กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 544.4 คนหนุ่มสาวนับหมื่นในสายตา
หวนอวิ๋นชำเลืองตามองม่านฟ้าเหนือศีรษะแล้วไล่สายตามองไปยังจุดที่ห่างไปไกล ก็คือเส้นอาณาเขตของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้
ความประหลาดที่ป๋ายปี้สัมผัสถึง แน่นอนว่าเจินเหรินผู้เฒ่าท่านนี้ต้องแน่ใจถึงความประหลาดนั้นได้เร็วยิ่งกว่า
เพียงแต่ว่าตรงฝ้าเพดานที่เป็นทางเข้านั้น เขาได้แอบฝังยันต์ที่อำพรางตัวตนเอาไว้ใต้ดิน ขอแค่ไม่เกิดเรื่องผิดพลาดกับยันต์ นี่ก็หมายความว่ายังเหลือทางถอยอยู่
อีกอย่างถึงแม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะมีความลี้ลับอยู่มากมาย แต่กลับไม่มีกลิ่นอายสกปรกชั่วร้ายอยู่แม้แต่น้อย แล้วก็ไม่มีปราณดุร้ายแม้แต่เสี้ยวเดียว จึงทำให้เจินเหรินผู้เฒ่าวางใจได้ไม่น้อย
ภูเขาสายน้ำของพื้นที่หนึ่ง ภาพบรรยากาศที่แสดงออกมานั้นยากที่จะเสแสร้งแกล้งทำได้มากที่สุด
ต่อให้เจ้าจะเป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิดที่สามารถสร้างพื้นที่ลับตระกูลเซียนซึ่งมีเวทอำพรางตาเป็นกลุ่มบุปผาชูช่องดงามขึ้นมาได้ แต่เมื่ออยู่ในสายตาของหวนอวิ๋นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านวิถียันต์ ก็ยังพอจะพบเจอเบาะแส และสัมผัสได้ถึงตั้งแต่เนิ่นๆ
ลัทธิเต๋าของใต้หล้าไพศาล อันที่จริงในอดีตมีสาขาย่อยแยกออกไปมากมาย เป็นทัศนียภาพอันงดงามที่ร้อยบุปผาพากันผลิบาน
เพียงแต่ว่าทุกวันนี้สาขารองที่เคยมีบารมียิ่งใหญ่กลับมีควันธูปเพียงบางเบา ไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร หรืออาจถึงขั้นค่อยๆ สาบสูญไปแล้วด้วยซ้ำ
ยกตัวอย่างเช่นสายของเซียนกระบี่ลัทธิเต๋าแผ่นดินกลางที่เคยรุ่งโรจน์ที่สุด นั่นคือภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง อุตรกุรุทวีปในตอนนั้น ต่อให้จะมีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ เซียนกระบี่ยืนเรียงรายดุจต้นไม้ในผืนป่า แต่ก็ยังไม่กล้าพูดว่าตัวเองได้ยึดครองโชควาสนาแห่งวิถีกระบี่ในใต้หล้าไปถึงแปดส่วน และในกลุ่มของสี่ผีตอแยยากบนภูเขาในอดีต เซียนกระบี่ของลัทธิเต๋าก็ได้ยึดครองพื้นที่ส่วนหนึ่ง มีชื่อเสียงทัดเทียมอยู่กับผู้ฝึกกระบี่และคนเชื่อดาบ ตอนนั้นยังไม่มีเรือนซือเตาอะไร เพราะฉะนั้นเซียนกระบี่สายลัทธิเต๋าจึงไม่เคยเห็นสถานะผู้ฝึกกระบี่เป็นความภาคภูมิใจของตัวเอง
หลังจากที่หวนอวิ๋นทอดถอนใจให้กับการเปลี่ยนแปลงของลัทธิเต๋านั้น พอได้เห็นการเข่นฆ่าที่เลือดเนื้อปลิวว่อนตรงตีนเขาก็อดสะท้อนใจอีกไม่ได้
ในสายตาของเจินเหรินผู้เฒ่า พวกคนที่ทุ่มสุดชีวิตเพื่อช่วงชิงโชควาสนาเหล่านั้น น่าจะเป็นเด็กรุ่นหลัง อายุอยู่ในวัยเด็กน้อยทั้งสิ้น
อยู่ดีๆ เจินเหรินผู้เฒ่าก็นึกถึงบทกวีของอริยะปราชญ์ท่อนหนึ่งที่บอกว่า หนุ่มสาวนับหมื่นในสายตา จุดมุ่งหมายขรุขระไม่ราบรื่น
