กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 552 เมื่อเจินเหรินมาถึงก็เคาะด่าน
นักพรตหนึ่งแก่หนึ่งหนุ่มจ่ายเงินเกล็ดหิมะสองเหรียญตรงปลายด้านหนึ่ง ของสะพาน แล้วรับแผ่นไม้ต้นส้มตระกูลเซียนมาสองแผ่น
จางซานเฟิงถามเสียงเบา “อาจารย์ สรุปว่าเวทอำพรางตาของท่านใช้ได้ผลหรือไม่? ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าดูเหมือนมีคนมากมายกำลังมองมาที่พวกเรา? อีกอย่าง พวกเรามาจากภูเขาพาตี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายอะไร ปีนั้นข้าออกจากสำนัก ไปฝึกประสบการณ์ ล้วนไม่มีใครดูออกว่าข้ามาจากภูเขาพาตี้ แม้แต่คนที่เข้าใจผิด คิดว่าข้าเป็นพวกศิษย์พี่ของภูเขาเถาซาน ภูเขาจื่อเสวียนก็ยังไม่มีเลยสักครั้ง พอข้าบอกว่าตัวเองเป็นเทียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์แผ่นดินกลางตามที่ อาจารย์สอน ก็ยิ่งไม่มีใครเชื่อเลย”
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คิดดูแล้วคงเป็นเพราะชื่อเสียงของพวก ศิษย์พี่เจ้าไม่โด่งดังมากพอ”
จางซานเฟิงถอนหายใจ “ข้ารู้สึกว่ามรรคกถาของพวกศิษย์พี่สูงมากเลย”
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “เดินขึ้นเขาแต่ละทีเนิบช้า เดินลงจากเขาก็ยิ่งกระบิดกระบวน เจ้าก็มองออกด้วยหรือว่ามรรคกถาของศิษย์พี่สูงส่ง?”
จางซานเฟิงพยักหน้ารับอย่างแรง กดเสียงเบาเอ่ยว่า “ข้าได้ยินพวกศิษย์หลานบนภูเขาพูดกันหลายครั้ง บอกว่าพวกศิษย์พี่ชายหญิงที่สามารถออกไปเปิดขุนเขาเป็นของตัวเองได้ ล้วนมีขอบเขตสูงจนน่าตกใจ”
ฮว่อหลงเจินเหรินหัวเราะร่าพลางเอ่ยถาม “สูงอย่างไร?”
จางซานเฟิงส่ายหน้า “เรื่องนี้บอกได้ไม่ชัดเจนนัก บางคนบอกว่าเป็นเซียนดินโอสถทอง บางคนก็บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะเป็นเทพเซียนขอบเขตประตูมังกรกันทั้งหมด”
กล่าวมาถึงตรงนี้ จางซานเฟิงก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อาจารย์ แม้จะบอกว่าภูเขาพาตี้ของพวกเราไม่อนุญาตให้เอาเรื่องขอบเขตมาพูดอย่างส่งเดช แต่ถึงอย่างไรพวกศิษย์หลานก็อายุยังน้อย คำพูดคุยเล่นพวกนี้ล้วนมาจากนิสัยที่ใสซื่อบริสุทธิ์ อาจารย์ห้ามเห็นเป็นเรื่องใหญ่ กลับไประบายโทสะใส่พวกเขาล่ะ ไม่อย่างนั้นวันหน้าข้าจะยังฝึกตนอยู่บนภูเขาพาตี้ได้อย่างไร พวกเขาจะไม่ด่าอาจารย์อาน้อยอย่างข้า ลับหลังว่าเป็นผู้อาวุโสปากยื่นปากยาวหรือ?”
ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
จางซานเฟิงยังไม่ค่อยวางใจสักเท่าไร “อาจารย์ ท่านต้องรับปากกับข้า ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่มั่นใจ”
ก็ไม่แปลกที่จางซานเฟิงจะตื่นตระหนก เพราะนับตั้งแต่ที่ตนจำความได้ เขาเคยเห็นอาจารย์ท่านผู้เฒ่ามีโทสะแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
เคยมีครั้งหนึ่งไม่รู้ว่าศิษย์พี่ท่านหนึ่งที่ไปบุกเบิกยอดเขาอยู่เพียงลำพังทะเลาะกับศิษย์พี่อีกคนหนึ่งที่ยังฝึกตนอยู่บนภูเขาพาตี้ด้วยเรื่องอะไร บางทีอาจเป็นเพราะถกเถียงกันด้วยเหตุผลไม่ได้ ก็เลยยกเรื่องขอบเขตสูงต่ำมาพูดกัน
อันที่จริงศิษย์พี่ที่โดนด่าคนนั้นไม่ได้รู้สึกว่าต้องเก็บถ้อยคำพวกนั้นมาใส่ใจด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ที่เห็นๆ กันอยู่ว่านอนหลับมาสองสามปีแล้ว กลับสลายกองหิมะ ที่ทับถมอยู่บนยอดเขา จากนั้นก็ร่างก็วูบหายไป ออกมาจากยอดเขาพาตี้
ตอนนั้นจางซานเฟิงที่ยังเป็นเด็กกำลังเล่นปาหิมะกับพวกนักพรตน้อยวัยเดียวกัน ผลคือพวกเขาต่างก็หันมามองหน้ากันเอง จากนั้นก็เล่นปาหิมะต่อ เพราะอาจารย์ จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ล้วนไม่ถ่วงเวลาการเล่นสนุกของพวกเขา ถึงอย่างไรอยู่บน ยอดเขาพาตี้ หิมะตกเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง มีเพียงตอนที่อาจารย์หลับเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้พบเจอ พวกเขาดีใจยิ่งกว่าได้ฉลองวันปีใหม่เสียอีก
ภายหลังจางซานเฟิงถึงได้ยินมาว่าศิษย์พี่ที่พูดผิดไปเพียงคำเดียวผู้นั้นถูกขับไล่ออกจากสำนักในวันนั้นเลย ศิษย์พี่คนนั้นนั่งคุกเข่าอยู่ริมอาณาเขตของยอดเขาพาตี้นานหนึ่งเดือนเต็ม แล้วก็โขกหัวอยู่นานหนึ่งเดือนเต็ม แต่อาจารย์ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ ศิษย์พี่คนอื่นๆ ต่างก็พากันเดินขึ้นมาบนยอดเขาพาตี้ แต่ไม่กล้าพูดอะไร เพียงแต่ ยืนอยู่บนยอดเขา ราวกับว่าความผิดที่พวกเขาก่อไม่ได้น้อยไปว่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง ร่วมสำนักคนนั้นเลย
อาจเป็นเพราะอายุยังน้อย ตอนนั้นจางซานเฟิงจึงเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียว ที่กล้าเปิดปากถามเรื่องนี้ เพราะเขาสงสัยมากว่าทำไมอาจารย์ถึงต้องโกรธขนาดนี้
ตอนนั้นหลังจากที่ลูกศิษย์ทุกคนไปจากยอดเขาพาตี้แล้ว อาจารย์ถึงได้พูดกับ จางซานเฟิงสองประโยคว่า
“ใต้หล้านี้ไม่มีถ้อยคำที่ไร้เจตนา มีเพียงถ้อยคำมีเจตนาที่หลุดปากพูดออกมาโดยไม่ทันระวัง”
“คนด้านล่างภูเขานั้นไม่เป็นไร แต่คนบนภูเขากลับสำคัญดุจชีวิต ไม่ใช่ว่าสำคัญต่อชีวิตของผู้ฝึกตนเอง แต่สำคัญต่อชีวิตของคนธรรมดาด้านล่างภูเขามากกว่า”
จางซานเฟิงยังคิดจะขอร้องแทนศิษย์พี่คนนั้น ฮว่อหลงเจินเหรินกลับส่ายหน้า ลูบศีรษะของนักพรตน้อยเบาๆ บอกว่าให้เป็นแบบนี้แหละดีแล้ว ในเมื่อศิษย์พี่ของเจ้าคนนั้นเดินมาสุดปลายทางของการฝึกตนบนภูเขาแล้ว ก็ไม่สู้ออกไปฝึกจิตใจนอกภูเขา
บนสะพานเวลานี้ ฮว่อหลงเจินเหรินก็ได้แต่ยอมรับปากว่า “ตกลง อาจารย์จะถือว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้”
เดินอยู่บนสะพานยาว จางซานเฟิงพบว่ามีเด็กหนุ่มชุดเหลืองหน้าตาฉลาดเฉลียวคนหนึ่งกำลังยืนเหม่ออยู่ห่างไปไม่ไกล ราวกับว่ากำลังมองพวกเขาสองอาจารย์ และศิษย์อยู่ จากนั้นเด็กหนุ่มหันหลังได้ก็วิ่งหนีเผ่นแน่บ แผล็บเดียวก็ไม่เหลือแม้เงา
จางซานเฟิงกล่าวอย่างสงสัย “อาจารย์ นี่คือ?”
