กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 543.4 บนทางไส้แกะสายเล็ก ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระ
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 543.4 บนทางไส้แกะสายเล็ก ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระ
จานชิงเดินลงเขาไปช้าๆ เกาหลิงที่เป็นขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถต้านทานทุกคนที่มาค้นหาสมบัติได้
แต่ขอแค่คนของแต่ละฝ่ายที่กรูกันเข้ามาในภูเขาไม่มีปัญญาที่จะรวมกลุ่มกัน พวกเขาก็ถือเป็นทรายที่กระจัดกระจายถาดหนึ่ง ปล่อยให้เขาจานชิงช่วงชิงสมบัติมาได้ตามใจชอบ
หลังจากเข้ามาในพื้นที่ลับและได้ปรึกษากับพี่หญิงป๋ายแล้ว จานชิงก็เปลี่ยนความคิดใหม่
ดังนั้นจานชิงจึงไม่คิดจะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ แต่คิดว่าจะทำการค้าอย่างหนึ่งกับผู้ฝึกตน ผู้ฝึกยุทธที่ข้ามอาณาเขตมาเหล่านั้น
ขึ้นเขานั้นได้ แต่ตอนลงจากภูเขามา จำเป็นต้องมาพูดคุยกับเขาจานชิงเป็นการส่วนตัวเสียก่อน แล้วมอบวัตถุบนภูเขาที่เขาหมายตามาให้ชิ้นหนึ่ง
แค่ชิ้นเดียวก็พอ
ส่วนของอย่างอื่นที่ถูกพวกคนที่โชคดีพกติดตัวไป ถึงเวลานั้นพี่หญิงป๋ายจะจดบันทึกเงียบๆ แล้วนำไปมอบให้แก่ศาลบรรพจารย์ของสำนักมังกรน้ำ ให้พวกผู้ฝึกตนเซียนดินเหล่านั้นไปทวงสมบัติคืนจากมดตัวเล็กตัวน้อยพวกนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องให้เขาจานชิงลงมือสังหารใคร ถือเป็นการหาทรัพย์สินอย่างปรองดอง
นี่จะลดทอนปัญหาและเรื่องไม่คาดฝันไปได้มาก
ผู้ฝึกตนอิสระแห่งภูเขาสายน้ำ เว้นเสียจากว่ารู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในทางตันที่ต้องตายอย่างแน่นอน ส่วนใหญ่ก็ล้วนกลัวตายกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นทุกเรื่องก็ล้วนพูดคุยกันได้ง่าย
กลับกลายเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่รากฐานไม่มั่นคงซึ่งจะมองสถานการณ์ได้ไม่ชัดเจน
อาจารย์ก่อกำเนิดที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นของเขา ตอนนี้แขวนชื่อเป็นผู้ถวายงานอยู่ในสำนักมังกรน้ำ พี่หญิงป๋ายก็ยิ่งเป็นคู่รักเทพเซียนของเขาในอนาคต ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน
ดังนั้นซากปรักจวนเซียนแห่งนี้จึงเป็นของในกระเป๋าของสำนักมังกรน้ำแล้ว
