั่วพริบตา ก็ถือว่าข้าโชคร้าย ต้องยอมรับชะตากรรมไม่ใช่หรือ? ไม่อย่างนั้น คนกับสิ่งของจะหนีหายไปไหนได้”
เกาหลิงยิ่งรู้สึกว่าต้องมองคนผู้นี้ในมุมใหม่มากขึ้นทุกที
ก่อนหน้านี้สำหรับท่านโหวน้อยแคว้นเป่ยถิงอะไรนี่ เขาแค่มองอีกฝ่ายเป็นเศษสวะที่ได้มาเกิดในครรภ์ที่ดีเท่านั้น
ตอนนี้ลองมานึกดูแล้ว ในอนาคตใครกล้าดูแคลนคนผู้นี้ แล้วเกิดความขัดแย้งบนมหามรรคากันขึ้นมา รับรองว่าอีกฝ่ายต้องเพลี่ยงพล้ำให้เขาอย่างแน่นอน
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองสองคนเปิดทาง ถือเขียนไขชูขึ้นสูงเดินเข้าไปในถ้ำที่มืดมิด
ป๋ายปี้อารมณ์ผ่อนคลาย ขอแค่ไม่เจอเหตุไม่คาดฝันที่ใหญ่เกินไป การมาเยี่ยมเยือนภูเขาค้นหาสมบัติในครั้งนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องให้นางลงมือด้วยตัวเองเลย
ต่อให้ซุนชิงแห่งจวนไช่เฉวี่ยและเสิ่นเจิ้นเจ๋อแห่งนครเหนือเมฆสองคนมาเยือนด้วยตัวเอง ก็ยังถือได้ว่าเป็นแค่เรื่องไม่คาดฝันน้อยๆ เท่านั้น
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดสองคนในกลุ่มของตนก็มากพอจะรับมือแล้ว
คนทั้งกลุ่มมาถึงโพรงถ้ำที่มีภาพวาดขององค์เทพสวรรค์ลงสีสันทั้งสี่องค์
จานชิงขมวดคิ้วน้อยๆ ในเรื่องฝ่าค่ายกลนี้ ตนไม่ถนัดเลยจริงๆ อาจารย์ที่เป็นก่อกำเนิดของตน ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระ วิชาที่เล่าเรียนมาจึงปะปนกันหลากหลาย จึงน่าจะคุ้นเคยดี เพียงแต่ว่าเขาไม่เคยถ่ายทอดวิชาเกี่ยวกับการเข้าสู่พื้นที่ลับเพื่อค้นหาโชควาสนาอะไรแก่จานชิงมาก่อน เขามักจะบอกว่าวิชากลไกที่เป็นวิชาสายรองพวกนั้นจะถ่วงเวลาการฝึกตน รอจนจานชิงเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตประตูมังกรเมื่อไหร่ค่อยพูดถึงเรื่องอื่น
ในเมื่อผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มแรกและผู้ฝึกตนของนครเหนือเมฆต่างก็ไม่อยู่กันแล้ว คิดดูแล้วพวกเขาก็น่าจะทยอยกันเข้าไปในซากปรักจวนเซียนแล้ว
ป๋ายปี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต่อจากนี้จะทำอย่างไร? จะให้พวกเราเบิกตาจ้องกันไปมาอยู่ตรงนี้หรือ?”
จานชิงพูดอย่างระอาใจ “หากรู้ตำแหน่งทางออกก็แค่เฝ้าตอรอกระต่ายก็พอ กลัวก็แต่ว่าทางออกที่ว่าจะอยู่ห่างไปร้อยกว่าลี้ พวกเราคงไม่ทันได้เจอพวกเขา”
ป๋ายปี้เอาสองมือไพล่หลัง กวาดตามองไปรอบด้าน “หาเบาะแสดูก่อน หากไม่ได้จริงๆ ก็ถือว่าเจ้าติดค้างน้ำใจข้าครั้งใหญ่”
จานชิงเอ่ยถาม “ค่าตอบแทนสูงมากหรือ?”