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “เมื่อก่อนเคยพบหน้า เคยพูดคุยกัน”
หลี่หยวนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งเหงื่อแตกท่วมหัว ชักเท้าวิ่งตะบึง เคยพบหน้ากับท่านปู่เจ้าน่ะสิ ข้าผู้อาวุโสเป็นถึงสุ่ยเจิ้งแห่งลำน้ำใหญ่ ผลกลับกลายเป็นว่าปีนั้นต้องมา ถูกเจ้าใช้เวทน้ำสยบให้อยู่ใต้ลำน้ำใหญ่นานถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ
ฮว่อหลงเจินเหรินขมวดคิ้ว หันหน้าไปมอง
คือซุนเจี๋ยเจ้าสำนักที่ร่ายใช้เวทอำพรางตาเช่นเดียวกับพวกเขา
ซุนเจี๋ยแข็งใจเดินเร็วๆ มาด้านหน้า ช่วยไม่ได้ หากเจินเหรินผู้เฒ่าท่านนี้เพียงแค่ผ่านทางมายังสำนักมังกรน้ำ ในเมื่อเขาซุนเจี๋ยได้รับคำสั่งแล้วก็แค่ไม่ปรากฏตัวเท่านั้น แต่นี่เห็นได้ชัดว่าเจินเหรินผู้เฒ่าจะไปเยือนถ้ำสวรรค์วังมังกร จะให้เขาซุนเจี๋ยอยู่ต่อที่ศาลบรรพจารย์ก็ไม่เหมาะสมตามหลักมารยาทอย่างยิ่ง ต่อให้จะถูกเจินเหรินผู้เฒ่าตำหนิต่อหน้า แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าปล่อยให้สำนักมังกรน้ำของตนเสียมารยาท
แม้ว่าฮว่อหลงเจินเหรินจะไม่ค่อยยินดีพบปะพูดคุยด้วยมากนัก แต่จะดีจะชั่ว อีกฝ่ายก็เป็นถึงเจ้าสำนักอักษรจง ไม่ควรยื่นมือไปตบคนที่ยิ้มให้ เขาจึงกล่าวว่า “ข้าผู้เป็นนักพรตเพียงแค่มาท่องเที่ยวที่นี่พร้อมกับลูกศิษย์เท่านั้น”
เวลาเดียวกันนั้นเขาก็ได้ใช้เสียงในใจบอกกล่าวแก่ซุนเจี๋ยอย่างชัดเจน “เจ้าสำนักซุน ลูกศิษย์ของข้าคนนี้ไม่ค่อยรู้เรื่องด้านล่างภูเขา รบกวนช่วยปิดบังไว้สักหน่อย”
ซุนเจี๋ยพลันเข้าใจได้ทันที เขาประสานมือคารวะ เปิดปากยิ้มกล่าวว่า “คารวะเจินเหริน”
ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม
จางซานเฟิงมึนงงไปหมด แม้แต่เรื่องที่ว่าจะเรียกอีกฝ่ายอย่างไรก็ยังไม่รู้ จึงได้แต่ประสานมือคารวะอีกฝ่าย “ผู้น้อยจางซานเฟิงคารวะผู้อาวุโส”
ซุนเจี๋ยรีบคารวะกลับคืนทันที
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฮว่อหลงเจินเหริน คู่ควรได้รับการคาระจากเจ้าสำนักมังกรน้ำเช่นเขาแล้ว
นี่ทำให้จางซานเฟิงรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง จึงได้แต่คารวะกลับคืนไปอย่าง นอบน้อมอีกครั้ง
ฮว่อหลงเจินเหรินรู้สึกจนใจเล็กน้อย
ซุนเจี๋ยเองก็รู้สึกว่าแบบนี้ไม่เหมาะสมนัก จึงไม่ยึดติดกับพิธีการอันซับซ้อนอีก ทำเพียงแค่เดินไปเป็นเพื่อนเจินเหรินผู้เฒ่าระยะทางหนึ่ง
ทุกครั้งที่ฮว่อหลงเจินเหรินลงจากเขามาฝึกประสบการณ์ มักจะไปมาเพียงลำพัง แทบไม่เคยมีครั้งไหนที่พาลูกศิษย์ติดตามมาข้างกายด้วย ไม่ว่าจะเป็น ไท่เสียหยวนจวินที่โชคร้ายลาจากโลกนี้ไปแล้ว หรือว่าลูกศิษย์ทั้งหลายของสายอื่น ที่ได้เปิดภูเขาเป็นของตัวเองอย่างภูเขาเถาซาน ภูเขาจื่อเสวียน ต่อให้แต่ละคน จะมีมรรคกถาเลิศล้ำค้ำฟ้า แต่ก็ไม่เคยได้ติดตามอยู่ข้างกายเจินเหรินผู้เฒ่าที่ชอบ นอนหลับ เป็นคู่อาจารย์ศิษย์ที่ออกท่องเที่ยวไปด้วยกันทั่วสารทิศ และในความ เป็นจริงแล้ว จางซานเฟิงลงจากภูเขามาครั้งนี้ ก็เป็นการเดินทางช่วงครึ่งหลังซึ่งผ่านมาได้หลายปีแล้ว เขาเดินทางลงใต้ไปตลอดจนกระทั่งไปถึงทวีปอื่น แล้วอาจารย์ ของตนถึงได้ตามไปเจอ จากนั้นก็ไปท่องเที่ยวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและ ทักษินาตยทวีปด้วยกัน ก่อนหน้านั้นต่อให้ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ท้องร้องโครกครากไปตลอดทาง ก็ล้วนเป็นเขาจางซานเฟิงที่เผชิญอยู่คนเดียว แม้จะบอกว่าเป็นการขัดเกลามรรคกถา แต่แท้จริงแล้วก็คือการลองลิ้มรสกับ ความทรมานทุกข์ยากสารพัดรูปแบบ