ก่อนหน้านี้พี่หญิงป๋ายเคยปรึกษากับเขามาก่อน บอกว่าจะพยายามช่วงชิงสมบัติหนักมาให้ได้มากที่สุด โดยที่รับรองว่าต้องมีจำนวนอยู่ที่ห้าชิ้น หากโลภมากเกินไปจะเคี้ยวไม่ละเอียด ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่อาจอธิบายกับทางสำนักได้ อีกทั้งการช่วงชิงสมบัติของจานชิงกับนางจะต้องทำอย่างหลบซ่อนอำพราง พยายามใช้เวทอำพรางตาให้มาก ช่วงเวลาระหว่างนี้ หากเป็นสมบัติล้ำค่าที่แม้แต่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดก็ยังปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน คนทั้งสองจะไปแตะต้องไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกบรรพจารย์ของสำนัก ไม่ว่าใครก็ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน หากพวกเขาเร่งรุดมาเยือนเพราะได้ยินข่าว และยึดครองสถานที่แห่งนี้ได้สำเร็จ จะต้องไม่ปล่อยผ่านใครที่ข้ามผ่านขอบเขตเข้ามาแน่นอน หากคิดจะซักไซ้เอาเรื่องขึ้นมา วิธีการก็มีให้ใช้ไม่หมดสิ้น ถ้าพวกเขาใช้เวทคาถากับจิตวิญญาณของผู้ฝึกตน ถึงเวลานั้นขอแค่จานชิงถูกสืบสาวเบาะแสออกมาได้ พิรุธถูกเปิดเผย นางป๋ายปี้ก็ยากที่จะหาคำมาอธิบาย ถูกศาลบรรพจารย์สวมหมวกว่ากินบนเรือนขี้รดบนหลังคาให้ ก็จะได้ไม่คุ้มเสีย
แต่สมบัติอาคมสามสี่ชิ้น พวกเขาสองคนที่เป็นเด็กรุ่นหลัง ในฐานะผู้บุกเบิกดินแดนที่เป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ที่สุด ต่อให้ทางศาลบรรพจารย์รู้เรื่อง เพราะต้องเห็นแก่หน้าของอาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาของนางและอาจารย์ของจานชิง เหล่าผู้ฝึกตนใหญ่สิบกว่าคนที่มีคุณสมบัติได้นั่งอยู่ในศาลบรรพจารย์พวกนั้นก็มีแต่จะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง
ไม่ว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาคนใด ก็ทั้งได้รับการปกป้องจากกฎเกณฑ์ จากรากฐาน แล้วก็ถูกพันธนาการจากกฎเกณฑ์ จากวินัยข้อห้ามเช่นกัน
จานชิงมาถึงตีนเขาก็สั่งความเกาหลิงด้วยสีหน้าเป็นมิตร เกาหลิงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองซึ่งเพิ่งจะได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพบู๊ระดับสามชั้นเอกของแคว้นฝูฉวีไม่มีความเห็นต่างใดๆ
วันนั้นที่คุ้มครองป๋ายปี้ผู้ฝึกตนหญิงย้อนกลับบ้านเกิดเข้าสู่เมืองหลวง พระราชโองการก็มาถึงที่จวนแม่ทัพของเกาหลิงพอดี
ดังนั้นเกาหลิงจึงรู้เรื่องหนึ่ง อยู่ในแคว้นฝูฉวีที่การช่วงชิงคุณความชอบทางการทหารยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ การที่มีความสัมพันธ์กับสำนักมังกรน้ำนั้น ได้ผลยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
จานชิงยืนอยู่ฝั่งหนึ่งของสะพานหยกขาว ใช้พัดพับเคาะสัตว์ที่เป็นราวบันไดเบาๆ เรือนกายของเขาสูงโปร่งสะโอดสะอง อาภรณ์สีขาวพลิ้วไหวดุจสายน้ำไหล
เกาหลิงตะโกนบอกกฎให้กับทุกคนที่ขยับมาใกล้สะพาน
แน่นอนว่าไม่มีใครยอมรับ
มีคนไม่กล้าบุกเข้ามา ก็เลยคิดจะกระโดดข้ามลำคลองสีเขียวมรกตที่เป็นลำคลองปกป้องเมืองแห่งนั้นจากมุมอื่น
ผลกลับถูกเกาหลิงที่พุ่งทะยานออกไปใช้หนึ่งหมัดสกัดกั้นเอาไว้ คนผู้นั้นตายคาที่ทันที ศพแหลกกระจายเป็นเจ็ดแปดส่วน
