กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 545.3 ทุกคนที่อยู่บนเรือล้วนอาจกลายเป็นศัตรู
หวนอวิ๋นลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสนอความเห็นว่า “พวกเราไม่ฆ่าคน แค่เก็บสมบัติ อีกทั้งสมบัติพวกนี้ไม่ว่าใครก็ไม่เอาไปทั้งนั้น จะเอาไปวางไว้ตรงอารามเต๋าบนยอดเขานั่นชั่วคราวก่อน”
ผู้นำคนหนึ่งของผู้ฝึกตนอิสระหัวเราะหยัน “นี่ไม่ได้เรียกว่าถอดกางเกงผายลมหรือไร? สุดท้ายคนที่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ก็มีแค่ห้าคนเท่านั้น พวกเรายกดาบฟันให้พวกเขาตายไปไวๆ หน่อย จะได้ไม่ต้องให้พวกเขาทรมานด้วย”
ผู้ฝึกยุทธสูงวัยอีกคนหนึ่งพยักหน้ารับ “ตายช้าตายเร็วก็ล้วนต้องตายเหมือนกัน ไม่สู้จัดการกับคนกลุ่มหนึ่งก่อน พวกเรามีกันหกคน ภายในเวลาห้าวัน ทุกคนก็จะสามารถปกป้องคนสี่ห้าคนไว้ได้ ตกลงไหม?”
สองคนนี้ก็คือคนที่เอ่ยคล้อยตามซุนชิง
จานชิงเอ่ย “ห้าคนมากเกินไป”
ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นจุ๊ปากพูด “เจ้ากับเมียไม่มีคนข้างกายให้ใช้อีกแล้ว ตอนนี้ก็เหลือคนอยู่แค่สองคน แน่นอนว่าต้องรู้สึกว่ามากไป ตามความคิดของท่านโหวน้อย หรือว่าควรจะเว้นชีวิตคนสองคนเอาไว้ ถึงจะกำลังดี?”
จานชิงสะบัดชายแขนเสื้อ แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “พวกเจ้าคุยกันต่อไปเถอะ ถือว่าข้าไม่อยู่ตรงนี้”
เดิมทีจานชิงยังอยากเสนอความเห็นให้ทุกคนหยุดการต่อสู้กันก่อน แล้วหันไปรับมือกับห้าคนนั้น จากนั้นค่อยมาว่ากันอีกที
แต่ดูท่าจะเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อไปเอง
คาดว่าตอนนี้ไม่ว่าเขาจานชิงจะพูดอะไรก็ล้วนเปล่าประโยชน์
ไม่พูดถึงคนห้าคนที่ได้สมบัติไปมากที่สุด
ตอนนี้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังเหลืออีกตั้งสี่สิบสองคน
ป๋ายปี้เอ่ย “ถ้าอย่างนั้นต่างฝ่ายต่างก็เหลือกันฝั่งละสามคน แต่บอกไว้ก่อนข้า ข้ากับจานชิงสามารถเลือกคนได้อีกสองคนเพื่อปกป้องชีวิตพวกเขา”
หวนอวิ๋นไม่ได้เอ่ยอะไร
เพราะนครเหนือเมฆมากันแค่สามคน
เขาหวนอวิ๋นเป็นเพียงแค่ผู้ปกป้องมรรคาในระยะเวลาสั้นๆ ถึงขั้นไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดมรรคาของเด็กสองคนนั้น ยิ่งไม่ใช่ผู้ฝึกตนของนครเหนือเมฆ
ส่วนความเป็นความตายของคนที่มากกว่านั้น เขาไม่อาจมามัวพะวงห่วงอยู่ได้จริงๆ
แม้ว่าซุนชิงจะไม่ยินดีมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนี้ แต่นางก็ไม่ได้เปิดปากอะไร นอกจากนาง อู่ชวนและหลิ่วกุยเป่าลูกศิษย์ของตนแล้ว ก็ยังเหลือตำแหน่งว่างอีกหนึ่ง
และเด็กสาวก็ได้ใช้เสียงในใจขอร้องให้ซุนชิงช่วยเหลือคนคนหนึ่ง
คือคนแปลกหน้าที่รู้จักกันระหว่างที่พวกนางขึ้นเขามา
รักแรกพบก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง
ซุนชิงไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง
ปีนั้นที่ตนได้พบกับบัณฑิตหนุ่มผู้นั้นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ขนาดตัวเองที่เป็นอาจารย์ยังเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีคุณสมบัติจะมาพร่ำพูดถึงหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่อะไรกับลูกศิษย์
แต่จู่ๆ ก็มีคนใช้วิธีรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธเป็นฝ่ายพูดกับซุนชิงว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคือเจ้าจวนซุนแห่งจวนไช่เฉวี่ย ข้ากับพี่น้องล้วนไม่เชื่อใจคนกลุ่มของท่านโหวน้อย ไม่สู้พวกเรามาร่วมกันมือพูดโน้มน้าวเทพเซียนผู้เฒ่าหวนอวิ๋นก่อน ให้เขาแค่นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ก็พอ พวกเรามาสังหารพวกจานชิงก่อน คนกลุ่มนี้คือพวกที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ที่สุด ป่าเถื่อนยิ่งกว่าผู้ฝึกตนอิสระเสียอีก หลังจากสังหารพวกเขาแล้ว เจ้าจวนซุนก็เป็นผู้นำของพวกเรา สุดท้ายข้ากับพี่น้องฉู่ค่อยร่วมมือกับจวนไช่เฉวี่ยของเจ้าลอบสังหารฝ่ายของหวนอวิ๋น ตกลงไหม? สุดท้ายก็จะเป็นพวกเราห้าคนที่รอดชีวิต แบบนี้จะไม่ยิ่งปลอดภัยมั่นคงหรอกหรือ?”
