กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 544.3 คนหนุ่มสาวนับหมื่นในสายตา
ซุนชิงยังคงเล่นแง่ไม่ยอมรับ พูดกลั้วหัวเราะคิกคักว่า “พวกเราเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ไร้ภาระให้ต้องพะวงหา เน้นย้ำในคำที่ว่าตายคนเดียวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่หากไม่ตายก็มีอายุยืนนานหมื่นปี หมื่นๆ ปี”
ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งเอ่ยประโยคเช่นนี้ เรียกได้ว่ารังแกกันมากเกินไปแล้วจริงๆ
ป๋ายปี้สูดลมหายใจเข้าลึก ทันใดนั้นสภาพจิตใจของนางก็นิ่งสงบดุจสายน้ำ ไม่เหลือความคิดวุ่นวายอื่นๆ อีก ถึงขั้นที่ว่าไม่หันไปสนใจสถานการณ์ทางฝั่งของจานชิงเลยแม้แต่น้อย
ในเมื่อใช้หลักการเหตุผลของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลแล้ว แต่ก็ยังพูดกันไม่รู้เรื่อง ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นโอสถทองรุ่นเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่อาศัยการเข่นฆ่าด้วยตบะมาพิสูจน์ฝีมือที่แท้จริงแล้ว
แม้ว่าซุนชิงจะมีสีหน้าเป็นธรรมชาติ ดูผ่อนคลายยิ่งกว่าผู้สืบทอดสำนักมังกรน้ำที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นโอสถทองได้แค่ไม่กี่วันอย่างป๋ายปี้มากนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าจวนโอสถทองที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของจวนไช่เฉวี่ยผู้นี้กลับไม่ได้ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย เผชิญหน้ากับผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยของตระกูลเซียนอักษรจงที่สำนักมีรากฐานลึกล้ำ ซุนชิงจึงกำลังรอคอยโอกาสหนึ่ง โอกาสที่จะโจมตีให้ถึงชีวิตในคราวเดียว หากไม่สำเร็จ นั่นต่างหากถึงจะเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายสามารถใช้สถานะเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลมานั่งลงพูดคุยกันได้
หากอีกฝ่ายมีตบะสูงยิ่งกว่า สังหารนางซุนชิงได้
ซุนชิงก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
ข้าฆ่าคนอื่นได้ คนอื่นก็สังหารข้าได้เช่นกัน
ดังนั้นปีนั้นตอนที่เดินทางท่องเที่ยวด้วยกัน ผู้ฝึกกระบี่ที่เหมือนบัณฑิตสอนหนังสือผู้นั้นถึงได้เอ่ยประโยคว่า ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่ไม่สามารถตายได้
เพียงแต่ว่าปีนั้นเจียวหลงบนบกของอุตรกุรุทวีปผู้นั้นยังพูดประโยคหลังตามมาด้วยว่า แต่ทุกคนในใต้หล้านี้ล้วนสามารถใช้เหตุผลได้
ประโยคหลังนี้ ซุนชิงไม่เคยฟังเข้าหู ด้วยรู้สึกว่าไร้เหตุผลสิ้นดี
เพียงแต่ว่าชอบเขา ก็เลยไม่โต้เถียงกับเขา
แน่นอนว่าหากคิดจะตั้งใจถกเถียงเรื่องหลักการเหตุผลกับหลิวจิ่งหลงจริงๆ ต้องเป็นการหาเรื่องลำบากใส่ตัวอย่างแน่นอน
เพราะไม่มีทางเอาชนะเขาได้
