กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 547 การกระทำของมือกระบี่
เจินเหรินผู้เฒ่าพรรคยันต์ที่มีมาดของเซียน
สวีซิ่งจิ่วแห่งนครเหนือเมฆที่ถูกแทงไปหนึ่งครั้ง
บวกกับเด็กหนุ่มสวมชุดเขียว สะพายหีบไม้ไผ่ใบใหญ่คนหนึ่งที่เป็นส่วนเกินมากๆ
หวนอวิ๋นเอ่ย “ไม่เป็นร้านผ้าห่อบุญของตัวเองให้ดีๆ จะวิ่งมาเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้ทำไม? ควรหยุดเมื่อพอสมควร ได้ผลประโยชน์แล้วก็จากไปซะ หาเงินอย่างมั่นคง นั่นจึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง”
อาศัยชุดคลุมอาคมสีดำ อู่ชวินจึงรู้สถานะของคนผู้นี้ หวนอวิ๋นก็ยิ่งจำอีกฝ่ายได้
ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่ระมัดระวังมากพอ แต่วิธีการของปีศาจใหญ่หลอมภูเขาตนนั้น ทำให้คนประหลาดใจมากเกินไป การที่ให้เทพหญิงชุดขาวและเทพชุดเขียวคลี่ ม้วนภาพขุนเขาสายน้ำออกมา ทำให้ภาพของทุกคนที่ขึ้นเขามาตามหาสมบัติล้วนปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจน
แต่กระนั้นหวนอวิ๋นก็แค่คาดเดาเอาว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ก็คือผู้ฝึกตนอิสระ ร้านผ้าห่อบุญที่ไปวางแผงขายยันต์ที่นครเหนือเมฆ เพราะว่ารู้สถานะของตนแล้วก็ยังกล้าลงมือช่วยคน ท่ามกลางบรรดาคนมากมายที่ขึ้นเขามา คาดว่าก็คงมีเพียงผู้เฒ่า ชุดดำที่อำพรางตนอย่างมิดชิด ทำตัวแปลกประหลาดคนนั้นเท่านั้นที่จะมีความกล้าและความสามารถนี้
ผู้ฝึกตนบนภูเขา หากมีการคาดเดาเป็นของตัวเองเมื่อไหร่ ไม่ว่าสุดท้ายจะใช่ความจริงหรือไม่ กลับกลายเป็นว่าไม่ได้สำคัญขนาดนั้นแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา ก็ไม่ใช่ว่าวันๆ ยุ่งอยู่กับการขึ้นเขาลงห้วย วักน้ำพุดื่มกิน เดินผ่านน้ำขุ่นหรอกหรือ มีอะไรให้ต้องประหลาดใจกัน?”
สวีซิ่งจิ่วพลันเอ่ยว่า “หวนเจินเหริน เรื่องนี้ยังมีพื้นที่เหลือให้พอพูดคุยกัน”
หวนอวิ๋นส่ายหน้า “นับตั้งแต่นาทีที่ข้าผู้อาวุโสเลือกจะไล่ตามมาฆ่าพวกเจ้า ก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกแล้ว สวีซิ่งจิ่ว เจ้าเป็นคนฉลาด ฉลาดมาก คนฉลาดต้องไม่ จงใจพูดจาโง่ๆ”
อันที่จริงสวีซิ่งจิ่วก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แก่ใจ
หากหวนอวิ๋นมีน้ำใจที่กว้างขวาง ไม่มีความเห็นแก่ตัวแม้แต่น้อยมาตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆ ก็ไม่มีทางไล่ตามเขาและจ้าวชิงหวานมา
เมื่อมีความปรารถนาใหญ่ จิตใจย่อมคับแคบ แคบจนมีเพียงทางสายเล็กไส้แกะให้เดิน มีเพียงตัวเองคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเดินบนทางนั้นได้
หากว่ากันไปตามเนื้อผ้า อันที่จริงสวีซิ่งจิ่วก็รู้ดีว่าการเลือกของตัวเองก่อนหน้านี้ ก็เป็นความผิดใหญ่หลวงเหมือนกัน นาทีที่หวนอวิ๋นมอบกระบอกพู่กันหยกขาวมาให้ ตอนนั้นตนไม่ควรใช้ความคิดที่เลวร้ายที่สุดไปคาดเดาหวนอวิ๋น พอรู้ว่าคราบร่างเซียนและชุดคลุมอาคมสองชิ้นซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าหายไปแล้ว ก็ยิ่งไม่ควรปกปิด ควรเลือก ที่จะพูดกับเขาอย่างตรงไปตรงมา และหากตอนนั้นหวนอวิ๋นอธิบายเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น บางทีทั้งสองฝ่ายอาจไม่ต้องตกอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ แต่อันที่จริงเรื่องราวทางโลกและจิตใจคนไม่ได้ง่ายดายเพียงเท่านี้ แผนการร้ายอำมหิตครั้งแล้วครั้งเล่าที่ ผู้ถวายงานสวี่แห่งนครเหนือเมฆบ้านของตนนำมาใช้กับพวกเขา ทำให้สวีซิ่งจิ่ว ไม่เพียงแต่เห็นลมพัดก็หวาดผวา ในความเป็นจริงแล้วในฐานะผู้ปกป้องมรรคา ของเขา การที่หวนอวิ๋นเลือกจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ เดิมทีก็เป็นปราณสังหาร เป็นจิตสังหารที่ซ่อนอำพรางอย่างหนึ่ง
บางทีนั่นอาจเป็นวิธียืมมีดฆ่าคน ผู้ถวายงานสวี่ฆ่าพวกเขาชิงสมบัติ ถ้าเช่นนั้นหวนอวิ๋นก็สามารถเป็นนกขมิ้นที่รอจับจ้องอยู่ด้านหลัง อีกทั้งไม่ว่าจะอยู่กับฝ่ายไหน เขาก็ถือว่ามือสะอาด
หวนอวิ๋นไม่ได้รีบร้อนลงมือ
เฉินผิงอันจึงไม่ได้รีบร้อนเช่นกัน
เรื่องราวมากมาย คนมากมาย ต่างก็คิดว่าใต้ฝ่าเท้าของตนไม่มีทางให้ถอยกลับ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับยังมีอยู่
อันที่จริงหวนอวิ๋นตกอยู่ในสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนที่สุด สวีซิ่งจิ่วและ จ้าวชิงหวานแห่งนครเหนือเมฆ แน่นอนว่าเขาต้องตัดรากถอนโคน แต่ควรจะพูดคุยกับร้านผ้าห่อบุญที่ชอบแปลงโฉมผู้นี้อย่างไร อันตรายรายล้อมอยู่รอบด้าน เพราะหวนอวิ๋นไม่แน่ใจว่าตบะของอีกฝ่ายสูงหรือต่ำ ถึงขั้นที่ว่าคนผู้นี้เป็น ผู้ฝึกลมปราณสายยันต์หรือผู้ฝึกกระบี่ที่ตอแยด้วยยากที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนบนภูเขากันแน่ หวนอวิ๋นก็ยังไม่รู้เลย หากเขาแน่ใจแล้ว ก็หนีไม่พ้นว่าเขาหวนอวิ๋น กายดับมรรคาสลาย รู้ว่าตบะของอีกฝ่ายสูงจริงๆ หรือไม่อีกฝ่ายก็ตายด้วยน้ำมือ ของตน โชควาสนาและสมบัติทั้งหมดถูกเก็บมาไว้ในกระเป๋า ถึงคราวที่เขาหวนอวิ๋นจะได้มีโชคหนักๆ กับเขาสักครั้ง
เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นว่า “หากข้าจำไม่ผิด ลัทธิเต๋าของพวกเจ้าพูดอยู่ตลอดว่า ฝึกเรือนกาย ไม่ฝึกนิสัย นี่คือโรคแรกของการฝึกตน”
หวนอวิ๋นหัวเราะ “พูดง่ายนะ”
เฉินผิงอันกล่าว “ก็เพราะว่าไม่ว่าใครก็พูดได้ง่าย แต่พอทำขึ้นมาจริงๆ นั่นต่างหากที่ยาก เมื่อทำสำเร็จ ถึงจะมีสมบัติล้ำค่าติดกาย มีคุณธรรมประจำตัว”
ฝึกทั้งกายฝึกทั้งนิสัย คือวิชาลับของหมื่นเทพ ฝึกทั้งกายฝึกทั้งนิสัย คนที่ทำได้สำเร็จก็คือเจดีย์ไร้รอยต่อของลัทธิเต๋า คือมรรคผลไร้รูรั่วที่ลัทธิพุทธเลื่อมใส
หวนอวิ๋นส่ายหน้า “ข้าผู้อาวุโสรู้ว่าเจ้าอายุไม่มาก และยิ่งไม่ใช่คนของลัทธิเต๋า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องมาเล่นทายปริศนาธรรมกับข้าผู้อาวุโสแล้ว ไม่สู้เจ้าและข้าสองคนมาพูดอะไรที่เป็นความจริงกันสักหน่อย ก็เหมือนกับตอนที่อยู่ในตลาดของ นครเหนือเมฆ มาพูดเรื่องการค้ากันอีกครั้งดีไหม?”
เฉินผิงอันเองก็ส่ายหน้าตามไปด้วย “ขอแค่เจ้ายังคิดจะฆ่าคนทั้งสอง การค้านี้ของพวกเราก็คงคุยกันไม่สำเร็จ พูดให้ชัดเจนกันไปเลย นอกจากเจินเหรินผู้เฒ่า เกิดความละโมบคิดอยากฆ่าคนแล้ว ก็ไม่เคยสร้างหายนะอย่างอื่นที่แท้จริง โชควาสนาและสมบัติที่อยู่ในวัตถุฟางชุ่นของสวีซิ่งจิ่วชิ้นนั้น สามารถเทียบกับจิต แห่งเต๋าที่เจ้าหวนอวิ๋นสะสมมาอย่างยากลำบากตลอดชีวิตได้หรือ?”
หวนอวิ๋นหลุดหัวเราะพรืด แล้วถอนหายใจหนึ่งที “ทำไม อยากจะเกลี้ยกล่อมให้ข้าหยุดมือเปลี่ยนความคิด แต่จะอาศัยแค่ขยับปากเท่านั้นน่ะหรือ?”
สวีซิ่งจิ่วเปิดปากเอ่ย “หวนเจินเหริน ข้ายินดีเอาสมบัติทั้งหมดในวัตถุฟางชุ่นออกมาจ่ายเป็นเงินซื้อชีวิต ขอร้องเจินเหรินผู้เฒ่าว่าหลังจากเลือกได้แล้ว โปรดเหลือไว้ ให้เราหนึ่งชิ้น เพื่อจะได้มีคำอธิบายกับอาจารย์ อีกทั้งข้ายังสามารถใช้วิชาลับของ ศาลบรรพจารย์เอ่ยคำสาบานร้ายแรงว่า ข้าสวีซิ่งจิ่วจะไม่พูดถึงการกระทำของ หวนเจินเหรินแม้แต่คำเดียว วันหน้าหวนเจินเหรินยังคงไปเป็นแขกผู้มีเกียรติของ นครเหนือเมฆได้ หรือหากเป็นไปได้ ก็ยังสามารถเป็นผู้ถวายงานที่แขวนชื่ออยู่ใน นครเหนือเมฆของพวกเรา”
สวีซิ่งจิ่วดึงมีดเล่มเล็กที่เป็นของแทนใจเล่มนั้นออกมาแล้ว เขาเช็ดคราบเลือดแล้วเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ จากนั้นก็ทำแผลให้ตัวเองง่ายๆ กลืนยาล้ำค่าของ นครเหนือเมฆที่พกติดตัวไว้ตลอดลงไปหนึ่งเม็ด
อันที่จริงบาดแผลอยู่ด้านหลัง อยู่ตรงหัวใจ
เพียงแต่ว่าเขาสวีซิ่งจิ่วไม่สนใจ
เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งที
ยิ่งเจ้าสวีซิ่งจิ่วแสดงออกว่าฉลาด รู้จักประเมินสถานการณ์ รู้จักกาลเทศะมากเท่าไร เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาหวนอวิ๋นก็มีแต่จะเป็นภัยแฝงที่ใหญ่มากเท่านั้น
ช่วยไม่ได้
ถ้าอย่างนั้นตนก็ได้แต่เปลี่ยนวิธีการใหม่ เปลี่ยนมาใช้รูปแบบที่สอดคล้องกับ อุตรกุรุทวีปมากยิ่งกว่า ไม่อย่างนั้นหวนอวิ๋นก็คงลงมือฆ่าคนอย่างฮึกเหิม ด้วยหวังว่าเดิมพันมากก็จะชนะได้มาก
กระบี่บินสองเล่มที่ยังไม่อาจหล่อหลอมให้กลายเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้อย่างสมบูรณ์พุ่งออกมาจากช่องโพรงลมปราณสองแห่งแล้วมาหยุดลอยอยู่ฝั่งซ้ายขวา ของเฉินผิงอัน หนึ่งคือรุ้งสีขาวเส้นเล็กบาง อีกหนึ่งคือประกายแสงสีเขียวมรกต
เฉินผิงอันเอ่ย “หวนอวิ๋น ยังจะทำผิดซ้ำซากอีกหรือไม่?”