ป๋ายปี้พยักหน้ารับ “ไม่ถือว่าน้อย เท่ากับว่าข้าต้องเสียตบะไปประมาณสิบปี”
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำผู้นี้เรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง คือยันต์สีเขียวที่พบเห็นได้ยากมากแผ่นหนึ่ง เป็นยันต์ที่มีภาพกระแสน้ำไหลริกๆ ทั้งเรียบง่าย แต่ก็ทั้งประหลาด สายน้ำที่วาดไว้บนยันต์ไหลรินอย่างเชื่องช้า และยังพอจะได้ยินเสียงน้ำไหลดังมาแว่วๆ ด้วย
ผู้ฝึกตนโอสถทองที่มีชาติกำเนิดจากสำนักบนภูเขาคนหนึ่งยินดีหลอมยันต์แผ่นหนึ่งเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยที่สุดระดับขั้นของยันต์แผ่นนี้ก็น่าจะเป็นสมบัติอาคม
ป๋ายปี้เอ่ย “นี่คือยันต์โบราณแผ่นหนึ่ง ในอดีตอาจารย์ของข้าได้มาโดยบังเอิญ มันมาจากซากปรักที่เป็นหนึ่งในสามศาลโบราณของลำน้ำจี่ตู้ มีชื่อว่ายันต์ชุ่นจิน มีความมหัศจรรย์มากมาย หากผู้ที่ฝึกวิชาน้ำได้ครอบครองมันจะเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลสำเร็จเป็นเท่าตัว เพื่อได้ครอบครองยันต์แผ่นนี้ ทางสำนักทะเลาะกันรุนแรงไม่น้อย แต่อย่าไปพูดถึงดีกว่า สรุปก็คือหนึ่งในความมหัศจรรย์ของมันก็คือสามารถช่วยให้พวกเราเดินเข้าไปในพื้นที่ลับได้”
ยันต์ชุ่นจิน ถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ายันต์กาลเวลา
ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด
แม้ว่าจานชิงจะไม่รู้ความเป็นมาของยันต์แผ่นนี้ชัดเจนนัก แต่เขาก็ยังคงส่ายหน้า “อย่าดีกว่า”
ป๋ายปี้ถอนหายใจ “ข้าเป็นเซียนดินโอสถทองแล้ว เท่ากับตบะสิบปีของตอนที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรในอดีต แค่นี้จะนับเป็นอะไรได้? ยิ่งเป็นช่วงหลังๆ ความต่างของหนึ่งขอบเขตก็ยิ่งเหมือนฟ้ากับดิน ผู้ฝึกลมปราณเป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกยุทธก็ยิ่งเป็นเช่นนี้”
จานชิงยิ้มเจื่อนเรียกนาง “พี่หญิงป๋าย”
ป๋ายปี้ยิ้มกล่าว “แค่คำว่าพี่หญิงป๋ายคำเดียวก็เพียงพอแล้ว”
ต่อให้เป็นลูกหลานอ๋องโหวที่นิสัยเย็นชาแล้งน้ำใจอย่างจานชิงก็ยังอดไม่ได้ อยากจะเอื้อมมือไปกุมมือของนางเอาไว้
แต่ป๋ายปี้กลับส่ายหน้า พูดด้วยจิตใจที่สงบนิ่งว่า “สตรีในโลกมนุษย์ที่ถูกเจ้าเลี้ยงดูไว้มีหลายคนที่ยินดีตายเพื่อเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่ซาบซึ้งใจแม้แต่น้อย? แต่นี่เจ้ากลับหวั่นไหวเพียงเพราะเซียนดินโอสถทองอย่างข้าต้องเสียตบะไปแค่ไม่กี่ปีน่ะหรือ? ความรักชายหญิงที่เป็นเช่นนี้ ข้าว่าไม่ต้องมีก็ได้ หากในอนาคตบนเส้นทางของการฝึกตนมีผู้ฝึกตนหญิงก่อกำเนิดคนหนึ่งยอมทุ่มเทเพื่อเจ้าเช่นนี้ เจ้าก็จะเปลี่ยนใจอีกหรือไม่? คู่รักเทพเซียนบนภูเขาที่แท้จริง ไม่มีคู่ไหนที่มีความรู้สึกตื้นเขินเพียงเท่านี้”