ปีนั้นหลิวจิ่งหลงเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง แต่กลับอาศัยหลักการเหตุผลที่เอ่ยออกมาจากปากโน้มน้าวตาเฒ่าประหลาดขอบเขตหยกดิบที่คิดจะเปิดฉากสังหารใหญ่ได้ ไม่เพียงเท่านี้ เขายังมีความสัมพันธ์เป็นทั้งเพื่อนทั้งศัตรูกับตาเฒ่าประหลาดผู้นั้นอีกด้วย แล้วกลับกลายเป็นว่าตาเฒ่าประหลาดได้กลายมาเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้กลุ่มของพวกเขา ถือว่าพาพวกเขาทุกคนส่งออกจากอาณาเขตอย่างมีมารยาท คราวก่อนที่ซุนชิงไปเจอกับหลิวจิ่งหลง ‘โดยบังเอิญ’ หลังจากทักทายปราศรัยกันตามมารยาทแล้ว ด้วยไม่มีเรื่องอะไรให้พูดคุยกัน นางจึงถามถึงเรื่องนี้ หลิวจิ่งหลงบอกว่าก่อนหน้านั้นที่เดินทางลงใต้ เขาได้ไปพบกับผู้อาวุโสคนนั้นมา ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันอย่างถูกคอ เพียงแต่ว่าหลังจากเขาหลิวจิ่งหลงเดินทางกลับเหนือแล้ว ก็แค่ต้องทำใจให้สงบปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ในสำนักกระบี่ไท่ฮุย ไม่ต้องกลับไปที่ภูเขาอีกรอบ
……
สถานที่ที่เฉินผิงอันแวะมาเยือนมีโครงกระดูกอยู่บนพื้นไม่มาก เขาเอ่ยขออภัยในใจคำหนึ่ง จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งยองลงบนพื้น ยื่นมือไปชั่งน้ำหนักโครงกระดูกเบาๆ ยังคงไม่ต่างจากโครงกระดูกในโลกมนุษย์สักเท่าไร ไม่ได้มีภาพเหตุการณ์ประหลาดที่กระดูกแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวใสแวววาวเพราะถูกปราณหยินอาบย้อมเหมือนในชายหาดโครงกระดูก ตรงภูเขาด้านหน้าก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน นี่หมายความว่าตอนที่มีชีวิตอยู่ ผู้ฝึกตนในพื้นที่แทบจะไม่มีคนที่บรรลุมรรคาอย่างแท้จริง อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีใครเคยเป็นเซียนดิน และยังมีเรื่องประหลาดอีกหนึ่งอย่าง ในศาลาที่บนโต๊ะหินสลักเป็นกระดานหมากล้อม สองฝ่ายที่เล่นหมากล้อมกัน เห็นได้ชัดว่าระดับขั้นของชุดคลุมอาคมที่สวมอยู่บนร่างนั้นดีเยี่ยม แต่หลังจากถูกหวงซือดึงออกไป เฉินผิงอันกลับสังเกตเห็นว่าโครงกระดูกทั้งสองโครงนั้น ยังคงไม่มีคุณสมบัติของโอสถทองที่กระดูกต้องเป็นกิ่งทองใบหยก
จุดที่เฉินผิงอันเดินมาถึง คือสถานที่ห่างไกลเงียบสงบที่มีเส้นทางสายเล็กทอดยาวมาถึง ยังคงมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ไม่ทำให้คนรู้สึกไม่เหมาะสมแม้แต่น้อย
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงต้องเสียยันต์ปราณหยางส่องไฟไปอีกหนึ่งแผ่น
เฉินผิงอันได้ผลเก็บเกี่ยวน้อยมาก มีแค่วัตถุบนภูเขาที่มีรอยแตกร้าวจำนวนมากไม่กี่ชิ้น ดูท่าการเดินทางไปพร้อมกับนักพรตซุนคงเป็นความคิดที่ถูกต้องจริงๆ
มาถึงบ่อน้ำที่แห้งขอดจนมองเห็นก้นบ่อ ใบไม้แห้งเหี่ยวกระจัดกระจายอยู่รอบๆ
ดูจากสภาพของมันแล้ว หากมีน้ำเต็มก็น่าจะเป็นตาน้ำพุแห่งหนึ่ง
เฉินผิงอันคิดถึงตัวอักษรที่เห็นตรงทางเข้าโพรงถ้ำอยู่ตลอดเวลา คนที่ทิ้งตัวอักษรพวกนั้นไว้จะต้องเป็นบุคคลที่เคยเข้าออกซากปรักจวนเซียนแห่งนี้มาก่อนอย่างแน่นอน
