กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 544.1 คนหนุ่มสาวนับหมื่นในสายตา
ด้านหลังภูเขามีพืชพรรณแปลกตาขึ้นอยู่มากมาย แต่กลับไม่มีนกหรือแมลงให้เห็น
อีกทั้งเฉินผิงอันยังค้นพบเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตอนที่เข้ามาในจวนตระกูลเซียน ได้เห็นกระเรียนเซียนบินล้อมวนรอบภูเขา ทว่ารอจนคนทั้งสี่เดินขึ้นเขามาแล้ว นกกระเรียนเซียนกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าเฉินผิงอันจะแหงนหน้ามองจากตีนเขา หรือก้มหน้าลงมองขุนเขาสายน้ำจากบนยอดเขา หรือภายหลังที่ติดตามหวงซือกับนักพรตซุนหาสมบัติจนมาถึงด้านหลังภูเขาแห่งนี้ เฉินผิงอันก็ไม่ได้เห็นเงาร่างของนกกระเรียนเซียนอีกเลย
หากสถานที่แห่งนี้มียอดฝีมือนอกโลกเฝ้าพิทักษ์จริงๆ อีกทั้งตั้งสมมติฐานถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดว่า เจ้าของที่แห่งนี้มีใจคิดร้ายต่อทุกคนที่มาเยือน
ถ้าอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ต้องเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญด้านการวางแผนเล่นงานใจคน
คนธรรมดา นายพรานคนตัดฟืน บางทีหากได้เข้ามาในภูเขาลูกนี้ แค่มองเห็นนกกระเรียนเซียนก็คงไม่คิดอะไรมาก แต่คงจะตกตะลึงไปกับสะพานโค้งหยกขาว กรอบป้ายหอเรือนต่างๆ ที่พบเจอในภายหลังมากกว่า จะมองว่ามันคือดินแดนเซียนในโลกมนุษย์ บวกกับที่ได้เห็นโครงกระดูกขาวในแต่ละพื้นที่ แน่นอนว่าต้องมองที่แห่งนี้เป็นสถานที่ไร้เจ้าของ
ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนแล้ว สิ่งที่ตาเห็นโดยบังเอิญเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเห็นครั้งแรก จะส่งอิทธิพลต่อสภาพจิตใจได้มากกว่า อีกทั้งยังเป็นไปอย่างเงียบเชียบโดยที่ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็นหลังจากนั้น ขอแค่เป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่ง ไม่ว่าขอบเขตจะสูงหรือต่ำก็ล้วนต้องเอากลับมาทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้เห็นภูเขาเขียวน้ำใสและนกกระเรียนเซียนสีขาวหิมะ เขาเองก็ไม่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ ความคิดแรกที่เกิดขึ้นก็คือช่างเป็นจวนตระกูลเซียนที่ดี เป็นภูเขาที่มีชีวิตชีวาและสายน้ำที่งดงามยิ่งนัก
สิ่งที่พบเห็นต่อมาหลังจากนั้นก็หนีไม่พ้นว่าต้องเพิ่มคำว่าซากปรักเข้าไปในคำว่าจวนตระกูลเซียนก็เท่านั้น
ตระกูลเซียนยังคงเป็นตระกูลเซียน โชควาสนาก็แน่นอนว่ายังต้องเป็นโชควาสนา
