กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 546 เหตุใดกล้าโมโห แต่ไม่กล้าพูด
หลังจากที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดชะงัก
ภูเขาสูงน้ำลึก ฟ้าดินเงียบสงัด
หวงซือหลบอยู่ในภูเขาลึกด้วยการขุดช่องโพรงเล็กแคบบนหน้าผาที่มี ต้นสนโบราณขึ้นบดบัง พื้นที่นั้นพอแค่ให้เขากับห่อสัมภาระใบใหญ่อยู่ได้เท่านั้น เวลานี้เขาที่ตัวแข็งค้างอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาเหงื่อแตกโซมกาย ในบรรดาคนทั้งสี่ที่ขึ้นเขามาหาสมบัติ หวงซือคิดมาโดยตลอดว่าตัวเองสามารถ สังหารคนทั้งสามได้ตามใจชอบ คิดไม่ถึงว่าที่แท้เขาต่างหากที่เป็นบุคคลตัวเล็กๆ ที่สามารถตายได้ง่ายที่สุด
ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมที่มีชื่อว่าจินซานผู้นั้นหลบซ่อนตัวอยู่ในกอต้นกก ริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง บนร่างของเขาแปะยันต์แบกศิลา สีหน้าทึ่มทื่อ
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเสิ่นเจิ้นเจ๋อแห่งนครเหนือเมฆจับมือกัน เส้นเอ็น บนหลังมือปูดโปน แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่ไม่สงบของชายหญิงคู่นี้ในเวลานี้ได้เป็น อย่างดี
ผู้ถวายงานสวี่ขอบเขตประตูมังกรที่อยู่ห่างจากชายหญิงไปไม่ไกลสีหน้าเขียวคล้ำ สายตาคล้ายจะเลื่อนลอย
ทุกคนที่อยู่บนยอดเขา หวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าหลับตาลง ร่างทั้งร่างแสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าสุดขีด ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่
เกาหลิงแม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน สองหมัดกำแน่น สีหน้าคล้ายเจ็บปวด
อู่ชวินสีหน้าอึ้งค้าง มือหนึ่งกดไว้ตรงหัวใจ น่าจะถูกเรื่องไม่คาดฝันเรื่องแล้ว เรื่องเล่าสั่นสะเทือนจนสมองว่างเปล่าไปแล้ว
ทุกคนอยู่ในสีหน้าท่าทางที่แตกต่างกันไป
หลังจากที่ไหวเฉียนตาย องค์เทพร่างทองและหุ่นเชิดก่อกำเนิดที่ช่วยรับกระบี่จากการประกบสองนิ้วง่ายๆ นั้นแทนเขาก็เปลี่ยนจากยันต์สีเขียวสองแผ่นเป็นสี่แผ่น ลูกกลมฉลุลายสีทองที่ด้านในบรรจุกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่จำนวนมากเอาไว้ ก่อนหน้านี้ได้กลิ้งตกลงพื้น สุดท้ายนอนนิ่งแนบติดอยู่กับรั้ว บนพื้นผิวยังมีคราบเลือดเปรอะเปื้อน
ปราณกระบี่เสี้ยวนั้นแหลมคมเกินไป เป็นเหตุให้จิตวิญญาณ โอสถทองและก่อกำเนิดของไหวเฉียนล้วนแหลกสลายไปในชั่วพริบตา แม้แต่วัตถุจื่อชื่อมูลค่า ควรเมืองสองชิ้นที่อยู่บนร่างก็ยังพังคาที่ แน่นอนว่าของทุกชิ้นที่ถูกเก็บรักษาไว้ด้านในย่อมเป็นดั่งควันที่สลายหายไปตามสายลม กลายมาเป็นปราณวิญญาณเข้มข้นที่ ผสานรวมเข้ากับภูเขาสายน้ำของที่แห่งนี้
การหยุดชะงักของแม่น้ำแห่งกาลเวลา บางครั้งก็จะมีริ้วคลื่นใสเป็นประกายเจ็ดสีกระเพื่อมขึ้นเป็นระลอก ประหนึ่งหินก้อนเล็กที่ถูกโยนลงแม่น้ำ ความเคลื่อนไหว ไม่มาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีสะเก็ดน้ำเล็กๆ แตกตัว
บนยอดเขามีเพียงแผ่นกระเบื้องแก้วมรกตแต่ละแผ่นที่อยู่ท่ามกลางซากปรักอารามเต๋าซึ่งคล้ายว่าจะเสียดสีขัดเกลาอยู่กับแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่หยุดชะงัก จึงส่องประกายรัศมีเป็นวงๆ ที่มีเฉพาะตัวของกระเบื้องแก้วซึ่งผ่านการหลอมจาก วิชาลับของเซียนออกมา
เฉินผิงอันเคยชินกับการตกอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้แล้ว ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย สามารถขัดเกลาเรือนกายของผู้ฝึกยุทธได้
เขายังเคยได้เห็นกับตาตัวเองว่า ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาสามร้อยปีของพื้นที่มงคลดอกบัว ตงไห่ผู้เฒ่าเจ้าอารามกวานเต๋าคอยโยนก้อนสีทองขนาดเท่า เมล็ดข้าวสารลงไปในแม่น้ำอยู่เป็นระยะ
แต่เฉินผิงอันไม่ได้รับปราณกระบี่กลุ่มนั้นมาโดยตรง
นักพรตซุนยิ้มกล่าว “ทำไม กลัวรึ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ค่อนข้างกลัวอยู่บ้าง”
นักพรตซุนเอ่ย “คือโชควาสนาที่เจ้าสมควรได้รับ ไม่ได้เกี่ยวกับว่า ‘นักพรตซุน’ ที่รู้จักเจ้าคนนั้นเห็นว่าเจ้าเป็นคนดีหรือคนเลว แค่รับไปอย่างสบายใจก็พอ คนทุกคนในใต้หล้าที่ไม่ไปรนหาที่ตายด้วยตัวเองล้วนไม่สมควรตาย อย่างน้อยที่สุดกับข้า ผู้เป็นนักพรตก็เป็นเช่นนี้ ส่วนพวกที่รนหาที่ตายเอง จะโทษก็โทษที่ที่พึ่งไม่สูงมากพอ ชื่อของบรรพบุรุษในบ้านตัวเองไม่น่าตกใจมากพอ”
นักพรตซุนพูดมาถึงตรงนี้ก็ชำเลืองตามองศพนั้น
สิบอันดับแรกของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
สามารถเทียบกับสิบอันดับแรกของตลอดทั้งใต้หล้ามืดสลัวได้หรือ?
หากคิดจะงัดข้อกับข้าผู้เป็นนักพรต ข้าผู้เป็นนักพรตล่ะกลัวจริงๆ ว่าด้วยแขนขาเล็กๆ ของบรรพบุรุษเจ้านั่น แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่กล้ายื่นส่งออกมา
แต่วิชากระบี่และร่างจริงแห่งชะตาชีวิตของนักพรตซุนล้วนถูกทิ้งไว้ในอารามเต๋าของใต้หล้ามืดสลัว อีกทั้งในใต้หล้าไพศาลยังมีกฎของลัทธิขงจื๊อคอยกำราบเอาไว้ ดังนั้นนักพรตซุนในเวลานี้จึงอยู่ห่างจากสภาวะที่พรั่งพร้อมสุดขีดมากนัก
เฉินผิงอันถึงได้หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมา เก็บเศษซากปราณกระบี่ที่บริสุทธิ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้นั้นเข้าไปในน้ำเต้า น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พลันหนักอึ้ง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสมอบให้ มิกล้าปฏิเสธ”
นักพรตซุนยิ้มรับ แล้วถอนสายตากลับมา ไม่เห็นว่าเขาจะมีท่าทางเช่นไร แต่ตี๋หยวนเฟิง จานชิงและหลิ่วกุยเป่าสามคนพลันตื่นคืนสติ อยู่ท่ามกลางแม่น้ำ แห่งกาลเวลาที่หยุดชะงักไม่เดินหน้า พวกเขารู้สึกเวียนหัวตาลายเล็กน้อย โดยเฉพาะจานชิงที่รู้สึกเพียงว่าอวัยวะภายในแทบจะแหลกสลายหมดแล้ว ร่างทั้งร่างจึงโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ เพียงแต่กัดฟันเอาไว้ ไม่ให้ตัวเองล้มลง
ไม่เพียงเท่านี้ นักพรตซุนยังทำให้โอสถทองสองคนอย่างซุนชิงและป๋ายปี้ กลับคืนมาเป็นปกติเหมือนเดิมด้วย
นักพรตซุนเอ่ย “ข้าผู้เป็นนักพรตคิดจะรับพวกเจ้าสามคนเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ แต่ข้าผู้เป็นนักพรตจะไม่ทำให้ใครลำบากใจ พวกเจ้ายินดีจะเปลี่ยนสำนักหรือไม่ ก็สามารถเลือกเองได้ แต่จำไว้ว่าโอกาสมีแค่ครั้งเดียว แค่ถามจิตใจดั้งเดิม ของตัวเองก็พอ”
จานชิงท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเป่ยถิงคุกเข่าโขกหัวขอบคุณอย่างไม่ลังเล น้ำตาเอ่อคลอเต็มดวงตาของเขา
เขาไม่แม้แต่จะหันไปมองพี่หญิงป๋ายของเขาด้วยซ้ำ
ป๋ายปี้เสียใจกับการที่ต้องจากลา นางจะพูดก็ได้ แต่นางไม่ได้เปิดปากพูดคำใด
เพราะนางไม่รู้ว่าควรจะแสดงความยินดีกับเขา หรือควรจะเสียใจกับตัวเอง
ตี๋หยวนเฟิงที่ตลอดทางมานี้สวมรองเท้าสานถือไม้เท้าเดินป่าแบมือประสานคารวะเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้เลียนแบบคนของลัทธิเต๋า ในใจเหมือนมีแม่น้ำ มหาสมุทรพลิกคว่ำ ความรู้สึกนับร้อยประดังประเดเข้ามาหา
คิดดูแล้วก็คงรู้สึกว่าการทำความเคารพเช่นนี้ไม่ยิ่งใหญ่มากพอ จึงคุกเข่าลงบนพื้น โขกหัวสามครั้ง เนิ่นนานก็ยังไม่กล้าลุกขึ้นมา
ระหว่างที่หมอบกราบอยู่กับพื้น ตี๋หยวนเฟิงรู้สึกราวกับว่าฝันไป
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในห้องหนังสือของถ้ำ ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่มองดูเหมือนมี วิชาอภินิหารค้ำฟ้าเป็นฝ่ายเผยกายออกมาพบตน บอกว่าจะรับเขาเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา
ต่อมาเจ้าหมอนั่นก็ตายไปแล้ว เปลี่ยนมาเป็น ‘นักพรตซุน’ ตรงหน้านี้ที่จะรับตนเป็นลูกศิษย์แทน
เมื่อชาติก่อนเขาตี๋หยวนเฟิงทำความดีสะสมบุญกุศลมากี่มากน้อยกันแน่?