ซุนเจี๋ยพาฮว่อหลงเจินเหรินและจางซานเฟิงไปส่งที่เหลาสุรา แล้วจึงขอตัวลาจากไป
ตลอดทางมานี้ล้วนเป็นจางซานเฟิงที่พูดคุยกับเขา น่าจะเป็นเพราะกังวลว่าอาจารย์จะรับมือกับการสมาคมกับผู้อื่นไม่ได้ เขาที่เป็นลูกศิษย์จึงได้แต่ทำหน้าที่แทน
ในขณะที่ซุนเจี๋ยกำลังจะหมุนตัวกลับ ฮว่อหลงเจินเหรินก็ได้เปิดปากเอ่ยว่า “ทางฝั่งของหลี่หยวน ข้าผู้เป็นนักพรตจะช่วยเจ้าพูดสักคำสองคำแล้วกัน”
ซุนเจี๋ยเตรียมจะคารวะ
ฮว่อหลงเจินเหรินกลับโบกมือ “ช่างเถิด”
หลังจากที่ผู้อาวุโสที่มีมารยาทอย่างถึงที่สุดผู้นั้นจากไปแล้ว จางซานเฟิงถึงได้ถามเสียงเบาว่า “อาจารย์ เหตุใดท่านถึงไม่สนใจคนเขาเลย”
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “ไม่ใช่สหาย ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องพูดคุย ต่อให้เป็นสหายก็ใช่ว่าจะมีเรื่องให้คุย”
ฮว่อหลงเจินเหรินเผยสีหน้าของการระลึกถึงความทรงจำ ตนมีสหายหรือไม่? แน่นอนว่ามี อีกทั้งยังมีไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่ล้วนเป็นคนในอดีตไปหมดแล้ว
มีชีวิตอยู่มานานเกินไป ก็ดูเหมือนว่าจะทำได้แค่ส่งอำลาสหายแต่ละคน บางคนสามารถบอกลาต่อหน้า บางคนไม่อาจทำได้
ทำได้หรือไม่ได้ อันที่จริงก็ล้วนเป็นเรื่องที่ชวนเสียใจทั้งสิ้น
นี่ไม่เกี่ยวข้องว่ามรรคกถาสูงหรือต่ำ
ดังนั้นการที่ลูกศิษย์ข้างกายได้รู้จักกับเฉินผิงอันที่ชอบใช้เหตุผล รู้จักกับสวีหย่วนเสียที่ชอบเขียนบันทึกภูเขาสายน้ำ ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก
และจางซานเฟิงกับเฉินผิงอันต่างก็ให้ความเคารพจอมยุทธเคราดกผู้นั้น อย่างแท้จริง นี่ก็ยิ่งดีเข้าไปอีก
นิสัยใจคอเข้ากันได้ ร่วมทุกข์ร่วมยาก ดื่มน้ำเปล่าก็ยังได้รสชาติยิ่งกว่าดื่มสุรา
การปักบุปผาลงบนผ้าแพรที่ปากเรียกขานกันเป็นที่เป็นน้อง แท้จริงแล้วในกลุ่ม บุปผากลับซ่อนมีดเอาไว้
แต่การส่งถ่านท่ามกลางหิมะในบางครั้ง เป็นสหายที่ใช้สองมือประคองถ่านร้อนๆ มาส่งให้ ส่งเสร็จแล้วก็กุมหมัดโบกมือ บอกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ยังอยู่ห่างจากประตูเมือง ‘จี้ตู๋หลบร้อน’ แห่งนั้นมาอีกประมาณสามสิบสี่สิบลี้ จางซานเฟิงก็เอ่ยถามว่า “อาจารย์ท่านรู้ตำแหน่งของเฉินผิงอันได้อย่างไร?”
เจินเหรินผู้เฒ่าตอบ “นี่เป็นเรื่องที่ยากมาก เพียงแต่ว่าเขาเฉินผิงอันมีความเชื่อมโยงกับเจ้าอย่างลึกล้ำ ยกตัวอย่างเช่นตราประทับเทียนซือชิ้นนั้น และยังมี กระบี่โบราณที่เจ้าสะพายไว้บนหลังตอนนี้ ล้วนเป็นโชควาสนาเขาที่ได้มาครองก่อน จากนั้นก็ส่งมอบมันต่อให้แก่เจ้า นี่ถึงเป็นการมอบเบาะแสบางอย่างให้กับอาจารย์ บวกกับที่เฉินผิงอันอยู่ที่อุตรกุรุทวีปพอดี หากอยู่ที่ทวีปอื่น อาจารย์ก็คำนวณได้ ยากแล้ว”
อันที่จริงยังมีความลับอีกเรื่องหนึ่งที่ฮว่อหลงเจินเหรินไม่ได้บอกกับจางซานเฟิงอย่างชัดเจน นั่นก็คือในตรอกของหมู่บ้านทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปปีนั้น ทั้งสองฝ่ายได้พบเจอกัน เพื่อให้เป็นของขวัญตอบแทน เจินเหรินผู้เฒ่าจึงได้มอบของขวัญพบหน้าชิ้นหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน ช่วยให้ในอนาคตเด็กคนนั้นสามารถเดินบนเส้นทางของการฝึกยุทธได้มั่นคงอีกหน่อย เพราะถึงอย่างไรความสัมพันธ์ควันธูปที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาพูดคุยอะไร
แล้วนับประสาอะไรกับที่ลูกศิษย์ของตนคนนี้รู้สึกว่ามรรคกถาของอาจารย์ตัวเองไม่สูง
ฮว่อหลงเจินเหรินก็ไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนที่ผิด
มรรคกถาของข้าผู้เป็นนักพรตสามารถสูงได้เท่ามรรคาจารย์เต๋าหรือ?