เส้นสายมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ซับซ้อนอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าทุกพื้นที่ล้วนมีแต่ความลี้ลับ พอพบเห็นมากเข้าก็ทำให้คนรู้สึกว่ามันคือเชือกที่พันกันยุ่งเหยิงก้อนหนึ่ง แล้วก็คร้านจะคิดให้มากความอีก
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ทว่าการที่ปราณกระบี่เสี้ยวนั้นร่วงลงมากะทันหันแล้วทะยานกลับขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง หากนกกระเรียนเซียนที่เห็นก่อนหน้านี้เป็นเวทอำพรางตาที่ถูกจัดวางไว้อย่างตั้งใจล่ะ บวกกับที่กระพรวนตรงเอวของนักพรตซุนระเบิดแตกอย่างไม่ทราบสาเหตุ นี่ก็พอจะกระชากเส้นเส้นหนึ่งออกมาได้แล้ว หรือไม่ก็ควรพูดว่านี่ก็คือความเป็นไปได้ที่แย่ที่สุดอย่างหนึ่ง
จิตใจที่ละเอียดรอบคอบซึ่งต้องมองปลายสองด้านที่ดีที่สุดและเลวร้ายที่สุดของเส้นสายก่อนนี้ ก็คือกุญแจสำคัญที่ทำให้เฉินผิงอันสามารถมีชีวิตเดินออกมาจากหุบเขาผีร้ายชายหาดโครงกระดูกภายใต้เปลือกตาของเกาเฉิงแห่งนครจิงกวานได้
เรื่องราวทางโลกซับซ้อน เห็นกับไม่เห็น คิดกับไม่คิด ก็คือความรู้อย่างหนึ่ง คือการทุ่มเททางด้านจิตใจอย่างหนึ่ง
แน่นอนว่าก็มีบางคนที่จับผลัดจับผลู บ้างก็ตายไปอย่างมึนงงไม่เข้าใจ บ้างก็ได้โชควาสนามาอย่างสับสน
คนทั้งสามท่องไปด้านหลังภูเขาต่ออีกครั้ง เมื่อเทียบกับการต่อสู้เอาเป็นเอาตายของด้านหน้าภูเขาแล้ว อย่างน้อยที่สุดเมื่อมองไป พวกเขาก็ถือว่าสบายกว่าเยอะมาก
ส่วนตี๋หยวนเฟิงผู้นั้นจะเป็นหรือตาย เฉินผิงอันไม่สนใจแม้แต่น้อย ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ ยิ่งไม่ใช่บรรพบุรุษ หากเขาเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม บางทีเฉินผิงอันอาจจะสนอยู่บ้าง อาจจะพอทำการค้าที่ยุติธรรมกับเขาได้
ข้างทางของถนนเส้นนี้มีต้นไผ่เขียวอยู่ต้นหนึ่งที่ค่อนข้างจะสะดุดตา เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของคนทั้งสาม ดูแล้วโดดเดี่ยวเดียวดาย เงาต้นไผ่พลิ้วไหวเป็นระลอก
ลำต้นของต้นไผ่หนาเท่าปากถ้วย ใบไผ่เขียวปลั่งราวกับจะเค้นน้ำให้หยดลงมาได้ อีกทั้งนี่ยังไม่ได้เป็นแค่คำพรรณนาอะไร แต่เขียวปลั่งราวกับจะเค้นน้ำจริงๆ เพราะปลายใบไผ่ที่แหลมเรียวจำนวนมากมีหยดน้ำมารวมตัวกัน ยามที่ลมพัดผ่านก็ส่ายไหวจะหยดมิหยดแหล่ ในขณะที่คนทั้งสามเพ่งสายตามองไปนั้นก็มีหยดน้ำสีเขียวมรกตหยดหนึ่งหล่นลงบนพื้นดิน เพียงชั่วพริบตาก็สลายหายไป เฉินผิงอันเพ่งสายตามองตามก็เห็นว่าถึงแม้จะไม่ใช่แก่นโชคชะตาน้ำที่ถูกฟูมฟักขึ้นมาอย่างในกระเบื้องแก้วมรกตและอิฐเขียวของอารามเต๋า แต่กลับเป็นการรวมตัวกันของปราณวิญญาณในระดับขั้นที่เกินจริงไปมาก
ตอนที่นักพรตซุนเดินผ่านได้ใช้นิ้วเคาะเบาๆ เอาหูแนบฟัง แล้วก็ร้องเอ๊ะออกมาหนึ่งที “ไม่ธรรมดา”