ทว่านักพรตซุนกลับไม่ได้เปิดเผยความลับให้เขารู้ เรื่องวาสนาแห่งเต๋าของสายเขานั้น ยิ่งเป็นโอกาสที่ได้มายากก็ยิ่งต้องรีบไขว่คว้า ไม่ควรปล่อยให้เวลาล่วงเลย จนตัวเองกลายเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ
ศิษย์น้องคนนั้นของเขา ปีนั้นก็สวมรองเท้าสานถือไม้เท้าเดินป่าออกท่องไปทั่ว ใต้หล้าเช่นกัน
เพียงแต่ว่ามหามรรคายากจะคำนวณ ต้องมาโดนกระบี่ที่โจมตีอย่างเต็มกำลังของเต๋าเหล่าเอ้อร์แห่งป๋ายอวี้จิง สุดท้ายกายดับมรรคาสลาย
ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลต่างก็พูดกันว่า แม้ศิษย์น้องของเขาจะตาย แต่ก็ตาย อย่างสมเกียรติ สามารถทำให้เต๋าเหล่าเอ้อร์ลงมืออย่างเต็มกำลัง เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นตลอดสามพันปี
นักพรตซุนไม่คิดจะสนใจคำพูดระยำที่ฟังเหมือนไพเราะพวกนี้
ปีศาจตนนั้นโปรดปรานตี๋หยวนเฟิง สาเหตุก็มาจากเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าเห็นแก่บุญคุณในอดีตของผู้ที่มีรูปปั้นตั้งบูชาอยู่ในอารามเต๋าจริงๆ แต่เป็นเพราะหวังจะให้เป็น นิมิตหมายที่ดี
ส่วนเด็กสาวหลิ่วกุยเป่านั้นก็ไม่ต่างจากจานชิง เป็นเวทอำพรางตาที่นักพรตซุนคิดขึ้นมาได้กะทันหัน แต่ว่าสำหรับพวกเขาแล้ว วาสนาแห่งเต๋าก็ยังคงเป็นวาสนา แห่งเต๋า อีกทั้งยังไม่ถือว่าเล็ก วันหน้าต่างคนต่างก็มีโชคแตกต่างกันไป ก็หนีไม่พ้น คำว่าอาจารย์พาเข้าสำนัก ฝึกตนอยู่ที่ตัวเอง ต่อให้เป็นตี๋หยวนเฟิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ในความเป็นจริงแล้ว ท่าเรือดอกท้อและน้ำชาดอกท้อของจวนไช่เฉวี่ย อันที่จริงนั้นพอจะมีความเกี่ยวข้องกับสายเซียนกระบี่ของนักพรตซุนอยู่บ้าง วาสนาแห่งเต๋า บนโลกจะเล็กแค่ไหน ก็ยังคงเป็นวาสนาแห่งเต๋า
จิตแห่งเต๋าของสามคนนี้ สามารถค่อยๆ ขัดกลึงไปได้ วันนี้ขอบเขตเป็นอย่างไร หรือถึงขั้นที่ว่าตบะของชีวิตนี้จะสูงหรือต่ำ หากมองในระยะไกล บางทีก็อาจ ไม่ต่างจากอิฐเขียวก้อนหนึ่งบนบันไดที่ใช้ขึ้นเขา
เด็กสาวคนนั้นลังเลตัดสินใจไม่ได้
ซุนชิงพยายามจะใช้เสียงในใจบอกกับลูกศิษย์ผู้นี้ว่า โชควาสนาบนมหามรรคา อยู่ใกล้ในระยะประชิด หากยังไม่ยื่นมือออกไปคว้า ไม่แน่ว่านาทีถัดมานึกเสียใจก็ สายไปแล้ว!
เพียงแต่ว่าร่างของซุนชิงพลันกระเด็นหวือออกไป เลือดสดไหลออกจากทวาร ทั้งเจ็ด หัวใจสั่นกระเพื่อมไม่หยุด จิตวิญญาณได้รับความทรมานทำให้ซุนชิงเจ็บปวดจนพูดไม่ออก!
นักพรตซุนมองไปยังหลิ่วกุยเป่าแล้วส่ายหน้า “คุณสมบัติดีกว่าจานชิง น่าเสียดายที่จิตใจไม่สอดคล้องกับมรรคาสายข้า ช่างเถิด”
นาทีนั้นในใจเด็กสาวพลันวูบโหวง
น้ำตาไหลอาบเต็มใบหน้าอย่างที่ไม่อาจห้ามตัวเองได้
แต่นางก็ยังกัดฟันไม่พูดไม่จา ยืนอยู่ตรงนั้นไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ซุนชิงดิ้นรนลุกขึ้นยืน อยากจะเกลี้ยกล่อมลูกศิษย์สักคำสองสาม อยากจะบอกเด็กโง่ผู้นี้ว่าเป็นเจ้าจวนไช่เฉวี่ยอย่างนางที่ขับไล่นางออกจากศาลบรรพจารย์ หาใช่นางทรยศออกจากสำนักไม่
ต่อให้หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนแล้วอย่างไร บนมหามรรคา โชควาสนาที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้เจ้าได้ไปเกิดใหม่ร้อยรอบพันรอบ จะยังได้พบเจอเป็นครั้งที่สองหรือ?
บนเส้นทางการฝึกตน โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าที่ลี้ลับมากมาย มีเพียงแค่ครั้งเดียว ในชาตินี้ภพนี้จริงๆ หากพลาดไปครั้งหนึ่ง ก็ไม่มีทางได้พบเจออีกในชีวิตนี้
นักพรตซุนชำเลืองตามองโอสถสาวผู้นั้นแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สภาพจิตใจเจ้านับว่าไม่ธรรมดา น่าเสียดายที่คุณสมบัติแย่เกินไป หากโชคดีหน่อย อย่างมากก็ หยุดอยู่ที่ก่อกำเนิดเท่านั้น”
บางทีคำพูดอาจจะไม่น่าฟัง
แต่กลับเป็นความจริง
นักพรตซุนเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็พาไปแค่สองคน ตี๋หยวนเฟิง จานชิง ลุกขึ้นมา วันหน้าเมื่ออยู่กับข้าผู้เป็นนักพรต ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทพิธีการระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์พวกนี้”
นักพรตซุนคิดแล้วก็หอบเอาปีศาจขอบเขตหยกดิบที่ถูกฟันออกเป็นสองท่อนมาที่ยอดเขา “ชอบแกล้งตายนักรึ? ให้ข้าผู้เป็นนักพรตไปส่งเจ้าดีไหม?”
หนึ่งศพที่ร่างแบ่งออกเป็นสองนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น มีเพียงความเงียบงัน
นักพรตซุนหัวเราะหยัน “ในอดีตศิษย์น้องของข้าผู้เป็นนักพรตนำพาเจ้าเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตน แม้จะบอกว่าสายของข้าผู้เป็นนักพรตไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องบุญคุณความแค้น แต่สัตว์เดรัจฉานอย่างเจ้ากลับไม่รู้จักสำนึกบุญคุณเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นเรื่องสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
ร่างของปีศาจใหญ่ตัวนั้นสั่นสะท้านไม่หยุด
นักพรตซุนพยักหน้ารับ “ปีนั้นข้าผู้เป็นนักพรตช่วยศิษย์น้องไม่ได้ แต่กลับสามารถช่วยให้เขาตัดขาดความพัวพันของวาสนาแห่งเต๋าครั้งนี้ได้”
เล่นกับจิตใจคน? สนุกนักหรือ? จิตใจดั้งเดิมของตัวเองยังไม่รู้ แต่ดันไปหยิบ ก้อนโคลนมาจากกองโคลนเละๆ ไม่กลัวว่าจะทำให้คนหัวเราะจนฟังร่วงหรืออย่างไร
อยู่ข้างกายศิษย์น้องมานานหลายปีขนาดนั้น ผลกลับกลายเป็นว่าอ่านตำราของสามลัทธิร้อยสำนักมากมายมาอย่างเสียเปล่า
รู้แค่คำว่า ‘แสวงหาความจริง’ อย่างผิวเผิน แต่กลับไม่รู้แก่นแท้ของสองคำว่า ‘ระวัง’
นักพรตซุนยื่นมือไปวางบนศีรษะของปีศาจใหญ่แล้วตบเบาๆ ฝ่ายหลังไม่ทัน ได้ดิ้นรน ดวงจิตก็พลันดับสลาย แม้แต่เสียงร้องโหยหวนก็ยังไม่ทันได้ปล่อยออกมา แต่กลับมีของสองชิ้นหลุดออกมาแล้วร่วงลงสู่พื้น
ตำราผุๆ เล่มหนึ่ง กับวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งที่เป็นแผ่นป้าย
นักพรตซุนชำเลืองตามองครั้งเดียวแล้วก็ไม่มองอีก เขาหัวเราะแล้วกวักมือไปยังทิศทางหนึ่ง
ขณะเดียวกันนั้น ในบรรดาคนทั้งห้าซึ่งร่วมถึงตัวตี๋หยวนเฟิงเองต่างก็หวนกลับคืนมาในแม่น้ำแห่งกาลเวลาอีกครั้งโดยที่ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันรู้ได้ในทันใดว่าตัวเองถูกร่ายวิชาอภินิหารย่อพื้นที่ ทำให้มาถึงยอดเขาของพื้นที่แห่งนี้ในชั่วพริบตา เขาพลิ้วกายยืนนิ่ง แล้วก็ไม่ได้ปิดบังอำพรางใดๆ อีก เพราะไม่มีความจำเป็น
นักพรตซุนรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย “เคยเดินทางผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลามา หลายครั้งแล้ว?”