ไม่ได้แน่นอน
ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าไม่สูงน่ะสิ
ไปถึงทางเข้าถ้ำสวรรค์วังมังกร ผลกลับได้ยินว่าต้องควักเงินร้อนน้อยสองเหรียญ ตอนนั้นจางซานเฟิงก็รู้สึกแล้วว่าสำนักมังกรน้ำแห่งนี้ใจดำยิ่งนัก
จางซานเฟิงกัดฟัน ควักเงินร้อนน้อยสองเหรียญออกมาจากชายแขนเสื้อ อย่างอิดออด แล้วมอบให้กับผู้ฝึกตนสำนักมังกรน้ำที่เป็นคนเฝ้าประตู
ตอนที่ผ่านประตูเมือง จางซานเฟิงลูบคลำหมุดที่ปักอยู่บนริมขอบของประตูใหญ่สีชาด แล้วก็ไม่ลืมหันหน้ามาพูดกับเจินเหรินผู้เฒ่าว่า “อาจารย์ ลองลูบดูบ้างไหม? ปีนั้นเฉินผิงอันเคยพูดให้ฟังถึงขนบธรรมเนียมของบ้านเกิดหลายข้อ หนึ่งในนั้นก็คือเดินบนหัวกำแพงเมืองร้อยโรคหายสิ้น เดินผ่านประตูเมืองลูบหมุดประตูล้วนสามารถขับไล่เสนียดชั่วร้ายไปได้”
ฮว่อหลงเจินเหรินส่ายหน้ายิ้มๆ “อาจารย์คงไม่ทำแล้วล่ะ”
จางซานเฟิงเดินผ่านกรอบประตูเมืองมาก็เห็นแท่นบันไดหยกขาวที่ยาว เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้นนั้น เขาพลันเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “มีพลัง มีพลังอำนาจจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นตระกูลเซียนอักษรจง!”
ยอดเขาพาตี้บ้านตัวเองเป็นแค่ทางขึ้นเขาเล็กๆ ที่คดเคี้ยวเส้นหนึ่งเท่านั้น บนทางยังมีกอหญ้างอกเติบโต เพียงแต่ว่าผลไม้ป่าก็มีเยอะ ก่อนที่จางซานเฟิง จะลงเขาไปฝึกประสบการณ์จึงมักจะพาพวกนักพรตน้อยกลุ่มใหญ่ไปเก็บผลไม้ ในภูเขา ทุกครั้งล้วนได้ผลเก็บเกี่ยวกลับมาเต็มไม้เต็มมือ
เดินไปถึงบนยอดเขา มองเห็นกำแพงมังกรสิบหกตัวใต้ฝ่าเท้า จางซานเฟิงก็ยิ่งรู้สึกว่าสำนักมังกรน้ำช่างร่ำรวยจริงๆ พอคิดว่าบารมีตระกูลเซียนของสำนักมังกรน้ำแห่งนี้ มีเงินร้อนน้อยสองเหรียญที่ตนเป็นผู้อุทิศให้รวมอยู่ด้วย เขาก็พลันอารมณ์ดี
ฮว่อหลงเจินเหรินถามด้วยรอยยิ้ม “ยังคงรู้สึกว่ารังเงินรังทองก็ไม่สู้รังหญ้าของบ้านตัวเองอยู่อีกไหม?”
จางซานเฟิงพยักหน้ารับ “ก็ใช่น่ะสิ ได้พบเฉินผิงอันแล้ว พวกเรากลับบ้านกันเถอะขอรับ!”
เจียวหลงหิมะขาวสิบหกตัวทะยานขึ้นกลางอากาศ ทะลุเข้าสู่ทะเลเมฆ มุ่งตรงไปยังถ้ำสวรรค์วังมังกร
ในห้องบนเกาะเป็ดน้ำ
เฉินผิงอันเริ่มหลับตาทำสมาธิ ครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะหยิบพู่กันและกระดาษออกมา เขาคลี่กระดาษออก แล้วเริ่มยกพู่กันเขียนจดหมายตอบกลับ
ชื่อพื้นที่มงคลรากบัวนี้ ฟังแล้วไม่เลว ก็ให้ตั้งชื่อไปตามนี้
หลังจากที่ช่องโหว่ของพื้นที่มงคลแห่งนี้ได้รับการชดเชย จนเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางแล้ว ที่ตั้งของศาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำในอนาคตก็สามารถ ทำการตรวจสอบอย่างลับๆ แล้วเลือกให้เป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยวิเศษได้ แต่ภูเขาลั่วพั่ว ไม่ต้องรีบร้อนลงนามในสัญญาใดๆ กับฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยน รอให้เขากลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วก่อนค่อยว่ากัน ถึงเวลานั้นเขาจะไปเยือนด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ ไม่ว่าฮ่องเต้พระองค์นี้จะเสนอเงื่อนไขที่ดีมากแค่ไหน จูเหลี่ยนเจ้าก็ต้องถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน
เว่ยป้อฝ่าทะลุขอบเขตคือเรื่องน่ายินดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ภูเขาลั่วพั่วจำเป็นต้องเตรียมของขวัญแสดงความยินดีชิ้นหนึ่ง ในส่วนของเขาเฉินผิงอันต้องเป็นวัตถุบนภูเขาที่เป็นระดับขั้นของสมบัติอาคมชิ้นหนึ่ง สามารถยืมเอาจากเจียงซ่างเจินแห่งสำนักเจินจิ้งก่อนชั่วคราวได้ หากจูเหลี่ยนรู้สึกว่าเหมาะสมดีแล้ว ก็สามารถตอบตกลงให้เขาใช้สถานะของก่อกำเนิดและนามแฝงว่าโจวเฝยมารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว เงื่อนไขก็คือสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมา ส่วนของขวัญแสดงความยินดีของผู้น้อยอย่างพวกเผยเฉียน หากเป็นของขวัญที่ เบาหน่อยก็ไม่เป็นไร ยกตัวอย่างเช่นสามารถให้เผยเฉียนเขียนกลอนคู่ที่เป็น ถ้อยคำมงคล แน่นอนว่าหากเผยเฉียนมีความคิดเป็นของตัวเอง ก็ยิ่งดี