หมัดนี้เกาหลิงไม่กักเก็บพลังเอาไว้แม้แต่น้อย
ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกยุทธตะโกนบอกว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง อีกทั้งยังเรียกชื่อของเกาหลิงผู้ฝึกยุทธอันดับหนึ่งของแคว้นฝูฉวีออกมาด้วย
หลังจากหนึ่งหมัดผ่านไป
ฝั่งตรงข้ามที่แต่เดิมมีเสียงดังจอแจก็เงียบเสียงลงได้ทันที มีเพียงเสียงกระซิบจากคนที่จับกลุ่มกันสองสามคนเท่านั้น
ไม่รู้ว่าจากใครและจากจุดใด แต่น่าจะมีคนที่ใช้เวทลับตระกูลเซียน ถึงได้มีเสียงตะโกนผ่านริ้วคลื่นทะเลสาบหัวใจด้วยน้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นว่า “พวกเรามีคนเยอะกว่า ร่วมมือกันสังหารเจ้าสองคนนี้ ถึงเวลานั้นแยกย้ายกันขึ้นไปบนภูเขา ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ จะไม่ดียิ่งกว่าหรอกหรือ?! เหตุใดจะต้องคอยดูสีหน้าของคนอื่น หากพวกเรามีใครที่โชคธรรมดา ได้สมบัติมาแค่ชิ้นเดียว หรือว่ายังจะต้องยกสองมือประคองส่งให้กับคนเสเพลแคว้นเป่ยถิงผู้นี้ไปเปล่าๆ? เวลานี้ไม่ร่วมแรงร่วมใจกัน ถึงเวลานั้นพอลงมาจากภูเขาก็ยิ่งยากที่จะสมัครสมานสามัคคีกันได้อีกกระมัง?”
คำพูดประโยคนี้ทำให้คนไม่น้อยหวั่นไหว
ผู้ฝึกตนหญิงสองคนของจวนไช่เฉวี่ยที่ร่ายเวทอำพรางตาหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
คนที่เอ่ยประโยคล่อลวงใจประโยคนี้ก็คือเด็กสาวผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์คนหนึ่งที่พวกนางมาเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้
อายุไม่มาก แต่นิสัยไม่เลว
และพวกนางก็คือซุนชิงเจ้าจวนไช่เฉวี่ยกับอู่ชวินอาจารย์ผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์
เดิมทีมีอู่ชวินเป็นผู้ปกป้องมรรคาคนเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่ซุนชิงรู้สึกว่าตัวเองอยู่บนภูเขาก็อุดอู้ยิ่งนัก ก็เลยตามมาหาเรื่องผ่อนคลายจิตใจ คิดไม่ถึงว่าการผ่อนคลายจิตใจครั้งนี้จะทำให้เจอกับโชคครั้งใหญ่
อู่ชวินแอบสื่อสารกับเจ้าจวนสาว “เซียนดินอายุน้อยก่อนหน้านี้คงไม่ใช่ป๋ายปี้แห่งแคว้นฝูฉวีกระมัง?”
ซุนชิงหัวเราะเสียงหยัน “เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักมังกรน้ำแล้วอย่างไร ท่ามกลางศึกที่วุ่นวาย หากกลอุบายไม่มากพอ ความสามารถไม่ได้ความ ตายไปก็เสียเปล่า”
เอ่ยประโยคนี้จบ ซุนชิงก็พูดด้วยสีหน้าเฉยเมยต่อว่า “เจ้าและข้าเองก็เหมือนกัน”
อู่ชวินกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “แต่อยู่ดีๆ สายน้ำภูเขาทางฝั่งของโพรงถ้ำแห่งนั้นก็เกิดไร้ระเบียบวุ่นวาย ตราผนึกถูกเปิดออก ทุกหนแห่งล้วนเป็นทางเข้ามายังพื้นที่ลับแห่งนี้ นี่จะเป็นเรื่องบังเอิญไปหน่อยหรือไม่?”