ชายแขนเสื้อสองข้างของหวนอวิ๋นพองโป่ง ยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนลอยออกมาสร้างค่ายกลปกป้องตัวเอง เขาพูดเสียงสั่นว่า “เจ้าคือคนที่เซ่นกระบี่ในแคว้นฝูฉวีร่วมกับหลิวจิ่งหลง?!”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”
หวนอวิ๋นทอดถอนใจ “มิน่าเล่าๆ”
เฉินผิงอันหันหน้าไปพูดกับสวีซิ่งจิ่ว “เจ้าจะเอาอย่างไรต่อ?”
สวีซิ่งจิ่วเอ่ย “ผู้อาวุโส ข้าจะพาศิษย์น้องกลับไปที่นครเหนือเมฆด้วยกัน”
จ้าวชิงหวานผู้นั้นร้องไห้พลางตะโกนขึ้นมาว่า “ข้าไม่ไป! สวีซิ่งจิ่ว เจ้าฆ่าข้าเถอะ!”
สวีซิ่งจิ่วคลี่ยิ้มซีดเซียว “พวกเราอย่าได้ทำเรื่องโง่อีกเลย ไม่มีอุปสรรคใดที่ ข้ามผ่านไปไม่ได้ ชิงหวาน หากเจ้าเชื่อใจข้า ก็ไปจากที่นี่พร้อมข้า เมื่อก่อนพวกเราเคยเป็นอย่างไร ต่อจากนี้ก็จะยังเป็นอย่างนั้น ข้าไม่มีปมในใจใดๆ แค่เจ้าต้องคลายปมในใจของตัวเอง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถึงขั้นที่ว่าหากจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนไปดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ชิงหวาน ไม่ว่าใครก็ล้วนทำผิดกันได้ ไม่ต้องกลัวนะ พวกเราทำผิดแล้ว ก็ต้องรู้จักแก้ไข”
จ้าวชิงหวานเหมือนธาตุไฟเข้าแทรก สีหน้าของนางซีดขาว ทว่าดวงตากลับแดงก่ำ “กลับไปไม่ได้แล้ว กลับไปไม่ได้อีกแล้ว หากเจ้าไม่ฆ่าข้า ก็ต้องถูกข้าสังหาร ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ตายไปด้วยกัน ชาติหน้าพวกเราค่อยเป็นสามีภรรยากันใหม่ ข้ารับรองว่าเราจะรักกันไปชั่วชีวิต ดีหรือไม่ สวีซิ่งจิ่ว?”
สวีซิ่งจิ่วสีหน้าไร้อารมณ์ เขาดึงมีดเล่มนั้นออกมาโยนให้จ้าวชิงหวานเบาๆ แล้วกวาดตามองไปรอบด้าน เวลานี้พวกเขาอยู่ท่ามกลางป่าลึก จึงเอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “เดิมทีสามีภรรยาก็คือนกจากป่าเดียวกัน ยามหายนะใหญ่มาเยือน ต่างคนก็ต่าง โบยบิน ทว่าทุกวันนี้พวกเรายังไม่ทันได้เป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันก็เป็นเช่นนี้เสียแล้ว ชิงหวาน ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็แทงข้าอีกทีเถอะ ไม่อย่างนั้นต่อให้ต้องจับเจ้ามัด ข้าก็ต้องพาเจ้ากลับไปที่นครเหนือเมฆด้วยกันให้ได้ ข้าเคยบอกไว้แล้วว่าชาตินี้จะผูกสมัคร เป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเจ้า ข้าสวีซิ่งจิ่วพูดได้ก็ต้องทำได้”
จ้าวชิงหวานกำมีดเล่มนั้นเอาไว้ สายตาเหม่อมองสวีซิ่งจิ่ว แล้วนางก็พลันคลี่ยิ้มหวาน ดุจดอกสาลี่พร่างพรมด้วยสายฝน ริมฝีปากของนางสั่นระริก แต่กลับไม่มีเสียงใด เล็ดรอดออกมา ดูเหมือนว่านางจะพูดคำสามคำ
น้ำตาเอ่อคลอกลบดวงตาสวีซิ่งจิ่ว
ล้วนเป็นอย่างนี้เสมอมา เขาชอบดวงตาที่พูดได้ของนางคู่นี้ที่สุด
ปีนั้นอาจารย์พาเด็กหญิงคนหนึ่งมาที่นครเหนือเมฆ เด็กหนุ่มมองนาง นางเอียงศีรษะ เบิกตาดวงตากลมโตคู่นั้นมองเขา
เด็กหนุ่มทำหน้าผีใส่
เด็กหญิงก็ตกใจจนร้องไห้โฮ
ผ่านไปปีแล้วปีเล่า จุดสูงกลางทะเลเมฆมีครอบครัว
จ้าวชิงหวานพลันจับมีดแทงเข้าไปที่หัวใจของตัวเอง
นาทีถัดมาสวีซิ่งจิ่วก็มาอยู่ตรงหน้านาง ใช้มือจับมีดเล่มนั้นเอาไว้ ฝ่ามือ เต็มไปด้วยเลือด
สวีซิ่งจิ่วพูดเสียงอ่อนโยน “ชิงหวาน พวกเราต่างก็ถือว่าตายกันไปแล้วหนึ่งครั้ง ชีวิตนี้เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้แล้วหรือยัง?”
จ้าวชิงหวานปล่อยมือ ทรุดตัวนั่งลงบนพื้น ยกสองมือปิดหน้า
สวีซิ่งจิ่วโยนมีดทิ้งไป ย่อตัวลงโอบนางไว้ในอ้อมกอดเบาๆ กำลังจะเอื้อมมือไปตบแผ่นหลังนาง กลับนึกขึ้นได้ว่าในฝ่ามือมีแต่เลือด จึงพลิกมือ ใช้หลังมือลูบหลังนางเบาๆ แทน ท่วงท่าของเขาอ่อนโยน พูดพึมพำว่า “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว เมื่อก่อนเจ้าชอบบ่นว่าข้าไม่เคยบอกชอบเจ้าไม่ใช่หรือ วันหน้าไม่ต้องถามอีกแล้ว บุรุษที่ไหนมักจะพร่ำพูดว่าตัวเองชอบบ่อยๆ กันเล่า”
หวนอวิ๋นมีสีหน้าซับซ้อน
เฉินผิงอันถาม “หวนอวิ๋น ดูเหมือนว่าเจ้ายังมีหลานอยู่ที่นครเหนือเมฆไม่ใช่หรือ?”
หวนอวิ๋นพลันเดือดดาลอย่างหนัก “อย่าลากคนในครอบครัวข้ามาเกี่ยวข้อง!”
เฉินผิงอันกล่าว “ก็ข้าคิดจะตัดรากถอนโคนเลียนแบบเจ้าอย่างไรเล่า”
หวนอวิ๋นเอ่ย “เจ้าจะบีบให้ข้าต้องลากเจ้าให้วินาศวอดวายไปพร้อมกันหรือ?”
เฉินผิงอันตอบ “เจ้าคู่ควรงั้นรึ?”