ทางฝั่งของหลิวจ้งรุ่น จูเหลี่ยนสามารถเรียกหลูป๋ายเซี่ยงให้ไปขุดค้นตำหนักวารีกับเรือมังกรด้วยกันได้ นี่คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ก่อนที่จะทำเรื่องนี้จำเป็นต้องบอกกล่าวให้ชุยตงซานรู้เสียก่อน รอฟังคำตอบกลับที่แน่ชัดจากเขา ทั้งสองฝ่ายถึงจะสามารถเดินทางออกจากต้าหลีได้ หากชุยตงซานรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ควรทำ ถ้าอย่างนั้น ก็ปฏิเสธหลิวจ้งรุ่นไปโดยตรง ไม่เพียงเท่านี้ ยังต้องเตือนนางให้ตัดใจจากเรื่องนี้ ให้ขาด พูดจารุนแรงได้ไม่เป็นไร ในเมื่อทั้งสองฝ่ายจะเป็นเพื่อนบ้านกันบนภูเขาไป อีกนาน ถ้อยคำจากใจจริงที่ไม่น่าฟัง อีกฝ่ายจะฟังหรือไม่ฟังเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ตัวเองจะพูดหรือไม่พูดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เขียนจดหมายมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หยุดพู่กันครู่หนึ่ง แล้วถึงได้ยกพู่กันเขียนจดหมายต่อ
หากหลิวจ้งรุ่นดึงดันจะเสี่ยงอันตรายทำเรื่องนี้ ภูเขาลั่วพั่วก็จะดึงเอาสัญญาเช่าของภูเขาหลังอ๋าวกลับคืนมา ผลลัพธ์ที่ตามมาและค่าชดเชยหลังจากที่ทำลายสัญญา ภูเขาลั่วพั่วควรจะแบกรับเท่าไรก็จะแบกรับไว้เท่านั้น
แทนที่ภายหลังจะต้องถูกผู้ฝึกตนของเกาะจูไชพาให้เดือดร้อนจนหัวหูไหม้ ถูกหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันรู้ตัวลามมาสู่ตัว ก็ไม่สู้รีบตัดขาดความสัมพันธ์กัน แต่เนิ่นๆ ภูเขาลั่วพั่วต้องการดำเนินกิจการไปอย่างยาวนาน ดั่งกระแสน้ำเส้นเล็ก ไหลยาว บางอย่างที่ต้องสละทิ้งและเลือกเก็บรักษาไว้ ก็ยังต้องทำ แทนที่วันหน้า จะถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเปลี่ยนจากมิตรกลายมาเป็นศัตรูกัน ต่างคนต่างเคียดแค้นกันเอง ก็ไม่สู้ตัดขาดกันแต่เนิ่นๆ ยอมถูกเกาะจูไช่ที่เดินทางมาเสียเที่ยวตำหนิยังดีกว่า หากเกิดภาวะชะงักงันเช่นนี้ขึ้นมาจริงๆ ก็จำเป็นต้องทำการชดเชยอย่างลับๆ ยกตัวอย่างเช่นติดต่อทักทายไปหาเจียงซ่างเจินและกวนอี้หราน ให้พวกเขาช่วยดูแลเกาะจูไชบนทะเลสาบซูเจี่ยน เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องบอกแก่หลิวจ้งรุ่น น้ำใจไม่เล็กที่ภูเขาลั่วพั่วติดค้างไว้ก็ให้ติดไว้ก่อนสองครั้งนี้ รอให้เขาเฉินผิงอันกลับไปถึง แจกันสมบัติทวีปเมื่อไหร่ ย่อมมีแผนการอย่างอื่นมาใช้รับมือเอง
ทางฝั่งของต่งสุ่ยจิ่ง หากเป็นเรื่องที่ภูเขาลั่วพั่วสามารถช่วยเหลือได้ ขอแค่ ไม่เกี่ยวข้องกับความถูกผิดที่เป็นเรื่องใหญ่ก็พยายามช่วยเหลือให้ได้มากที่สุด ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องผลได้ผลเสีย แต่การช่วยเหลือใดๆ ก็ตาม ที่มีต่อต่งสุ่ยจิ่งก็ไม่สามารถเอามาหักลบผลประโยชน์จากฝั่งของกวนอี้หรานแม่ทัพ ที่ปักหลักอยู่ในนครน้ำบ่อได้เด็ดขาด เรื่องนี้จำเป็นต้องให้จูเหลี่ยนคิดพิจารณา อย่างละเอียด ชั่งน้ำหนักอย่างระมัดระวังเอาเอง ส่วนความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างต่งสุ่ยจิ่งกับเจ้าเมืองหยวนและผู้ตรวจการเฉา ภูเขาลั่วพั่วจะไม่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแม้แต่นิดเดียว แต่เว่ยหลี่ผู้ว่าคนใหม่ที่เคยเป็นเจ้าเมืองของแคว้นหวงถิง ภูเขาลั่วพั่วสามารถไปมาหาสู่กับเขาบ่อยๆ ได้ คนผู้นี้มีค่ามากพอให้คบหาเป็น สหายได้ แต่แรงไฟที่เป็นรูปธรรมควรเป็นอย่างไร จูเหลี่ยนเจ้าก็กะเอาเองแล้วกัน อีกอย่างก็คือเทพอภิบาลเมืองคนใหม่ของจังหวัดที่จู่ๆ ก็โผล่มาคนนั้น ในเมื่อ คนจิ๋วควันธูปของท่านเทพอภิบาลเมืองสนิทสนมกับเผยเฉียนมานานแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สามารถแอบกำชับกับเผยเฉียนได้ว่า ให้คบหากับคนจิ๋วควันธูปผู้นั้นด้วยจิตใจที่เป็นปกติดังเดิมก็พอ นอกจากนี้แล้ว ภูเขาลั่วพั่วก็จำเป็นต้องมีการไปมาหาสู่กับ เทพอภิบาลเมืองที่จู่ๆ ก็โผล่มาท่านนี้เช่นกัน แต่ก็เอาแค่พอสมควร
ให้มีแค่มิตรภาพที่ตื้นเขิน ไม่ลึกซึ้ง เพราะอีกฝ่ายสามารถเปลี่ยนจากเทพแห่งผืนดินเล็กๆ คนหนึ่ง กระโดดขึ้นมาเป็นเทพอภิบาลเมืองของจังหวัดหนึ่งได้ ภูมิหลังจะต้องซับซ้อนมากอย่างแน่นอน ภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ยังคงแสวงหาความมั่นคงเป็นหลัก หลีกเลี่ยงไม่ให้โดนลูกหลงจากการตีกันของเทพเซียนบางคนในราชสำนักต้าหลี ตอนนี้ใจกลางของต้าหลีต้องเป็นสถานการณ์อันตรายที่มีแต่ลูกคลื่นประหลาด มีน้ำวนกระจายตัวอยู่ทั่วทุกแห่งอย่างแน่นอน
ทางฝั่งของฟ่านเอ้อร์และซุนเจียซู่ของนครมังกรเฒ่า ตอนที่จูเหลี่ยนมีเวลาว่าง ก็รบกวนให้เขาไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวเองรอบหนึ่ง ถือว่าเป็นตัวแทนของเฉินผิงอัน ไปเยี่ยมเยือนเพื่อขอบคุณ ในระหว่างนี้หากกุ้ยฮูหยินของเกาะกุ้ยฮวาไม่ได้ ออกเดินทางข้ามทวีป จูเหลี่ยนก็ต้องไปเยี่ยมนางด้วยตัวเองด้วย และยังมีผู้ถวายงาน ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของตระกูลฟ่านอย่างท่านผู้เฒ่าหม่าจื้อ จูเหลี่ยนก็สามารถ พกเหล้ากาหนึ่งไปเยี่ยมหา เหล้าหมักตระกูลเซียนที่ฝังไว้ใกล้กับเรือนไม้ไผ่ สามารถขุดเอาออกมาสองกาไปมอบให้ท่านผู้เฒ่าเป็นคู่ได้