ซุนชิงชำเลืองตามองม่านฟ้าแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ในเมื่อมาแล้วก็ทำใจให้สบาย”
อู่ชวินถอนหายใจ ชำเลืองตามองเจ้าจวนสาวข้างกายที่มีท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อน มิน่าเล่านางถึงได้เป็นเจ้าจวนโอสถทองอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของจวนไช่เฉวี่ย ส่วนตนนั้นกลับเป็นได้แค่บรรพจารย์ผู้คุมกฎอยู่ปีแล้วปีเล่า
ริมตลิ่งฝั่งนี้ของพวกเขามีเสียงเอะอะดังไม่ขาดสาย แต่ละคนร่ำร้องว่าจะต่อสู้เข่นฆ่า ป่าวประกาศว่าจะต้องปลิดชีพแม่ทัพบู๊ของแคว้นฝูฉวีผู้นั้น และจะเลาะเส้นเอ็นแร่เนื้อเถือหนังของท่านโหวน้อยแคว้นเป่ยถิงให้จงได้
ผลคือจานชิงกลับคลี่ยิ้มสดใส คลี่พัดพับออกดังพรึ่บ แล้วโบกเอาลมเย็นๆ อยู่ด้านหน้าตัวเองเบาๆ เพียงเปิดปากเอ่ยว่า “จะฆ่าข้าก็ได้ ใครที่มาก่อนก็ได้ก่อน”
ซุนชิงหัวเราะ ใช้ข้อศอกกระทุ้งอู่ชวินเบาๆ “เจ้าลงมือก่อน ไม่อย่างนั้นทั้งสองฝ่ายคงเสียเวลาอยู่ได้เป็นร้อยปี”
อู่ชวินกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
อู่ชวินที่สวมหมวกคลุมหน้า อีกทั้งยังร่ายเวทอำพรางตาก้าวยาวๆ ออกไปจากกลุ่ม นางเดินขึ้นไปบนสะพานโค้งหยกขาวก่อนใคร แรกเริ่มฝีเท้ายังไม่เร็วนัก
ครั้งนี้นางลงจากภูเขาได้สวมชุดคลุมอาคมไว้สองชิ้น ด้านในถึงจะเป็นชุดคลุมอาคมชั้นยอดของจวนไช่เฉวี่ย ส่วนด้านนอกคือชุดคลุมอาคมที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ไหว้วานให้คนซื้อมาจากนครเหนือเมฆ
เพียงแต่ว่าชุดคลุมอาคมของนครเหนือเมฆที่อยู่ด้านนอกนั้น แน่นอนว่ายังต้องร่ายเวทอำพรางตาเล็กๆ ไว้อีก ไม่อย่างนั้นก็จะเปิดเผยร่องรอยชัดเจนเกินไป เท่ากับว่ามองคนอื่นเป็นคนโง่
ในความเป็นจริงแล้วลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเสิ่นเจิ้นเจ๋อนครเหนือเมฆก็ทำแบบเดียวกันนี้ สวมชุดคลุมอาคมสองชิ้นไว้บนร่าง ทว่าสลับกัน นั่นคือสวมชุดคลุมอาคมของบ้านตัวเองไว้ด้านใน สวมชุดคลุมอาคมของจวนไช่เฉวี่ยไว้ข้างนอก
แรกเริ่มอู่ชวินยังเดินช้าๆ ทุกคนที่อยู่อีกฝั่งของสะพานโค้งเริ่มมีคนขยับเท้า ทว่ากลับเดินช้ายิ่งกว่า
ด้วยกลัวว่าจะถูกสตรีที่ไม่รู้ที่มาผู้นี้ทำร้าย หากวิ่งออกมาเร็วเกินไป เป็นตัวนำขบวน แล้วจะถูกเกาหลิงต่อยให้เลือดเนื้อแหลกสลายไปอีกคน
เพียงแต่ว่าต่อมาผู้ฝึกตนอิสระ เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของภูเขาลูกเล็กและผู้ฝึกยุทธในยุทธภพทุกคนก็รู้สึกโล่งอก อารมณ์พลันฮึกเหิมขึ้นมาอีกเยอะ ไม่เหลือความสงสัยใดๆ อีกต่อไป
เพราะสตรีผู้นั้นยิ่งเดินยิ่งเร็ว สุดท้ายก็ทะยานตัวออกไป ร่ายวิชาโจมตีของตระกูลเซียนวิชาหนึ่งออกมา จากนั้นก็กินสองหมัดของเกาหลิงไปเต็มๆ หนึ่งหมัดทำลายวิชาอาคม อีกหนึ่งหมัดสังหารคน ผู้ฝึกตนหญิงที่ถูกต่อยเหมือนว่าวที่สายป่านขาด ร่างหล่นลงไปกระแทกบนพื้นฝั่งตรงข้ามของสะพานโค้ง ทว่านางเองก็ใจสู้ หลังจากดิ้นรนลุกขึ้นยืนได้แล้ว ไม่พูดไม่จาก็เดินขึ้นไปบนสะพานอีกครั้ง