เฉินผิงอันตอบกลับไปตามตรง “ไม่ถือว่าบ่อย แต่ระยะเวลาไม่สั้น”
นักพรตซุนยิ้มกล่าว “ในเมื่อเคยเห็นทัศนียภาพในจุดที่สูงกว่ามาก่อนแล้ว ก็ต้องหัดเห็นค่าและทะนุถนอม อย่าได้เลียนแบบไหวเฉียนผู้นั้นที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ครอบครัวคนทั่วไปยังรู้จักแปะภาพเทพทวารบาลปัดเป่าเสนียดจัญไร เจ้าเด็กคนนั้นกลับดีนัก ดันแปะคำว่าอยากตายไว้บนหน้าผากตัวเอง ปราณกระบี่เสี้ยวนั้นที่ใคร บางคนทิ้งไว้หมายตาเขาไหวเฉียน ข้าผู้เป็นนักพรตก็ยังพอจะอดทนข่มกลั้นได้ มีเพียงพวกคนที่ใจคิดแต่จะอยากตายเท่านั้นที่ข้าไม่เคยคิดจะทำให้พวกเขาได้สมใจปรารถนา”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย
นักพรตซุนเอ่ย “หวงซือผู้นั้น? ไม่ถือว่าดิ้นรนหาความตาย แต่ดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ ในสายตาของข้าผู้เป็นนักพรต เจ้ากับหวงซือมีวิชาเอาตัวรอดเหมือนกัน เพียงแค่วิธีการไม่เหมือนกันเท่านั้น ส่วนเส้นทางของพวกเจ้ามีความสูงต่ำต่างกันหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งที่ข้าผู้เป็นนักพรตจะพูดได้ เส้นทางไม่ได้อยู่ที่ความสูง แต่อยู่ที่ความยาวไกล”
เฉินผิงอันจึงไม่มีคำถามเล็กๆ อยากจะถามอีก
แต่เฉินผิงอันกลับมีคำถามใหญ่ที่อยากถามอย่างมาก
นักพรตซุนเอ่ยอีกว่า “เจ้าให้ความสำคัญกับความดีเลวของใจคนและผลกรรม บนโลกมากเกินไป แต่ก็ยังมองอย่างตื้นเขินเกินไป ดังนั้นถึงได้เหนื่อยใจอย่างตอนนี้ หลายๆ เรื่อง ทำไปแล้ว สุดท้ายก็ยังไร้ประโยชน์ ฟ้าดินไม่ได้ไร้ชีวิต ย่อมต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนเรื่องราวทางโลกให้ถูกต้องเอง แต่ว่ารอจนขอบเขตสูงมากพอ ก็ยังพอจะ มีโอกาสพร่าเลือนที่จะแก้ไขตัวแปรบางอย่างได้อย่างแท้จริง พอคิดมากเข้าหน่อย ก็รู้สึกว่าทุกเรื่องล้วนน่าเบื่อแล้วใช่ไหม? ไม่ผิดหรอก คนเราถือกำเนิดบนฟ้าดิน นับตั้งแต่วันแรกเป็นต้นมา ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสักเท่าไร แต่คนของสามใต้หล้า ในทุกวันนี้ มีคนน้อยนักที่ยินดีจะจดจำเรื่องนี้”
สีหน้าเฉินผิงอันหม่นหมอง
นักพรตซุนกลับเอ่ยสัพยอกว่า “ดูเหมือนว่าสหายเฉินยังฝึกฝนจิตใจได้ไม่มากพอนะ”
นักพรตซุนสะบัดชายแขนเสื้อ วัตถุดิบวิเศษและอาวุธตระกูลเซียนมากมาย ล้วนสลายกลายเป็นเมล็ดงาหลายเมล็ดที่ผลุบหายเข้าไปในจักรวาลอย่างชายแขนเสื้อของเขา
ต่อให้เป็นสิ่งของที่อยู่ในวัตถุฟางชุ่นของหวนอวิ๋นและในมือของผู้ถวายงานเฒ่านครเหนือเมฆก็ยังต้องยอมจากมาแต่โดยดี เป็นฝ่ายเข้ามาในชายแขนเสื้อของ นักพรตซุนด้วยตัวเอง
แต่ ‘นักพรตซุน’ ที่ล้มกองอยู่กับพื้นกลับร่างปลิวสลายกลายเป็นผุยผง
จิตหยางกายนอกกายที่จงใจหลอมให้เสียเปล่านี้ก็เป็นแค่เนื้อหนังมังสา ที่ไร้ประโยชน์ร่างหนึ่งเท่านั้น
ผลกรรมมากมายที่พัวพันตลอดหลายปีที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลล้วนอยู่บน เนื้อหนังมังสานี้ทั้งหมด
เขาไม่มีทางพาไปด้วย
และ ‘ภูเขาสมบัติ’ ที่อยู่ข้างซากปรักของอารามเต๋าบนยอดเขาก็เหลือแค่ ห่อสัมภาระหร็อมแหร็มไม่กี่ใบเท่านั้น
จากนั้นนาทีถัดมาทุกคนก็พากันออกมาจากยอดเขา มาถึงบนพื้นที่ว่างเปล่านอกสะพานโค้งหยกขาว
ส่วนภูเขาเขียวน้ำใส รวมไปถึงภูเขามากมายที่ปีศาจใหญ่ตนนั้นตั้งใจหล่อหลอมมา ก็ล้วนถูกนักพรตซุนเก็บไว้ในชายแขนเสื้อทั้งหมด ราวกับว่าอยู่ดีๆ ที่แห่งนี้ก็กลายเป็นฟ้าสูงแผ่นดินกว้างที่มองไปมีแต่หมอกขาวโพลน
นักพรตซุนคลี่ยิ้มเอ่ยเนิบช้าว่า “นอกจากที่เจ้าได้ไปครองอยู่ในมือแล้ว โชควาสนาหนึ่งส่วนในภูเขา ข้าผู้เป็นนักพรตจะทิ้งไว้ที่นี่ รอให้พวกเขาคืนสติกลับมา ควรตีควรฆ่า จะเป็นทุกข์หรือยินดี ทุกอย่างก็ปล่อยไปตามยถากรรม”
ศพของไหวเฉียน ยันต์กระดาษสีเขียว และยังมีลูกกลมสีทองลูกนั้น ต่างก็หายไปไม่อยู่แล้ว
ตำราเต๋าที่มีรัศมีแสงเอ่อล้นลอยออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กสาวหลิ่วกุยเป่า “ไม่อาจเป็นอาจารย์และศิษย์ ข้าผู้เป็นนักพรตก็จะยังมอบตำราลัทธิเต๋าให้เจ้า หนึ่งเล่ม”
ซุนชิงโอสถทองแห่งจวนไช่เฉวี่ยก็ได้รับโชควาสนาอย่างหนึ่ง คือวัตถุจื่อชื่อที่เป็นป้ายคำสั่งแผ่นนั้น
เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด
นักพรตซุนมองคนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้แล้วคลี่ยิ้ม
นักพรตซุนเหมือนอ่านใจคนออก หรือไม่ก็ล่วงรู้อนาคต จึงเอ่ยว่า “สหายเฉิน เจ้านี่เป็นทั้งผู้ฝึกตนอิสระและร้านผ้าห่อบุญ สองสถานะที่สำคัญนี้ต่างก็ราบรื่นดีเลยนะ?”
จากนั้นห่อสัมภาระที่เฉินผิงอันฝังไว้กลางภูเขาก็มาร่วงลงที่ข้างเท้าของเขา
ต่อให้จะเป็นคนที่หน้าไม่บางอย่างเฉินผิงอันก็ยังรู้สึกอายจนหน้าแดง เพียงแต่นี่ ก็ไม่ได้ถ่วงเวลาการค้อมเอวลงไปหยิบห่อผ้ามาสะพายไว้บนร่างของเขา
หลังจากของกลับคืนสู่เจ้าของเดิม เฉินผิงอันก็รีบพูดว่า “ขอให้สมพรปาก นักพรตซุน!”
สนกับมารดามันเถอะ ไม่แน่ว่าเทพเซียนผู้เฒ่าแห่งลัทธิเต๋าอาจจะมีวิชาอภินิหารในการพยากรณ์ ตนตอบรับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่มีขาดทุน มีแต่กำไรเหนาะๆ !
นักพรตซุนรู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย จึงยิ้มเอ่ยว่า “เป็นผู้ฝึกตน แต่สภาพจิตใจ กลับผุพังไม่มีชิ้นดีขนาดนี้ เทียบกับสะพานแห่งความเป็นอมตะที่ต้องซ่อมแซมใหม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ เจ้าเป็นชาวนาที่ซ้ายขุดดินขวาใส่ปุ๋ย หรือเป็นผู้ฝึกลมปราณที่ฝึกวิชา เป็นอมตะกันแน่? ไม่ใช่ว่าข้าผู้อาวุโสมีขอบเขตสูงกว่าเจ้าแล้วจะเจ้ากี้เจ้าการกับเจ้า เพียงแต่ว่าเส้นทางในหัวใจของเจ้านี้ เส้นทางกว้างใหญ่ก็จริง แต่ทางแยกกลับมากเกินไป เลื้อยลดคดเคี้ยวเกินไป หากเจ้ายังเดินไปแบบนี้ต่อ ต่อให้ได้เป็นเซียนกระบี่ของใต้หล้าไพศาลก็ยากที่จะใช้หนึ่งกระบี่สะบั้นผลกรรมได้ ยิ่งตัดยิ่งวุ่นวาย”
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนอย่างจนใจ “ได้แต่ค่อยเป็นค่อยไป”
นักพรตซุนถาม “ในใจไม่รู้สึกไม่สาแก่ใจบ้างหรือ?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “ตามหลักแล้วควรเป็นเช่นนี้”
นักพรตซุนส่ายหน้า “เจ้าควรจะอ่านตำราลัทธิเต๋าให้มากจริงๆ เรียนรู้ให้เข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่าเรือกลวงล่องไปบนความว่างเปล่า”
นักพรตซุนโบกมือง่ายๆ เมฆหมอกก็สลายหายไป ก่อนจะค่อยๆ หยุดะงัก จากนั้นก็ถามว่า “วิถีทางโลกเปลี่ยนไปแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่ตอบคำถาม แต่ใคร่ครวญถึงความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่
นักพรตซุนกระทืบเท้า แผ่นดินพลันสั่นสะเทือน “แล้วคราวนี้รู้สึกว่าวิถีทางโลกควรเปลี่ยนได้สักนิดแล้วไหม?”
เฉินผิงอันนึกถึงคำพูดของนักพรตซุนก่อนหน้านี้ที่บอกว่า ฟ้าดินย่อมเปลี่ยนแปลงแก้ไขเรื่องราวทางโลกเอง จึงถามย้อนกลับว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราควรทำอย่างไร?”
หลักการใหญ่ที่นักพรตซุนแสดงให้เห็น อันที่จริงตรงข้ามกับความคิดบางอย่าง อันเป็นรากฐานที่เฉินผิงอันเชื่อมั่นมาโดยตลอด แต่เฉินผิงอันก็ยังยินดีที่จะถามให้มาก คิดให้มาก
นักพรตซุนเผยสีหน้าชื่นชม เขาพยักหน้าเอ่ยว่า “ถูกต้องแล้ว”
เฉินผิงอันมึนงง ไม่เข้าใจว่าตัวเองถูกต้องตรงไหน
แต่นักพรตซุนกลับเปลี่ยนหัวข้อพูดแล้ว “ไม่ถามหรือว่ากระบี่นั้นมาจากฝีมือของใครกันแน่ ถึงได้สามารถทำให้ศิษย์น้องของข้าผู้เป็นนักพรตกายดับมรรคาสลายได้?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่กล้าถาม ต่อให้นักพรตซุนบอก ข้าเองก็ไม่กล้าฟัง”
นักพรตซุนพยักหน้ารับ “ดีมาก เจ้าไม่ถาม ถ้าอย่างนั้นข้าผู้เป็นนักพรตก็จะถามเจ้าเอง เป็นผู้ฝึกตน อะไรคือคำว่าระวัง?”