ซุนชิงขมวดคิ้วมุ่น
ทั้งไม่ตกลง แล้วก็ไม่ปฏิเสธ
ผู้ฝึกยุทธคนนั้นก็ไม่รีบร้อน
สำหรับเขาแล้ว หวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่ามีมรรคกถาสูง เดิมทีคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในการร่วมมือด้วย น่าเสียดายที่เป็นคนดีเกินไปหน่อย ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจทำเรื่องใหญ่ด้วยกันได้
ส่วนจานชิงกับผู้ฝึกตนหญิงโอสถทองคนนั้นต่างก็เป็นพวกชั่วร้ายที่มีความคิดสกปรกอยู่เต็มท้อง อยู่ไกลเกินกว่าจะทำให้คนวางใจได้อย่างซุนชิงแห่งจวนไช่เฉวี่ย
อีกทั้งซุนชิงที่เขามองสถานะออกก็มีตบะสูงมากพอ ฝีมือและกลอุบายของผู้ติดตามสองคนก็ยิ่งไม่เลว
ส่วนป๋ายปี้ที่มีชาติกำเนิดจากแคว้นฝูฉวีผู้นั้น ก่อนหน้านี้นางได้ป่าวประกาศตัวตนของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว แต่แล้วอย่างไรเล่า? ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำร้ายกาจนักหรือ? หากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลสำนักใหญ่กับมารดามันนั่นมีความสามารถจริงๆ ทำไมถึงไม่ฆ่าพวกเขาให้ตายไปเลยรวดเดียว?
อันที่จริงจานชิงพอจะเดาสภาพการณ์ทางฝั่งของตัวเองออกได้คร่าวๆ อยู่บ้าง
จึงยิ่งรู้สึกเสียใจมากกว่าเดิม
จนกระทั่งบัดนี้เขาถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าอะไรที่เรียกว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่แท้จริง รวมไปถึงอะไรที่เรียกว่าความไม่สมบูรณ์แบบมาแต่กำเนิดของพฤติกรรมของผู้ฝึกตนอิสระ
อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าพี่หญิงป๋ายยังต้องพลอยเดือดร้อนไปกับเขาด้วย
เพียงแต่ว่าผลลัพธ์ที่ทำให้จานชิงอารมณ์ดีก็คือ อีกเดี๋ยวจะต้องมีคนตายไปสิบแปดคน
ถึงอย่างไรทางฝั่งของเขากับพี่หญิงป๋ายก็ไม่เพียงแต่จะไม่มีคนตายอีก กลับยังจะมี ‘เค่อชิงผู้ถวายงาน’ ชั่วคราวเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน ถ้าอย่างนั้นหากทุกครั้งที่คนในกลุ่มลดน้อยลงไปหนึ่งคน เขากับพี่หญิงป๋ายก็จะมีโอกาสชนะเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน
ริมน้ำแถบหนึ่งของสะพานโค้งหยกขาวที่อยู่ตรงข้ามกับประตูภูเขาของจวนเซียน คนหนุ่มคนหนึ่งที่ตรงไหล่เจอพายุหมัดของเกาหลิงพัดผ่าน สีหน้าซีดขาว นั่งอยู่ริมตลิ่งของลำคลองอย่างอกสั่นขวัญผวา
ชุดคลุมแพรต่วนที่อยู่บนร่างถูกพายุหมัดพัดมาโดน จึงขาดวิ่นคลายตัวออกจากกันนานแล้ว