ในเมื่อมีคนเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ทุกคนก็ไม่เหลือความลังเลอีกต่อไป พากันแผดเสียงร้องคำรามแล้วกรูกันข้ามสะพานไป
จานชิงเดือดดาลอย่างหนัก เคียดแค้นสตรีที่เป็นผู้นำพาตัวมาตายผู้นั้นอย่างถึงที่สุด
เขาไม่มีความลังเลใดๆ หันหน้าไปทำมุทรา แล้วเป่าปากเสียงดังสะเทือนไปถึงชั้นฟ้า
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดที่เป็นผู้ถวายงานของตระกูลซึ่งอยู่บนยอดเขาวิ่งตะบึงลงจากภูเขามา เขาทะยานตัวขึ้นสูงอยู่บนลานหยกขาว แล้วโฉบร่างร่วงกระแทกลงบนขั้นบันไดเดินขึ้นเขาหนักๆ
ตรงตีนเขามีคนตาดีเห็นภาพนี้เข้าก็เกิดอกสั่นขวัญผวา พลังอำนาจจึงลดทอนหายไปหลายส่วน
คิดไม่ถึงว่าเสียงแหบพร่าของสตรีจะดังขึ้นมาอีกครั้ง “สังหารสองคนตรงสะพานนี่ก่อน มีคนมาเพิ่มอีกคนหนึ่งแล้วจะอย่างไร?! หนึ่งคนเจอเข้าไปหนึ่งกระบวนท่าก็ต้องกลายเป็นกองเนื้อเละๆ อยู่ดี!”
ทางฝั่งของตีนเขาจึงเริ่มเกิดศึกที่วุ่นวาย
ห่างไปไกล ป๋ายปี้ทะยานลมหยุดอยู่ตรงขอบอาณาเขตจุดหนึ่ง นอกเส้นอาณาเขตนั้นออกไปคือไอหมอกขาวโพลน ไม่ว่านางจะร่ายเวทอภินิหารอย่างไรก็มองไม่เห็นทัศนียภาพด้านหลังเส้นนั้นอยู่ดี
นางค่อยๆ ลดตัวลงช้าๆ บังคับหินก้อนหนึ่งโยนเข้าไปในหมอกขาว ประหนึ่งวัวดินปั้นที่หล่นลงมหาสมุทร หายไปอย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นนางก็ฉีกผิวดินออกมาก้อนใหญ่ แล้วขว้างใส่ไอหมอกนั้น แต่ก็ยังไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ
นี่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวได้มากกว่าตราผนึกภูเขาแม่น้ำเสียอีก
สิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้มีชื่อเรียกว่าอะไรก็ยังไม่รู้
ในประวัติศาสตร์ของสำนักมังกรน้ำ มีบรรพจารย์ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งและผู้ฝึกตนใหญ่ก่อกำเนิดคนหนึ่งทยอยกันไปตายอยู่ในพื้นที่ลับ หลังจบเรื่องแม้แต่ศพทางสำนักก็ยังหาไม่เจอ
ป๋ายปี้กลัดกลุ้มอยู่ในใจ ตนควรคิดหาทางถอยหนีได้แล้ว
ซากปรักจวนเซียนที่เดิมทีมองเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ต้องมีความเป็นมาไม่เล็กอย่างแน่นอน
ลำน้ำจี้ตู๋ที่ตัดสลับตั้งแต่ภาคกลางไปจนถึงตะวันออกตะวันตกของอุตรกุรุทวีปสายนั้นคือที่ตั้งรากฐานของสำนักมังกรน้ำ ศาลบรรพจารย์ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญที่สุดนั้น ในอดีตก็คือหนึ่งในสามศาลยุคบรรพกาลของลำน้ำจี้ตู๋ ส่วนศาลอีกสองแห่งนั้น หนึ่งแห่งถูกราชวงศ์ต้าหยวนยึดครองไป ยกบูชาขึ้นเป็นศาลจี้ตู๋ดั้งเดิม ยังคงมีควันธูปโชติช่วง ส่วนอีกแห่งหนึ่งถูกสำนักที่ล่มสลายไปแล้วยึดครองมานานหลายปี นำไปทำเป็นศาลบรรพจารย์เช่นกัน เพียงแต่ว่าท่ามกลางการเข่นฆ่าของสำนักผู้ฝึกกระบี่จึงถูกทำลายลงไปสิ้น
ภาพเหตุการณ์ของที่แห่งนี้คล้ายคลึงกับศาลบรรพจารย์ของตนอยู่หลายส่วน