ดูเหมือนว่าหวนอวิ๋นจะแก่ลงไปอีกร้อยปี ชั่วพริบตานั้นก็แสดงความเหนื่อยล้าออกมาอย่างสุดขีด “ช่างเถิด ชื่อเสียงดีงามเสียหายภายในวันเดียว นับแต่นี้ไป ข้าจะไม่ไปเหยียบที่นครเหนือเมฆอีกแม้แต่ครึ่งก้าว ไม่ว่าสวีซิ่งจิ่วหรือเสิ่นเจิ้นเจ๋อ จะเล่นงานข้าหวนอวิ๋นอย่างไร ก็ล้วนเป็นข้าที่รนหาที่เอง”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าจะเห็นข้าเป็นคนดีหรือคนเลวก็แล้วแต่เจ้า แต่ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าได้เห็นข้าเป็นคนโง่เด็ดขาด”
หวนอวิ๋นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “เจ้าจะเอายังไงกันแน่?! ทำไม คิดจะฆ่าข้าหวนอวิ๋นแล้วค่อยไปฆ่าหลานชายข้าจริงๆ งั้นหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะทำได้ลง…”
เฉินผิงอันตัดบทคำพูดของหวนอวิ๋นด้วยการพูดเนิบช้าว่า “ข้าจะเดินไปบนเส้นทางการถามใจเป็นเพื่อนเจ้า”
หวนอวิ๋นอึ้งตะลึง
เฉินผิงอันเอ่ย “มีเรือยันต์หรือไม่? ทางที่ดีที่สุดพวกเราควรโดยสารเรือข้ามฟากกลับไปที่นครเหนือเมฆด้วยกัน”
สุดท้ายก็มีเรือยันต์ล้ำค่าสองลำที่ใหญ่เหมือนเรือข้ามฟากในโลกมนุษย์ค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ มุ่งหน้าไปยังนครเหนือเมฆ
เรือลำหนึ่งบรรทุกคนสี่คน อีกลำหนึ่งบรรทุกฝ้าเพดานใหญ่ยักษ์ที่ใครบางคนไปเอาออกมาจากบ่อลึก เรือยันต์ที่มีมูลค่าควรเมืองทั้งสองลำล้วนถูกหวนอวิ๋นร่ายเวท อำพรางตาเอาไว้
สองฝั่งของเรือยันต์ สวีซิ่งจิ่วและจ้าวชิงหวานนั่งเคียงไหล่กัน
เฉินผิงอันกับหวนอวิ๋นนั่งพิงพนังเรือ หันหน้าเข้าหากัน
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ ด้านหลังสะพายหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ เขาหันหน้าไปพูดกับ สตรีคนนั้นว่า “จงทะนุถนอมบุญสัมพันธ์ที่ได้มาไม่ง่ายนี้ไว้ให้ดี วันหน้ายามที่พวกเจ้าสองคนอยู่ด้วยกัน ทั้งไม่ควรเอาเรื่องนี้มาทำให้เกิดใจระแวงป้องกันกันเอง แล้วก็ ไม่ควรจงใจหลีกเลี่ยงจะพูดถึงมรสุมในวันนี้ ไม่อย่างนั้นไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องเกิดเรื่อง นั่นจะกลายเป็นเรื่องน่าเสียใจที่ตายช้าไม่สู้ตายเร็ว หากพวกเจ้าสองคนสามารถ ข้ามผ่านหลุมทางใจนี้ไปได้ เจ้าและสวีซิ่งจิ่วก็จะกลายเป็นคู่รักเทพเซียนที่แท้จริง ฝึกตนอยู่บนมหามรรคา การขัดเกลามีนับร้อยนับพันรูปแบบ ถามใจตัวเองนั้น ยากที่สุด บางทีนี่อาจเป็นการฝึกฝนจิตใจที่พวกเจ้าสองคนควรพบเจอ จะได้รับโชคดีหลังเคราะห์ร้ายหรือไม่ ก็ต้องดูที่ว่าพวกเจ้ายินดีจะใคร่ครวญสิ่งที่ได้มาและเสียไปจากเรื่องครั้งนี้ดีๆ หรือไม่”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หันมาพูดกับสวีซิ่งจิ่ว “ต่อให้ตัวเจ้าเองจะไม่ถือสาในเรื่องนี้ แต่นางทำผิดก็คือทำผิด ความผิดใหญ่หลวงก็คือความผิดใหญ่หลวง ดังนั้นอย่าเอาแต่ใช้คำพูดสวยหรูว่างเปล่ามาปลอบใจนาง เจ้าสวีซิ่งจิ่วต้องเข้าใจให้ชัดเจนเสียก่อน ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะทำให้นางยิ่งรู้สึกผิด ยิ่งละอายใจในตัวเอง รู้สึกว่าไม่คู่ควร กับเจ้าสวีซิ่งจิ่วมากเท่านั้น ถึงเวลานั้นหากไม่เปลี่ยนจากคนรักไปเป็นศัตรูคู่แค้น ก็ต้องกลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน จะว่าไปแล้วก็ยังเป็นเพราะเจ้าทำได้ ไม่ดีพอ ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเจ้าสวีซิ่งจิ่วจะเป็นคนดีแล้วก็จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนนี้”
สวีซิ่งจิ่วจับมือของจ้าวชิงหวานเอาไว้ พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ในใจของเขารู้สึกเพียงว่าเมื่อดอกหลิ่วร่วงโรย บุปผาอื่นย่อมเบ่งบาน สภาพจิตใจใสสะอาดดุจท้องฟ้าหลังฝนตก แล้วก็ราวกับว่าจะสามารถฝ่าทะลุคอขวดนั้นไปได้
จ้าวชิงหวานได้ฟังประโยคนี้แล้วก็เหมือนว่าได้คลายปมในใจที่เดิมทีเป็นเงื่อนตาย
มือที่จับกับสวีซิ่งจิ่วไว้จึงเพิ่มน้ำหนักขึ้นอีกเล็กน้อย
หวนอวิ๋นไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแค่หลับตาพักผ่อนเท่านั้น
ในเมื่อเฉินผิงอันเปิดเผยสถานะ ‘เซียนกระบี่’ ที่เซ่นกระบี่ร่วมกับฉีจิ่งหลง ออกมาแล้ว ก็ไม่คิดจะปิดบังตัวตนอีก เขาถอดหน้ากากเด็กหนุ่มออก กลับคืนมา มีรูปโฉมของตัวเอง สวมชุดเถาเถี่ยร้อยตาตัวนั้นอีกครั้ง ตอนนี้ปราณวิญญาณใน ชุดคลุมอาคมสีดำเปี่ยมล้น เฉินผิงอันก็สามารถนำมันมาหล่อหลอมได้พอดี
ส่วนหวนอวิ๋นจะฉวยโอกาสนี้โจมตีเขาหรือไม่
นั่นก็ต้องดูที่โชคของเจินเหรินผู้เฒ่าท่านนี้แล้ว
คนเลวใต้หล้านี้เมื่อเกิดความคิดชั่วร้ายแล้วกระทำการอันโหดร้ายขึ้นมา หลังจากเสียเปรียบไปแล้ว จะยังมาโทษว่าอีกฝ่ายไม่ได้แปะสองคำว่า ‘ยอดฝีมือ’ ลงบนหน้าผากของตัวเองอีกงั้นหรือ?
จากนั้นสวีซิ่งจิ่วก็ได้เสนอแผนการอย่างหนึ่ง ทั้งไม่ผิดต่อเสิ่นเจิ้นเจ๋ออาจารย์ของเขา แล้วก็ไม่ทำลายผลประโยชน์ของนครเหนือเมฆ ทั้งยังสามารถรักษาชื่อเสียงของหวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าไว้ได้อีกด้วย
แม้แต่อาการบาดเจ็บของสวีซิ่งจิ่วเองก็ยังมีคำอธิบายให้เป็นเรื่องไม่คาดฝัน ที่สมเหตุสมผล
สมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ สมเหตุสมผล
เฉินผิงอันไม่มีความเห็นต่าง
แม้ว่าหวนอวิ๋นจะไม่ได้ลืมตา แต่ก็ยังพยักหน้ารับเบาๆ
เรือยันต์สองลำมุ่งตรงเข้าสู่นครเหนือเมฆ เสิ่นเจิ้นเจ๋อออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
สวีซิ่งจิ่วจึงเล่า ‘ความเป็นมาของเรื่องราว’ ยาวเหยียด การวางแผนทำร้ายด้วยจิตใจอันอำมหิตของผู้ถวายงานสวี่ การปกป้องครั้งแล้วครั้งเล่าจากหวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่า จากนั้นก็ได้เจอกับคนบนเส้นทางเดียวกันผู้นี้ หรือก็คือผู้อาวุโสยอดฝีมือที่มา ขายยันต์ในตลาดบ้านตัวเอง ร่วมกันผ่านด่านยากในซากปรักตระกูลเซียนที่มีมากมายมาด้วยกัน
เสิ่นเจิ้นเจ๋อฟังด้วยความตกอกตกใจ ช่างเต็มไปด้วยอันตรายรายล้อมจริงๆ
ส่วนเรื่องที่ว่าสุดท้ายแล้วหลุดพ้นออกมาได้อย่างไร อย่าว่าแต่สวีซิ่งจิ่วเลย ขนาดหวนอวิ๋นก็ยังถูกปิดหูปิดตา ดังนั้นเสิ่นเจิ้นเจ๋อยิ่งรู้สึกว่าการลงภูเขาไป ฝึกประสบการณ์ของลูกศิษย์สองคนครั้งนี้ ถือว่าโชคดีมากจริงๆ ถึงได้กลับมา อย่างปลอดภัย ไม่เพียงแต่ไม่ตาย ยังเอาสมบัติหลายชิ้นในกระบอกเก็บพู่กันหยกขาวกลับมาด้วย นี่ถือว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ เสิ่นเจิ้นเจ๋อไม่พูดไม่จาก็เอาสมบัติสี่ชิ้นใน วัตถุฟางชุ่นแบ่งออกเป็นสี่ส่วน หวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่า ผู้อาวุโสยอดฝีมือแซ่เฉิน สวีซิ่งจิ่ว จ้าวชิงหวาน ต่างก็ได้กันไปคนละหนึ่งชิ้น
หวนอวิ๋นปฏิเสธไม่ได้ จึงได้แต่เลือกก่อน เขาเลือกเป็นวัตถุตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งที่รูปลักษณ์แย่ที่สุดและระดับขั้นต่ำที่สุด
เฉินผิงอันไม่เกรงใจ เขาเลือกกลอนคู่ลายเมฆอักษรทองพื้นกระดาษสีฟ้าที่ถูกใจที่สุดชิ้นหนึ่งไปอย่างผึ่งผาย
ลมฝนนอกขุนเขากระบี่สามฉื่อ มีเรื่องถือกระบี่ลงภูเขา บุปผาวิหคกลางหมู่เมฆตำราเต็มห้อง ไร้ทุกข์ไร้กังวลเปิดตำราอริยะปราชญ์
สวีซิ่งจิ่วบอกให้จ้าวชิงหวานเลือกก่อน สายตาจ้าวชิงหวานเผยแววตำหนิ สวีซิ่งจิ่ว นึกถึงคำสอนของผู้อาวุโสเซียนกระบี่ขึ้นมาได้ จึงไม่ทำตัวอืดอาด เลือกมาก่อนหนึ่งชิ้น
เนื่องจากนี่เป็นเรื่องใหญ่ เกี่ยวพันกับการทรยศของผู้ถวายงานอันดับหนึ่งท่านหนึ่งของนครเหนือเมฆ ดังนั้นงานเลี้ยงฉลองที่มีเพียงคนห้าคนเข้าร่วมในครั้งนี้จึงเลิกราไปอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าเสิ่นเจิ้นเจ๋อยังต้องให้สวีซิ่งจิ่วทบทวนเรื่องนี้ให้ฟังซ้ำอีกที ไม่ใช่ว่า ไม่เชื่อใจลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ตัวเองให้ความสำคัญคนนี้ แต่กังวลว่าจะมีช่วงรอยต่อสำคัญที่สวีซิ่งจิ่วไม่ทันได้นึกถึง เขาเสิ่นเจิ้นเจ๋อที่เป็นอาจารย์ แน่นอนว่าต้อง ช่วยชดเชยแก้ไขให้
บอกตามตรง หลายๆ ครั้งเสิ่นเจิ้นเจ๋อยังถึงขั้นรู้สึกว่าเจ้าเมืองโอสถทองอย่างตนไม่คู่ควรกับลูกศิษย์อย่างสวีซิ่งจิ่วด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่าความจริงที่ใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ เขาไม่อาจพูดมันออกมาได้ ได้แต่เก็บไว้ในใจเท่านั้น
ในห้องลับอันเป็นสถานที่ฝึกตนของเสิ่นเจิ้นเจ๋อ จ้าวชิงหวานทำเหมือนในอดีต นั่นคือนั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้าง คอยมองศิษย์พี่สวีซิ่งจิ่วพูดคุยกับอาจารย์
เพียงแต่พอคิดว่าสวีซิ่งจิ่วที่เคารพรักอาจารย์มากที่สุด วันนี้กลับต้องตั้งอกตั้งใจหลอกหลวงอาจารย์ แม้ว่าจะไม่มีเจตนาร้ายแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่อง แปลกใหม่ที่ในอดีตนางไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึง มุมปากของจ้าวชิงหวานจึงกระดกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ นางก้มหน้าลงปิดบังรอยยิ้มของตน เพียงแต่ว่ายิ้มไปยิ้มมา น้ำตา กลับไหลลงมาข้างแก้มเงียบๆ
เสิ่นเจิ้นเจ๋อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของนาง จึงถามเสียงเบา “ชิงหวาน เป็นอะไรไป?”
จ้าวชิงหวานรู้สึกตื่นตระหนก ด้วยไม่ทันได้ตั้งตัว
สวีซิ่งจิ่วจึงยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์ ก่อนจะลงไปจากภูเขา ชิงหวานมักจะบอกว่าตัวเองเป็นตัวถ่วง ตอนนั้นข้าก็นึกว่าเป็นเรื่องตลกที่นางพูดให้ฟัง แต่พอมาย้อนนึกดู เอ๊ะ ดันเป็นเรื่องจริงเสียนี่ เพราะฉะนั้นตลอดทางมานี้นางเลยเดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้อยู่แบบนี้แหละ อาจารย์ไม่ต้องสนใจนางหรอกขอรับ เดี๋ยวข้ากลับไป ค่อยด่านางสักคำสองคำที่ฝึกฝนจิตใจได้ไม่ดีพอ แต่พอด่าจบแล้ว…”
แล้วสวีซิ่งจิ่วก็หัวเราะขึ้นมา
เสิ่นเจิ้นเจ๋อกล่าวอย่างสงสัย “ทำไมหรือ?”