ชายฉกรรจ์ผู้ฝึกตนอิสระและคู่บำเพ็ญเพียรของเขานั่งเคียงไหล่กันอยู่ใกล้คนหนุ่มผู้นี้ ชายฉกรรจ์เอามือวักน้ำมาล้างหน้า พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที แล้วจึงหันหน้ามายิ้มเอ่ยปลอบใจ “คุณชายไหว ไม่ต้องร้อนใจไป สวรรค์ไม่ไร้ทางให้คนเดิน ข้ารู้สึกว่าท่านเป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง ตลอดทางที่ติดตามท่านมานี้ก็ไม่ใช่ว่าคลี่คลายเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีมาได้ตลอดหรอกหรือ? ตามความเห็นข้านะ โชควาสนาใหญ่ขนาดนี้ ควรมีของท่านส่วนหนึ่ง พวกเราสองสามีภรรยาแค่ขอแบ่งน้ำแกงส่วนหนึ่งมาจากคุณชายไหวก็พอ”
คนหนุ่มพึมพำภาษาทางการของอุตรกุรุทวีปที่ไม่ถือว่าคล่องปากนัก “ที่ต่อยตีกันเล็กๆ น้อยๆ ก่อนหน้านี้ก็เป็นแค่ปีศาจขอบเขตสี่ห้าที่ออกอาละวาด หากไม่ใช่เพราะรู้จักกับพวกเจ้า คาดว่าข้าก็คงได้แต่เดินอ้อมไปเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าไปร่วมวงต่อสู้ด้วย เดิมทีแค่คิดจะไปศึกษาต่อที่สำนักศึกษา คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้ ต้องตายแน่ๆ พวกเราต้องตายกันทุกคนแน่ๆ”
สตรีออกเรือนแล้วขมวดคิ้ว
ช่างเป็นหมอนปักลายบุปผาที่น่ามองแต่ไร้ประโยชน์จริงๆ วันๆ เอาแต่พูดจาอัปมงคลส่งเดช
ก่อนหน้านี้ยังพอจะทนได้ เพราะในถ้อยคำของบัณฑิตจากต่างทวีปผู้นี้ได้เผยให้เห็นความสัมพันธ์ที่ตื้นเขินระหว่างเขากับอาจารย์ของสำนักศึกษาท่านหนึ่ง ทำให้เขาพอจะสามารถเข้าไปยืมตำราคัดตำราจากในสำนักศึกษาได้
ผู้ฝึกยุทธห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งที่เพิ่งจะถึงคอขวดของขอบเขตสี่ ก่อนหน้านี้ตอนที่ร่วมวงต่อสู้คงจะเลือดร้อนขึ้นหัว ตอนแรกได้กินอาคมวิชาหนึ่งของท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเป่ยถิงไปก็ยังไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ต่อจากนั้นยังทะเล่อทะล่าบุ่มบ่ามจนเกือบจะเข้าไปชนพายุหมัดของเกาหลิงเข้า หากไม่เป็นเพราะถูกฝ่ามือข้างหนึ่งของเด็กสาวตบออกมา ป่านนี้ก็ตายศพไม่สมบูรณ์ไปแล้ว
ไม่เสียแรงที่เป็นบัณฑิต
เด็กสาวเรือนกายอรชรผู้หนึ่งเช็ดใบหน้า ตลอดทางที่เดินมานี้นางเอียงศีรษะไปถ่มเลือดทิ้งลงพื้นอยู่หลายคำ สุดท้ายก็มานั่งลงข้างกายบัณฑิตหนุ่มอย่างเปิดเผย แล้วเอ่ยว่า “คนแซ่ไหว ต่อจากนี้เจ้าติดตามข้ามา ไม่ต้องสนอะไรอีก”
คนหนุ่มมีสีหน้าเหลอเหลา ถามเบาๆ ว่า “ยังจะมีการเข่นฆ่ากันอีกหรือ?”
เด็กสาวยิ้มกล่าว “เจ้าจะทำเหมือนตอนก่อนหน้านี้ที่อยู่บนสะพาน ต่อให้ต้องตายก็จะช่วยข้าให้ได้อีกงั้นหรือ?”