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ป๋ายปี้มั่นใจพอจะให้จานชิงช่วงชิงสมบัติอาคมมาสี่ชิ้น
หากที่นี่เป็นซากปรักของศาลลำน้ำใหญ่บางสายในยุคบรรพกาลจริงๆ คุณความชอบในการเปิดประตูครั้งนี้ของนางกับจานชิงก็ถือว่าใหญ่อย่างมาก
แต่ไม่รู้ว่าทำไมป๋ายปี้ถึงได้เป็นกังวลเล็กน้อย กลัวว่าจะเกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด
ไม่ใช่กลัวว่าจะออกไปไม่ได้หรือหาทางถอยไม่เจอ
เพราะหากนางกับจานชิงหายตัวไปนานเกิน ทางสำนักมังกรน้ำจะต้องไล่ตามเบาะแสมาหาตัวพวกนางแน่
สิ่งที่ทำให้ป๋ายปี้เป็นกังวลจริงๆ ก็คือ สถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นหลุมศพแห่งใหม่ที่ฝังกลบร่างของทุกคนเอาไว้
ลองจินตนาการดู หากโครงกระดูกที่มองดูเหมือนถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเหล่านั้นเป็นโครงกระดูกของคนยุคใหม่ หาใช่คนเก่าแก่ของจวนเซียนแต่เดิมเล่า?
นี่ก็หมายความว่าแท้จริงแล้วสถานที่แห่งนี้คือหลุมพรางขนาดใหญ่ยักษ์ที่รอให้ทุกคนพาตัวเข้ามาตาย ด้วยคิดว่ามันเป็นโชควาสนาที่หล่นลงมาจากฟ้า ใครที่ได้พบเห็นล้วนมีส่วนแบ่ง
แน่นอนว่านี่เป็นแค่หมื่นหนึ่งเท่านั้น
ทว่าป๋ายปี้รู้สึกเป็นกังวล เพราะดูเหมือนว่าเมื่อแม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลผ่านไป หมื่นหนึ่งนี้จะกลายเป็นพันหนึ่ง ร้อยหนึ่ง
ชั่วขณะนั้นสภาพจิตใจของป๋ายปี้วุ่นวายอย่างหนัก นางไม่กล้าหยุดอยู่ที่ริมขอบของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้อีกต่อไป จึงทะยานลมกลับมาที่ขุนเขาเขียวอย่างรวดเร็ว ไปหาจานชิง จะได้ปรึกษาหารือกับเขาจนได้แผนการที่รอบคอบรัดกุม
หลังจากที่ร่างของป๋ายปี้หายไป
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่เรือนกายพร่าเลือนคนหนึ่งก็เดินออกมาจากหมอกขาวโพลน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนโอสถทองสามคน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองสองคน อืม แล้วก็ยังมีเจ้าเด็กน้อยคนหนึ่งที่ค่อนข้างจะประหลาด มากพอให้กินอิ่มไปหนึ่งมื้อแล้ว”
ปราณกระบี่กลุ่มหนึ่งพุ่งวูบลงมาจากท้องฟ้าแล้วลอดทะลุกลางกระหม่อมของผู้เฒ่าไปโดยตรง เรือนกายที่พร่าเลือนของผู้เฒ่าไปรวมตัวกันเผยกายขึ้นมาใหม่ในจุดอื่น ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าตัวดี พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกันมากี่ปีแล้ว? ยังมีนิสัยชั่วร้ายแบบนี้อยู่อีก ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงบ้างหรือไร? มีตราผนึกหนาชั้นที่สมควรตายนั่นอยู่ ทำให้ข้าไม่อาจหล่อหลอมภูเขาสายน้ำของที่แห่งนี้ได้ ทว่ารากภูเขาใหญ่หลายชั้นข้างนอกนั่นได้โอบล้อมฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้เอาไว้ เจ้าตัวน้อยอย่างเจ้าเล่นงานข้ามานานหลายปีขนาดนี้ ก็ยังได้แค่ปกป้องไม่ให้สถานที่แห่งนี้สาบสูญไปเท่านั้น ยังจะทำอะไรข้าได้อีก?”