สวีซิ่งจิ่วลุกขึ้นยืน ประสานมือโค้งคารวะ พูดอย่างจริงจังว่า “ขออาจารย์โปรดตกลงให้ข้ากับชิงหวานผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันด้วยเถิดขอรับ”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อหัวเราะร่า “อาจารย์ไม่ตกลงแล้วจะมีประโยชน์หรือ พวกเจ้า ก็ไม่ยอมอยู่ดี”
จ้าวชิงหวานเงยหน้าขึ้น ความรู้สึกทั้งเศร้าทั้งดีใจปะปนกัน นางทิ้งตัวนอนหมอบอยู่กับพื้นแล้วแผดเสียงร้องไห้โฮ
เสิ่นเจิ้นเจ๋อมองมาทางสวีซิ่งจิ่ว สีหน้าของผู้ฝึกตนโอสถทองท่านนี้เริ่มเคร่งเครียด
สวีซิ่งจิ่วส่ายหน้าให้เขา สายตาใสกระจ่าง
เสิ่นเจิ้นเจ๋อจึงไม่ถามอะไรให้มากความอีก
ผู้ฝึกตนโอสถทองคนใดก็ตามใต้หล้านี้ บางทีขอบเขตอาจมีแข็งแกร่งมีอ่อนด้อย ตบะมีสูงมีต่ำ ทว่าสติปัญญากลับไม่ใช่สิ่งที่คนปกติทั่วไปจะเทียบเคียงได้
บางทีวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่โอสถทองสังหารก่อกำเนิด อาจมีให้เห็นได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น
ทว่าการที่โอสถทองสามารถวางแผนทำร้ายก่อกำเนิดได้นั้น กลับมีมากมาย
ไม่เพียงแต่โอสถทองเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกตนทุกขอบเขตก็ล้วนเป็นเช่นนี้
บนเส้นทางการฝึกตน จะไม่ระมัดระวังเลยได้อย่างไร?
เฉินผิงอันพักอาศัยอยู่ในเรือนแห่งหนึ่งของนครเหนือเมฆชั่วคราว
ก็คือเรือนพักส่วนตัวของผู้ถวายงานสวี่ขอบเขตประตูมังกรคนนั้น บุคคลยิ่งใหญ่ที่อยู่ใต้เสิ่นเจิ้นเจ๋อแห่งนครเหนือเมฆคนเดียวผู้นี้ไม่มีครอบครัว แล้วก็ไม่มีลูกศิษย์
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้พักอาศัยอยู่อย่างสงบเงียบ
เวลานี้เขากับหวนอวิ๋นนั่งหันหน้าเข้าหากันอีกครั้งอยู่ในศาลาชมทัศนียภาพ บนยอดเขาจำลองลูกหนึ่ง
หวนอวิ๋นถาม “เส้นทางการถามใจครั้งนี้จะไปถึงปลายทางเมื่อไหร่?”
เฉินผิงอันค้อมตัวไปหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากหีบไม้ไผ่ เป็นของที่ตอนนั้น หวงซือมอบให้เขาเพราะไม่อยากติดค้างน้ำใจใคร คือป้ายถือศีลลายเมฆตรงมุม เป็นลายฉิวหลง สีเขียวมรกต กว้างหนึ่งชุ่น ยาวสองชุ่น สามารถห้อยไว้ตรงระหว่างหน้าอก ทำมาจากวัสดุแบบเดียวกับกระเบื้องแก้วของอารามเต๋าบนยอดเขา เพียงแต่ว่ามีความแตกต่างกันเล็กน้อย เป็นความต่างทางด้านความรู้สึก เฉินผิงอันเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าต่างอย่างไร
ด้านหน้าสลักอักษรโบราณคำว่า ใจ
ด้านหลังเป็นกลอนหนึ่งบท ร่องน้ำริมคันนามืดสลัว แสงตะวันจันทราหน้าบานประตูสะเทือนจิตวิญญาณ
“เป็นป้ายถือศีลฝึกฝนจิตใจแผ่นหนึ่งของลัทธิเต๋า เพียงแต่ว่าทุกวันนี้มีให้พบเห็นได้ไม่มากแล้ว”
หวนอวิ๋นเพียงชำเลืองตามองหนึ่งครั้ง แล้วก็เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “นับแต่โบราณมาลัทธิเต๋าของพวกเราก็มีคำกล่าวที่ว่ามีเพียงเต๋าที่รวบรวมความสงบว่างเปล่า จิตใจ ที่ไร้นิวรณ์จึงเป็นจิตใจที่สงบ ในความเป็นจริงแล้วขงจื๊อ พุทธ เต๋าทั้งสามลัทธิต่าง ก็มีความรู้ที่เชื่อมโยงกัน”
เฉินผิงอันกำแผ่นป้ายไว้ในฝ่ามือแล้วลูบช้าๆ ยิ้มกล่าวว่า “หลักการเหตุผลเจ้าเองก็เข้าใจทั้งหมด อีกทั้งยังเข้าใจยิ่งกว่าข้าด้วย”
หวนอวิ๋นยิ้ม “น่าเสียดายที่มีตบะไม่สูงเท่าเซียนกระบี่”
เฉินผิงอันถาม “เพราะตบะสูง หลักการเหตุผลถึงได้ถูก หรือหลักการเหตุผลถูก ถึงได้มีตบะสูง?”
หวนอวิ๋นกล่าว “ขอบเขตของผู้ฝึกตน ส่วนใหญ่มักไม่เกี่ยวข้องกับหลักการเหตุผล”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง”
หวนอวิ๋นเอ่ย “ยังต้องขอบคุณที่เจ้าไม่ได้ตรงไปที่บ้านของข้า”
เฉินผิงอันวางแผ่นป้ายถือศีลฝึกจิตใจนี้ไว้บนโต๊ะเบาๆ แล้วหยิบของอีกสองชิ้น ที่หวงซือมอบให้ออกมา ชิ้นหนึ่งคือกำไลหยกที่สลักบทกลอน ในกำไลหยก มีแสงเรืองรอง อีกชิ้นหนึ่งคือกาซู่อิ่ง (กาปั้นปุ่มต้นแปะก๊วย หรือที่ภายหลังเรียกว่า กาปั้นกงชุน) ลักษณะโบราณใบหนึ่งซึ่งกำลังดูดซับปราณวิญญาณมาช้าๆ
ล้วนเป็นของดีที่ระดับขั้นไม่ธรรมดา
ก็แค่ว่าเฉินผิงอันมองไม่ออกว่าดีแค่ไหนก็เท่านั้น
การที่ห่อสัมภาระใบนั้นของหวงซือดูใหญ่ได้มากขนาดนั้น ก็เป็นเพราะเขาแบกของชิ้นใหญ่ไว้อย่างหนึ่ง ตอนที่หวงซือเขย่าห่อสัมภาระหยิบของออกมา อาศัยเสียงกระทบกระแทกเบาๆ พวกนั้น เฉินผิงอันเดาเอาว่าหวงซือยังได้โชควาสนาที่ ไม่ธรรมดาไปอีกอย่างหนึ่ง นอกจากของชิ้นที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ของกระจุกกระจิก อย่างอื่น อย่างน้อยก็ต้องมีเจ็ดแปดชิ้น แต่สุดท้ายนำมามอบให้ตนสามชิ้น ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ หวงซือก็ยังมีสมบัติมากอยู่ดี แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่าต่อให้ระดับขั้น ของสิ่งของที่หวงซือเก็บมาได้จะดีแค่ไหนก็ไม่ดีไปกว่าตำราลัทธิเต๋าของหลิ่วกุยเป่า รวมไปถึงแผ่นป้ายของซุนชิงผู้เป็นเจ้าจวน
การที่เฉินผิงอันรู้เรื่องพวกนี้ล้วนเกิดจากจิตใจนิสัยของเขาล้วนๆ
มองดูเหมือนว่าจะไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรก็ไม่คิดจะไปแย่งชิงกับหวงซือ อยู่แล้ว
รู้หรือว่าไม่รู้ แตกต่างกันหรือ?
แน่นอนว่าแตกต่าง อีกทั้งยังต่างกันราวฟ้ากับเหวด้วย
เส้นทางในผืนนาหัวใจคนเหมือนน้ำไหลและท้องน้ำ เรื่องเล็กคือน้ำ เรื่องราวทางโลกเปลี่ยนแปลงไปนับร้อยนับพันมากมายเหมือนขนวัว จิตใจก็คือท้องน้ำ หากควบคุมได้อยู่ เก็บและปล่อยได้ตามใจปรารถนา ก็มีจะภาพปรากฎการณ์ของมหานทีที่น้ำลึก จนมิอาจหาคำมาบรรยาย
สุดท้ายก็จะสามารถกลายเป็นดั่งเจียวหลงเลื้อยลงมหาสมุทร
เฉินผิงอันเดินทางเลียบลำน้ำมาก็เพื่อเด็กชายชุดเขียว
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตลอดทางมานี้ การฝึกจิตใจของเฉินผิงอันเอง ไยจะไม่ใช่มังกรที่เชิดหัวอยู่ในบ่อหัวใจซึ่งกำลังเลื้อยลงนทีไปอย่างเงียบเชียบเช่นกัน?
หนึ่งสองกระบี่หรือสองสามหมัด ฆ่าหวนอวิ๋นและจ้าวชิงหวานให้ตาย?
ยากนักหรือ?
ยากตรงไหน?
หากคิดจะทำแค่เรื่องง่ายๆ
คาดว่านั่นคงไม่ถือว่าเป็นการฝึกตน
หวนอวิ๋นเอ่ยต่ออีกครั้งว่า “วัสดุของกำไลหยกนี้ดีมาก ยิ่งมียอดฝีมือด้านยันต์ ใช้บทกลอนเขียนเป็นยันต์ค่ายกล นานวันเข้าก็มีภาพปรากฎการณ์ที่คล้ายคลึงไฟ ในน้ำ กาซู่อิ่งใบนี้สามารถช่วยให้ผู้ฝึกลมปราณดูดซับปราณวิญญาณฟ้าดิน ขณะเดียวกันก็สามารถหลอมให้กลายเป็นปราณวิญญาณที่เหมาะแก่สมบัติวิเศษ ที่เป็นธาตุไม้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่สมบัติอาคม แต่เมื่ออยู่ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณบางคนที่มุ่งมั่นฝึกวิชาธาตุไม้แล้ว ก็ถือว่าเป็นของดีที่ต่อให้เป็นสมบัติอาคม ก็แลกเปลี่ยนมาไม่ได้”
พอเขาพูดอย่างนี้ก็ช่วยลดทอนปัญหายุ่งยากให้เฉินผิงอันได้เยอะ เขาไม่มีทาง เอากาซู่อิ่งนี่ไปขายแน่นอน ส่วนกำไลหยกนั้น หากเอาไปขายก็ต้องเสนอราคาให้ สูงเทียมฟ้า
แต่เฉินผิงอันก็ยังถามว่า “เจ้าคิดว่ากำไลชิ้นนี้สามารถขายได้กี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะ?”