เรื่องที่หลิวจื้อเม่าผู้ถวายงานขอบเขตก่อกำเนิดเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ ไม่จำเป็นต้องสนใจ ยิ่งไม่ต้องส่งของขวัญไปร่วมอวยพร
ภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็นของสกุลสวี่สองสถานที่นี้ ให้อาศัยมือของคนอื่นรวบรวมข้อมูลน้อยใหญ่ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาอย่างลับๆ ต่อไป
นอกจากนี้กิจธุระน้อยใหญ่อีกยี่สิบกว่าอย่าง เฉินผิงอันล้วนทยอยเขียนลงไปในจดหมายฉบับนี้ เรื่องส่วนใหญ่ล้วนบอกให้จูเหลี่ยนจัดการเอาเอง เฉินผิงอันเพียงแค่เอ่ยเตือนเท่านั้น แค่บอกจูเหลี่ยนว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่
นอกจากนี้ก็คือเรื่องบางอย่างที่เขาเฉินผิงอันตัดสินใจได้แล้ว หากพวกจูเหลี่ยนสามคนรู้สึกว่าทิศทางไม่ถูกต้อง จำเป็นต้องใคร่ครวญต่ออีก ถ้าอย่างนั้นก็สามารถส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้หลี่หลิ่วได้ เพราะก่อนที่เขาจะย้อนกลับไปยังแจกันสมบัติทวีป จะต้องไปเยือนยอดเขาสิงโตก่อนรอบหนึ่งแน่นอน
สุดท้ายเฉินผิงอันไม่ได้เขียนจดหมายให้เผยเฉียนโดยเฉพาะ เพียงแค่เขียนไว้ในช่วงท้ายของจดหมายว่าให้นางเขียนจดหมายติดต่อกับพี่หญิงเป่าผิงของนางบ่อยๆ แล้วยังต้องช่วยฝากบอกเฉินหรูชู เฉินหลิงจวิน แน่นอนว่ายังมีโจวหมี่ลี่ รวมไปถึงสือโหรวที่เป็นเถ้าแก่อยู่ในร้านตรอกฉีหลงแทนอาจารย์อย่างเขาว่าให้ดูแลตัวเองด้วย แล้วก็ยังพร่ำพูดอีกหลายอย่าง กำชับเผยเฉียนว่าอยู่โรงเรียนห้ามเกเรเด็ดขาด หากรู้สึกว่าอาจารย์ที่สอนหนังสือยังมีความสามารถไม่สูงพอ ถ้าอย่างนั้น ก็เรียนรู้วิธีการวางตัวจากอาจารย์เหล่านั้น หากรู้สึกว่าพวกอาจารย์ในโรงเรียนมี วิธีวางตัวในสังคมที่ไม่โดดเด่นอะไร ถ้าอย่างนั้นก็เรียนรู้แค่หลักการเหตุผลของ อริยะปราชญ์บนตำรามาจากพวกเขา
ช่วงท้ายของจดหมายฉบับนี้ เฉินผิงอันตอบรับเผยเฉียนว่า ภายใต้การแนะนำอย่างสุดกำลังของลูกศิษย์เปิดขุนเขาของตน เขาจึงตกลงให้เลื่อนขั้นโจวหมี่ลี่ ภูตน้ำใหญ่ของทะเลสาบคนใบ้ให้เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังอนุญาตให้เผยเฉียนเอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศให้รับรู้ทั่วกันทั้ง ภูเขาลั่วพั่ว
ตอนที่ตวัดพู่กันเบาๆ เขียนประโยคนี้ แม้แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็ยังไม่รู้ว่าใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สายตาอ่อนโยน
เขียนจดหมายเสร็จ เฉินผิงอันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สอดสองมือรองไว้ใต้ ท้ายทอย หลับตาลง หวนนึกถึงคนจิ๋วดอกบัวที่ว่ากันว่ายังคงไม่ชอบปรากฎตัวตนนั้น ไม่รู้ว่าที่บ้านเกิด ต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นสองข้างขั้นบันไดทางขึ้นเขา บุปผาที่จะผลิบานในฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าจะงอกงามได้ดียิ่งกว่าในอดีตหรือไม่
ทุกครั้งที่เป็นช่วงงานพิธีกรรมยันต์ทอง ถ้ำสวรรค์มังกรจะต้องมีฝนตกชุก
เฉินผิงอันเก็บจดหมายแล้วเดินออกมาจากห้อง หยิบร่มกระดาษน้ำมันคันนั้นขึ้นมา ออกจากเรือนไปเดินเล่นอยู่ข้างนอกอีกครั้ง
คิดว่าหลังจากเดินเล่นเสร็จแล้วจะมอบจดหมายฉบับนี้ให้หลี่หยวนส่งไปยังภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันเดินบนทางเส้นเล็กหินเขียวที่อยู่ติดกับสายน้ำของเกาะเป็ดน้ำ แล้วจู่ๆ ก็หันหน้าไปมองมุมหนึ่ง พอจะมองเห็นว่ามีเรือยันต์ลำหนึ่งลอยมาช้าๆ
เขาที่อยู่ในถ้ำสวรรค์วังมังกร นอกจากหลี่หยวนและเหนียงเนียงของตำหนักหนานซวินแล้ว ก็ไม่รู้จักใครอีก
เรือยันต์พลันพุ่งมาอย่างรวดเร็วราวกระบี่บิน พลิ้วกายลงบนทะเลสาบ แล้วจอดเทียบท่าอย่างมั่นคง
เฉินผิงอันเพ่งสายตามองไป ต้องขยี้ตาตัวเองถึงจะมั่นใจได้ว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
เขารีบบังคับแผ่นหยก ‘จวิ้นชิงอวี่เซียง’ ให้สลายตราผนึกภูเขาสายน้ำของเกาะเป็ดน้ำ
ฮว่อหลงเจินเหรินได้สลายเวทอำพรางตาที่อยู่บนร่างของพวกเขาสองอาจารย์และศิษย์ออกแล้วเช่นกัน จางซานเฟิงหัวเราะร่าเสียงดัง “เฉินผิงอัน!”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้ามาได้อย่างไร? ข้ายังคิดอยู่ว่าเดินเที่ยวลำน้ำจี้ตู๋สายนี้เสร็จจะไปหาเจ้าที่ยอดเขาพาตี้อยู่พอดี”
จางซานเฟิงก้าวเดินยาวๆ เข้าหาเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยื่นร่มกระดาษน้ำมันที่อยู่ในมือให้กับจางซานเฟิง จากนั้นก็ค้อมเอว กุมหมัดคารวะ “ผู้น้อยเฉินผิงอันคารวะเจินเหรินผู้เฒ่า!”