ในขณะที่คนทั้งสองจับจ้องไผ่เขียวต้นนี้ เฉินผิงอันได้หมุนตัวหันหลังให้พวกเขา ปลดห่อสัมภาระลงมา แล้วเรียกเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ เอามาถือไว้ในมือ จากนั้นก็สะพายห่อสัมภาระกลับไว้ที่เดิมอีกครั้ง แล้วจึงยิ้มเอ่ยว่า “รบกวนนักพรตซุนช่วยเขย่าต้นไผ่ให้หน่อย ข้าจะได้รับหยดน้ำที่อยู่บนปลายใบไผ่พวกนี้ไว้ได้”
ถึงอย่างไรนักพรตซุนก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่แท้จริง จึงพอจะมองตื้นลึกของต้นไผ่นี้ออกอยู่บ้าง เขาส่ายหน้ายิ้มกล่าว “สหายเฉิน แนะนำเจ้าว่าอย่าทำอย่างนั้นให้เหนื่อยเปล่าเลย หยดน้ำใบไผ่ที่ฟูมฟักออกมาจากปราณวิญญาณพวกนี้ หากเป็นภาชนะทั่วไปย่อมไม่อาจรองรับปราณวิญญาณที่เข้มข้นนี้ไว้ได้ อย่าว่าแต่เอากาเหล้ามาบรรจุน้ำเลย ต่อให้เจ้าเด็ดทั้งใบไผ่ทั้งหยดน้ำลงมาพร้อมกัน แล้วเก็บเอาไว้อย่างระมัดระวัง ขอแค่ออกห่างจากต้นไผ่ประหลาดนี้ก็ยังรั้งไว้ไม่ได้อยู่ดี”
แม้ปากของนักพรตร่างผอมสูงจะพูดเช่นนี้ แต่ก็ไม่ถ่วงเวลาการปลดห่อสัมภาระที่เป็นชุดคลุมอาคมของเขาลงมา จากนั้นก็หยิบขวดกระเบื้องเขียวใบเล็กที่วาดเป็นภาพคนที่ปลีกวิเวกมาอยู่ท่ามกลางป่าเขาใบหนึ่งออกมา
หวงซือรำคาญความอืดอาดของคนทั้งสองจึงยกเท้าถีบลงไปบนต้นไผ่ ทันใดนั้นหยดน้ำก็ร่วงกราวลงมาราวกับฝนเม็ดเล็กพร่างพรม นักพรตซุนหัวเราะร่าชอบใจ ร่างพลันขยับไหว ใต้ฝ่าเท้ามีพายุลมกรด ใช้ขวดกระเบื้องสีเหมยเขียวไปบรรจุหยดน้ำ
เฉินผิงอันเองก็ทำเหมือนกัน เขาไม่ยินดีปล่อยให้น้ำหยดใดร่วงหล่นลงพื้นแล้วสลายหายไป ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่แย่งชิงจากนักพรตซุน เขาก็เก็บหยดน้ำที่กำลังจะหล่นลงพื้นไว้ได้เป็นจำนวนมาก ด้วยการใช้ ‘วิชาน้ำ’ บทหนึ่ง รวบรวมหยดน้ำให้เป็นเส้นแล้วค่อยๆ เก็บใส่ไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
หวงซือชำเลืองตามองวิธีการที่ผู้เฒ่าชุดดำใช้ เขามองไม่ออกถึงพิรุธที่ควรค่าแก่การสงสัยใดๆ จึงไม่คิดจะสนใจอีก
ในเมื่อเฉินผิงอันเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาแล้วก็ไม่คิดจะเก็บกลับไปอีก เขาห้อยมันไว้ตรงเอว หยดน้ำที่เกิดจากการรวมตัวของปราณวิญญาณฟ้าดินพวกนี้มีปริมาณเท่าสุราทั่วไปแค่เจ็ดแปดตำลึงเท่านั้น ทว่ากลับหนักอึ้งเหมือนมีน้ำหนักหลายสิบจิน
คนทั้งสามออกเดินทางกันต่ออีกครั้ง
เฉินผิงอันหันกลับไปมองไผ่เขียวแวบหนึ่ง
หรือว่าจะเหมือนป่าไผ่ที่เว่ยป้อตั้งใจปลูกไว้บนภูเขาฉีตุน หากสืบย้อนกลับไปถึงบรรพบุรุษจริงๆ ก็เท่ากับว่ามาจากภูเขาชิงเสินของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่?