หวนอวิ๋นตอบ “ทำไมถึงไม่ใช่เงินฝนธัญพืช?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจินเหรินผู้เฒ่าเป็นร้านผ้าห่อบุญไม่ได้จริงๆ ไม่รู้จักความสุขในการนับเงินเสียเลย”
หวนอวิ๋นจึงบอกราคามาว่า เท่ากับสองเหรียญเงินฝนธัญพืช
ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองอย่างซุนชิงจวนไช่เฉวี่ย หรือป๋ายปี้แห่งสำนักมังกรน้ำ เงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญก็ไม่ถือว่าเป็นจำนวนน้อยๆ แล้ว
ผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตกลางหลายคนที่ต่ำกว่าโอสถทองลงไป โดยเฉพาะ อย่างยิ่งผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตและชมมหาสมุทร บางทีนอกจากวัตถุแห่งชะตาชีวิต ที่ไม่พูดถึงแล้ว บนร่างก็ยังไม่อาจสะสมทรัพย์สินเป็นเงินหนึ่งเหรียญฝนธัญพืชได้ ด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนอิสระที่มีเงินก็ไม่มีทางพกเงินฝนธัญพืชออกมาเตร็ดเตร่ ส่งเดช ส่วนใหญ่มักจะเก็บเงินร้อนน้อยเอาไว้เพื่อเตรียมไว้ใช้ในยามจำเป็น หากมีเรื่องที่ต้องใช้เงินจริงๆ ถึงอย่างไรการเอาเงินร้อนน้อยมาหักเป็นเงินเกล็ดหิมะก็ง่าย กว่ามาก เพราะไม่ว่าท่าเรือตระกูลเซียนแห่งใดบนโลกก็ล้วนมีเงินเกล็ดหิมะ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจินเหรินผู้เฒ่าสายตาดีจริงๆ”
หวนอวิ๋นมีสีหน้าเปลี่ยวเหงา “แค่สายตาดี แต่ความสามารถไม่ได้เรื่อง ถึงอย่างไรก็เทียบกับมาดของเซียนกระบี่ไม่ได้”
เฉินผิงอันเอ่ย “นิสัยเห็นคนอื่นได้ดีไม่ได้นี้ของเจินเหรินผู้เฒ่า ต้องเปลี่ยน เสียบ้างแล้ว”
หวนอวิ๋นหัวเราะหยัน “เหตุผลของเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง ข้าหวนอวิ๋นที่เป็น โอสถทองตัวเล็กๆ จะกล้าไม่ฟังได้อย่างไร”
เฉินผิงอันปรายตามองเขา “กลัวก็แต่ว่าเหตุผลบางอย่าง กว่าที่เจ้าหวนอวิ๋น จะรับฟังเข้าหูได้ไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายดันรับไว้ไม่ไหว”
หวนอวิ๋นจึงเงียบเสียงไป
แต่เฉินผิงอันกลับยิ้มกล่าวว่า “แต่ข้าดีกว่าเจินเหรินผู้เฒ่าอยู่เล็กน้อย ชอบฟังคนที่พูดจาด้วยจิตใจที่สงบและชอบใช้เหตุผลมากที่สุด เจินเหรินผู้เฒ่า ไม่สู้พวกเรา มาพูดคุยเรื่องความรู้ด้านยันต์ แลกเปลี่ยนความรู้กัน จะได้รับผลประโยชน์ร่วมกันอย่างไรเล่า”
หวนอวิ๋นมองไปยังคนผู้นี้ ช่างเป็นคนที่นิสัยยากจะคาดเดาเสียจริง จะนั่งจะยืน ก็ชวนให้คนไม่เป็นสุข ในใจอัดอั้น ทำให้เจินเหรินผู้เฒ่าท่านนี้อดไม่ไหวพูดเหน็บแนมไปว่า “ไม่สู้พวกเราหยิบตำราลับสายยันต์ออกมาสักสองสามเล่มโดยตรงเลยไหมล่ะ? วางไว้บนโต๊ะ เปิดออกอ่าน เซียนกระบี่เฉินต้องการให้เปิดกี่หน้า ข้าก็จะเปิดเท่านั้น?”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่เก็บกำไลหยกและกาซู่อิงมาใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ ไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หัวเราะร่าหยิบเอาห่อผ้าใบหนึ่งออกมาเปิด แล้วหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาตบลงบนโต๊ะแรงๆ
คืออิฐเขียวแผ่นหนึ่งที่งัดมาจากพื้นของอารามเต๋าบนยอดเขา
หวนอวิ๋นจึงเริ่มหลับตาทำสมาธิ
อิฐเขียวก้อนนี้ไม่แน่ว่าอาจถูกภูเขาตระกูลเซียนทั่วไปนำไปทำเป็นสมบัติพิทักษ์เรือนได้เลย
เฉินผิงอันคิดแล้วก็หยิบพู่กัน กระดาษและหมึกออกมา แล้วเริ่มใช้พู่กันวาดลักษณะสิ่งปลูกสร้างของจวนตระกูลเซียนแห่งนั้นอย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสะพานหินโค้งหยกขาวแห่งนั้น มีเพียงอารามเต๋าบนยอดเขาที่ไม่ถูกวาดลงกระดาษง่ายๆ
หลังจากเฉินผิงอันวาดลงกระดาษสองแผ่นเสร็จ ก็เอ่ยว่า “เจินเหรินผู้เฒ่า ช่วยอะไรหน่อยได้ไหม? วาดสิ่งปลูกสร้างใหญ่ๆ ด้านหลังภูเขาให้หน่อยสิ?”
หวนอวิ๋นข่มกลั้นความเดือดดาล หยิบกระดาษและพู่กันออกมาจากวัตถุฟางชุ่น แล้วเริ่มวาดภาพ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะหินออกมามองดูเจินเหรินผู้เฒ่าจับพู่กันวาดภาพ แล้วพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “วาดได้ดีกว่าข้าเยอะเลย ไม่เสียแรงที่เป็นยอดฝีมือ พรรคยันต์”
หวนอวิ๋นกำลังจะหยุดวาด
คนผู้นั้นกลับยกมือขึ้นมา
หวนอวิ๋นจึงได้แต่วาดต่อไป
ช่วยไม่ได้ แม้ปากของคนผู้นั้นจะพูดจานอบน้อม แต่ในมือกลับถืออิฐเขียวก้อนหนึ่ง
……
วันต่อมา
ฝ้าเพดานจวนเซียนที่วางไว้ในลานเรือนส่วนตัวชิ้นนั้น เสิ่นเจิ้นเจ๋อแห่งนครเหนือเมฆยืนกรานว่าจะต้องซื้อไปให้ได้
ดูเหมือนว่าเจ้านครโอสถทองท่านนี้ต้องการจะครอบครองมันให้ได้ คำพูดคำจาของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ บอกว่าต่อให้เขาเสิ่นเจิ้นเจ๋อต้องทุบหม้อขายเหล็ก ก็จะต้องซื้อสมบัติหนักตระกูลเซียนที่สามารถสร้างความมั่นคงให้กับโชคชะตาน้ำและภูเขาชิ้นนี้ จะให้ใช้เรือนทั้งหมดบนถนนบางเส้นในนครเหนือเมฆมาเป็นค่ามัดจำ ก็ยังได้
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบตกลงในทันที
อันที่จริงหวนอวิ๋นเองก็มีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับฝ้าเพดานที่มูลค่าควรเมืองชิ้นนี้เช่นกัน เพียงแต่ว่าเขาไม่กล้าเปิดปากพูด
เสิ่นเจิ้นเจ๋ออยากขอร้องให้หวนอวิ๋นช่วยพูดให้ เพียงแต่พอหวนอวิ๋นคิดถึง อิฐเขียวในมือเจ้าหมอนั่นก็ปวดหัวไม่หยุด จึงปฏิเสธเสิ่นเจิ้นเจ๋อไปอย่างละมุนละม่อม
ตอนนั้นเสิ่นเจิ้นเจ๋อพูดอย่างโมโหปนขันว่า “เจินเหรินผู้เฒ่าหวนตัวดี คงไม่ใช่ว่าอยากจะแย่งชิงของชิ้นนี้กับข้ากระมัง?”
หวนอวิ๋นไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรให้ต้องลำบากใจ เขาตอบไปอย่างฉับไวว่า “โชควาสนายากจะได้มาครอง ต่างคนต่างอาศัยความสามารถของตัวเอง”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อรู้สึกจนใจเล็กน้อย ได้แต่พูดว่าในเมื่อวัตถุชิ้นนี้มาอยู่ในเรือนของ นครเหนือเมฆแล้ว ก็ควรต้องหยั่งรากอยู่ในนครเหนือเมฆเท่านั้น
หวนอวิ๋นยิ้มกล่าว “ค่อยๆ เดิน ไม่ไปส่ง”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อจากไปอย่างขุ่นเคือง
เฉินผิงอันวิ่งไปเป็นร้านผ้าห่อบุญที่ตลาดของนครเหนือเมฆมาอีกรอบหนึ่ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้ขายแค่ยันต์ ไม่ขายอย่างอื่น
เขานั่งเอามือสองข้างสอดกันอยู่ในชายแขนเสื้อ แล้วก็ไม่เรียกลูกค้า สรุปก็คือ ถ้ามีคนถามก็ตอบ
ก่อนหน้านั้นได้เห็นข่าวหนึ่งในรายงานภูเขาสายน้ำ ผู้ฝึกตนอิสระหวงซีจะเปิดศึกกับซิ่วเหนียงผู้ฝึกยุทธบนภูเขาตี่ลี่ อีกสองวันการต่อสู้ก็จะเปิดฉากขึ้นแล้ว
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่คิดจะพลาด
เมื่อวานหลังจากหวนอวิ๋นจากไป เฉินผิงอันก็เริ่มคิดคำนวณถึงผลเก็บเกี่ยวจากการขึ้นเขาไปหาสมบัติของตัวเองครั้งนี้อย่างละเอียด
นอกจากเศษไม้ของเทวรูปที่ตั้งบูชาอยู่ในอารามเต๋าแล้ว
อิฐเขียวของอารามเต๋าได้มาสามสิบหกก้อน
กระเบื้องแก้วมรกต มีทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบสองแผ่น
ใบไผ่เขียวและหยดน้ำปลายใบไผ่ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
เศษปราณกระบี่หนึ่งกลุ่มที่ตอนนี้ยังบำรุงความอบอุ่นอยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
รวมไปถึงตำราที่ได้มาตอนสุดท้ายซึ่งเฉินผิงอันยังไม่ได้เปิดอ่าน
ของสี่ชิ้นที่หวงซือมอบให้ทั้งช่วงต้นและช่วงหลัง กระจกทองแดง แผ่นป้ายถือศีล กำไลหยก กาซู่อิ่ง
อันที่จริงยังสามารถรวมปราณวิญญาณเข้มข้นที่รับมาไว้ในชุดคลุมอาคมตอนอยู่ในศาลา
และการได้ท่องอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาครั้งหนึ่งได้ด้วย
อันที่จริงช่วงเช้าตรู่ของวันนี้ หวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าได้บอกให้เค่อชิงคนหนึ่ง พาเด็กที่เขาเอามาฝากไว้กับเสิ่นเจิ้นเจ๋อส่งกลับไปยังภูเขาของตัวเองเงียบๆ แล้ว
เฉินผิงอันย่อมไม่ขัดขวาง
หากไม่สบายใจ จะฝึกฝนจิตใจอย่างสงบได้อย่างไร
ยามไฮ่คนสงบนิ่ง คือดินแดนแห่งความสงบบริสุทธิ์ที่ลัทธิเต๋าพิถีพิถัน
ก็เหมือนการจุดธูปไหว้ของลัทธิพุทธที่สามารถทำได้ทุกเวลา
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นยิ้ม เอ่ยทักทาย
สวีซิ่งจิ่วนั่งยองอยู่ฝั่งตรงข้ามของแผง คำพูดมีนับร้อยนับพัน แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากเช่นไร
เฉินผิงอันถาม “สบายดีไหม?”
สวีซิ่งจิ่วยิ้มกว้างสดใส “สบายดี”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี”
สวีซิ่งจิ่วเอ่ยถาม “ข้าสามารถซื้อยันต์จากผู้อาวุโสได้ไหม?”