คราวนี้เฉินผิงอันไม่มีความลังเล เขาตอบเสียงทุ้มหนักว่า “ใจที่มีความเคารพ ยำเกรงต่อฟ้าดิน มองตัวเองเป็นศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของชีวิต”
นักพรตซุนเงียบไปครู่หนึ่งก็หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ดีมาก ด้านนอกคือฟ้าดินใหญ่ ร่างกายมนุษย์คือฟ้าดินเล็ก เจ้าล้วนมีครบถ้วนแล้ว ใครเป็นคนสอนหลักการ เหตุผลยิ่งใหญ่นี้ให้เจ้า?”
เฉินผิงอันตอบ “ใคร่ครวญออกมาด้วยตัวเอง ก็เหมือนอย่างที่นักพรตซุนพูด หลักการเหตุผลใหญ่เกินไปก็จะเลื่อนลอยเกินไป เรื่องเล็กๆ มากมายที่ช่วยประคับประคองหลักการเหตุผลข้อนี้ ข้ายังทำได้ไม่ดีพอ”
นักพรตซุนทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังเล็กน้อย
ศิษย์น้องของตนในปีนั้นก็มีความคิดพอๆ กันนี้ มักจะบอกว่ามรรคกถาสูงส่งและยิ่งใหญ่ จำเป็นต้องลงมือจากจุดที่เล็กละเอียดก่อน ไม่อย่างนั้นเมื่อวิถีทางโลกเปลี่ยนแปลงไป ขนบธรรมเนียมประเพณีถูกเปลี่ยนแปลง อย่าว่าแต่รากฐานของมรรคกถาในสายจะต้องสั่นคลอนเลย ต่อให้เป็นนครป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นก็ยังไม่อาจ ทนรับการเคาะตีได้ สร้างได้สูงเท่าไร ตอนที่ถล่มลงมาก็ยิ่งเป็นภัยร้ายมากเท่านั้น แต่ไม่ว่าศิษย์น้องคนนี้คิดอย่างไร ถึงอย่างไรก็มีรากฐานมรรคกถาที่ ‘ฝึกตนปลูกฝังคุณธรรม’ อยู่ ไม่มีใครสามารถตำหนิกล่าวโทษได้แม้แต่น้อย ดังนั้นนี่จึงไม่ถือว่า เป็นปัญหา ประเด็นสำคัญคือในฐานะบุคคลสำคัญของสายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋า ศิษย์น้องได้เขียนบทความบนหน้ากระดาษที่เขาไม่ควรทำเอาไว้มากมาย นอกจากวีรกรรมยิ่งใหญ่ในสายตาของคนในใต้หล้าแล้ว ระหว่างนี้อันที่จริงศิษย์น้องของเขา ยังทำเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ในความเป็นจริงแล้วปีศาจที่ชอบหลอมภูเขาตนนั้นได้ถูกเทวบุตรมารนอกโลกตนหนึ่งสิงร่าง แต่กลับไม่รู้ตัว ศิษย์น้องจึงพยายามจะใช้เต๋าหล่อหลอมขัดเกลาเทวบุตรมารนอกโลกตนนี้
น่าเสียดายก็แต่คนผู้นั้นในนครอวี้จิงนิสัยไม่ค่อยดี เขาถึงได้สวมชุดคลุมอาคม พกกระบี่มาเยี่ยมเยียนอารามเต๋า
ไม่เพียงเท่านี้ ในอดีตศิษย์น้องแอบรับซ่งเหมาหลูเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย เขาคือบุคคลหนึ่งที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มา ต่อให้เป็นในสายตาของอาจารย์ลุงอย่างเขาก็ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำคนหนึ่ง เขาได้สร้างสายลัทธิเต๋าที่คล้ายคลึงกับภูเขามังกรพยัคฆ์ของแผ่นดินกลาง มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ ทว่าจุดจบสุดท้าย กลับไม่ได้ดีไปยังไง
โชคดีที่ตอนที่นักพรตซุนออกมาจากใต้หล้ามืดสลัว ลูกศิษย์หลายคนของ ศิษย์หลานผู้นี้ถือว่ามีชีวิตที่ไม่เลว ต่างคนต่างสืบทอดลัทธิเต๋าสายรองของตนออกไป
ในใต้หล้ามืดสลัวที่เป็นบ้านเกิด เจ้าลัทธิสามท่านของป๋ายอวี้จิงภายใต้ การปกครองของมรรคาจารย์เต๋ารับผิดชอบผลัดกันดูแลป๋ายอวี้จิง ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่ลูกศิษย์ใหญ่ของมรรคาจารย์เต๋าเฝ้าพิทักษ์ ใต้หล้าจะสงบสุข ปัญหาความขัดแย้ง มีไม่มาก
ยามที่ลู่เฉินลูกศิษย์คนเล็กของมรรคาจารย์เต๋าเฝ้าพิทักษ์นครป๋ายอวี้จิง มักจะมีเหล่าผู้กล้าถือกำเนิด ความวุ่นวายมีทั่วทุกหนแห่ง ทว่าวุ่นวายก็ส่วนวุ่นวาย แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา
พอมาถึงคราวที่เต๋าเหล่าเอ้อร์กลับมาจากฟ้านอกฟ้า ดียิ่งนัก ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนตายกันไปเร็วมากและเยอะมาก ไม่เพียงแต่ด้านนอกป๋ายอวี้จิงเท่านั้นที่ไก่บิน หมากระโดด แม้แต่ในป๋ายอวี้จิงเองก็มีคนตายเช่นกัน
นักพรตซุนกวาดตามองไปรอบด้านแล้วยื่นฝ่ามือออกมา แสงไฟสีเขียวจุดหนึ่งบินออกมาจากหว่างคิ้วของทุกคน ประหนึ่งไฟกลางน้ำในตำนาน
นอกจากเฉินผิงอัน ตี๋หยวนเฟิงและจานชิงแล้ว ต่อให้เป็นหลิ่วกุยเป่า ซุนชิงและป๋ายปี้ต่างก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
นักพรตซุนยิ้มกล่าว “เรื่องบางอย่างรู้ไปก็ไม่ดี ตอนที่ไหวเฉียนเปิดปากขอความตาย ถือเป็นเส้นแบ่งอาณาเขตเส้นหนึ่ง หลังจากนั้นทุกสิ่งที่ได้พบเห็นและได้ยิน คนเหล่านี้จะลืมความทรงจำพวกนั้นไป สมบัติและโชควาสนาที่ข้าผู้เป็นนักพรตทิ้งไว้ให้พวกเจ้าต่อจากนี้ ไม่มากไม่น้อย ถือเสียว่าเป็นโชควาสนาที่คนเหล่านี้สมควรได้รับ คาดว่า ข้าผู้เป็นนักพรตคงต้องงัดข้อกับจิตใจคนอีกครั้งหนึ่งแล้ว”
นักพรตซุนถาม “เจ้าจะห้ามปรามสักหน่อยไหม? ช่วยให้ทุกคนหาเงินทอง อย่างปรองดอง”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะแค่มองดูเท่านั้น เพราะว่าไม่มีความจำเป็นต้องห้าม”
นักพรตซุนพยักหน้า ตำราผุๆ เล่มที่วางอยู่บนพื้นจึงลอยมาหยุดอยู่เบื้องหน้า เฉินผิงอัน “ถ้าอย่างนั้นก็มองดูใจคนให้มากอีกหน่อย ใช้หินของภูเขาลูกอื่นมาขัดกลึงหยกของตัวเอง ตำราเล่มนี้ หากตกอยู่ในมือของคนอื่น จะแค่ถูกนำมาอ่านฆ่าเวลาเท่านั้น แต่สำหรับเจ้าแล้วกลับมีประโยชน์ไม่น้อย”
เฉินผิงอันรับตำราเล่มนั้นมาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
นักพรตซุนยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกตน ผู้ฝึกตน ใต้หล้านี้จะมีใครมีคุณสมบัติพูดถึงผู้ฝึกตนได้มากกว่านักพรตเต๋า? (ผู้ฝึกตนใช้คำว่า ซิวเต้าเหริน ส่วนนักพรตเต๋า ภาษาจีนใช้ คำว่าเต้าเหริน) เจ้าหนุ่ม มรรคถานั้นสูงมาก ควรค่าแก่การอ่านให้มาก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”
นักพรตซุนลูบหนวดยิ้ม “สหายเฉิน ต่อจากนี้ยังจะขึ้นเขา ขยันไปเก็บตกของดีอีกหรือไม่?”