หากไม่ใช่ยอดฝีมืออำพรางตัวตนที่ทิ้งเบาะแสของการเปิดประตูไว้ให้กับคนรุ่นหลัง ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นคนที่กลัวว่าปลาจะโง่เกินไป แม้แต่เหยื่อล่อก็ยังไม่กล้างับ ไม่อาจติดเบ็ด
เฉินผิงอันพลิกตัวข้ามราวรั้ว กระโดดเข้าไปในบ่อน้ำ ใบไม้แห้งพวกนั้นพอหยิบมาไว้ในมือก็แหลกสลายทันที ไม่มีความลี้ลับใดๆ
ปราณวิญญาณโชคชะตาน้ำของภูเขาด้านหลังนี้ ยังคงเป็นบริเวณใกล้เคียงกับต้นไผ่เขียวที่เข้มข้นที่สุด
ภูเขาลั่วพั่วกำลังขาดต้นไผ่ดีๆ ต้นหนึ่งอยู่พอดีเลย
หากสามารถเป็นเหมือนบรรพบุรุษต้นไผ่เฟิ่นหย่งบนภูเขาฉีตุนในปีนั้นที่เว่ยป้อทะนุถนอมเห็นค่าอย่างถึงที่สุด ซึ่งสามารถแตกกิ่งก้านสาขาได้ปีแล้วปีเล่า รากไผ่ใต้ดินทอดตัวขยายยาวเหยียด ตาเฒ่าให้กำเนิดบุตรชาย บุตรชายให้กำเนิดหลานชาย ก็จะมีป่าไผ่หนาครึ้มเพิ่มขึ้นมาผืนหนึ่งได้อย่างเปล่าๆ
แน่นอนว่าในสายตาของเฉินผิงอัน ไม่ว่าอะไรภูเขาลั่วพั่วก็ยังขาดอยู่ทั้งนั้น
เฉินผิงอันขยุ้มดินขึ้นมาเล็กน้อย ดินที่อยู่ปลายนิ้วก็ยังคงแหลกสลายไปอย่างรวดเร็ว แล้วปลิวกระจายตามลมไปรอบด้าน
เกี่ยวกับลำน้ำจี้ตู๋ของอุตรกุรุทวีป เฉินผิงอันรู้มาไม่น้อย
เพียงแต่ว่าเรื่องที่มากกว่านั้นอย่างเรื่องวงในของลำน้ำใหญ่ ความรุ่งโรจน์และล่มสลายของควันธูปแห่งศาล การเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ของใต้หล้า เขากลับรู้เพียงน้อยนิดเท่านั้น
แค่เคยได้ยินเว่ยป้อพูดถึงว่า หลิวเสียทวีปเคยมีลำน้ำใหญ่จากตะวันออกสู่ตะวันตกที่ไหลลงสู่มหาสมุทรเส้นหนึ่ง เลื้อยคดเคี้ยวทอดตัวยาวถึงสามหมื่นลี้ ทุกจุดตัดที่ขุนเขาสายน้ำมาเจอกัน ก็จะมีอริยะปราชญ์และเซียนดินผุดขึ้นกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
และก็มีลำน้ำสายหนึ่งของฝูเหยาทวีปที่ถูกสายน้ำใหญ่ซึ่งเป็นเพียงแค่ลำคลองมาสกัดกั้นทางเข้าที่ลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทร นับแต่นั้นมาก็สร้างหายนะให้กับลำน้ำใหญ่ทั้งสาย เวลาสั้นๆ เพียงแค่สามร้อยปี ลำน้ำใหญ่สายหนึ่งก็หายสาบสูญไปนับแต่นั้น นี่หมายความว่าร่างทองของเทพวารี พ่อปู่แม่ย่าลำคลองทั้งหมดของลำน้ำใหญ่สายนั้นล้วนสลายหายไปด้วย และการแต่งตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เลียบลำน้ำสายใหญ่ก็มีพิธีการและกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด เหนือเกินกว่าการที่จักรพรรดิของราชวงศ์หนึ่งแต่งตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำในอาณาเขตการปกครองอยู่มาก ว่ากันว่ายังต้องส่งเอกสารไปให้กับสถานศึกษาลัทธิขงจื๊อของแผ่นดินกลางด้วย
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จึงปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มากระดกดื่มแรงๆ หนึ่งอึก แล้วจากนั้นก็ดื่มน้ำปราณวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้หมดรวดเดียว ก่อนที่จิตวิญญาณจะจมจ่อมอยู่ภายใน ความคิดที่เล็กเท่าเมล็ดงาเข้าไปในสำรวจจวนน้ำ
เห็นเพียงว่าประตูใหญ่ของจวนน้ำเปิดอ้า ไม่แม้แต่จะคิดปิดประตูด้วยซ้ำ