“ไม่เฒ่าๆ เรียกแค่เจินเหรินก็พอ”
ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับพร้อมส่งยิ้มให้กับคนหนุ่ม พอเขาพลิ้วกายลงมาจากเรือยันต์ ฝนบนเกาะเป็ดน้ำก็หยุดตกทันใด
จางซานเฟิงอึ้งตะลึง เก็บร่มกระดาษน้ำมันลงไป แล้วพูดอย่างมีความสุขว่า “เป็นนิมิตหมายที่ดี เป็นนิมิตหมายที่ดี!”
จากนั้นจางซานเฟิงก็ทำท่าวัดระดับความสูงกับเฉินผิงอัน แล้วพูดอย่างสงสัยว่า “เฉินผิงอัน ตัวสูงเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”
ที่แท้เฉินผิงอันในตอนนี้ก็สูงกว่านักพรตหนุ่มไปประมาณหนึ่งช่วงหมัดแล้ว
ในความเป็นจริงแล้ว นับตั้งแต่ทั้งสองฝ่ายจากลากันและได้กลับมาพบกันอีกครั้งก็ได้ผ่านไปหลายปีแล้ว
ต่อมาเฉินผิงอันก็ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาอยู่บนเกาะเป็ดน้ำ เพียงลำพัง ย่อมไม่เป็นอะไร หากมีแค่จางซานเฟิงคนเดียวก็ยังพูดง่าย ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน แต่ตอนนี้ตรงหน้ายังมีเจินเหรินผู้เฒ่ายืนอยู่อีกคน เขาจึงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย สุรานั้นมี แต่เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสม ชากำแพงดำน้อยของจวนไช่เฉวี่ยก็มี น่าเสียดายที่สำหรับเรื่องการชงชานั้น เขาไม่เชี่ยวชาญเลยแม้แต่น้อย อุปกรณ์ชงชา ก็ไม่มี
ฮว่อหลงเจินเหรินมองประเมินคนหนุ่มแวบหนึ่งแล้วเอ่ยสัพยอกว่า “เดินขากะเผลก มีปัญหาหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน
ภายใต้เปลือกตาของฮว่อหลงเจินเหริน จางซานเฟิงใช้ข้อศอกกระทุ้งเฉินผิงอันเบาๆ เฉินผิงอันก็ทำกลับคืน เจ้าทำมา ข้าทำกลับกันอยู่อย่างนั้น
ฮว่อหลงเจินเหรินแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เขาเดินหน้าไปช้าๆ คนหนุ่มทั้งสองเดินอยู่ข้างกาย
ฮว่อหลงเจินเหรินถามอีกว่า “จิตบุ๋นที่ดีขนาดนั้น อีกทั้งยังสอดคล้องกับ มหามรรคาของเจ้า เหตุใดถึงไม่อยู่แล้ว? ไม่อย่างนั้นหากมีทอง ไม้ น้ำสามอย่าง คอยช่วยเหลือ ก็คงไม่ต้องเดินกะเผลกขึ้นเขาแบบนี้แล้ว”
พอจางซานเฟิงได้ยินประโยคนี้ก็หยุดทักทายกับ ‘เฉินผิงอัน’ ทันที
เฉินผิงอันตอบกลับ “เจอเรื่องบางอย่าง ไม่อาจโน้มน้าวจิตดั้งเดิมของตัวเองได้ หลักการเหตุผลบางอย่าง ไม่ควรเอามาใช้พันธนาการคนอื่นอย่างเดียวเท่านั้น”
เจินเหรินผู้เฒ่ายิ้มถาม “ข้าผู้เป็นนักพรตรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ใช้หลักการเหตุผลอะไรถึงได้ต้องจ่ายค่าตอบแทนใหญ่ขนาดนี้?”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่ก็ยังให้คำตอบคร่าวๆ ไปว่า “คนที่เวลาปกติ หากพบเจอสามารถลงมือสังหารได้เป็นร้อยเป็นพันรอบ ทว่ากลับไม่อาจสังหารได้”
เจินเหรินผู้เฒ่าอืมรับหนึ่งที ก่อนกล่าวว่า “เมื่อจิตบุ๋นแหลกสลาย ภาพปรากฎการณ์แห่งคุณธรรมที่มารวมอยู่บนร่างอย่างยากลำบากจึงกระจายหายไปรอบทิศ แล้วต่อจากนั้นล่ะ? เมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุด?”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่เอ่ยคำใด
เจินเหรินผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ดื่มเหล้าสักเล็กน้อย คิดดีแล้วค่อยตอบก็ยังไม่สาย”
เฉินผิงอันจึงปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา ด้านในตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นเหล้า หมักข้าวเหนียวของบ้านเกิดแล้ว เขาดื่มเบาๆ หนึ่งอึก แล้วยื่นส่งให้จางซานเฟิง ฝ่ายหลังขยิบตาให้ บอกเป็นนัยว่าอาจารย์ของตนก็อยู่ที่นี่ด้วย
เจินเหรินผู้เฒ่าจึงพูดต่อว่า “จิตที่เห็นแก่ตัวเข้มข้นขนาดนี้ เหตุใดถึงฆ่าไม่ลง? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตามความเห็นข้าผู้เป็นนักพรต ต่อให้เจ้าไม่ทำลายจิตบุ๋นดวงนั้น มันก็จะต้องทำลายตัวเองอยู่ดี”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอีกหนึ่งอึก
เจินเหรินผู้เฒ่าหัวเราะ ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง “เจ้าต้องคิดคำนวณทุกอย่าง เอาวิธีแก้ปัญหาทั้งหมดที่มี เอาความรู้หลากหลายที่เล่าเรียนมา มาใช้จนหมดสิ้นแล้ว ถึงได้ฝืนเดินมาถึงวันนี้ได้อย่างถูไถใช่หรือไม่? ยกตัวอย่างเช่นใช้วิธีการกำราบวานร ในใจของลัทธิพุทธ มองความคิดบางอย่างในใจของตัวเองเป็นวานร แล้วกักขังมัน ให้ตายอยู่ในใจ มองคนที่สมควรตายเป็นม้าพยศ แล้วกักขังไว้ในสถานที่บางอย่าง ที่จับต้องได้จริง? ส่วนข้อที่ว่าควรจะแก้ไขความผิดอย่างไรก็ยิ่งซับซ้อน วิชากฎหมายของสำนักนิติธรรม ไม้บรรทัดของสำนักอาคม การโปรดสัตว์ของลัทธิพุทธ การถือศีลกินเจของลัทธิเต๋า พยายามจะเอามาประกอบรวมเข้ากับกฎเกณฑ์ของลัทธิขงจื๊อ กลายเป็นการชดเชยแก้ไขความผิดที่จับต้องได้จริง ใช่หรือไม่? หวังว่าในอนาคต สักวันหนึ่ง เจ้ากับคนผู้นั้นที่รู้ผิดและแก้ไขความผิดร่วมกันปีแล้วปีเล่าจะสามารถชดเชยให้กับวิถีทางโลกได้? ผิดหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็ชดเชยให้มากยิ่งกว่าหนึ่ง นานวันเข้า สักวันหนึ่งก็จะต้องทำให้จิตใจสงบลงได้ ถูกหรือไม่?”