สีหน้าของเฉินผิงอันไม่ค่อยดีนัก เขาลูบหน้าตัวเองแรงๆ “ตอนนี้ยังไม่มีความคิดนั้น”
คราวนี้ไหวเฉียนได้เจอกับนักพรตซุน ไม่แน่ว่าคราวหน้าเฉินผิงอันอาจได้ไปเจอกับใคร
นักพรตซุนเอ่ย “เมื่อข้าผู้เป็นนักพรตจากไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ผู้ฝึกตนอิสระก็ดี ร้านผ้าห่อบุญก็ช่าง ต่างคนต่างก็อาศัยความสามารถของตัวเอง โชคและเคราะห์ล้วนเป็นเราที่เรียกหามันมาเอง”
เฉินผิงอันจึงเริ่มใคร่ครวญว่าควรจะปิดฉากจบอย่างไรดี
นักพรตซุนยิ้มมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันสับสนเล็กน้อย
นักพรตซุนจึงเอ่ยประโยคที่เคยพูดไปก่อนหน้านี้ด้วยน้ำเสียงสัพยอก “ดูท่าการฝึกฝนจิตใจของสหายเฉินจะยังไม่มั่นคงมากพอนะ”
เฉินผิงอันเข้าใจได้ในฉับพลัน หลุดปากพูดออกไปว่า “ท่านนักพรตมรรคายาวไกล”
เป็นคำที่ออกเสียงเหมือนกัน แต่ความหมายไม่เหมือนกัน (ภาษาจีนประโยคบนเฉินผิงอันพูดว่า เต้าจ่างเต้าฉาง คำว่าจ่างกับฉางเขียนเหมือนกัน แต่อ่านคนละแบบคนละความหมาย ถ้าไม่อ่านออกเสียง สองคำนี้จะเขียนเหมือนกัน 道长道长 )
นักพรตซุนลูบหนวดยิ้ม พยักหน้ารับเบาๆ ด้วยความพึงพอใจ แล้วเอ่ยเตือนว่า “อีกครึ่งก้านธูป แม่น้ำแห่งกาลเวลาจะกลับคืนมาไหลรินเหมือนเดิมอีกครั้ง”
นักพรตซุนเก็บทั้งตี๋หยวนเฟิงและจานชิงใส่ไปไว้ในชายแขนเสื้อ จากนั้นก็ กลายร่างเป็นรุ้งยาว แหวกอากาศจากไป
นี่ก็คงเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า หนึ่งคนได้ดี ไก่และหมาก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์กระมัง
พอถูกสายรุ้งพร่างพราวเส้นนั้นชนกระแทก ม่านฟ้าของจวนเซียนฟ้าดิน ขนาดเล็กก็แตกดังปังแล้วเกิดเป็นประตูบานใหญ่ จากนั้นช่องโพรงก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ ตราผนึกภูเขาสายน้ำค่อยๆ สลายหายไป แต่หลังจากที่รุ้งขาวออกไปจากฟ้าดิน ขนาดเล็กแห่งนี้แล้ว เพียงชั่วพริบตาประตูนั้นก็หายวับไป เงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่จากนั้นก็ถอนสายตากลับแล้วชักเท้าเผ่นหนี
ออกไปให้ห่างจากพื้นที่อันตรายแห่งนี้ชั่วคราว
ส่วนห่อสัมภาระที่มีสมบัติอยู่ด้านในพวกนั้น เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะชายตามอง ทว่ารอให้เรื่องราวยุติลงเมื่อไหร่ อันที่จริงเขายังมีแผนการที่สามารถทำได้ อย่างระมัดระวังอีกอย่างหนึ่ง
ครึ่งก้านธูปต่อมา เงาร่างของเฉินผิงอันก็หายไปแล้ว
เทือกเขาสูงสลับสล้างกลับคืนมาเป็นปกติอีกครั้ง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าหวงซือกับจินซานอยู่ที่ไหน
แต่ระหว่างทางที่วิ่งไปนั้น เฉินผิงอันได้ ‘ถือโอกาส’ ผ่านไปทางฝ้าเพดานชิ้นนั้น มันยังคงอยู่ที่เดิม และปราณวิญญาณก็ยังเปี่ยมล้น น่าเสียดายที่ไม่อาจเคลื่อนย้ายพามันไปด้วยกันได้
เดี๋ยวนะ
ไม่ใช่โต๊ะหินและต้นไผ่เขียวนั่นสักหน่อย
ตอนนี้ตราผนึกฟ้าดินไม่เหลืออยู่แล้ว ทำไมจะเอาไปด้วยไม่ได้ล่ะ? ก็แค่ต้อง ออกแรงหน่อยก็เท่านั้น
เฉินผิงอันจึงลงมือขุดดิน สุดท้ายแบกฝ้าเพดานที่มีขนาดเหมือนแท่นโม่หินขนาดยักษ์วิ่งตะบึงไป แล้วยังไม่ลืมแปะยันต์แผ่นศิลาแผ่นหนึ่งไว้บนหน้าผากตัวเองด้วย
แปะแนวตั้งอาจจะบดบังการมองเห็น แต่หากแปะในแนวขวางจะสะดวกกว่ามาก
นี่เป็นเรื่องที่เขาเรียนรู้มาจากลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตัวเอง
ตรงม่านฟ้าของใต้หล้าไพศาล นักพรตซุนหันหน้ากลับไปมองภูเขาสายน้ำใน โลกมนุษย์ใต้ฝ่าเท้าตัวเอง แล้วก็จุ๊ปากเอ่ยว่า “แม้แต่ต้นหญ้าก็ไม่เหลือ แม้แต่ต้นหญ้าก็ไม่เหลือ”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่ตรงเอวห้อยป้ายหยกสีทองพูดอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าอารามสามารถจากไปได้แล้ว”
นักพรตซุนยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็เปิดประตูส่งแขก”
บนพื้นดินที่มีขุนเขาลูกใหญ่ในอาณาเขตแคว้นเป่ยถิง
หวนอวิ๋น ซุนชิง ป๋ายปี้สามคนคืนสติก่อนใคร ทุกคนต่างก็มึนงงกันไปพักใหญ่ จากนั้นก็พยายามควบคุมปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณใหญ่ๆ ที่สำคัญให้มั่นคง ตรวจสอบความเคลื่อนไหวของวัตถุแห่งชะตาชีวิตตัวเองอย่างละเอียด
แต่ซุนชิงกลับรีบเก็บแผ่นป้ายนั้นเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อทันที พอเห็นว่าหลิ่วกุยเป่า ผู้เป็นลูกศิษย์ยังเหม่อลอยก็ช่วยเก็บตำราลัทธิเต๋าเล่มนั้นไว้แทนนางชั่วคราว
แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ของตรงหน้าที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มา หากนางซุนชิงยังไม่กล้ารับเอาไว้ จะยังเป็นผู้ฝึกตนไปทำไม
หวนอวิ๋นขมวดคิ้ว “พวกเราควรออกไปจากซากปรักจวนเซียนแห่งนี้ได้แล้ว”
แต่จากนั้นเจินเหรินผู้เฒ่าก็ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด เหตุใดสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดิน อาวุธตระกูลเซียนที่เดิมทีอัดเต็มแน่นอยู่ในวัตถุฟางชุ่นบนร่างชิ้นนั้น ตอนนี้ถึง เหลือแค่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น?
หลิ่วกุยเป่าสังเกตเห็นว่าเจ้าตะพาบนามว่าไหวเฉียนผู้นั้นไม่อยู่แล้ว
เจ้าตัวดี แม้แต่ตนก็ยังถูกเขาหลอกมาตลอดทาง เด็กสาวเคียดแค้นจนกัดฟันกรอด
ป๋ายปี้เองก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ จานชิงล่ะ?
แต่หลิ่วกุยเป่านั้นเป็นคนที่มีสภาพจิตใจดี นางกวาดตามองไปทีเดียวก็เห็น ทุกอย่างครบถ้วน แล้วก็เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นห่อสัมภาระที่อยู่บนพื้นเหล่านั้น อีกทั้งยังเห็นเป็นโชควาสนาที่สามารถไปช่วงชิงมาได้ด้วย
ทว่าป๋ายปี้เองก็สังเกตเห็นเรื่องนี้เหมือนกัน และผู้ฝึกยุทธร่างทองอย่างเกาหลิง ก็ฟื้นคืนสติแล้วด้วย
หลิ่วกุยเป่าและซุนชิงอาจารย์ของนาง ป๋ายปี้และเกาหลิง ต่างคนต่างร่วมมือกันไปช่วงชิงห่อสัมภาระหนักอึ้งที่บรรจุสมบัติตระกูลเซียนไว้เต็มแน่น
การชิงสมบัติของแต่ละฝ่าย ต่างคนก็ต่างมีเรื่องให้กริ่งเกรง จึงเป็นดั่งน้ำบ่อ ที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง
ส่วนห่อสัมภาระอีกใบหนึ่งนั้นก็ถูกผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตประตูมังกรและผู้ฝึกยุทธที่ยืนเคียงไหล่กันมองเห็นพร้อมกัน ผลคือพวกเขาพากันลงมือฉีกกระชากห่อผ้าฝ้ายนั้นออก สมบัติบนภูเขาที่อยู่ด้านในร่วงระนาวลงมา มีมากหลายสิบชิ้น คนทั้งสอง ที่เป็นดั่งศาลาใกล้น้ำต่างคนต่างเก็บกันไปคนละสามสี่ชิ้น ส่วนที่เหลือล้วนถูกหวนอวิ๋น ซุนชิงและป๋ายปี้สามฝ่ายใช้คาถาควบคุมชิงเอาไป แล้วก็เป็นการแบ่งสมบัติที่ทุกคนใจตรงกันมากอีกครั้งหนึ่ง
หากเป็นผู้ฝึกตนอิสระ คาดว่าความคิดแรกที่ไม่อาจควบคุมได้ก็คือทำให้ คนบาดเจ็บก่อนแล้วค่อยชิงสมบัติ แสวงหาความร่ำรวยท่ามกลางความเสี่ยง พยายามช่วงชิงผลประโยชน์ทั้งหมดมา
คนอื่นๆ ที่ผ่านห้าวันมาได้โดยที่ไม่ตายล้วนไม่กล้ารั้งรออยู่นาน พากันเผ่นหนีหายไปทันที
สถานที่บ้าๆ แห่งนี้ อยู่นานเท่าไรก็ทำให้จิตใจคนเยียบเย็นได้เท่านั้น
หวนอวิ๋นหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย รู้แล้วว่าท่าไม่ดี เขารีบทะยานลมขึ้นสูง แผ่นยันต์ลอยพรวดออกมาจากในชายแขนเสื้อ ขณะเดียวกันกับที่ตรวจสอบรอบด้าน ยังต้องการดูให้แน่ใจว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเสิ่นเจิ้นเจ๋อนครเหนือเมฆปลอดภัยหรือไม่ หากผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกรแซ่สวี่ผู้นั้นสังเกตเห็นว่าพันธนาการหายไปแล้ว จะต้องเอาวัตถุฟางชุ่นและกระบอกเก็บพู่กันหยกขาวชิ้นนั้นหนีไปแน่ๆ คาดว่าหากยังไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นโอสถทอง ชีวิตนี้ก็คงไม่มีทางย้อนกลับไปยังแคว้นฝูฉวีและนครเหนือเมฆอีก
โชคดีที่ห่างไปไกลหลายสิบลี้ ผู้ฝึกตนชายหนุ่มหญิงสาวคู่นั้นต่างก็ปลอดภัยกันดี
ขณะเดียวกันยันต์กระบี่บินพันลี้ที่อยู่ห่างไปร้อยลี้แผ่นหนึ่งก็ถูกคนทำลาย จนแหลกสลาย
เจินเหรินผู้เฒ่าหัวเราะเสียงเย็น
สุดท้ายหวนอวิ๋นก็ไปดักผู้ถวายงานของนครเหนือเมฆผู้นั้นเอาไว้ ฝ่ายหลัง พูดอย่างเดือดเป็นแค้นว่า “หวนอวิ๋น เจ้าคิดจะเข่นฆ่ากันให้ตายไปข้างเลยหรือไร?!”
หวนอวิ๋นกล่าว “กลับไปนครเหนือเมฆพร้อมกับข้า รอฟังคำตัดสินจากเสิ่นเจิ้นเจ๋อเจ้านครของพวกเจ้า”
ผู้ถวายงานเฒ่ายกมือขึ้น กำวัตถุฟางชุ่นชิ้นนั้นไว้แน่น “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะระเบิดของชิ้นนี้ให้แตกไปโดยตรง?”