ตรงข้างฝ่าเท้าของเฉินผิงอันมีธารน้ำสีเขียวมรกตอยู่เส้นหนึ่ง จากมุมต่างๆ ของข้อต่อกระดูกในร่างมีสายน้ำหลายสายค่อยๆ มารวมตัวกัน แล้วแปรเปลี่ยนมาเป็นธารน้ำเส้นนี้ที่ค่อยๆ ไหลรินเข้าสู่บ่อน้ำของจวนน้ำ
พวกเด็กจิ๋วชุดเขียวทั้งหลายที่กำลังง่วนทำงานไม่แม้แต่จะชายตามองขุนนางใหญ่ผู้มีคุณูปการบางท่านที่มาเยือนด้วยซ้ำ แต่ละคนวิ่งตะบึงกลับไปกลับมา เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมตื่นเต้น
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกปวดใจเล็กน้อย มาเจอกับเจ้านายอย่างตน คาดว่าเจ้าตัวน้อยทั้งหลายคงจะยากจนจนเกิดความหวาดกลัวแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันไปดูที่ศาลภูเขามารอบหนึ่ง อันที่จริงในจวนน้ำมีสายธารเส้นที่เล็กบางกว่าอยู่อีกเส้นหนึ่งด้วย กระแสน้ำไหลริกๆ มุ่งงหน้าเข้าสู่ช่องโพรงสำคัญซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลภูเขา เนื่องจากแก่นชะตาน้ำถูกกักไว้ในจวนน้ำแล้ว ดังนั้นน้ำไหลสายนี้จึงใสสะอาดไร้สีสัน ไม่มีสีเขียวมรกตเป็นกลุ่มๆ ซ่อนอยู่อีก ปราณวิญญาณที่เข้มข้นเหมือนสายน้ำพวกนี้ พอมาถึงช่องโพรงลมปราณอันเป็นที่ตั้งของศาลภูเขาก็เริ่มแทรกซอนเข้าสู่ผืนดิน เหมือนฝนรสหวานที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผืนแผ่นดิน
เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนดวงจิตออกมา ไม่ได้หยุดอยู่ในจวนที่ไม่มีสมบัติใดๆ ให้ตามหาแห่งนั้นอีก แต่ใช้ตบะและฝีเท้าที่สหายนักพรตเฉินสมควรมีวิ่งตะบึงไปตลอดทาง แอบวิ่งไปยังต้นไผ่เขียวที่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะมาจากภูเขาชิงเสิน ใช้ฝ่ามือกดที่ลำต้นไผ่ ปล่อยแรงกระเทือนเบาๆ ไผ่เขียวก็โยกคลอนพลิ้วไหว จากนั้นเขาที่มือหนึ่งถือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็โบกชายแขนเสื้อรวบเอาหยดน้ำที่รวบรวมอยู่บนปลายใบไผ่ซึ่งเหลืออยู่อีกไม่ถึงครึ่งพวกนั้นเก็บมาไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ทั้งหมด
เฉินผิงอันค่อนข้างลำพองใจไม่น้อย
ตนสมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเก็บตกของดีจริงๆ
จากนั้นเฉินผิงอันก็รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เรียบร้อย แล้วเริ่มปีนขึ้นไปบนต้นไผ่ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่ากิ่งไผ่เล็กบางที่มองดูเหมือนกิ่งอ่อนสามารถเด็ดออกมาได้ง่ายๆ กลับหักออกได้ไม่ง่ายเลย
เฉินผิงอันมองไปยังตำหนักที่ห่างไปไกล หวงซือยืนอยู่บนหัวกำแพงแห่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมองมาตรงนี้อยู่นานแล้ว
เฉินผิงอันที่ ‘รู้สึกตัวช้า’ จึงยิ้มกว้าง แล้วโบกมือให้อีกฝ่าย
หวงซือก้าวเท้าออกมาหนึ่งก้าวแล้วพลิ้วกายลงบนพื้น
ช่างเป็นแมลงน่าสงสารที่อยากได้เงินจนเสียสติ หาเงินโดยไม่เลือกวิธีการจริงๆ