จานชิงเหมือนถูกฟ้าผ่า อึ้งงันไม่อาจตอบโต้
ป๋ายปี้พลันเอ่ยว่า “ก่อนจะใช้ยันต์ชุ่นจิน ลองหาเบาะแสดูก่อน แล้วค่อยบุกเข้าไป หมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองสองท่านจะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้ หากทั้งสองท่านยังทำไม่ได้ก็ค่อยถึงคราวข้า”
ในใจของจานชิงรู้สึกดีขึ้นมาได้เล็กน้อย
เมื่อมองพี่หญิงป๋ายที่หน้าตางดงามชวนหวั่นไหวผู้นี้อีกครั้ง กลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า
……
หลังจากที่หวนอวิ๋นปรากฎตัวในถ้ำสถิตตระกูลเซียนแห่งนี้ก็รีบแปะยันต์เฉพาะลงบนร่างของคนทั้งสามเพื่ออำพรางลมปราณบนร่างพวกเขาทันที
ส่วนริ้วคลื่นลมปราณยามที่คนทั้งสามก้าวเดิน เขาหวนอวิ๋นเป็นเพียงแค่เซียนดินโอสถทองสายยันต์คนหนึ่ง ไม่ใช่เทียนจวินลัทธิเต๋าอะไร ไม่อาจทำได้สมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ขนาดนั้น
ผู้ถวายงานเฒ่าขอบเขตประตูมังกรของนครเหนือเมฆผู้นั้นผ่อนลมหายใจโล่งอก ไม่มีการลอบสังหารรออยู่ ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
หวนอวิ๋นพลันเอ่ยขึ้นว่า “ต่อจากนี้พวกเจ้าก็ไปเดินเล่นกันเอง นอกจากการเข่นฆ่าตัดสินเป็นตายแล้ว ข้าผู้อาวุโสจะไม่สนใจพวกเจ้าอีก โชคดีและเคราะห์ที่อยู่นอกเหนือจากความเป็นความตายก็ขึ้นอยู่ที่โชคชะตาของใครของมันแล้ว”
จากนั้นหวนอวิ๋นก็ยิ้มเอ่ยว่า “วางใจเถอะ ข้าผู้อาวุโสไม่มีทางแย่งชิงกับพวกเจ้า อย่างมากที่สุดก็แค่เลือกเอาของที่พวกเจ้าเหลือไว้ หรือไม่ หากพวกเจ้าไม่อาจพบเจอ ข้าผู้อาวุโสก็ค่อยไปเก็บของผุๆ พังๆ มา”
ร่างของหวนอวิ๋นหายวับไปเหมือนไอหมอกเหมือนก้อนเมฆ ไม่เหลือร่องรอยกระเพื่อมไหวแม้แต่น้อย
ผู้ถวายงานเฒ่ายิ้มพูดกับเด็กรุ่นหลังสองคน “หวนเจินเหรินเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นมาตลอด ไปเถอะ ต่อจากนี้ควรจะรับมือกับผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มนั้นอย่างไร นั่นต่างหากจึงจะเป็นเรื่องที่พวกเจ้าสองคนต้องกังวลที่สุด”
ฟังความนัยในถ้อยคำของผู้ปกป้องมรรคาท่านนี้ออก สตรีก็กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “แล้วท่านอาจารย์อาล่ะ?”
ผู้ถวายงานเฒ่ากล่าวอย่างจนใจ “หรือจะให้ข้าช่วยพวกเจ้าแย่งชิงสิ่งของ แบกสิ่งของ? พวกเจ้ามาเที่ยวขุนเขาสายน้ำหรือไร? อาจารย์อาอย่างข้าเป็นคนแบกหามของพวกเจ้างั้นหรือ?”