หวนอวิ๋นพูดอย่างเฉยชาว่า “โชควาสนาสองอย่างที่อยู่ด้านในล้วนไม่เล็ก ไม่แน่ว่าเมื่อวัตถุฟางชุ่นระเบิดแตก ก็ยังไม่สามารถทำลายคราบร่างเซียน และชุดคลุมอาคมนั้นได้ แต่ฟังคำแนะนำจากข้าสักคำ หากเจ้าทำแบบนั้นจริงๆ ข้าจะให้เจ้าตายทันที จากนั้นข้าหวนอวิ๋นค่อยไปขอโทษเสิ่นเจิ้นเจ๋อก็แล้วกัน”
ผู้ถวายงานเฒ่าสีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างเอาแน่เอานอนไม่ได้ “หวนอวิ๋น ข้าไม่มีทางตามเจ้ากลับไปนครเหนือเมฆ เสิ่นเจิ้นเจ๋อนิสัยเป็นอย่างไร ข้ารู้ชัดเจนดีที่สุด เมื่อตกอยู่ในมือของเขา มีแต่จะอยู่ไม่สู้ตาย”
หวนอวิ๋นเอ่ยอย่างเดือดดาล “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นอย่างนี้ เหตุใดยังต้องทำเช่นนี้! หากเจ้าไม่เกิดใจคิดละโมบต่อสมบัติในภูเขารังแกผู้น้อยสองคนว่าขอบเขต ไม่สูงพอ ถูกเจ้าจับทำเป็นหุ่นเชิด ให้เจ้าบีบคลายได้ตามใจชอบ ไม่อย่างนั้นตอนนี้ เจ้าก็คือขุนนางผู้มีคุณูปการของนครเหนือเมฆแล้ว!”
ผู้ถวายงานเฒ่าเอ่ย “ข้าสามารถมอบวัตถุฟางชุ่นให้เจ้าตอนนี้เลย หวนอวิ๋น เจ้าเอายันต์ย่อพื้นที่ทั้งหมดออกมา ถือเป็นการแลกเปลี่ยน สุดท้ายมีคำขอร้องเล็กๆ อย่างหนึ่ง หากเจ้าได้เจอเด็กสองคนนั้น บอกพวกเขาไปว่า เจ้าฆ่าข้าตายไปแล้ว”
“ตกลง!”
หวนอวิ๋นหยิบยันต์ย่อพื้นที่ปึกหนึ่งออกมาจากบนร่างอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็คลี่ออกเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเป็นยันต์ย่อพื้นที่ทั้งหมด สองแผ่นในนั้นยังเป็นยันต์กระดาษสีทอง
หวนอวิ๋นเอ่ยเสียงหนัก “ยื่นหมูยื่นแมว คนแซ่สวี่ หากเจ้ากล้าสับปลับ ก็อย่ามาโทษหากข้าหวนอวิ๋นลงมือสังหารคนอย่างโหดเหี้ยม”
คนทั้งสองโยนยันต์และกระบอกพู่กันหยกขาวในมือออกไปพร้อมกัน หลังจาก ผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกรคว้ายันต์ไว้ได้แล้ว ก็เรียกเอายันต์สีทองแผ่นหนึ่ง ในนั้นออกมา แล้วไปห่างจากที่แห่งนี้ร้อยกว่าลี้ในเสี้ยววินาที
หวนอวิ๋นถอนหายใจ เขาที่จากไปย้อนกลับมาหาคนหนุ่มสาวสองคนนั้นอีกครั้ง ยื่นส่งกระบอกพู่กันหยกขาวไปให้อีกฝ่าย แล้วเอ่ยอย่างที่ตกลงไว้กับผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกรคนนั้น “ผู้ถวายงานสวี่ตายแล้ว”
บุรุษหนุ่มรับกระบอกพู่กันหยกขาวมาอย่างระมัดระวัง ราวกับว่ามันหนักเป็นพันชั่ง นิ้วมือของเขาสั่นสะท้าน หลังจากรับมาใส่ในชายแขนเสื้อแล้ว ถึงได้หันไปประสานมือขอบคุณเจินเหรินผู้เฒ่า “พระคุณช่วยชีวิต พระคุณที่ช่วยปกป้อง พระคุณที่ช่วย ช่วงชิงสมบัติกลับคืนมาให้ของเจินเหรินผู้เฒ่า ผู้น้อยมิอาจมีสิ่งใดตอบแทนได้เลย!”
หญิงสาวคนนั้นยิ่งร้องไห้อย่างหนัก ยกสองมือปิดหน้า เป็นดั่งคำโบราณว่าไว้จริงๆ หลังรอดตายจากหายนะใหญ่ต้องมีโชคดีตามมา นี่ทำให้นางไม่อาจยั้งอารมณ์ได้อยู่
ประสบการณ์อันโหดร้ายจากการขึ้นเขามาหาสมบัติครั้งนี้ทำให้นางฝันร้าย ไปได้ตลอดชีวิตจริงๆ
หวนอวิ๋นยิ้มกล่าว “พวกเจ้าอยู่ห่างจากคนอื่นค่อนข้างไกล อาศัยโอกาสนี้รีบไปจากที่นี่ซะ หลังกลับไปถึงนครเหนือเมฆ จำเอาไว้ว่าอย่าเอาเรื่องนี้ไปแพร่งพราย”
แน่นอนว่าหวนอวิ๋นจะยังเดินเล่นต่ออีกสักหน่อย ดูสิว่ายังมีสมบัติหรือ โชคหลงเหลือให้เก็บตกอีกหรือไม่
หลังจากหนุ่มสาวสองคนของนครเหนือเมฆจากไปแล้ว
หวนอวิ๋นรู้สึกเหมือนพลาดอะไรไป เพียงแต่ว่าตัวเขาเองยังนึกไม่ออกก็เท่านั้น
ผู้ถวายงานของนครเหนือเมฆผู้นั้นต้องบีบบังคับถามวิชาลับเปิดขุนเขาของ วัตถุฟางชุ่นไปแล้วอย่างแน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หวนอวิ๋นก็ลองตรวจสอบ จนแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเอาคราบร่างเซียนออกจากวัตถุฟางชุ่นแล้วไปซ่อนไว้ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วก็ไม่ได้ม้วนเก็บชุดคลุมอาคมตัวนั้นซ่อนไว้บนร่าง สายตาเพียงแค่นี้ หวนอวิ๋นยังพอจะมีอยู่บ้าง ดังนั้นการเดินทางมาเยี่ยมเยือนภูเขาของผู้ถวายงานเฒ่าในครั้งนี้ ได้ไม่คุ้มเสีย ได้แค่ยันต์ไปปึกเดียวเท่านั้น แต่กลับสูญเสียสถานะผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของนครเหนือเมฆไป
หวนอวิ๋นพลันถอนหายใจหนึ่งที แล้วก็ได้แต่ยิ้มขื่น
เพราะในที่สุดเจินเหรินผู้เฒ่าก็ใคร่ครวญเรื่องหนึ่งจนเข้าใจ
กระจ่างแล้วว่าเหตุใดคนหนุ่มผู้นั้นถึงได้เผยความผิดปกติเสี้ยวหนึ่งออกมาให้เห็น
ในวัตถุฟางชุ่นของเขาหวนอวิ๋นเอง อยู่ดีๆ วัตถุวิเศษแห่งฟ้าดินและสิ่งของ บนภูเขาส่วนใหญ่ก็หายไป ถ้าอย่างนั้นในกระบอกเก็บพู่กันหยกขาวจะเกิดเหตุการณ์เดียวกันนี้หรือไม่?
หากคราบร่างเซียนหรือชุดคลุมอาคมตัวนั้นต่างก็ไม่อยู่แล้วล่ะ?
หรือว่าจะเหลือแค่ชิ้นใดชิ้นหนึ่ง
แล้วเสิ่นเจิ้นเจ๋อเจ้านครเหนือเมฆจะคิดอย่างไร?
หวนอวิ๋นรู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย ผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นคือต้นกล้าที่ดีต้นหนึ่งจริงๆ
น่าเสียดายนัก
ดันถูกผู้ถวายงานสวี่ฆ่าตายเสียได้
เขาหวนอวิ๋นทำหน้าที่ผู้ปกป้องมรรคาไม่ดีพอ ได้แต่นำวัตถุฟางชุ่นกลับมาให้
สายตาของหวนอวิ๋นเย็นชา ครั้นจึงรีบไล่ตามไป
เจินเหรินผู้เฒ่าเริ่มคาดหวังว่าด้านในจะยังเหลือสมบัติหนักตระกูลเซียนอีกสักหนึ่งชิ้น
หากไม่มีก็ส่งกระบอกเก็บพู่กันหยกขาวกลับไปที่นครเหนือเมฆ หรือหากมีอยู่ชิ้นหนึ่งจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ถือเป็นโชควาสนาของเขาหวนอวิ๋นเองแล้ว
ป๋ายปี้กับเกาหลิง และยังมีผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์แคว้นฝูฉวีผู้นั้นพากันจากไป
อารมณ์ของพวกเขาหนักอึ้งเล็กน้อย
ท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเป่ยถิงและผู้ถวายงานประจำตระกูล คนที่หายก็หายไป คนที่ตายก็ตายไป ยากจะอธิบายได้
ไม่อาจหาคำไปอธิบายกับจวนโหวแคว้นเป่ยถิง ไม่มีคำอธิบายให้กับอาจารย์ก่อกำเนิดของจานชิง ทางฝั่งศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำก็ไม่รู้ว่าควรจะบอกกล่าวเช่นไร
ป๋ายปี้จึงได้แต่หวังว่าสมบัติเหล่านั้นจะช่วยชดเชยในเรื่องนี้ได้บ้าง
เกาหลิงเอ่ย “สองคนนั้น สามารถฆ่าได้”
ป๋ายปี้ยิ้มกล่าว “เป็นเช่นนี้จริง โชควาสนาบนร่างพวกเขา พวกเจ้าสองคนสามารถนำมาแบ่งกันได้”
เกาหลิงใช้วิธีการรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธถามโอสถทองลูกศิษย์ ผู้สืบทอดของสำนักมังกรน้ำคนนี้ “ทางฝั่งฮ่องเต้ ย่อมต้องซักไซ้หลายเรื่อง หลังจบเรื่องทางสำนักของป๋ายเซียนซือ บางทีอาจต้องใคร่ครวญมากขึ้น”
ป๋ายปี้กล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ฆ่าเพิ่มอีกคน”
เกาหลิงจึงไม่เอ่ยอะไรอีก
ป๋ายปี้พูดต่ออีกว่า “เกาหลิง ข้ารับรองว่าเจ้าจะได้เป็นแม่ทัพบู๊อันดับหนึ่งของแคว้นฝูฉวี”
เกาหลิงลังเลอยู่เล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ข้าอยากเปลี่ยนเก้าอี้ที่ผู้ฝึกลมปราณไม่อาจนั่ง แต่ผู้ฝึกยุทธสามารถนั่งได้ เมื่อข้าได้นั่งลงไปแล้ว ก็อาจจะไม่ใช่แค่ แคว้นฝูฉวี ไม่แน่ว่าแม้แต่ในแคว้นสุ่ยเซียว แคว้นเป่ยถิง ป๋ายเซียนซือก็อาจจะได้ ทุกอย่างสมใจปรารถนา”
ป๋ายปี้ตอบรับด้วยรอยยิ้ม “กระเพาะใหญ่ไม่เบา แต่ข้ารู้สึกว่าเกาหลิงสามารถ นั่งเก้าอี้ตัวนั้นได้อย่างมั่นคง”
นาทีถัดมา ผู้ถวายงานแคว้นฝูฉวีก็ถูกเกาหลิงใช้หนึ่งหมัดต่อยให้ศีรษะกระเด็นไปหล่นอยู่ไกล ป๋ายปี้มีสีหน้าเป็นปกติ รีบใช้เวทอาคมลบเลือนร่องรอยของศพเขา ทิ้งทันที
ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาพูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ
ดูเหมือนว่าจวนไช่เฉวี่ยจะเป็นผู้ชนะที่ใหญ่ที่สุด อย่างน้อยที่สุดก็เป็นหนึ่งในนั้น
มากันสามคน กลับกันสามคน ครบถ้วนสมบูรณ์ อีกทั้งยังไม่ได้รับบาดเจ็บสักเท่าไร
สมบัติและโชควาสนาก็ได้ไปไม่น้อย
อู่ชวินพลันเอ่ยขึ้นว่า “ผู้เฒ่าชุดดำที่ปรากฏตัวอยู่ในม้วนภาพสองครั้งจะมา หาเรื่องจวนไช่เฉวี่ยของพวกเราหรือไม่?”