คนหนุ่มรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ใครช่วยใครก็ยังไม่รู้แน่
เด็กสาวปลดกาเหล้าตรงเอวลง แล้วยื่นส่งไปให้ “ดื่มเหล้าปลุกความกล้าสักหน่อยไหม?”
คนหนุ่มส่ายหน้า ใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อย “แม่นางหลิ่ว ข้าไม่เคยดื่มเหล้า”
เด็กสาวจึงดื่มเอง แล้วจึงเช็ดปาก แหงนหน้ามองยอดเขา ยิ้มกล่าว “ไหวเฉียน หากอยากจะพูดว่า ‘ไม่สอดคล้องกับมารยาท’ ก็พูดมาตรงๆ เถอะ”
คนหนุ่มบื้อใบ้ไร้คำพูดตอบโต้
เด็กสาวก็คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ซุนชิงโอสถทองแห่งจวนไช่เฉวี่ยให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด หลิ่วกุยเป่า
คนตลอดทั้งจวนไช่เฉวี่ย แม้แต่อู่ชวินเองต่างก็รู้สึกว่าเด็กสาวต้องได้กลายเป็นเจ้าจวนคนถัดไปอย่างแน่นอน
เด็กสาวอายุยังน้อย แม้จะบอกว่าอายุเหมือนจะมากกว่าใบหน้าที่ยังคงอ่อนเยาว์อยู่สักหน่อย แต่ท่ามกลางผู้ฝึกตนบนภูเขาก็ถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนได้อย่างสมชื่อแล้ว ตอนนี้นางมีตบะเป็นขอบเขตถ้ำสถิต
อีกทั้งก่อนหน้าที่อู่ชวินจะนำขบวนลงมือกับเกาหลิง การเปิดปากสองครั้งของนางก็เป็นตัวตัดสินการดำเนินไปของสถานการณ์การสู้รบทั้งหมดโดยตรง ถึงขั้นพูดได้ว่าคนที่จานชิงและป๋ายปี้เคียดแค้นที่สุดก็คือเด็กสาวที่ขอบเขตไม่สูงผู้นี้
บัณฑิตหนุ่มที่เดินทางจากต่างทวีปมาศึกษาต่อผู้นี้ แซ่ไหวนามเฉียน ซึ่งอยู่ดีไม่ว่าดีก็ถูกลากเข้ามาอยู่ในหายนะครั้งนี้
ถึงอย่างไรหลิ่วกุยเป่าก็ถูกใจเขามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทางโง่งมที่พยายามแสร้งว่าตัวเองคือคนมีประสบการณ์โชกโชนในยุทธภพ ท่าทีที่แสร้งทำเป็นว่าฉลาดนั้น ดูซื่อๆ น่ารักน่าเอ็นดูมากจริงๆ
บางทีอาจเป็นเพราะตัวของหลิ่วกุยเป่าเองเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวเกินวัย จึงทำให้ยิ่งมองก็ยิ่งชื่นชอบไหวเฉียนที่ไม่เคยเสแสร้งในเรื่องของขอบเขตและตบะ
ก็เหมือนอย่างที่อาจารย์บอก หากชอบคนคนหนึ่งแล้วยังต้องมีเหตุผล มีเหตุผลมากมาย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้ชอบจริงๆ แล้ว ต้องรีบเปลี่ยนคนชอบใหม่
ทุกครั้งที่อาจารย์ดื่มเหล้าเมามายจะพูดเปิดเผยความในใจกับลูกศิษย์อย่างนาง จะคอยเล่าเรื่องราวต่างๆ ของท่านหลิว ทุกครั้งที่นางหลุดพูดเรื่องพวกนี้เมื่อไหร่ ยามอยู่ในสายตาของหลิ่วกุยเป่า อันที่จริงกลับน่ารักอย่างมาก
ทางฝั่งของอาจารย์ก็เริ่มมีการตัดสินใจบางอย่างแล้ว
หลิ่วกุยเป่ารู้สึกว่านี่น่าเบื่อยิ่งนัก
ปรึกษากันว่าควรฆ่าใคร ตอนนี้ก็คือกำลังตัดสินใจว่าจะฆ่าอย่างไร ใครเป็นคนฆ่า
คนที่ฉลาดหน่อยก็น่าจะสัมผัสได้ถึงสัญญาณนี้บ้างแล้ว
หลิ่วกุยเป่าหันหน้าไปมอง ดูท่าคนที่ฉลาดจะมีอยู่น้อย
ส่วนทางฝั่งหกคนของอาจารย์ยังคงมีปณิธานแน่วแน่ ง่วนอยู่กับการวางแผนปัดแข้งปัดขากันเอง
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งนั่งอยู่ริมลำคลองเพียงลำพัง มือเท้าเย็นเฉียบ