นักกวีในรุ่นหลังอ่านเจอบทกลอนนี้จึงได้เขียนคำอธิบายเพิ่มเติมไว้ว่า ขรุขระคือคำความหมายตรงข้ามของคำว่าราบรื่น ดังนั้นคำกล่าวนี้จึงเป็นการชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของผู้คนยากจะคาดเดา เส้นทางในหัวใจคนก็คดเคี้ยวขรุขระยิ่งกว่าเส้นทางอันตรายในป่าเขาที่ยาวไกลเป็นพันลี้เสียอีก
หวนอวิ๋นนึกถึงความละโมบและปราณสังหารเสี้ยวหนึ่งของตัวเองก่อนหน้านี้ขึ้นมา ก็ยิ่งรู้สึกจนใจ
ในสายตาของอริยะสามลัทธิ ใครบ้างที่ไม่ใช่เด็กน้อยในสายตาของพวกเขา?
หวนอวิ๋นพลันเอ่ยว่า “เจ้าไปปกป้องพวกเขาตอนที่ไปค้นหาโชควาสนาอยู่หลังภูเขา ส่วนข้าผู้อาวุโสจะไปห้ามทัพดูสักหน่อย ตายได้น้อยลงกี่คนก็น้อยลงเท่านั้น”
ผู้ถวายงานเฒ่าทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด
ความคิดของเขาแล่นเร็วจี๋ หลังจากชั่งน้ำหนักดีแล้วก็เข้าใจในความหวังดีของเจินเหรินผู้เฒ่า จึงพยักหน้ารับ
เว้นเสียจากว่ากลุ่มของนครเหนือเมฆอย่างพวกเขารีบออกไปจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นแล้วถึงเวลานั้นเรื่องเละเทะตรงตีนเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่ทันระวังลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักมังกรน้ำผู้นั้นตายไป ในอนาคตแรงพิโรธดุจสายฟ้าฟาดจากผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของสำนักมังกรน้ำก็จะต้องเยื้องกรายลงมาจากฟากฟ้า ปกคลุมไปทั่วแคว้นเป่ยถิงและแคว้นฝูฉวี จวนไช่เฉวี่ยและนครเหนือเมฆย่อมไม่มีใครที่หนีได้รอด บางทีวันนี้ใครที่ได้ผลประโยชน์ไปมาก ก็จะยิ่งต้องแบกรับโทษทัณฑ์มหาศาล นอกจากนี้หากเจินเหรินผู้เฒ่าสามารถช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่กำลังเข้าสู่ภาวะชะงักงันให้แก่ทั้งสองฝ่าย ให้ทั้งสองฝ่ายนั่งลงพูดคุยกันจนได้วิธีแก้ปัญหาที่ดีได้จริงๆ นี่ก็จะเป็นความสัมพันธ์ควันธูปที่หวนอวิ๋นช่วงชิงมาคนเดียว สำนักมังกรน้ำ จวนไช่เฉวี่ยและจวนโหวแคว้นเป่ยถิงต่างก็ต้องยอมรับ
หวนอวิ๋นยื่นยันต์แผ่นหนึ่งให้กับผู้ถวายงานเฒ่าของนครเหนือเมฆ แล้วยิ้มกล่าวว่า “หากเจอปัญหาก็ให้ใช้ยันต์แผ่นนี้ ข้าจะไปถึงทันที”
ผู้ถวายงานเฒ่าขอบเขตประตูมังกรเก็บยันต์มาแล้ว ร่างก็พุ่งวูบหายไป
อันที่จริงอารมณ์ของหวนอวิ๋นไม่นับว่าผ่อนคลายนัก “นี่คือการไปเป็นกาวประสานใจ ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ดี อย่าให้กลายเป็นว่ายิ่งทำยิ่งเสียเรื่อง กลายเป็นไม้กวนอาจมที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็รังเกียจเสียล่ะ”
……
หลังจากที่หวนอวิ๋นปรากฎตัว อีกทั้งยังลงมือ
เขาไม่ช่วยทั้งสองฝ่าย แต่ก็ถือว่าช่วยทั้งสองฝ่าย ยันต์มีเท่าไรก็เรียกออกมาใช้ครบถ้วน สรุปก็คือพยายามขัดขวางไม่ให้คนของทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่ากันต่อไป