ชุดคลุมอาคมบนร่างของอีกฝ่ายทำให้อู่ชวินจำเขาได้
ซุนชิงยิ้มกล่าว “คนที่สามารถเป็นเพื่อนกับหลิวจิ่งหลงได้ คงไม่ต่ำช้าขนาดนั้น”
แต่อู่ชวินก็ยังเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย
เมื่อครู่นี้ซุนชิงพอจะแน่ใจในระดับขั้นของตำราเต๋าและแผ่นป้ายแล้ว นางบอก แค่ว่าอย่างหลังคือวัตถุจื่อชื่อสมบัติล้ำค่าที่ต้องเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนทั่วไป คนหนึ่งถึงจะสามารถมีได้
หลังจากผ่านหายนะครั้งนี้มา นอกจากซุนชิงและหลิ่วกุยเป่าแล้ว อู่ชวินก็ไม่เชื่อใจ คนนอกอีก
สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว สิ่งที่อู่ชวินไม่คิดจะเชื่อถือเลยก็คือจิตใจคนบนโลกนั่นเอง
ไม่เพียงเท่านี้ ส่วนลึกในใจของอู่ชวินมีความคิดหนึ่ง เป็นความคิดที่ทำให้ตัวนางเองรู้สึกหวาดกลัว เมื่ออู่ชวินลองถามใจตัวเองดูว่า หากตนมีวิธีการและตบะได้เหมือนกับเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้น ถ้าอย่างนั้นซุนชิงและหลิ่วกุยเป่าที่อยู่ข้างกายซึ่งไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติในการฝึกตนหรือโชควาสนาบนมหามรรคาก็ล้วนทำให้คนอิจฉาตาร้อนได้นี้ จะยังมีชีวิตรอดกลับไปถึงจวนไช่เฉวี่ยได้หรือไม่?
อู่ชวินไม่รู้คำตอบ
แล้วก็ไม่กล้าคิดมาก
ท่ามกลางภูเขาลึกที่รอบด้านไร้ผู้คน เฉินผิงอันเอาฝ้าเพดานอันนั้นไปซ่อนไว้ ใต้บ่อลึกแห่งหนึ่ง
เขาเปลี่ยนมาแต่งกายแบบใหม่ ถอดชุดคลุมอาคมทั้งหมดออก หันมาสวมชุด สีเขียวปกติ มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่ม สะพายหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ ด้านในคือห่อสัมภาระสี่ใบ
จากนั้นพอเดินออกไปได้หลายสิบลี้ก็พบว่าบนกิ่งไม้สูงข้างทางสายเล็กกลางป่า มีคนคุ้นเคยคนหนึ่งที่สะพายห่อสัมภาระใบใหญ่ยืนอยู่ ก็คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง หวงซือ
หวงซือยิ้มกล่าว “ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า”
เฉินผิงอันตอบ “แล้วยังไม่รีบหลบไปให้ไกลๆ อีกหรือ?”
หวงซือยิ้ม “พูดไปแล้วก็น่าขัน แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่เข้าใจ หลังจากมีชีวิตรอดออกมาจากสถานที่ประหลาดแห่งนั้น ข้ากลับรู้สึกว่าต้องอยู่ข้างกายพี่ใหญ่เฉินเท่านั้นถึงจะสบายใจ”
ตอนนี้หวงซือไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับตบะสูงต่ำ มรรคกถาตื้นลึกของคนข้างกายตัวเองแม้แต่น้อย
มีเพียงสายตาที่มองคนออกว่าเป็นคนดีหรือคนเลวที่ยังพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง
เฉินผิงอันส่ายหน้า “อย่ามายุ่งกับข้า ต่างคนต่างเดินไป พวกเราควรถนอม ความโชคดีเอาไว้ให้มาก”
หวงซือกระดกห่อสัมภาระใบใหญ่ที่สะดุดตาอย่างถึงที่สุดให้เข้าที่ “พี่ใหญ่เฉินคือผู้เชี่ยวชาญ มีเวทอำพรางตัวมากมายขนาดนี้ ข้าห่างชั้นไกลโขนัก ต่อจากนี้ ไม่แน่ว่าป๋ายปี้กับพวกเกาหลิงสามคนอาจมาหาเรื่องข้า หรืออาจจะสาดน้ำโคลนสกปรกอะไรใส่บนตัวข้า แบกของไว้มากมายขนาดนี้ แม้แต่เดินออกไปจาก แคว้นเป่ยถิง ข้าก็อาจจะยังทำไม่ได้”
เฉินผิงอันถาม “ก่อนหน้านี้ได้ยินเจ้าบอกว่าจะแก้แค้น แก้แค้นอะไร?”
หวงซือพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ปีนั้นทำอะไรไปตามอารมณ์ เป็นข้าที่ทำผิดก่อน แต่ข้าก็คิดไม่ถึงว่า ตัวข้าเองไม่ตาย ทว่าคนในครอบครัวข้าหวงซือสี่สิบกว่าชีวิต คนแก่ สตรี และเด็ก ล้วนถูกผู้ฝึกตนถลกหนัง จากนั้นก็สับเปลี่ยนเอาหนังคนมาสวมลงบนร่างคนตาย”
น้ำเสียงของผู้ฝึกยุทธท่านนี้ราบเรียบ ราวกับกำลังเล่าเรื่องที่ตัวเองอ่านเจอ จากในหนังสือให้ฟัง
ความทุกข์ยากที่แท้จริงบนโลก คนที่เผชิญกับมันไม่มีทางแสดงความเจ็บปวด รวดร้าวปานจะขาดใจ หรือแผดเสียงตะโกนร่ำไห้ต่อหน้าสายตาคนนอก ต่อให้เคยทำ ส่วนใหญ่ก็มักจะมีแค่ครั้งสองครั้ง หลังจากนั้นยิ่งนานก็จะยิ่งนิ่งเฉย
เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยอะไร
หวงซือกระตุกมุมปาก “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร แต่ข้าก็ยังเชื่อใจเจ้า หรือควรจะพูดว่าอาศัยตอนที่โชคกำลังไม่เลว ลองเดิมพันครั้งใหญ่ดูข้ายินดีขายของชิ้นใหญ่ใน ห่อสัมภาระให้แก่เจ้า ข้าจะเก็บแค่เงินเทพเซียนอย่างเดียว หากสะสมครบแล้ว ข้าจะเอาไปซื้อเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารเม็ดหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ใช่เสื้อเกราะ เทพรับน้ำค้าง แต่เป็นเสื้อเกราะจินอูจิงเหว่ย จากนั้นค่อยซื้อดาบอาคมเล่มหนึ่ง ที่หมายตามานานแล้ว ข้าก็จะได้ทำเรื่องที่ควรทำเสียที”
เฉินผิงอันหยิบยันต์แบกศิลาหลายแผ่นออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้วโยนให้หวงซือ “ยันต์นี้สามารถอำพรางเรือนกายและลมปราณได้ดีที่สุด เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองก็ยิ่งสามารถเก็บร่องรอยทั้งหมดได้ ขอแค่ซ่อนตัวตอนกลางวัน ออกเดินทางตอนกลางคืน ระวังตัวสักหน่อย ก็มากพอจะให้เจ้าแอบออกไปจากอาณาเขตของแคว้นเป่ยถิงได้แล้ว”
หวงซืออึ้งงันอยู่กับที่ เขาไม่ได้รับยันต์พวกนั้นไว้ทันที ตอนนั้นที่อยู่ด้านหลังภูเขาของซากปรักจวนเซียนก็เคยใช้วิธีเดียวกันนี้ต่อยให้อีกฝ่ายกระอักเลือดไม่หยุด เพียงแต่ว่าตอนนั้นความคิดของเขาคืออยากจะหยั่งเชิงความตื้นลึกของอีกฝ่ายมากกว่า รอจนยันต์พวกนั้นหล่นลงห่างไปไกล หวงซือถึงได้บังคับยันต์เหล่านั้นมาไว้ในมือ เงียบไปพักใหญ่ แล้วถึงได้เปิดปากถามว่า “เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
เฉินผิงอันกลับออกเดินทางต่อแล้ว เขาทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “ยามที่ความยากลำบากบนโลกมาเยือน พวกเราต้องกล้าโมโหและกล้าพูด”
เป็นแค่ประโยคง่ายๆ ของคนนอกสถานการณ์ คนแปลกหน้าที่เดินผ่านทางมาคนหนึ่ง
ทว่ากลับทำให้ผู้ฝึกยุทธที่จิตใจแข็งแกร่งปานหิน อีกทั้งการกระทำยังอำมหิต ไร้ปราณีถึงกับริมฝีปากสั่นระริก สองหมัดกำแน่น หวงซือปล่อยหมัดข้างหนึ่งออก สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วยื่นมือมาเช็ดใบหน้า
หวงซือพลันตะโกนเสียงดัง “นี่ พี่ใหญ่เฉิน โปรดหยุดก่อน”
เฉินผิงอันหันหน้ามาด่าอย่างขุ่นเคือง “ข้าผู้อาวุโสเหลือยันต์ดีๆ อยู่แค่ไม่กี่แผ่นแล้ว! ข้าผู้อาวุโสคือร้านผ้าห่อบุญที่ต้องตื่นเช้ากลับค่ำ หาเงินเล็กๆ น้อยๆ มาอย่างลำบากลำบน ไม่ใช่กุมารแจกทรัพย์ นายท่านใหญ่อย่างเจ้ายังกล้าได้คืบจะเอาศอกอีกรึ เป็นคนไร้คุณธรรมอะไรอย่างนี้ แค้นเก่าหลังภูเขายังไม่ได้ชำระเลยนะ หนึ่งหมัด หนักหมื่นจิน ทำเอากระดูกแก่ๆ …กระดูกอ่อนๆ ของข้าเกือบจะหลุด…”
หวงซือมุมปากกระตุก เกือบจะเปลี่ยนใจเสียแล้ว แต่จู่ๆ เขาก็หัวเราะ เปิดมุมหนึ่งของห่อสัมภาระออก แล้วเขย่าแรงๆ สุดท้ายโยนของสามชิ้นออกมาติดๆ กัน “ข้าหวงซือไม่ถือว่าเป็นคนดีอะไร แต่ก็ไม่ยินดีจะติดค้างน้ำใจใคร”
‘เด็กหนุ่ม’ คนนั้นรีบเปลี่ยนสีหน้าทันที ยิ้มแต้รับของสามชิ้นนั้นไปเก็บไว้ในหีบไม้ไผ่
เฉินผิงอันลูบคลึงปลายคาง รู้สึกว่าพวกเขาที่เป็นชายชาตรีสองคนสามารถนั่งลงจิบเหล้าคำเล็กๆ ค่อยๆ คุยเรื่องการค้ากันได้แล้วหรือไม่
หวงซือยิ้มเอ่ย “มียันต์พวกนี้แล้ว ข้าจะยังขายให้เจ้าอีกทำไม? ด้วยคัมภีร์ ทำการค้าของเจ้า ข้าจะไม่ขาดทุนเลยหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ชมเกินไปแล้วๆ”
แล้วคนทั้งสองก็แยกย้ายกันไปทั้งอย่างนี้
หวงซือพลันถามว่า “ชื่อแซ่อะไร? บอกได้หรือไม่?”