ไม่มีการลอบสำรวจจากหวงซือ เฉินผิงอันจึงพยายามงอกิ่งไผ่แล้วเด็ดใบไผ่ออกมา ด้วยตบะที่เขาควรมีในเวลานี้ก็น่าจะพอทำได้อย่างถูไถ เขาจึงเด็ดใบไผ่มากำแล้วกำเล่า ยัดใส่เข้าไปในห่อสัมภาระที่สะพายไว้เอียงๆ อาศัยใบไผ่พวกนั้นมาทำให้ห่อสัมภาระที่ฟีบแบนผิดปกติเปลี่ยนมาเป็นพองโป่งได้
ผู้ฝึกยุทธหวงซือที่เปลี่ยนมุมใหม่มาลอบสังเกตเจ้าคนกอดต้นไผ่ผู้นั้นอยู่ไกลๆ ต่ออีกครั้งมองอีกฝ่ายด้วยความนับถืออย่างถึงที่สุด คนประเภทนี้ หากเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำเช่นในตำนานจริงๆ เขาหวงซือก็จะเอาคอไปยื่นให้ดาบอาคมของตี๋หยวนเฟิงปาดด้วยตัวเองเลย
รอจนหวงซือจากไปจริงๆ เฉินผิงอันถึงได้เริ่มประกบสองนิ้ว แล้วลงมือตัดปล้องไม้ไผ่ที่สูงต่ำไม่เท่ากัน แล้วเก็บเข้าไปใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่ออย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
ในวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อ กระเบื้องแก้วมรกตและอิฐเขียวก้อนใหญ่ต่างก็เอามาบรรจุเพิ่มไม่ได้แล้วจริงๆ แต่สามารถใช้กิ่งไผ่เรียวบางเหล่านี้มาเติมเต็มช่องว่างได้พอดี
หลังจากงานใหญ่สำเร็จลุล่วงแล้ว คราวนี้ในวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อก็เต็มแน่นจริงๆ แล้ว
เฉินผิงอันกอดไผ่เขียวอยู่อย่างนั้น เนิ่นนานก็ยังไม่ได้ไถลตัวลงมาบนพื้น
หวนนึกถึงตอนเป็นเด็กที่ตนเองปีนต้นไม้ไปจับจั๊กจั่นพร้อมกับคนอีกสองคน
คนหนึ่งคือสหายที่ดีที่สุดซึ่งเคยชินที่จะปกป้องเขา อีกคนหนึ่งคือญาติครึ่งตัวที่เขาเคยชินจะปกป้อง
ช่วงเวลานั้นดูเหมือนว่าชีวิตจะยากลำบาก ทว่าแต่ละเดือนปีที่ผ่านพ้นไปกลับไร้ทุกข์ แล้วก็ไร้กังวล
เฉินผิงอันถอนหายใจ
เก็บความคิดทั้งหมดกลับคืน
เพียงไม่นานก็มีเสียงสัพยอกเสียงหนึ่งดังมาจากจุดที่ห่างไปไกล “พี่ใหญ่เฉิน? ทำอะไรอยู่น่ะ?”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง แล้วก็พูดกลั้วหัวเราะฮ่าๆ “ข้างบนนี้เย็นสบายดี ได้เห็นทัศนียภาพกว้างไกลด้วย”
อีกฝ่ายก็คือตี๋หยวนเฟิงที่ใช้นามแฝงว่าฉินจวี้หยวน สีหน้าของเขาซีดขาวเล็กน้อย คงจะได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย
จวี้หยวน วานรยักษ์?
วานรที่มีเรือนกายใหญ่ที่สุดในใต้หล้านี้ ไม่ใช่วานรย้ายภูเขาหรอกหรือ?
เพราะฉะนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าชื่อนี้ค่อนข้างจะน่าเตะ
ตี๋หยวนเฟิงไม่มองผู้เฒ่าชุดดำที่น้ำเข้าสมองผู้นี้อีก เขามองไปยังสิ่งปลูกสร้างลักษณะคล้ายพระราชวงศ์ที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วถามว่า “นักพรตซุนกับพี่น้องหวงได้ผลเก็บเกี่ยวเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พวกเราต่างก็ได้ผลเก็บเกี่ยวที่ไม่เลว”
ตี๋หยวนเฟิงอดไม่ไหวชำเลืองตามองผู้เฒ่าที่กอดต้นไผ่นั่นแวบหนึ่ง ห่อสัมภาระสองใบที่อีกฝ่ายพาดสลับกันนั้น มองดูแล้วหากไม่ใช่แผ่นกระเบื้องก็ต้องเป็นอิฐเขียว ทำไม ตาแก่เจ้ารีบจะไปสร้างบ้านเอาไว้แต่งเมียเข้าบ้านหรือ?