ผู้ถวายงานเฒ่าเตรียมทะยานลมขึ้นสู่อากาศสูง อยากจะดูว่าม่านฟ้าของถ้ำสถิตแห่งนี้สูงเท่าไรกันแน่ อีกทั้งมองพื้นดินจากมุมสูงก็จะช่วยให้มองความลี้ลับที่ซ่อนไว้ออกได้ง่ายมากกว่า
แต่เพื่อความปลอดภัย ผู้เฒ่าก็ยังเรียกอาวุธวิเศษที่ไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งออกมา ปล่อยให้มันลอยหมุนขึ้นไปกลางอากาศก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้ตนพุ่งหัวทิ่มเข้าไปในค่ายกลภูเขาสายน้ำ
เข้ามาในซากปรักจวนเซียนที่ไร้เจ้าของเช่นนี้ แน่นอนว่าทุกที่ล้วนมีแต่เงินให้เก็บ
แล้วก็มีปราณสังหารรอคนที่มาเก็บเงินอยู่ทุกหนแห่งด้วย
อันที่จริงผู้เฒ่าก็มีทั้งความดีใจและความกังวลใจ ดีใจก็เพราะโชควาสนาของที่แห่งนี้ต้องไม่เล็กอย่างแน่นอน และยังอยู่เหนือจากที่คาดการณ์เอาไว้ด้วย ที่นี่ย่อมไม่ใช่จวนสำหรับฝึกตนของผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรอะไรแน่ๆ แต่ต้องเป็นสำนักแห่งหนึ่ง เพียงแค่ดูจากขนาดของสิ่งปลูกสร้างก็รู้แล้วว่าไม่ด้อยกว่านครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยเลย
ดังนั้นการที่คราวนี้เจ้านครเสิ่นเจิ้นเจ๋อเอาวัตถุฟางชุ่นชิ้นนั้นมามอบให้ตน จึงเป็นเรื่องที่ถูกจนถูกกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ส่วนเรื่องที่เป็นกังวลก็คือจวนเซียนแห่งนี้ไม่อาจย้ายออกไปได้ หากเป็นสถานที่ฝึกตนของผู้ฝึกตนใหญ่เซียนดินก่อกำเนิด หรืออาจเป็นห้าขอบเขตบนอะไรจริงๆ รอให้พวกเขากลับไปถึงนครเหนือเมฆ แล้วขอแค่มีข่าวเล็ดรอดออกไป ถึงเวลานั้นเมื่อมาเยี่ยมขุนเขาค้นหาสมบัติอีกครั้ง เกรงว่าโอสถทองคนหนึ่งก็คงไม่อาจเก็บซากน้ำแกงอะไรมากินได้ มีแต่จะถูกสำนักที่เป็นดั่งศาลาใกล้น้ำที่ได้ยลจันทร์ก่อนใช้วิชาอภินิหารย้ายขุนเขาในตำนานย้ายออกไป สำนักที่อยู่ใกล้กับแคว้นเป่ยถิงมากที่สุด หนึ่งอยู่ตะวันตก อีกหนึ่งอยู่เหนือ ต่างก็อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ความต่างเพียงแค่นั้น สำหรับผู้ฝึกตนของสำนักที่มีเรือข้ามฟากเป็นของตัวเองแล้วก็สามารถมองข้ามไปได้เลย
ผู้ถวายงานเฒ่าผู้นี้หวังเพียงแค่ว่าเจ้าของที่นี่คนเก่าจะเป็นแค่เซียนดินไร้แซ่ไร้นามคนหนึ่งเท่านั้น ขออย่าให้ขอบเขตสูงไปกว่านี้อีกเลย
โอสถทองนั้นดีที่สุด ก่อกำเนิดค่อนข้างเป็นปัญหา หลังจบเรื่องก็ยากที่จะเก็บกวาดได้
ไม่แน่ว่าอาจมีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มาจากสำนักขึ้นเขามาเยี่ยมเยือนนครเหนือเมฆ ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเปิดปาก เจ้านครก็ได้แต่ต้องคายเนื้อติดมันชิ้นใหญ่นั้นออกมามอบให้อีกฝ่ายแต่โดยดี แล้วยังต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจด้วยซ้ำ
หากเป็นซากภูเขาที่มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเฝ้าพิทักษ์ นั่นก็ไม่ต้องคิดเลย เพราะมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นโชคที่มาพร้อมเคราะห์ หลังเจอกับโชคดีครั้งใหญ่แล้ว ก็คือหายนะใหญ่ที่มาเยือนถึงสำนัก
เว้นเสียจากว่านครเหนือเมฆของพวกเขาสามารถทำลายฟ้าดินขนาดเล็กนี้ได้ทันที ลบเลือนร่องรอยทั้งหมดทิ้งไปในรวดเดียว
แต่น่าเสียดายที่นครเหนือเมฆไม่มีทางทำได้
เว้นเสียจากว่าเสิ่นเจิ้นเจ๋อจะตัดสินใจเด็ดขาด หลังจากที่พวกเขาสามคนกับหวนอวิ๋นกลับคืนไปถึงนครเหนือเมฆแล้วก็เป็นฝ่ายไปหาสำนักหนึ่งในนั้น แล้วปรึกษาหาส่วนแบ่งที่ค่อนข้างยุติธรรมจากอีกฝ่าย
ส่วนพื้นที่วิเศษที่มีโชคชะตาน้ำเข้มข้นแห่งนี้ บวกกับสิ่งปลูกสร้างสำเร็จรูปที่มากมายขนาดนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นสถานที่สำหรับพักร้อนที่ดีเยี่ยมของสำนักอีกฝ่ายในอนาคตอย่างแน่นอน
——