ศีรษะของผู้เฒ่าถูกปราณกระบี่เล็กบางเสี้ยวนั้นแทงทะลุอีกครั้ง และเขาก็ยังไปปรากฏตัวใหม่อยู่จุดอื่นอีกรอบ พูดด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติว่า “ตามกฎเดิม ทุกครั้งจะเหลือคนสุดท้ายเอาไว้ ยอมให้เขาตายช้าหน่อย จะได้มีเวลาเล่าเรื่องสถานการณ์ภายนอกช่วงที่ผ่านมาให้ข้าฟัง ถึงเวลานั้นเขาก็จะรู้เองว่าหลุมพรางนี้มหัศจรรย์เพียงใด สมบัติพวกนั้น พวกเจ้าจะเอาไปไหนได้? อาหารในจาน กับข้าวในท้อง มีถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลเป็นที่ฝังศพ ก็ถือว่าเด็กๆ กลุ่มนี้มีโชคที่ไม่เลวแล้ว น่าเสียดายก็แต่อารามเต๋าแห่งนั้น เจ้าเด็กสะพายกระบี่นั่นสายตาไม่เลวเลยจริงๆ เพียงแต่ว่าไม่มีทางให้เจ้าเอาพวกมันออกไปได้แน่ หลังจบเรื่องยังลำบากให้ข้าต้องเอากลับมาประกอบใหม่อีก นี่มันรอบที่เท่าไรแล้ว? ประกอบหนึ่งครั้ง ย้ายบ้านหนึ่งครั้ง ชวนให้คนเหนื่อยตายจริงๆ”
ผู้เฒ่าถูกปราณกระบี่ที่ตอแยไม่เลิกราตวัดฟันเรือนกายจนเละเทะอีกครั้ง หลังจากรวมร่างได้ใหม่ก็เดินถอยหลัง ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ผลุบหายเข้าไปในเมฆหมอก มือของเขาตบเข้าที่หน้าท้องเบาๆ พลางพูดกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ฮ่าๆ ใต้หล้าไพศาลนี่ช่างดีจริงๆ ฟ้าดินในท้องข้านี่ก็ดีจริงๆ มีใต้หล้าแห่งใดบ้างที่คนไม่ฆ่าแกงกันเองมากที่สุด? น่าเบื่อเหลือเกิน”
เมื่อไม่เหลือร่องรอยของผู้เฒ่าแล้ว ปราณกระบี่เสี้ยวนั้นก็ยังคงตระเวนวนหาอยู่ในบริเวณใกล้เคียงอีกนาน สุดท้ายถึงได้ทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆ กลับคืนไปยังกลางอากาศสูงอีกครั้ง
เฉินผิงอันหันหน้าขวับ ทอดสายตามองไปไกล คาดว่าเขาคงจะเป็นเพียงคนเดียวที่สัมผัสได้ถึงการพุ่งลงมาและการบินทะยานขึ้นสูงของปราณกระบี่เสี้ยวนั้น
——