เฉินผิงอันกล่าว “แน่นอน ผู้มาเยือนล้วนเป็นแขก แต่ยันต์หนึ่งแผ่นควรราคาเท่าไรก็ราคาเท่านั้น สมบัติที่เจ้าได้มาก่อนหน้านี้ก็อย่าได้เอาออกมาเลย เอาเป็นว่า ข้าไม่รับก็แล้วกัน”
สวีซิ่งจิ่วสีหน้ากระอักกระอ่วน
บนร่างของเขาพกสมบัติมาด้วยจริงๆ อีกทั้งยังมีตั้งสองชิ้น ส่วนเงินเทพเซียนนั้นกลับไม่มีแม้แต่เหรียญเดียว ผิดแผนซะแล้ว
เมื่อคืนวานหลังจากพูดคุยเปิดใจกับจ้าวชิงหวาน พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าควรจะเอาสมบัติออกมาคนละชิ้นแทนของขวัญขอบคุณ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ได้ดื่มสุรามงคลของพวกเจ้า ในใจข้ารู้สึกผิด ก็ถือเสียว่าเอาสมบัติชิ้นนั้นมอบเป็นหงเปาให้พวกเจ้าก็แล้วกัน”
สวีซิ่งจิ่วกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่รบกวนการทำการค้าของผู้อาวุโสแล้ว”
เฉินผิงอันโบกมือ “หากจะขอบคุณข้าจริงๆ ก็ช่วยไปลากพวกคนหลอกง่ายที่ในกระเป๋ามีเงินเยอะมาให้ข้าที”
สวีซิ่งจิ่วยิ้มเจื่อน “ผู้น้อยจะลองทำดู”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พูดเล่นก็เชื่อหรือ? เรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ หากไม่ต้องทำได้ก็อย่าทำ”
สวีซิ่งจิ่วเหม่อลอยไร้คำพูด
เฉินผิงอันคลึงขมับ “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง อย่าเอาแต่เก็บไปใส่ใจทุกคำเช่นนี้ ไม่เหนื่อยหรือไง?”
สวีซิ่งจิ่วกลับเอ่ยว่า “ข้ามองดูคำพูดและการกระทำของผู้อาวุโส ทุกจุดล้วนสอดคล้องกับมรรคา”
เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนเหงื่อจะแตกเต็มหัว “ตอนนี้ภูเขาของข้ายังไม่รับลูกศิษย์”
สวีซิ่งจิ่วรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ยังบอกลาจากไปอย่างนอบน้อม
ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง คำพูดคำจาล้วนเต็มไปด้วยความลี้ลับจริงๆ
ห่างออกไปไกลบนถนน มีสตรีอายุน้อยเรือนกายสะโอดสะองคนหนึ่งไม่กล้ามาพบหน้าร้านผ้าห่อบุญแห่งนี้
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มแล้วผงกศีรษะให้อีกฝ่าย
จ้าวชิงหวานยอบตัวคารวะ
สวีซิ่งจิ่วเดินไปจับมือนาง จ้าวชิงหวานก้มหน้าลง
สวีซิ่งจิ่วมองนางแล้วเอ่ยบางอย่างเบาๆ
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ มองภาพที่ค่อนข้างคุ้นเคยนี้แล้วก็รู้สึกว่าถึงแม้จิตใจคนจะซับซ้อน แต่ดูเหมือนว่าถึงอย่างไรก็ต้องมีวันที่สายน้ำขุนเขา ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ช่างดีเหลือเกิน
ก็แค่ว่ากิจการร้านผ้าห่อบุญของตนไม่รุ่งเรืองเหมือนในอดีต คือความไม่เพียงพอในความสมบูรณ์แบบ
ตลอดทั้งวันนี้ขายยันต์ออกไปได้แค่ไม่กี่แผ่น ได้เงินเกล็ดหิมะมาแค่ สามสิบเหรียญเท่านั้น
พอกลับไปถึงเรือนที่พักที่ผู้ถวายงานสวี่ทิ้งไว้
เฉินผิงอันก็ไปนั่งอยู่ในลานบ้าน กำลังเช็ดถูฝ้าเพดานที่วางเอียงพิงผนังไว้ อย่างละเอียด คอยเป่าลมใส่มันอยู่เป็นระยะ หลายครั้งแทบจะเอาหัวแนบติดไปกับบนฝ้านั้น
ทำเอาหวนอวิ๋นที่มองดูอยู่ด้านข้างมีสีหน้าปั้นยาก
นี่คือเซียนกระบี่ที่สามารถท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำร่วมกับหลิวจิ่งหลงได้จริงๆ หรือ?
ในที่สุดหวนอวิ๋นก็เปิดปากเอ่ยถาม “เหตุใดถึงต้องให้ข้าใช้ยันต์ส่งข่าวไปให้ ศาลบรรพจารย์จวนไช่เฉวี่ย ให้ซุนชิง อู่ชวินมาชมของสิ่งนี้ที่นี่ด้วย?”
เฉินผิงอันที่หันหลังให้เจินเหรินผู้เฒ่าเอ่ยว่า “หากในใจของเจ้า สวีซิ่งจิ่วและ จ้าวชิงหวานคือเรื่องไม่คาดฝัน ถ้าอย่างนั้นซุนชิงสามคนของจวนไช่เฉวี่ยก็ถือว่า เป็นเรื่องไม่คาดฝันเหมือนกัน อีกทั้งยังเป็นเรื่องไม่คาดฝันที่ง่ายจะเรียกหายนะมาสู่ ตัวด้วย ในเมื่อเจ้าคิดแบบนี้แล้ว ข้าก็เลยลองจินตนาการดูว่าจะสามารถหาเงินก้อนโตพลางทำให้เรื่องไม่คาดฝันกลายไปเป็นเรื่องดีได้หรือไม่ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะขาย ฝ้าเพดานให้กับจวนไช่เฉวี่ยหรือไม่ พวกซุนชิงก็ควรจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ควันธูปของเจ้าหวนอวิ๋นในครั้งนี้ อีกทั้งเจ้าเองก็บอกแล้วว่า
ซุนชิงผู้นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลิ่วกุยเป่าลูกศิษย์ของนาง ล้วนเป็นคนฉลาดและตรงไปตรงมา ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งคู่ควรให้เจ้าลองทำดู”
หวนอวิ๋นถาม “ทำไมถึงต้องช่วยข้าด้วย?”
เฉินผิงอันใช้ชายแขนเสื้อเช็ดภาพอันวิจิตรที่อยู่บนฝ้าเพดานพวกนั้นเบาๆ เขายังคงไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงพูดเนิบช้าว่า “ข้ากำลังช่วยท่านผู้เฒ่าที่มาประเดิมวันเปิดร้านให้แก่ข้า”
หวนอวิ๋นถอนหายใจ “ด่านในใจยากที่จะผ่าน”
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะ “ชาวบ้านล่างภูเขา ด่านปียากแค่ไหนก็ยังผ่านไปได้ทุกปี”
หวนอวิ๋นจึงเริ่มเงียบงัน
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ทางฝั่งของป๋ายปี้แห่งสำนักมังกรน้ำ ข้าไม่อาจช่วยได้ ลูกศิษย์ของสำนักใหญ่ ข้าที่เป็นแค่ร้านผ้าห่อบุญผู้ฝึกตนอิสระตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แค่เห็นหน้า ก็กลุ้มใจแล้ว”
หวนอวิ๋นกล่าว “อันที่จริงตอนนี้อีกฝ่ายก็กำลังปวดหัวอยู่เหมือนกัน ข้าสามารถหาโอกาสแอบไปพบกับป๋ายปี้ดูสักครั้ง เพื่อกำจัดภัยแฝงนี้ไป”
ถึงอย่างไรเรื่องที่ผู้ถวายงานสวี่เล่นงานสวีซิ่งจิ่วสองคน ซุนชิงแห่งจวนไช่เฉวี่ยและป๋ายปี้แห่งสำนักมังกรน้ำที่มองดูเหมือนไม่รู้อะไรสักอย่าง แท้จริงแล้ว กลับรู้ทั้งหมด
เรื่องที่ไม่รู้ มีเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงท้ายเท่านั้น
แล้วก็โชคดีที่โอสถทองอย่างพวกนางสองคนไม่รู้
อีกทั้งยังมีเพียงเซียนกระบี่หนุ่มตรงหน้าคนนี้เท่านั้นที่รู้
เฉินผิงอันเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าสามารถให้ผู้ฝึกตนใหญ่ของสำนักมังกรน้ำมาหาเจ้าหวนอวิ๋นก่อนก็ยังไม่สาย น้ำใจคนที่เป็นเช่นนี้จึงจะเป็นน้ำใจที่แท้จริงในสายตา ของคนอย่างป๋ายปี้ ไม่อย่างนั้นเจ้ามัวแต่ป้องกันว่าข้าจะปากมาก กังวลว่า ข้าจะเปิดเผยความลับของเจ้า ถึงท้ายที่สุดหากมีโอกาสก็จะยังจัดการอีกฝ่ายเพื่อหวังให้เรื่องคราวนี้จบลงอย่างสะอาดเอี่ยมอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ข้าเชื่อว่าขอแค่ช่วงนี้เจ้าอยู่ในนครเหนือเมฆ เผยตัวสักสองสามครั้ง หรือไม่ก็ออกไปท่องเที่ยวภูเขาสายน้ำของ แคว้นเป่ยถิง แคว้นสุ่ยเซียว สำนักมังกรน้ำย่อมต้องเป็นฝ่ายมาหาเจ้าถึงที่เอง เทียบกับการที่เจ้ากับป๋ายปี้ปิดประตูคุยธุระกันอย่างลับๆ ล่อๆ แล้ว ย่อมต้อง ดีกว่ามาก”
หวนอวิ๋นอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเอ่ยว่า “เป็นอย่างนี้ได้ย่อมดีที่สุด”
เช้าตรู่วันที่สอง ซุนชิงแห่งจวนไช่เฉวี่ยก็พาหลิ่วกุยเป่าลูกศิษย์ของนางมา เยี่ยมเยือนนครเหนือเมฆด้วยกัน
เสิ่นเจิ้นเจ๋อเกือบจะกระทืบเท้าสบถด่ามารดา เพียงแต่ว่าช่วยไม่ได้ ตอนนั้น ที่เรือยันต์ทั้งสองลำเข้ามาในเมือง เนื่องจากเกี่ยวข้องกับตราผนึกขุนเขาสายน้ำและค่ายกลใหญ่ปกป้องนคร ฝ้าเพดานใหญ่ยักษ์ชิ้นนั้นจึงเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของตัวเองออกมาชั่วขณะหนึ่ง
เชื่อว่าทางตลาดจะต้องมีหมากลับของจวนไช่เฉวี่ยอยู่ แล้วก็ได้ส่งข่าวนี้ไปให้ท่าเรือดอกท้อในทันที นี่เป็นเรื่องปกติอย่างมาก เพราะนครเหนือเมฆเองก็จัดวางสายลับไว้ที่ท่าเรือดอกท้อเช่นกัน
เสิ่นเจิ้นเจ๋อไม่ได้ใจแคบถึงขั้นที่จะไม่ให้ซุนชิงเข้าเมือง
แต่เขาเองก็ทำหน้าหนามาเยือนเรือนหลังนั้นด้วย
หากซุนชิงเสนอราคาสูงกว่าตน เสิ่นเจิ้นเจ๋อที่ซื้อฝ้าเพดานไม่ไหว จะยังไม่รู้จักโก่งราคาให้สูงลิ่วด้วยหรือ? นี่ไม่ต้องให้ข้าผู้อาวุโสจ่ายเงินเทพเซียนสักเหรียญเสียหน่อย
ถึงเวลานั้นซุนชิงที่โมโหไม่คิดจะซื้ออีกแล้ว อย่างมากตนก็แค่ทุบหม้อขายเหล็ก หรือจะให้เขาเสิ่นเจิ้นเจ๋อแบ่งที่ดินผืนหนึ่งของนครเหนือเมฆเป็นค่าตอบแทนก็ยังได้ หากนี่ยังไม่พอ ถ้าอย่างนั้นก็ติดหนี้ไว้ก่อน หรือไม่ก็ทำหน้าหนาขอยืมเงินฝนธัญพืชก้อนหนึ่งมาจากหวนอวิ๋น
ในลานบ้าน เฉินผิงอันมองซุนชิงที่มีสีหน้าเขียวคล้ำกับเสิ่นเจิ้นเจ๋อที่โก่งราคาด้วยท่าทางสบายอุรา
เกี่ยวกับราคาของฝ้าเพดานชิ้นนี้ หวนอวิ๋นเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพียงแค่บอกว่า ตั้งราคาไว้ที่แปดสิบเหรียญเงินฝนธัญพืชต้องไม่เกินไปอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันตีหน้าเคร่ง บนสีหน้านั้นแฝงไว้ด้วยความไร้เดียงสาเสี้ยวหนึ่งและจนใจอีกเล็กน้อย