เขาอยู่ห่างจากทุกคนมาช่วงระยะหนึ่ง ช่วยไม่ได้ อยู่ตัวคนเดียว ไม่ได้ตายอยู่ในศึกวุ่นวายก่อนหน้านี้ก็ถือว่าบนหลุมศพของบรรพบุรุษมีควันเขียวผุดขึ้นมาแล้ว
บนเท้าของชายฉกรรจ์สวมรองเท้าคู่หนึ่งที่ถูกใช้งานมาอย่างหนัก
ไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนใช้เสียงในใจตะโกนขึ้นมาก่อน บอกว่าหกคนนั้นยอมรับข้อเสนอของท่านโหวน้อยจานชิง ตัดสินใจจะฆ่าผู้ฝึกตนอิสระทุกคนให้สิ้นซาก
ใครก็ไม่ค่อยกล้าแน่ใจนัก แต่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าไม่เชื่อ
หลังจากอึ้งงันกันไปครู่หนึ่งก็เริ่มมีคนจับกลุ่มกันสองสามคน บ้างก็เผ่นหนี บ้างก็ทะยานลม ถอยออกห่างมาจากสะพานโค้งหยกขาวแห่งนั้น
เห็นได้ชัดว่าคนที่ออกเสียงไม่มีวิชาลับเฉพาะอย่างหลิ่วกุยเป่า อีกทั้งยังดูแคลนกระแสจิตที่เฉียบคมของคนหกคนบนชายฝั่งตรงข้ามมากเกินไป
เขาจึงถูกหมายหัวทันที
และคงเป็นเพราะไม่อยากเปิดเผยพิรุธให้เด่นชัดเกินไป เขาถึงไม่ได้เผ่นหนีนำไปก่อน แต่รอให้คนเกินครึ่งเริ่มเป็นเหมือนฝูงนกที่แตกรัง แล้วถึงได้เตรียมจะหมุนตัวกลับ ผลกลับถูกเกาหลิงใช้ปลายเท้าดีดดาบแหลมคมเล่มหนึ่งขึ้นมา แล้วขว้างออกไป ดาบแทงทะลุศีรษะอีกฝ่าย ตายคาที่ทันที
จานชิงคิดจะห้ามปราม แต่กลับไม่ทันแล้ว
วิธีการใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นอย่างต่ำช้าเช่นนี้ ความจริงเป็นอย่างไร อันที่จริงไม่ได้สำคัญแล้ว
เขารู้สึกว่าการเดินทางมาเล่นสนุกหาสมบัติที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของตนครั้งนี้ มีแต่เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เวลานี้จึงเริ่มชินชาแล้ว
อู่ชวินสีหน้าเปลี่ยวเหงา เพียงแต่ว่าปกปิดได้ดี
คนที่ตายไปคือแกนกลางหลักของตระกูลเซียนภูเขาเล็กแห่งหนึ่ง
คือผู้ฝึกตนวัยชราจำนวนน้อยนิดที่หวังว่าจะอาศัยซากปรักจวนเซียนแห่งนี้มาต่อชีวิตของตัวเองไปอีกสักสองสามปี
ดังนั้นอู่ชวินจึงทำการค้ากับผู้ฝึกตนเฒ่าที่รู้ตัวดีว่าต้องตายอย่างแน่นอนผู้นี้
แน่นอนว่าอู่ชวินย่อมรักษาสัญญา วันหน้าจวนไช่เฉวี่ยจะแอบให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนแก่ภูเขาเล็กลูกนั้นของเขาอย่างลับๆ อีกทั้งยังรับปากว่าภายในเวลาหนึ่งร้อยปี อย่างน้อยที่สุดจะอบรมปลูกฝังให้เกิดผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางสามคนซึ่งรวมลูกศิษย์คนสุดท้ายของผู้ฝึกตนเฒ่าเป็นหนึ่งในนั้น
นี่ก็คือค่าตอบแทนที่ผู้ฝึกตนเฒ่าใช้ชีวิตของตัวเองแลกเปลี่ยนมา
ในบรรดาหกคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
มีคนไม่น้อยที่เริ่มไม่เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ว่าสุดท้ายแล้วเป็นใครที่แอบบงการอยู่ลับๆ หรือผู้ฝึกตนเฒ่าคนนั้นเสียสติไปเอง เขามีความแค้นเก่าแก่กับจวนโหวแคว้นเป่ยถิงหรือไม่ ก่อนตายถึงได้คิดจะลากให้ท่านโหวน้อยเดือดร้อนไปด้วย ทุกอย่างนี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว
ทว่าการที่คนเหล่านี้แตกฮือกันไปสี่ทิศ