ไม่อย่างนั้นตามบันทึกเทพเซียนที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัวในปีนั้น ต้นไผ่ตระกูลเซียนของใต้หล้าไพศาลมีหลายสิบชนิด ทว่าในเรื่องของการรวบรวมโชคชะตาน้ำ ดูเหมือนว่าจะไม่มีต้นไผ่ชนิดไหนที่มีวิชาอภินิหารได้เท่าต้นไผ่ต้นนี้
น่าเสียดายก็แต่มันไม่ต่างจากโต๊ะหินกระดานหมากล้อมที่ยกไปไม่ได้ แบกไปไม่ไหว
นักพรตซุนยังรู้สึกไม่สาแก่ใจมากพอ เขายื่นมือออกไปคว้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต้นไผ่ที่มีวิชาอภินิหาร ช่วยเสริมวิชาตัวเบาและลมปราณ ในอดีตที่ข้าผู้เป็นนักพรตฝึกตนเคยอ่านตำรามามากมาย แล้วก็เคยอ่านเจอจากตำราเล่มหนึ่ง บอกว่าเอาใบไผ่มาต้มชาจะสามารถดับกระหายทำให้จิตใจปลอดโปร่งได้ดีที่สุด ช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด ขอแค่ใช้ใบไผ่หนึ่งหยิบมือ บวกกับเมล็ดบัวบนภูเขาหลายๆ เมล็ด ดื่มต่างชาสองสามถ้วยก็สามารถทำให้คนล่องลอยได้ดุจเทพเซียน”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองนักพรตซุนแวบหนึ่ง แล้วก็มองต้นไผ่เขียวเรียวยาวที่อยู่นิ่งไม่ขยับ ไม่ให้หน้านักพรตซุนแม้แต่น้อย
ในเมื่อเป็นขนาดนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นคำพูดประจบสอพลอบางอย่าง เขาก็พูดไม่ออกจริงๆ
นักพรตซุนดึงมือกลับมา พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ช่างเถิด ทิ้งโชควาสนานี้ไว้ให้คนที่มาถึงภายหลังก็แล้วกัน”
หวงซือพูดซ้ำเติมว่า “ใบไผ่พวกนี้ หากถูกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่ฝึกวิชาน้ำนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นสมบัติล้ำค่า มีสมบัติอยู่ตรงหน้าแต่ไม่คว้าไว้ ระวังสวรรค์จะลงทัณฑ์ นักพรตซุนจะไม่เก็บเอามาสักหลายๆ หยิบมือจริงๆ หรือ? ต่อให้ไม่ได้เอาไปต้มชา แต่เอาไปมอบให้เด็กรุ่นหลังที่เรือนเทพสายฟ้าก็ถือว่าเป็นของขวัญไม่ธรรมดาแก่คนในสำนักแล้ว”
นักพรตซุนพูดด้วยสีหน้าสบายๆ “ในเรื่องของการฝึกตน เมื่อเกี่ยวพันกับรากฐาน จะมอบโชควาสนาให้ส่งเดชได้อย่างไร ข้าไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดมรรคาของเด็กรุ่นหลังเหล่านั้นเสียหน่อย ของขวัญหนักเกินไป กลับกลายเป็นว่าจะไม่ดี ช่างเถิดๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยชมเสียงเบา “คำพูดของนักพรตซุนซุกซ่อนคำเตือนที่สำคัญ ชวนให้คนนำมาทบทวนอย่างลึกซึ้ง”
นักพรตซุนนำขวดกระเบื้องสีเขียวใบเล็กเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดรวัง ลูบหนวดยิ้มพลางก้าวเดินช้าๆ มองดูแล้วลึกล้ำเกินจะหยั่งถึง
หวงซือเริ่มทนนักพรตที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระของแคว้นอู่หลิงผู้นี้ไม่ไหวแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ พอรู้ว่านักพรตซุนคือลูกศิษย์ของจิ้งหมิงเจินเหรินแห่งเรือนเทพสายฟ้า เขาก็คอยแสดงความกระตือรือร้นอยู่ข้างกายนักพรตซุนไม่หยุด
หวงซือพลันใช้วิชาของขอบเขตร่างทอง บวกกับพละกำลังหมัดของขอบเขตห้าซึ่งถือว่าออมมือให้แล้วมาประเมินสภาพร่างกายของผู้ฝึกตนคนนี้ เขาปล่อยหมัดใส่ผู้เฒ่าชุดดำที่อยู่ข้างกายอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เสียงปังดังหนึ่งครั้ง ร่างของฝ่ายหลังก็ปลิวหวือออกไปกลิ้งหลุนๆ อยู่ข้างทาง หลังจากดิ้นรนลุกขึ้นนั่งได้แล้วก็คล้ายถูกตีจนมึนงง นั่งบื้ออยู่กับพื้น แล้วจู่ๆ ลำคอก็พลันขยับ หันหน้าไปถ่มเลือดออกมาหนึ่งคำ ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะคืนสติ ถึงได้ลุกขึ้นมา เอาสองมือซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ เห็นได้ชัดว่าคีบยันต์ไว้ที่ปลายนิ้ว ริ้วลมปราณถึงได้ล้อมวนอยู่ที่ปลายแขนเสื้อ แล้วจึงสบถด่าดังลั่น “เจ้าคนแซ่หวง เจ้ารนหาที่ตายงั้นรึ?!”
หวงซือแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่าย เป็นเศษสวะคนหนึ่งจริงๆ
นักพรตซุนก็ยิ่งตกใจจนรีบดีดตัวออกห่างไปไกลหลายจั้ง ในมือข้างหนึ่งของเขาก็คีบยันต์โจมตีที่เพิ่งซื้อมาจากสหายเฉินไว้แผ่นหนึ่งเช่นกัน
คนสามคนคุมเชิงกันอยู่ในรูปสามเหลี่ยม
หวงซือไม่แม้แต่จะชายตามองผู้เฒ่าชุดดำ เพียงแค่หันหน้ามายิ้มให้นักพรตซุน “นักพรตซุน จิตใจคนชั่วร้าย ไม่ระวังไม่ได้เด็ดขาด จะดีจะชั่วพวกเรากับคุณชายฉินก็เป็นพันธมิตรที่รู้ไส้รู้พุงกันดี มีเพียงคนผู้นี้เท่านั้นที่เพิ่งมาพบเจอกลางทาง หากเป็นผู้ฝึกตนอิสระตัวร้ายที่แสดงละครเก่ง พวกเราจะไม่หลงกลเขาหรอกหรือ ถึงท้ายที่สุดโชควาสนาทั้งหมดที่ได้มา รวมกับชีวิตอีกหนึ่งชีวิต กลายเป็นว่าตัดชุดแต่งงานให้คนอื่น ข้าว่านักพรตซุนเองก็คงไม่ยินดีกระมัง?”
นักพรตซุนใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบในหัวใจพูดกับเฉินผิงอัน “สหายเฉิน เอาอย่างไรดี จะเปิดฉากสังหารกันเลยไหม? หวงซือผู้นี้ไม่ใช่คนดีอะไร หากต้องฉีกหน้าแตกหักกันขึ้นมาจริงๆ พวกเราสองพี่น้องก็ถือเป็นตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน ไม่ว่าใครก็อย่ามัวออมฝีมืออีกเลย”
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว แน่นอนว่านักพรตซุนต้องเชื่อใจผู้เฒ่าชุดดำมากกว่า ตลอดทางที่อยู่ร่วมกันมานี้ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีคนเลวมากแค่ไหน แต่ที่มากกว่านั้นเป็นเพราะเขารู้สึกว่าสหายเฉินผู้นี้ตบะอ่อนด้อย ไม่เป็นภัยคุกคามมากนัก แน่นอนว่าหากคำพูดและการกระทำของผู้เฒ่าชุดดำแสดงให้เห็นถึงความหน้าเลือดอวดฉลาด เป็นพวกที่ชอบขับเรือตามกระแสลม นักพรตซุนก็ไม่ยินดีจะร่วมมือกับคนผู้นี้อย่างจริงใจ แต่เขาจะเดิมพันด้วยชีวิต ด้วยการคุมเชิงกับอีกฝ่ายพร้อมหวงซือ
ในใจพูดกับเฉินผิงอันเช่นนี้ แต่ปากของนักพรตซุนกลับเอ่ยถ้อยคำที่เลอะเลือนว่า “สหายเฉิน การกระทำนี้ของน้องหวงออกจะเกินไปหน่อย แต่สถานการณ์ในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปยากจะคาดเดา หากพวกเราแตกคอกันเอง นั่นต่างหากจึงจะเป็นการตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่นอย่างแท้จริง ไม่สู้พวกเจ้าเห็นแก่หน้าข้าผู้เป็นนักพรต สหายเฉินทำใจให้สงบ แล้วข้าผู้เป็นนักพรตจะให้น้องหวงขอโทษเจ้า แล้วก็ถือซะว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันพูดอย่างขุ่นเคือง “ไม่เป็นอย่างไร! อยู่ดีๆ ต้องมาโดนหมัด เจอกับหายนะที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ พลังต้นกำเนิดของข้าเสียหายอย่างใหญ่หลวง หากขอโทษก็จบเรื่อง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้ให้หวงซือกินยันต์สายฟ้าข้าหนึ่งแผ่น แล้วถึงจะถือว่าหายกัน!”