ขณะเดียวกันนั้นก็ใช้เหตุผลมาทำให้คนเข้าใจ ใช้ความรู้สึกมาทำให้คนซาบซึ้ง บอกว่าโชควาสนาบนภูเขามีมากมาย หากยังพอจะเชื่อใจเขาหวนอวิ๋น ก็สามารถขึ้นเขาไปหาสมบัติด้วยกัน เหตุใดต้องมาเข่นฆ่ากันอยู่ที่นี่ให้บาดเจ็บเสียหายกันไปทั้งสองฝ่ายด้วย
สถานการณ์ศึกวุ่นวายที่เดิมทีประหนึ่งกระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากพลันเปลี่ยนมาเป็นสายน้ำที่ไหลเข้าสู่ทะเลสาบใหญ่ ดังนั้นคลื่นลมจึงสงบลงอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะเมื่อหวนอวิ๋นเรียกคนห้าคนให้ไปปรึกษากันอย่างลับๆ
คนเหล่านั้นได้แก่จานชิงท่านโหวน้อยแคว้นเป่ยถิง ซุนชิงจวนไช่เฉวี่ย ป๋ายปี้แห่งสำนักมังกรน้ำ และยังมีผู้นำอีกสองคนของกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดท่ามกลางผู้ฝึกตนอิสระมากมาย
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงปรึกษากันได้แผนการที่ทั้งสองฝ่ายซึ่งอยู่กันคนละฝั่งของสะพานต่างก็ถอยกันคนละหนึ่งก้าว แน่นอนว่าทางฝั่งจานชิงกับป๋ายปี้ยอมถอยให้มากกว่า เหตุผลนั้นง่ายดายมาก นั่นคือหากเข่นฆ่ากันไปตลอดทางเช่นนี้ ทางฝั่งของพวกเขา คนที่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้จนถึงท้ายที่สุด บางทีอาจมีเพียงป๋ายปี้โอสถทองที่ถูกบีบให้ต้องเลือกเผ่นหนีไปให้ไกลเท่านั้น แน่นอนว่าฝั่งตรงข้ามก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมีคนรอดชีวิตอยู่ได้แค่ไม่กี่คน อย่างมากสุดก็สิบคน แต่หากโชคไม่ดี อาจมีจำนวนเหลือแค่หนึ่งมือนับเท่านั้น
ดังนั้นการปรากฏตัวของหวนอวิ๋นจึงถือว่าเป็นข่าวดีที่ใหญ่เทียมฟ้าสำหรับทั้งสองฝ่าย
ไม่อย่างนั้นไม่ว่าใครก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนที่ขี่หลังเสือแล้วลงยาก ได้แต่ทุบหัวอีกฝ่ายให้เละถึงจะยอมเลิกราเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน ภายใต้การชักนำของหวนอวิ๋น เกี่ยวกับการชดเชยให้กับคนที่รบตายไปของทั้งสองฝ่ายก็ถือว่ามีการร่างสัญญาไว้คร่าวๆ แล้ว
หลังจากที่หวนอวิ๋นใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจสื่อสารกับป๋ายปี้อย่างลับๆ ป๋ายปี้ถึงขั้นเอาเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งออกมามอบให้กับสามคนของฝ่ายตรงข้ามทันที ให้พวกเขาเอาเงินชดเชยก้อนนี้ไปจัดสรรอย่างเหมาะสมกันเอาเอง
ทางฝั่งของจานชิงและป๋ายปี้ห้าคนนี้ ผู้ถวายงานตระกูลโหวตายไปคนหนึ่ง เกาหลิงเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ชุดเกราะน้ำค้างหวานบนร่างใกล้คำว่าพังภินท์เต็มที ผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์แคว้นฝูฉวีผู้นั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร
ตัวจานชิงเองก็ยิ่งหาพัดพับอาวุธลับที่ยังไม่ทันได้นำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้นไม่เจอแล้ว สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ามันร่วงลงไปในลำคลอง หรือว่าถูกเจ้าตะพาบจิตใจชั่วร้ายคนใดแอบเก็บเอาไป
ท่านโหวน้อยชุดขาวผู้นี้ผมเผ้ายุ่งเหยิง ชุดคลุมอาคมก็ยิ่งขาดวิ่นรุ่งริ่ง ไม่เหลือมาดของคุณชายเจ้าสำราญอยู่แม้แต่น้อย
ทว่าทางตระกูลต้องสูญเสียผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดที่ภายนอกถือเป็นเสาหลักของตระกูลไปคนหนึ่ง
จานชิงไม่เพียงแต่ไม่ร้องทุกข์กับป๋ายปี้สักคำ กลับกันยังมีสีหน้าเป็นปกติ ไม่พูดไม่จาอะไร ยกอำนาจใหญ่ในการตัดสินใจเรื่องทุกอย่างให้แก่ป๋ายปี้
นี่ทำให้ป๋ายปี้รู้สึกปลาบปลื้มอย่างมาก
ระหว่างนี้ซุนชิงเป็นฝ่ายใช้เสียงในใจพูดคุยกับป๋ายปี้ที่ตกเป็นรองนางท่ามกลางการเข่นฆ่า “สถานที่แห่งนี้จะตกเป็นของใคร จวนไช่เฉวี่ยของข้ายินดีช่วยถ่วงเวลาให้จนกว่าผู้อาวุโสของสำนักมังกรน้ำจะมาถึง พยายามไม่ให้นครเหนือเมฆแจ้งข่าวไปยังสำนักอื่น แต่หากเสิ่นเจิ้นเจ๋อแห่งนครเหนือเมฆพาผู้ฝึกตนใหญ่ของสำนักอื่นมาถึงก่อน ก็อย่าโทษหากผู้ฝึกตนจวนไช่เฉวี่ยจะถอนตัวออกไป”
เพียงแค่ประโยคนี้ก็ทำให้ป๋ายปี้ต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเจ้าจวนไช่เฉวี่ยผู้นี้เสียใหม่
ก่อนหน้านี้ตอนที่ทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่ากัน เดิมทีต่างฝ่ายต่างก็ออมมือไว้ เกรงว่านอกจากหวนอวิ๋นที่เป็นเจินเหรินผู้เฒ่าแล้ว คนนอกคงยากที่จะมองออก นี่จึงเป็นเหตุให้หลังจากที่พวกนางสัญญาว่าจะเป็นพันธมิตรกันผ่านปากเปล่า ป๋ายปี้จึงมีความคิดที่ว่าในอนาคตตนจะต้องสร้างมิตรภาพส่วนตัวกับจวนไช่เฉวี่ย
หวนอวิ๋นเห็นว่าทั้งสองฝ่ายคุยกันไปได้พอสมควรแล้วก็รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก
คนไกล่เกลี่ยนั้นเป็นได้ง่าย แต่หากคิดจะเป็นคนไกล่เกลี่ยที่ดีกลับยากมาก ไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่ต้องมีขอบเขตสูงพอเท่านั้น เกี่ยวกับการกะน้ำหนักไฟด้านใจคนต่างหากจึงจะเป็นกุญแจสำคัญ
สถานที่ตั้งเก่าของอารามเต๋าบนยอดเขา ร่างของผู้เฒ่าสูงใหญ่คนหนึ่งลอยขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่า ชำเลืองตามองซากปรักของอารามเต๋าที่กองกันเป็นภูเขาแล้วจุ๊ปากส่ายหน้า เขาเดินไปยังบันไดขั้นบนสุดช้าๆ พูดด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “พวกเด็กๆ คิดว่าแค่นี้ก็จบเรื่องแล้ว? ใต้หล้านี้มีทรัพย์สินที่เอาไปครองได้ง่ายขนาดนี้เลยหรือ? คนฆ่าแกงกันเองมากที่สุด นี่เป็นเพราะจิตใจคนชักนำทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นเห็นเด็กๆ อย่างพวกเจ้าต่อยตีกัน ความบันเทิงจะอยู่ที่ไหน?”
เขากระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งที
ตอนที่เดินมาถึงขั้นบันไดก็หลุบตาลงต่ำมองสองฝ่ายตรงตีนเขาที่หยุดรบกันแล้ว กวาดตามองผ่านไปได้แวบเดียวก็ถูกปราณกระบี่เสี้ยวนั้นพุ่งเข้ามาปั่นคว้านเรือนกายที่เป็นภาพมายาล่องลอยให้แหลกสลาย
เพียงแต่ว่าน้ำในลำคลองที่เป็นสีเขียวมรกตเส้นนั้นกลับมีภาพเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นแล้ว อันดับแรกก็เกิดริ้วคลื่นเป็นระลอก จากนั้นน้ำก็เริ่มเดือดพล่าน
หวนอวิ๋นเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ ชายแขนเสื้อสองข้างของเขาพลิ้วไสว ยันต์หลายแผ่นบินพรวดๆ ออกมาราวกับสายน้ำไหล
เพียงแต่ว่าพริบตาเดียวน้ำในลำคลองใต้สะพานก็กลับมาสงบนิ่ง จากนั้นสองฝั่งของสะพานโค้งหยกขาวก็มีองค์เทพชุดเขียวสูงห้าจั้งเดินออกมาฝั่งละหนึ่งองค์ องค์หนึ่งถือทวนยาวสีเงิน อีกองค์หนึ่งถือตรวนเหล็ก ต่างคนต่างมาหยุดยืนนิ่งอยู่คนละฝากฝั่ง
ขณะเดียวกันนั้น บนสะพานโค้งหยกขาวก็มีไอเมฆหมอกลอยอวลขึ้นมา สุดท้ายมารวมตัวกันเป็นเทพหญิงชุดขาวองค์หนึ่ง ดวงตาของนางเป็นสีทอง สีหน้าไร้อารมณ์ ในมือถือแกนม้วนลักษณะคล้ายม้วนพระราชโองการของลัทธิเต๋า
นางพลิ้วกายขึ้นกลางอากาศสูง คลี่แกนม้วนนั้นออก แล้วเปิดปากพูดช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่เหมือนเสียงจากสวรรค์
ต่อให้เป็นหวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าที่มีความรู้กว้างขวาง พอได้ยินคำพูดประโยคนั้นของเทพหญิงชุดขาวแล้วก็ยังรู้สึกว่ามันเหลวไหลอย่างถึงที่สุด แต่ก็จำต้องเชื่อว่าเป็นความจริงอยู่หลายส่วน
ความหมายคร่าวๆ ก็คือ สถานที่แห่งนี้คือสถานที่บินทะยานพิสูจน์มรรคาของเจินเหรินยุคบรรพกาล เคยอยู่ในลำดับของถ้ำสวรรค์ลำดับที่สามสิบหก ควบพื้นที่มงคลระดับเจ็ดสิบเอ็ด คือสถานที่ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง พวกเขาบุ่มบ่ามบุกเข้ามาในจวนส่วนตัวของผู้อื่น ทั้งเป็นวาสนา แล้วก็เป็นความผิด ก่อนที่เจินเหรินผู้นั้นจะบินทะยาน ได้มอบโองการให้แก่พวกเขาสามคน โดยยินยอมให้ผู้ฝึกตนรุ่นหลังอาศัยสมบัติที่ได้ไปครองว่ามากหรือน้อยมาตัดสินโชควาสนาน้อยใหญ่ สุดท้ายสามารถอยู่ต่อได้ห้าคน ไม่เพียงแต่สามารถเก็บวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดิน วิชาลับตระกูลเซียนทั้งหมดที่ได้ไปในครองในมือไว้ได้ คนที่เป็นผู้นำยังจะได้รับสถานะผู้สืบทอดของเจินเหรินบินทะยาน คนอื่นๆ จะได้รับการบันทึกชื่อชั่วคราว และจะมีการถ่ายทอดมรรคกถาที่ชี้ตรงไปยังเซียนดินให้อีกวิชาหนึ่ง