ก็ยังคงทำให้คนทั้งหกรู้สึกเหนื่อยใจได้อยู่ดี
ยังจะทำอะไรได้อีก ก็แค่ต้องแยกย้ายกันไปไล่ฆ่าเท่านั้น
เชื่อว่าเกาหลิงย่อมเป็นคนที่ทุ่มเทพละกำลังมากที่สุด
เพราะผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองผู้นี้มีไฟโทสะเดือดพล่านที่สุด ปราณสังหารเข้มข้นที่สุด ความแค้นเคืองเดือดดาลถูกเก็บกลั้นอยู่ในท้องมาเนิ่นนานแล้ว
ต่อให้จะได้รับบาดเจ็บไม่เบา แต่เดิมทีเรือนกายของผู้ฝึกยุทธก็มีข้อดีด้านความแข็งแกร่งยืดหยุ่นอยู่แล้ว คิดจะสังหารกองกำลังเล็กๆ ที่จับกลุ่มกันอยู่กลุ่มละสองสามคน ยังคงง่ายดายเหมือนยกฝ่ามือ
ทว่าเด็กสาวหลิ่วกุยเป่าและบัณฑิตหนุ่มไหวเฉียนกลับไม่ได้หนีไป อู่ชวินเองก็เดินมาหยุดอยู่ข้างกายพวกเขา แล้วเริ่มจัดการกับบาดแผลของตัวเอง
ยังมีคนอีกสองกลุ่มท่าทางกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ไม่ได้ขยับเท้าหนีไปไหน
แบ่งเป็นคนของผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตประตูมังกร และปรมาจารย์วิถีวรยุทธสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ท่ามกลางกลุ่มคนที่แตกกระจายกันไปนั้น ชายฉกรรจ์ผู้ฝึกตนอิสระที่นึกเจ็บใจที่ตัวเองไม่มีขาเพิ่มมาอีกสองขา เริ่มค่อยๆ ทิ้งระยะห่างจากคนข้างกาย เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อใจใครสักคน อีกทั้งก็ดูเหมือนว่าไม่ว่าใครก็ล้วนสามารถสังหารเขาได้
ก่อนหน้านี้ใช้เงินเกล็ดหิมะแปดเหรียญซื้อยันต์สายฟ้าราคาแพงลิบลิ่วแผ่นนั้นมา ตอนที่อยู่ท่ามกลางศึกสังหารตรงสะพานโค้งหยกขาว มันได้ช่วยชีวิตเขาไว้จริงๆ เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาไม่มีคาถาหรือสมบัติอะไรติดกายอีกแล้วจริงๆ
แล้วเขาก็พลันได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นหูสักนิดดังขึ้นข้างกาย “ฆ่าหมู?”
ชายฉกรรจ์หันขวับอย่างขนลุกขนพอง แต่เท้าก็ไม่หยุดเดิน เขาเห็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง จึงถามหยั่งเชิงไปว่า “มารดามันเถอะสองครั้ง?”
คนผู้นั้นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ชายฉกรรจ์เกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา
เจ้าตัวดี ในที่สุดก็มีพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากที่โชคชะตารันทดเหมือนกันแล้ว
ชายฉกรรจ์ชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย “คงไม่ฆ่าข้าหรอกกระมัง?”
ส่วนข้อที่ว่าก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะไม่เคยเห็นหน้าคนผู้นี้มาก่อน ชายฉกรรจ์ก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปคิดให้มากความแล้ว
เจ้าของแผงร้านผ้าห่อบุญในตลาดนครเหนือเมฆที่ไม่รู้ว่าเหตุใดโฉมหน้าถึงได้เปลี่ยนมาเป็นเด็กหนุ่มสวมชุดเขียวส่ายหน้าเอ่ย “ฆ่าเจ้าจะได้เงินหรือ? ต่อให้ได้เงิน แล้วข้าจะเอาชนะพวกบุคคลยิ่งใหญ่เหล่านั้นได้หรือ?”
ชายฉกรรจ์ถอนหายใจโล่งอก แล้วจึงไม่พูดอะไรอีก
คนทั้งสองพากันก้มหน้าก้มตาชักเท้าวิ่งตะบึง
——