อันที่จริงเขาเกือบจะอดใจไม่ไหวยกนิ้วโป้งให้เสิ่นเจิ้นเจ๋อแล้วด้วยซ้ำ
เสิ่นเจิ้นเจ๋อเสนอราคาไปถึงแปดสิบหกเหรียญเงินฝนธัญพืชแล้ว
ดูจากท่าทางเช่นนี้ เสิ่นเจิ้นเจ๋อคงเสนอราคาได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ราคาขยับไปได้ถึงหนึ่งพันเหรียญอย่างแน่นอน
ซุนชิงแค่นเสียงเย็น “เสิ่นเจิ้นเจ๋อ แค่พอสมควรก็พอแล้วกระมัง!”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อยิ้มบางๆ “เจ้าจวนซุนตัดใจมอบของรักได้แล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้น ข้าก็คงต้องขอขอบคุณเจ้าจวนซุนแทนนครเหนือเมฆแล้ว”
หลิ่วกุยเป่ายืนเงียบอยู่ตลอดเวลา
ในลานบ้านยังมีชายหนุ่มหญิงสาวอีกคู่หนึ่งที่ติดตามเสิ่นเจิ้นเจ๋อมาด้วย
ล้วนเป็นคนคุ้นเคยกันดี
สวีซิ่งจิ่วและจ้าวชิงหวาน
สำหรับผู้เฒ่าชุดดำที่วันนี้ไม่ได้สะพายกระบี่ หลิ่วกุยเป่าไม่ได้รู้สึกสงสัยใคร่รู้มากนัก ยอดฝีมือบนภูเขาก็มักจะมีคนแปลกๆ และเรื่องประหลาดอยู่มากนี่นะ อีกอย่างหลังจากที่ถอดหน้ากากคนแก่นั่นออกไปแล้ว หน้าตาของเขาก็ไม่ได้หล่อเหลา สักเท่าไร มองไปมองมาก็ไม่มีอะไรให้มองอีก
กลับกลายเป็นว่านางแอบลอบมองประเมินสวีซิ่งจิ่วและจ้าวชิงหวานอยู่หลายที พยายามจะหาเบาะแสบางอย่างออกมาให้ได้
หรือว่าตอนนั้นที่เจินเหรินผู้เฒ่าหวนอวิ๋นนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ แสร้งทำเป็น มองไม่เห็นการกระทำของผู้ถวายงานสวี่แห่งนครเหนือเมฆผู้นั้น แท้จริงแล้ว เป็นเพราะมั่นใจอยู่ก่อนแล้ว? ไม่ใช่ว่าจะใช้กลยุทธยืมมืดฆ่าคน อยากจะปกป้องชื่อเสียงของตัวเอง ขณะเดียวกันก็ได้สมบัติมาครอบครองอยู่ในมือด้วยหรอกหรือ? หากเป็นเช่นนี้จริง หวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าท่านนี้ก็คู่ควรให้นางต้องหันมามองเขา เสียใหม่แล้ว
อันที่จริงส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันยังคงหวังว่าจะขายฝ้าเพดานอันนี้ให้แก่ จวนไช่เฉวี่ย
แม้ว่านักพรตซุนจะไปจากใต้หล้าไพศาลแห่งนี้แล้ว ทว่าจากคำพูดและ การกระทำของนักพรตซุน เฉินผิงอันมองออกว่าแท้จริงแล้วนักพรตซุนเสียดายในตัวหลิ่วกุยเป่ามาก ดังนั้นจึงใช้สี่คำว่า ‘มรรคาไม่สอดคล้อง’ มาเป็นข้อสรุปแบบตอก ปิดฝาโลง ไม่ได้รับเด็กสาวเป็นลูกศิษย์ แต่ก็ยังมอบตำราลัทธิเต๋าเล่มนั้นให้นาง
สำหรับเฉินผิงอันแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถพก ‘แท่นโม่’ นี้เดินทางท่องภูเขาสายน้ำกับตัวเองได้ตลอด ก็ไม่สู้ผลักเรือตามน้ำ ขายให้จวนไช่เฉวี่ย เพราะถึงอย่างไรนักพรตซุนก็มอบโชควาสนามากมายขนาดนั้นให้ตน เฉินผิงอัน รู้สึกว่าตัวเองต้องทำอะไรบางอย่างเป็นการตอบแทนอีกฝ่ายบ้าง เขาถึงจะสบายใจ
ต่อให้ชั่วชีวิตนี้ทั้งสองฝ่ายอาจจะไม่ได้พบเจอกันอีกก็ตาม
เว้นเสียจากว่าวันใดเฉินผิงอันเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ขอบเขตบินทะยาน ถึงจะมีโอกาสได้ไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวแห่งนั้นสักครั้ง
เรื่องบางอย่างจะทำหรือไม่ทำก็ได้ แต่หากทำแล้วจิตใจของตัวเองสงบลงได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องลังเลอีก
ถึงอย่างไรก็ไม่ถ่วงรั้งเวลาการหาเงินของเขาอยู่แล้ว
ซุนชิงพลันใช้เสียงในใจพูดคุยกับเฉินผิงอัน “คุณชายเฉิน เงินฝนธัญพืชสามสิบเหรียญ และข้ายังจะมอบวัตถุจื่อชื่อให้เจ้าอีกหนึ่งชิ้น ตกลงไหม?! ได้หรือไม่ก็ตอบมาตามตรง หากไม่ตอบตกลง ข้าซุนชิงจะจากไปทันที! วางใจได้ คุณชายเฉินจะยังคงเป็นแขก ผู้มีเกียรติของจวนไช่เฉวี่ยพวกเรา ข้าซุนชิงไม่เคยพูดจาตามมารยาทอ้อมค้อมไปมาอยู่แล้ว!”
แน่นอนว่าวัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้นต้องล้ำค่าอย่างถึงที่สุด แต่สำหรับเจ้าจวนไช่เฉวี่ยอย่างซุนชิงแล้ว ฝ้าเพดานที่สามารถสร้างความมั่นคงให้แก่โชคชะตาภูเขาสายน้ำตรงหน้านี้ต่างหาก จึงจะเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแท้จริง
เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันประหลาดใจอย่างมาก
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็สามสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช วัตถุจื่อชื่อเจ้าเก็บไว้เองเถอะ เงินฝนธัญพืชส่วนที่เหลือก็ค้างไว้ก่อน วัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้นมีราคาเท่าไรบนภูเขา วันหน้าเจ้าจวนซุนก็ค่อยคืนเป็นเงินฝนธัญพืชให้ข้าเท่านั้น”
ซุนชิงกลับปฏิเสธข้อเสนอของเขา “สำหรับข้าแล้ว ตอนนี้วัตถุจื่อชื่อเป็นเพียงแค่ซี่โครงไก่ ถึงขั้นที่ว่าอีกร้อยปีหรืออีกหลายร้อยปีให้หลังต่อจากนี้ก็ยังคงจะเป็นเช่นนี้ ทว่าเงินฝนธัญพืชทุกเหรียญที่จวนไช่เฉวี่ยช่วงชิงมาได้ อู่ชวิน หลิ่วกุยเป่า ผู้ฝึกตนมากมายขนาดนั้น แต่ละคนล้วนต้องการเงินเทพเซียนพวกนี้
ข้าซุนชิงไม่อาจถ่วงรั้งการฝึกตนของพวกนางได้ ดังนั้นคุณชายเฉิน เจ้าบอกมาเถอะว่าจะขายหรือไม่ขาย?! อีกอย่างวัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้น ข้าก็ได้มาอย่างไม่คาดฝัน ไม่เคยปิดประตูมันมาก่อน ข้าเพิ่งจะทำการหลอมเล็กก็ได้รับจดหมายลับจาก เจินเหรินผู้เฒ่าหวน ดังนั้นจึงลบเลือนตราผนึกพวกนั้นไป คุณชายเฉินเอาไปก็สามารถใช้ได้เลย”
สุดท้ายซุนชิงพูดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา “ค้าขายไม่เคยมีความเมตตากรุณา แขกผู้มีเกียรติก็ยังคงเป็นแขกผู้มีเกียรติ แต่คราวหน้าที่คุณชายเฉินไปเยือน จวนไช่เฉวี่ยของพวกเรา จะได้ดื่มแค่ชาธรรมดา หรือกำแพงดำน้อยก็คงบอก ได้ยากแล้ว”
เฉินผิงอันกลั้นขำ ใช้ริ้วคลื่นในหัวใจตอบรับไปว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ เงินฝนธัญพืชสามสิบเหรียญ บวกกับวัตถุจื่อชื่ออีกหนึ่งชิ้น”
ซุนชิงหัวเราะร่าเสียงดังเอ่ยขึ้นมา “ตกลง!”
ไม่ปกปิดเลยสักนิดว่าตนกับคุณชายเฉินตกลงซื้อขายกันได้สำเร็จแล้ว
เสิ่นเจิ้นเจ๋อรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ก็ยังนับว่าดี
ได้มาคือความโชคดีของข้า เสียไปคือชะตาชีวิตของข้า
ซุนชิงหันหน้าไปพูดกับเสิ่นเจิ้นเจ๋อว่า “ไม่ว่าจะอย่างไร สมบัติชิ้นนี้ข้าก็ซื้อมาได้จากนครเหนือเมฆ ถือเสียว่าข้าซุนชิงติดค้างน้ำใจของเจ้าครั้งหนึ่ง”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อยิ้มพลางพยักหน้ารับ
แล้วจึงพาสวีซิ่งจิ่วกับจ้าวชิงหวานทะยานลมจากไป
หวนอวิ๋นมอบเรือยันต์ลำหนึ่งให้กับจวนไช่เฉวี่ย
ซุนชิงไม่ได้ปฏิเสธ นางรับมาอย่างผึ่งผาย
ไม่อย่างนั้นจะให้นางแบกฝ้าเพดานทะยานลมไปหรืออย่างไร? มันควรหรือ? ใต้หล้านี้มีผู้ฝึกตนที่หน้าไม่อายแบบนี้หรือ?
จากนั้นซุนชิงก็ชำเลืองตามองไปยังฝ้าเพดานแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไปมอง เซียนกระบี่หนุ่มแซ่เฉินผู้นั้นอีกครั้ง เพียงไม่นานซุนชิงก็เข้าใจได้ ในใจคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีวัตถุจื่อชื่ออยู่ก่อนแล้ว
เฉินผิงอันเดาความคิดของอีกฝ่ายออก เขาตอบรับเป็นรอยยิ้มบางๆ สุขุมเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง
นี่ทำให้ซุนชิงรู้สึกผิดเล็กน้อย
มารดามันเถอะ นี่ไม่ใช่ว่าข้าผู้อาวุโสติดค้างน้ำใจใหญ่เทียมฟ้ากับอีกฝ่ายอีกแล้วหรือ เดิมทีอีกฝ่ายก็มีวัตถุจื่อชื่ออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ วัตถุจื่อชื่อที่ยังไม่ทันถือจนร้อนก็ต้องเอาออกมาแล้วชิ้นนั้น อันที่จริงไม่ถือว่ามีค่ามากขนาดนั้น นี่ทำให้ซุนชิงรู้สึก จนใจเล็กน้อย ช่างเถิด ถึงอย่างไรก็เป็นเพื่อนของหลิวจิ่งหลง ตนจะยังเกรงใจเขา ไปทำไม
หวนอวิ๋นจากไปอย่างรู้กาลเทศะ
ซุนชิงจึงมอบวัตถุจื่อชื่อแผ่นนั้นและเงินฝนธัญพืชสามสิบเหรียญให้กับเฉินผิงอัน
แล้วพาหลิ่วเป่ากุยกับฝ้าเพดานชิ้นนั้นโดยสารเรือยันต์ไปจากนครเหนือเมฆ
เจ้าจวนไช่เฉวี่ยท่านนี้หัวเราะจนหุบปากไม่ลง พอขึ้นไปนั่งบนเรือยันต์ก็เริ่มดื่มเหล้า ไม่ลืมก้มหน้าลงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกับหวนอวิ๋นว่า “หวนเจินเหริน นครเหนือเมฆเป็นแค่สถานที่เล็กเท่าฝ่ามือที่ไม่มีความน่าสนใจใดๆ ผายลมอยู่ทางตะวันออก คนทางตะวันตกก็ได้ยินด้วย เพราะฉะนั้นหากมีเวลาก็เชิญมาเป็นแขกที่จวนไช่เฉวี่ยของพวกเราได้ หากมาเป็นผู้ถวายงานก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่!”