คนผู้นั้นไม่ได้หันกลับมา เพียงชูมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วกำเป็นหมัดเบาๆ “เดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ เฉินคนดี”
หวงซือคร้านจะเปิดปากพูดอะไรอีก
จะไปไหนของเจ้าก็ไปเถอะ เจ้าคนแซ่เฉิน นามคนดี
แต่ว่าเขาก็ เป็นคนดีจริงๆ นะ
คนผู้นั้นพลันหันกลับมา สะบัดชายแขนเสื้อสองข้างเบาๆ ในมือมียันต์หนาๆ อีกสองปึกใหญ่ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อันที่จริงที่ข้ายังมียันต์โจมตีอยู่อีกเล็กน้อย บอกตามตรงว่าทุกแผ่นล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า เป็นของดีราคาถูก…”
หวงซือแปะยันต์แบกศิลาแผ่นหนึ่งไว้บนร่าง ไม่รอให้เจ้าหมอนั่นพูดจบ ก็ชูนิ้วกลางให้อีกฝ่าย จากนั้นดีดปลายเท้าทะยานตัวจากไป
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเสียดาย “แต่ละคนฉลาดๆ กันทั้งนั้น ทำการค้านี่ยากจริงๆ”
……
เฉินผิงอันเดินอยู่ท่ามกลางขุนเขาสูงใหญ่เพียงลำพัง แล้วจู่ๆ เขาก็พลันเงยหน้าขึ้น
หนึ่งชายหนึ่งหญิงเร่งรีบทะยานลมเดินทางไกล จากนั้นร่างของคนทั้งสอง ก็พุ่งเข้าไปในป่าลึกแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็วดั่งลูกธนู พริบตาเดียวร่างก็หายวับไป
พวกเขาก็คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเสิ่นเจิ้นเจ๋อแห่งนครเหนือเมฆ
บุรุษหนุ่มระวังตัวค่อนข้างมาก จึงพาสตรีเปลี่ยนแปลงเส้นทาง
นี่ก็เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้หลังจากรับวัตถุฟางชุ่นมาจากมือของเจินเหรินผู้เฒ่า แล้วทะยานลมจากมาพร้อมกับศิษย์น้อง เขาปล่อยจิตวิญญาณให้จมลงไปด้านใน ผลกลับพบว่านอกจากวัตถุตระกูลเซียนแปลกหน้าไม่กี่ชิ้น ซึ่งน่าจะเป็นเพราะผู้ถวายงานสวี่ เห็นวัตถุฟางชุ่นชิ้นนี้เป็นที่เก็บสมบัติของตัวเอง เป็นโชควาสนาที่ผู้อาวุโสในสำนัก ซึ่งมีจิตใจอำมหิตผู้นี้หาเจอมาด้วยตัวเองแล้ว คราบร่างเซียนกับชุดคลุมอาคมที่ สำคัญที่สุดสองชิ้นนั้นต่างก็ไม่อยู่แล้ว
เจินเหรินผู้เฒ่าหวนบอกว่าผู้ถวายงานสวี่ตายไปแล้ว
เป็นเพราะเขาบีบถามวิชาลับเปิดขุนเขาของวัตถุฟางชุ่นชิ้นนี้จากปาก ผู้ถวายงานสวี่ แล้วเอาสมบัติล้ำค่ามูลค่าควรเมืองสองชิ้นออกไปแล้วใช่หรือไม่?
แต่ทำไมหวนอวิ๋นต้องทำอะไรที่เกินความจำเป็นเช่นนี้? ยังจะนำกระบอกเก็บพู่กันหยกขาวมามอบให้ตนอีก? เพราะแน่ใจว่าตนไม่กล้าแพร่งพรายความลับ กับอาจารย์งั้นหรือ?
เมื่อเกิดใจสงสัยก็คิดระแวงไปทั่ว
และหวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
ในความเป็นจริงแล้วทั้งสองฝ่ายต่างก็ถือเป็นคนดีที่ฉลาด การมาเยี่ยมเยือนภูเขาครั้งนี้ ต่อให้ระหว่างนั้นหวนอวิ๋นจะเกิดความละโมบขึ้นมาบ้างก็จริง แต่สุดท้ายแล้ว ก็ยังไม่กระทำการโหดร้ายที่ผิดต่อมโนธรรมในใจตัวเอง
ทว่าสุดท้ายแล้วจิตใจคนที่ดำเนินไปพลันหักเลี้ยวกะทันหัน การทำความชั่ว จึงง่ายดายดุจภูเขาถล่ม
หวนอวิ๋นที่จำแลงร่างเป็นสายรุ้งไล่ตามมาทัน เขาพลิ้วกายลงบนพื้น สายตา จับจ้องเด็กรุ่นหลังสองคนเขม็ง แล้วพูดด้วยสีหน้าเฉยชา “คาถาเปิดขุนเขาของ วัตถุฟางชุ่นคืออะไร?”
บุรุษหนุ่มดึงสตรีมาไว้ด้านหลังตัวเอง เอ่ยว่า “เหตุใดเจินเหรินผู้เฒ่ายังต้องถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว?”
หวนอวิ๋นกล่าวอย่างเดือดดาล “หากเป็นเช่นนี้จริง ข้าผู้อาวุโสจะต้องวาดงูเติมขาไปไย?”
บุรุษหนุ่มยิ้มขื่น “ความคิดของเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างพวกเจ้า ข้าจะไปเดาออก ได้อย่างไร?”
หวนอวิ๋นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟังหนึ่งรอบ
บุรุษหนุ่มรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย แล้วยิ้มขื่นเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใด เจินเหรินผู้เฒ่าถึงยังต้องถามวิธีเปิดวัตถุฟางชุ่น?”
หวนอวิ๋นกล่าว “พวกเจ้าจะได้ตายไปพร้อมกับความเข้าใจอย่างไรเล่า”
คนหนุ่มถาม “พวกเราสามารถทรยศนครเหนือเมฆ ติดตามเจินเหรินผู้เฒ่าไปฝึกตน”
หวนอวิ๋นมองไปด้านหลัง พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าต้องพิสูจน์ตัวเอง”
บุรุษพลันแผดเสียงหัวเราะดังลั่น ถ่มน้ำลาย เอ่ยว่า “เจินเหรินชาติสุนัข เจ้าหวนอวิ๋นยังสู้ผู้ฝึกตนอิสระป่าเถื่อนพวกนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
บุรุษพลันรู้สึกเย็นวาบที่ด้านหลัง เขาถูกมีดเล็กเล่มหนึ่งแทงทะลุแผ่นหลัง ร่างเขาเซมาข้างหน้าหนึ่งก้าว จากนั้นก็หันหน้ากลับไปช้าๆ ด้วยสีหน้าสับสน
สตรีที่อยู่ด้านหลังเขาถอยกรูดออกไปหลายสิบก้าว ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม
เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม มือข้างหนึ่งของนางถึงกดไว้บนข้อมือของตัวเอง ราวกับว่าได้รับบาดเจ็บ
หวนอวิ๋นยิ้มกล่าว “ดีมาก”
บุรุษที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหันหน้าไปมองสตรีที่ใบหน้าซีดขาว สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา น้ำตาไหลอาบใบหน้าของเขา แต่กลับไม่มีความแค้นเคืองใดๆ มีเพียงความผิดหวังและความเจ็บปวดใจ เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าโง่หรือไม่ พวกเราล้วนต้องตายกันทั้งคู่”
หวนอวิ๋นหลุดหัวเราะพรืด “ยังคงเป็นเจ้าที่ฉลาด”
หวนอวิ๋นหันหน้ากลับมา “ในเมื่อสหายยินดีช่วยคน เหตุใดต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่กล้าออกมา”
เฉินผิงอันเดินอ้อมออกมาจากหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง เขาชำเลืองตามองสตรี ที่หลังจากความเสียใจผ่านพ้นไป กลิ่นอายความอำมหิตยิ่งเข้มข้นแวบหนึ่ง
ในที่สุดก็มาทัน บุรุษหนุ่มคนนั้นยังไม่ตาย
เฉินผิงอันมองไปยังผู้เฒ่า “เห็นผีตอนกลางวันแสกๆ ได้เปิดโลกทัศน์เสียจริง”