หวงซือกระตุกมุมปาก เปิดมุมหนึ่งของห่อสัมภาระ หยิบวัตถุชิ้นหนึ่งออกมาโยนให้ผู้เฒ่าชุดดำเบาๆ แล้วยิ้มเอ่ยว่า “แค่คำขอโทษไม่พอ ถ้าอย่างนั้นก็เพิ่มของขวัญขออภัยไปด้วยหนึ่งชิ้น”
เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าชุดดำตาเป็นประกาย ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังแอบเอามือข้างหนึ่งคีบยันต์ไว้ในชายแขนเสื้อ ส่วนมืออีกข้างยื่นออกมา พยายามจะยื่นมือไปรับกระจกทองแดงโบราณบานนั้นเอาไว้
นักพรตซุนพลันหน้าเปลี่ยนสี รีบใช้เสียงในใจเอ่ยเตือน “อย่ารับนะ!”
เพียงแต่ว่าสายไปแล้ว
หวงซือก้าวออกไปหนึ่งก้าว ใช้ตบะวิถีวรยุทธของขอบเขตหกขั้นสูงสุดพุ่งตัวมาถึงตรงหน้าผู้เฒ่าชุดดำในเสี้ยววินาที แล้วปล่อยหมัดออกไป
ผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นปากอ้าตาค้าง อึ้งงันเป็นไก่ไม้ เขาดันยืนบื้ออยู่ที่เดิม ร่างทั้งร่างแข็งทื่อไม่ขยับ ไม่เพียงแต่ไม่อาจรับกระจกทองแดงที่เป็นของขวัญขออภัยนั้นไว้ได้ ยังจะทำให้ตัวเองต้องได้กินหมัดนั้นด้วย
เพียงแต่ว่าหวงซือกลับหยุดหมัดกะทันหัน มีเพียงพายุหมัดระลอกหนึ่งเท่านั้นที่พุ่งผ่านใบหน้าเจ้าแมลงน่าสงสารผู้นี้ไป เส้นผมตรงจอนหูของเขาจึงปลิวไปด้านหลัง
หวงซือเก็บหมัดแล้วขยับห่อสัมภาระหนักอึ้งให้เข้าที่ หมุนตัวได้ก็จากไปทันที พอเดินไปได้หลายก้าวก็หันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “พี่ใหญ่เฉิน กระจกทองแดงบานนี้ข้ามอบให้เจ้าแล้ว”
นักพรตซุนถอนหายใจอยู่ในใจ
เหตุใดตนถึงได้หาพันธมิตรทึ่มทื่อที่ตาไร้แววอย่างนี้มาได้นะ
ลำบากเสียจริง
เส้นทางต่อจากนี้ เดินได้ไม่ง่ายเลย
นักพรตซุนเห็นเพียงว่าสหายเฉินผู้นั้นหันมายิ้มขออภัยให้ตน แล้วทรุดตัวลงนั่งยอง เก็บกระจกทองแดงที่ตกพื้นบานนั้นมาใส่ไว้ในห่อสัมภาระผ้าเขียวที่นับว่าฟีบแบน
ต่อให้ไอ้หมอนี่จะพยายามเก็บซ่อนความอกสั่นขวัญผวาของตัวเองเอาไว้สุดความสามารถแล้ว แต่สองมือก็ยังสั่นเบาๆ อยู่ตลอดเวลา
——