ในช่วงเวลาสิบวันต่อจากนี้ สุดท้ายจะมีคนรอดชีวิตอยู่ได้แค่ห้าคน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะถือเป็นโมฆะ ไม่เพียงแต่ไม่เหลือโชควาสนาใดๆ ยังต้องถูกทัณฑ์สวรรค์ผ่าตายคาที่ ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ หากไม่สามารถช่วยขจัดมลทินสกปรกให้กับอาจารย์ได้ ก็ไม่คู่ควรจะได้รับโชควาสนาครั้งนี้
หลังจากที่ม้วนภาพนั้นถูกคลี่ออกก็พลันเปลี่ยนมาเป็นม่านน้ำใหญ่เหมือนน้ำตกที่ร่วงจากชั้นฟ้ามาสู่พื้นดิน
บนม้วนภาพวาดภาพเหมือนของคนห้าคนเอาไว้
ก็คือห้าคนในตอนนี้ที่ได้รับสมบัติไปมากที่สุด โชควาสนาลึกล้ำที่สุด
นอกจากม่านน้ำตรงจุดนี้แล้ว มุมหนึ่งบนภูเขา มุมหนึ่งด้านหลังภูเขา ขอแค่เป็นตำแหน่งที่มีคนอยู่ก็จะมีม่านน้ำเล็กๆ แขวนตัวอยู่กลางอากาศ
และถึงแม้ว่าเทพหญิงชุดขาวจะเปล่งเสียงพูดไม่ดัง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับก้องกังวานไปทั้งฟ้าดิน ทุกคนในพื้นที่ลับแห่งนี้ต่างก็ได้ยินกันหมด
ผู้ฝึกตนหนุ่มที่บนร่างพกพากระบอกเก็บพู่กันหยกขาวที่เป็นวัตถุฟางชุ่นของเสิ่นเจิ้นเจ๋อแห่งนครเหนือเมฆปากอ้าตาค้าง เขาก็อยู่ในลำดับนั้นด้วย อีกทั้งลำดับขั้นยังไม่ต่ำ เพราะอยู่เป็นอันดับที่สอง
ผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ด้านข้างทั้งดีใจทั้งเป็นกังวล
คนที่อยู่อันดับล่างสุดคือคุณชายหนุ่มพกดาบคนหนึ่ง
ตี๋หยวนเฟิง
คุณชายหน้าตาหล่อเหลาที่ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อยผู้นี้ก็ปากอ้าตาค้างไปเหมือนกัน
คนที่อยู่ลำดับสี่คือชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมที่ยืนกอดอกหรี่ตาอยู่ด้านหน้าป้ายศิลาของตำหนักแห่งหนึ่ง
อันดับที่สามคือผู้เฒ่าร่างผอมสูงที่สะพายห่อสัมภาระซึ่งดูเหมือนว่าจะทำมาจากชุดคลุมเต๋า
ก็คือนักพรตซุนที่บอกว่าตัวเองคือเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจากเรือนเทพสายฟ้า
เวลานี้นักพรตร่างผอมสูงเหงื่อแตกท่วมตัวราวกับตากฝน
อันดับหนึ่ง
ก็คือผู้เฒ่าหยุดดำที่กำลังกอดต้นไผ่ลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนือพื้น
เฉินผิงอัน
บนม้วนภาพที่ทุกคนมองเห็น ไอ้หมอนั่นยังคงไม่ยอมลงจากพื้น ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาเกาหัวแรงๆ จากนั้นก็พูดกับม้วนภาพภูเขาสายน้ำที่ลอยอยู่ข้างกายตัวเองด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อะไรกันนี่ เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้วจริงๆ”
——