น่าเสียดายที่เฉินผิงอันเดาความคิดในใจของคนผู้นี้ไม่ออก
ไม่อย่างนั้นคงต้องยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย ชื่นชมจากใจจริงว่าอีกฝ่ายคือเทพเซียนตัวจริง
……
หวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าได้ผลเก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือ วัตถุฟางชุ่นที่เป็นยันต์แผ่นหนึ่งบรรจุข้าวของไว้จนเต็ม
ผู้ถวายงานเฒ่าขอบเขตประตูมังกรของนครเหนือเมฆก็สะพายห่อสัมภาระใบใหญ่ ในมือยังหิ้วห่อผ้าอีกสองใบไว้ด้วยความพึงพอใจไม่ต่างกัน บนใบหน้าเต็มไปด้วยแววปิติยินดีอย่างที่ปกปิดไม่มิด
หลังจากผู้เฒ่าสองคนมาเจอกัน ก็พากันมายืนที่ชั้นบนของหอเรือนหลังหนึ่ง ก้มหน้ามองการต่อสู้ที่หน้าประตูภูเขา
ผู้ถวายงานเฒ่ายิ้มเอ่ย “เป็นฉากหมากัดหมาที่น่าสนุกจริงๆ”
หวนอวิ๋นคลี่ยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร
บนเส้นทางของการฝึกตน หากช้าไปก้าวหนึ่ง ก็จะต้องช้าไปทุกก้าวเสมอ
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเสิ่นเจิ้นเจ๋อ หากไม่มีตนเป็นผู้ปกป้องมรรคาพาเข้ามาในที่แห่งนี้ก่อน แต่เข้ามาพร้อมกับกลุ่มคนบนสะพานที่มาถึงช้ากว่าท่านโหวน้อยแคว้นเป่ยถิง
ก็ได้แต่ต้องเสี่ยงอันตรายเข้าร่วมการต่อสู้อยู่ด้านล่างนั้นเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าหวนอวิ๋นมีสายตาเฉียบแหลม เพียงครู่เดียวก็มองเบาะแสจากบนร่างของผู้ฝึกตนใหญ่จวนไช่เฉวี่ยสองคนนั้นออก มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าพวกนางจะเป็นเทพธิดาซุนชิง กับอู่ชวินผู้ดูแลกฎศาลบรรพจารย์
ส่วนผู้ฝึกตนหญิงที่ทะยานลมอยู่กลางอากาศ ในมือถือฉินโบราณผู้นั้น ดูจากลักษณะของฉินโบราณ และภาพบรรยากาศยามลงมือ ก็เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นฉิน ‘หิมะปลิวปราย’ คันนั้น
เพียงแต่ว่าในอดีตฉินคันนี้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนหญิงก่อกำเนิดคนหนึ่งของสำนักมังกรน้ำ นางเคยผ่านการเข่นฆ่าริมน้ำที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินมาครั้งหนึ่ง แล้วก็ได้อาศัยฉินโบราณนี้กับชัยภูมิที่ได้เปรียบ ถึงสามารถเล่นงานให้ก่อกำเนิดเฒ่าขอบเขตเดียวกันถึงกับหายใจหายคอไม่ทัน
แล้วก็เพราะตอนนี้ตกมาอยู่ในมือของผู้ฝึกตนหญิงโอสถทองของสำนักมังกรน้ำผู้นี้ จึงได้แค่สำแดงวิชาอภินิหารอันเป็นวิชาเฉพาะของฉินโบราณออกมาได้แค่ห้าหกในสิบส่วนเท่านั้น
ผู้ถวายงานเฒ่าถามเสียงเบา “ต่อจากนี้พวกเราจะเดินอ้อมไปยังฝ้าเพดานแห่งนั้น แล้วค่อยจากไปเงียบๆ หรือ? หรือว่าจะไปดูที่ด้านหลังภูเขาก่อน?”
หวนอวิ๋นยิ้มกล่าว “พวกเราคือผู้ปกป้องมรรคา ให้เด็กสองคนนั่นเป็นผู้ตัดสินใจดีกว่า พวกเราแค่ต้องอำพรางตัวตน ไม่เป็นฝ่ายเข้าไปเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้ การเดินทางครั้งนี้ก็น่าจะไร้เรื่องให้ต้องกังวลแล้ว”
——