เสิ่นเจิ้นเจ๋อด่าขำๆ ว่า “ผายลมน่ะสิเจ้า หวนเจินเหรินเป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของนครเหนือเมฆเราแล้ว!”
หวนอวิ๋นส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม
แต่อารมณ์ของเขาก็ถือว่าไม่เลว
เฉินผิงอันยืนอยู่ในลานบ้าน หลังจากได้วัตถุจื่อชื่อเพิ่มมาอีกชิ้นก็เหมือนได้ คลายวิกฤตที่เร่งด่วนดุจไฟไหม้ขนคิ้ว จึงเริ่มเป็นดั่งมดย้ายรังที่เอาของเก่าใหม่ทุกชิ้นแยกประเภทออกจากกันอีกครั้ง
หนึ่งก้านธูปต่อมา หวนอวิ๋นที่จากไปก็กลับคืนมา
เฉินผิงอันมานั่งอยู่ในศาลาบนยอดเขาของภูเขาจำลองแล้ว เขากำลังเอียงศีรษะ เงี่ยหูฟังเสียงตีกระทบกันของเงินฝนธัญพืชสองเหรียญนั้น
หวนอวิ๋นนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ยิ้มพูดอย่างปลงอนิจจังหนึ่งประโยคว่า “ห้องเล็กจักรวาลใหญ่ ใจเล็กฟ้าดินกว้าง ก่อนหน้านี้มักจะคิดว่าเข้าใจคำพูด ประโยคนี้ ตอนนี้ถึงเพิ่งจะรู้ว่าไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร”
เฉินผิงอันยังคงเคาะเงินฝนธัญพืชอยู่อย่างนั้น เขาอืมรับหนึ่งที แล้วพูดตอบ อย่างไม่ใส่ใจว่า “รู้ว่าตัวเองไม่รู้ ก็ถือว่ารู้บ้างแล้ว”
อันที่จริงการมาพูด ‘หลักการเหตุผลยิ่งใหญ่’ กับเซียนดินโอสถทองที่เชี่ยวชาญวิถียันต์คนหนึ่งเช่นนี้ เฉินผิงอันรู้สึกกินปูนร้อนท้องอยู่มาก แต่ก็ไม่เป็นไร คำพูด หลายอย่างแค่ยืมถ้อยคำของชุยตงซานลูกศิษย์ตัวเองมาใช้ก็ได้แล้ว
หวนอวิ๋นยิ้มกล่าว “หากเชื่อใจข้า ข้าก็จะออกเดินทางไปท่องเที่ยวแคว้นเป่ยถิงแล้ว”
เฉินผิงอันเก็บเงินฝนธัญพืชสองเหรียญนั้นลงไป ขยับนั่งตัวตรง เอ่ยว่า “ขออวยพรให้ท่านผู้เฒ่าข้ามผ่านด่านหัวใจของตัวเองไปได้”
หวนอวิ๋นเอ่ย “ยังเร็วเกินไป เมื่อไหร่ที่ข้าสามารถพูดเรื่องนี้กับเสิ่นเจิ้นเจ๋อ ได้อย่างตรงไปตรงมา และสามารถขอโทษเด็กรุ่นหลังสองคนนั้นได้อย่างจริงใจ นั่นต่างหากจึงจะไม่มีปมในใจอย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ท่านผู้เฒ่ายังคงมีมาดดังเดิม”
หวนอวิ๋นลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะ “สหายโปรดรักษาตัวด้วย”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน กุมหมัดกล่าวว่า “รักษาตัวด้วย”
แล้วหวนอวิ๋นก็ทะยานลมจากไป
บนโต๊ะกลับมีวัตถุฟางชุ่นกระดาษยันต์ชิ้นหนึ่งทิ้งเอาไว้
เฉินผิงอันเก็บเอาไว้ คิดแค่ว่าจะเก็บรักษาไว้ให้อีกฝ่ายชั่วคราว
แม้แต่เปิดก็ยังไม่คิดจะเปิด
ต่อมาเฉินผิงอันก็ต้องเริ่มคิดคำนวณอย่างละเอียดในเรื่องของการหลอมวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินชิ้นอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุไม้
อันที่จริงตอนนั้นก่อนจะออกจากภูเขาลั่วพั่วเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีป ชุยตงซานก็ได้ช่วยเรียบเรียงความแตกต่างระหว่างทอง ไม้ ไฟ อีกทั้งยังบอก อย่างชัดเจนว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นเพียงแค่สิ่งของขั้นพื้นฐานที่ใช้ในการหลอมวัตถุ แห่งชะตาชีวิตที่แตกต่างกันเท่านั้น ถือเป็นวัตถุที่ไม่มีทางผิดอย่างแน่นอน แต่ก็ยัง อยู่ไกลเกินกว่าคำว่าเพียงพอ เพราะถึงอย่างไรวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุของใต้หล้านี้ก็มีส่วนที่ต้องพิถีพิถันเป็นของตัวเองแทบทุกชิ้น จำเป็นต้องได้รับโชควาสนามาก่อน จากนั้นตนค่อยศึกษาสืบเสาะอย่างระมัดระวัง ถึงจะสามารถหลอมได้สำเร็จ อย่างแท้จริง
เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนไปจากนครเหนือเมฆ
ถึงอย่างไรเรือข้ามฟากที่เดินทางไปยังถ้ำสวรรค์วังมังกรแห่งนั้นก็จอดอยู่ที่ นครเหนือเมฆอยู่แล้ว
ทุกวันนอกจากฝึกตนแล้ว เฉินผิงอันยังไปเป็นร้านผ้าห่อบุญที่ตลาด
วันนี้เฉินผิงอันได้เจอกับคนคุ้นเคยคนหนึ่ง จินซาน
ชายฉกรรจ์ผู้ฝึกตนอิสระคนนี้เห็นเฉินผิงอันก็เตรียมจะคุกเข่าหมอบกราบทันที แต่ถูกเฉินผิงอันห้ามเอาไว้ สุดท้ายคนทั้งสองก็นั่งอยู่ที่แผงด้วยกัน
ชายฉกรรจ์ยังคิดจะเอายันต์โจมตีที่ยังไม่ได้ใช้ รวมไปถึงยันต์แบกศิลาแผ่นหนึ่ง ที่ปราณวิญญาณยังไหลหายไปไม่หมดคืนให้กับผู้อาวุโสตรงหน้าคนนี้
เฉินผิงอันกลับไม่รับไว้ เขาส่ายหน้าเอ่ยว่า “เจ้าเก็บไว้ทั้งหมดนั่นแหละ มีค่าแค่ไม่กี่แดงเท่านั้น”
ให้ตายอย่างไรชายฉกรรจ์ก็ไม่ยอม ทั้งยังพูดเสียงสะอื้น
การขึ้นเขาไปหาสมบัติที่เดิมทีนึกว่าไม่มีอันตรายมากนัก มีคนขอบเขตสูงมากมายขนาดนั้น ทว่าสุดท้ายแล้วคนที่รอดชีวิตมีแค่กี่คนกัน?
ชายฉกรรจ์รู้สึกว่าเป็นคนต้องมีมโนธรรมในใจ
ดังนั้นถึงได้ลองแวะมาที่นครเหนือเมฆ เพื่อลองมาเสี่ยงดวงดูว่าฆ่าหมูอย่างตน จะได้พบกับ ‘มารดามันเถอะสองครั้ง’ ผู้นั้นสักครั้งหรือไม่
เฉินผิงอันจึงรับยันต์เอาไว้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อีกเดี๋ยวพอเก็บแผงเสร็จ พวกเราสองพี่น้องไปดื่มเหล้าด้วยกันไหม?”
ชายฉกรรจ์ยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโส ข้าเป็นคนจ่ายเงินเอง ได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้ก็ได้อยู่หรอก เพียงแต่ว่าคงไม่ได้ดื่มเหล้าดีๆ”
ชายฉกรรจ์ยิ้มกว้าง ก็คือหลักการนี้แหละ
สุดท้ายชายฉกรรจ์เลี้ยงเหล้าผู้อาวุโสท่านนั้นหนึ่งมื้อ ยังยอมตบหน้าตัวเองให้เป็นคนอ้วนนิดๆ ครั้งหนึ่งด้วย แต่ว่าเงินก้อนนี้เขาจ่ายไปโดยไม่เสียดายแม้แต่น้อย
นครเหนือเมฆมีเรือข้ามฟากลำเล็กของตระกูลเซียนคอยสัญจรไปมา
ชายฉกรรจ์จ่ายเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญ หลังจากขึ้นเรือข้ามฟากบนท่าเรือแล้วก็กุมหมัดบอกลาผู้อาวุโส ผู้อาวุโสยังคงพูดจาเกรงใจน่าฟัง แล้วยังกุมหมัดส่งให้เขา อีกด้วย
เรือข้ามฟากค่อยๆ ขับห่างออกไป
ก่อนหน้านี้หลังจากดื่มเหล้ากันไปแล้ว ระหว่างที่เดินทางมาท่าเรือ ผู้อาวุโสยังคืนยันต์พวกนั้นมาให้เขา เขาเลยได้แต่เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
แล้วผู้อาวุโสยังบอกให้เขารีบกลับบ้านเกิด เพราะช่วงนี้นครเหนือเมฆไม่ถือว่าสงบสุขนัก
ชายฉกรรจ์หรือจะกล้าไม่เก็บมาใส่ใจ
ก่อนหน้านี้ตอนดื่มเหล้าก็ได้หาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาคุยกับผู้อาวุโส เล่าให้เขาฟังว่าภรรยาของเขาเป็นแม่ศรีเรือน เรียบร้อยมีคุณธรรม และยังมีลูกอีกสองคน แม้ว่า อายุยังไม่มาก แต่ก็ล้วนเอาถ่าน ถือเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต ในอนาคตหากจะสอบเป็นซิ่วไฉ จวี่เหรินย่อมไม่ยากแน่นอน…
เวลานี้ชายฉกรรจ์สร่างเมาแล้ว เขายิ่งรู้สึกรับตัวเองไม่ได้ จึงตบบ้องหูตัวเองไปหนึ่งที
หลังลงจากเรือแล้ว เดินไปถึงจุดที่ปลอดคนแห่งหนึ่ง ชายฉกรรจ์นึกอยากจะเอายันต์พวกนั้นไปซ่อนไว้ในรองเท้าหุ้มแข้งของตัวเอง เก็บไว้ในชายแขนเสื้อแบบนี้ เขารู้สึกไม่ค่อยวางใจสักเท่าไร
คิดไม่ถึงว่าพอควักออกมา ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าด้านในมียันต์กระดาษสีทองสอดแทรกอยู่สองแผ่น ไม่ใช่กระดาษสีเหลืองอย่างก่อนหน้านี้
ชายฉกรรจ์ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงประโยคหนึ่งที่ผู้อาวุโสท่านนั้นพูดขึ้นมาตอนดื่มเหล้า
“มือกระบี่ทำอะไร เน้นที่ความถึงใจตรงไปตรงมา ไม่ต้องใช้เหตุผล”