สีหน้าเฉินผิงอันหม่นหมอง กำน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ในมือแน่น
เจินเหรินผู้เฒ่าพยักหน้า แต่ก็ตามมาด้วยส่ายหน้า แล้วพูดอย่างสะท้อนใจว่า “ไยต้องหาความลำบากใส่ตัวเช่นนี้”
จางซานเฟิงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เจินเหรินผู้เฒ่ายิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า กุญแจสำคัญของการถามใจครั้งนี้อยู่ที่ตรงไหน?”
เจินเหรินผู้เฒ่าถามเองตอบเอง “อยู่ที่ว่าฆ่าคนอื่นก่อน แล้วค่อยฆ่าตัวเอง หรือว่าฆ่าตัวเองก่อน แล้วค่อยคิดจะฆ่าคนอื่น”
เฉินผิงอันพึมพำอย่างเหม่อลอย “ก็ไม่ควรต้องดูก่อนว่าผิดหรือถูก แล้วค่อยมาพูดเรื่องอื่นหรอกหรือ?”
เจินเหรินผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ถ้าอย่างนั้นข้าผู้เป็นนักพรตก็จะถามเจ้าอีกครั้ง เหตุใดมีเพียงคนผู้นี้ที่อยู่ต่อหน้าเจ้า อยู่ต่อหน้าหมัดและกระบี่ของเจ้า เจ้ากลับ ไม่สามารถสังหารเขาได้?”
เฉินผิงอันไร้คำตอบ
เจินเหรินผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เพราะเจ้ารู้ว่า ขอแค่เกิดจิตคิดสังหาร ก็คือการฆ่าตัวเอง ก่อนจะฆ่าเขา ตัวเจ้าเองก็ได้ตายไปแล้ว เฉินผิงอัน นี่เข้าใจยากนักหรือ? เจ้าเฉินผิงอันฉลาดเกินไป ความเข้าใจที่มีต่อจิตใจของผู้อื่นก็เหนือกว่าคนวัยเดียวกันไปมาก การเลือกที่มองไม่เห็นในหลายๆ ครั้ง เจ้าล้วนอิงตามจิตดั้งเดิมของตัวเองทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลักการเหตุผลบางอย่างที่เจ้าเลื่อมใสเลย นั่นต่างหาก ถึงจะเป็นความคิดและความเข้าใจที่เป็นรากฐานที่สุดซึ่งซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจเจ้าเฉินผิงอัน ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าใช้สมองครุ่นคิดเลยแม้แต่น้อย นี่จึงเป็นเหตุให้มองดูเหมือนว่าไม่รู้สึกตัว แต่กลับเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน”
จางซานเฟิงที่อยู่ด้านข้างรู้สึกว่ายากที่จะทำความเข้าใจได้
แล้วยังรู้สึกเสียใจอีกด้วย
เดิมทีนักพรตหนุ่มคิดว่าการกลับมาพบกันอีกครั้งคราวนี้จะมีแต่เรื่องดีๆ
ไม่มีเรื่องแย่ๆ ที่ทำให้จิตใจวุ่นวาย
จางซานเฟิงถึงขั้นเสียใจแล้วที่พาอาจารย์มาที่เกาะเป็ดน้ำครั้งนี้
ฮว่อหลงเจินเหรินส่ายหน้าอยู่กับตัวเอง “ในสายตาของเจ้าเฉินผิงอัน ขอแค่สังหารคนผู้นี้ได้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเจ้าเฉินผิงอัน นับตั้งแต่ตอนเป็นเด็กมาจนถึงเป็นเด็กหนุ่ม แล้วก็มาถึงภายหลังที่ออกเดินทางไปทั่วทิศ ล้วนต้องตายอย่างสิ้นซาก คนทุกคนที่เจ้ารู้จักและรู้จักเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคนที่ไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ก็เหมือนตายไปพร้อมกับเจ้าด้วย สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว นี่ไม่ใช่เพราะจิตใจที่เห็น แก่ตัวของเจ้าเฉินผิงอันหรืออย่างไร? เจ้ากลัวตายมากเกินไป ทั้งกลัวว่าตัวเองจะตาย และยิ่งกลัวว่าใจที่ผู้อื่นมีต่อเจ้าจะตายไปด้วย”
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในมือหล่นลงพื้นเบาๆ
ฮว่อหลงเจินเหรินหันมายิ้มพูดกับจางซานเฟิงว่า “พวกเราเดินกันต่อ ให้เฉินผิงอัน ได้ใคร่ครวญดีๆ ไม่ต้องรีบร้อน”
จางซานเฟิงร้อนใจจนควันแทบจะผุดออกมาจากลำคออยู่แล้ว
เพียงแต่ว่านักพรตเฒ่าส่ายหน้าให้เขา จางซานเฟิงถึงได้กำร่มกระดาษน้ำมันคันที่เฉินผิงอันส่งมาให้เอาไว้แน่น แล้วเดินเล่นเป็นเพื่อนอาจารย์ต่ออีกครั้ง
หลังเดินออกไปได้ไกลแล้ว จางซานเฟิงที่ยังเป็นกังวลก็หันหน้ากลับมามอง พลางเอ่ยถามเสียงเบา “อาจารย์ ทิ้งเฉินผิงอันไว้ตรงนั้นคนเดียว จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?”
ฮว่อหลงเจินเหรินกล่าวอย่างเฉยเมย “เฉินผิงอันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่เมื่อไหร่?”
จางซานเฟิงอึ้งตะลึง
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “ไม่ได้บอกว่าเฉินผิงอันไม่จริงใจกับเจ้า ไม่ใช่เช่นนี้ เพียงแต่ว่าเจ้าเด็กคนนี้เคยชินกับการเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว”
จางซานเฟิงถาม “เป็นเรื่องไม่ดี?”
ฮว่อหลงเจินเหรินคิดแล้วก็ตอบว่า “สามารถเดินมาได้จนถึงทุกวันนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องไม่ดี เป็นเรื่องดี แต่หากผ่านวันนี้ไปแล้วยังคงเป็นเช่นนี้อยู่ ก็จะเป็น…”
จางซานเฟิงถามคำถามเดิมอีกครั้ง “เรื่องไม่ดี?”
คิดไม่ถึงว่าฮว่อหลงเจินเหรินจะส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ยิ่งเป็นเรื่องดีเข้าไปใหญ่ เพียงแต่ว่ายังขาดอยู่อีกเล็กน้อย ตัวเขาเองไม่อาจคิดจนกระจ่างแจ้ง ไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดไปได้ นั่นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องไม่ดี ตรวจสอบไม่กระจ่าง มองไม่ทะลุปรุโปร่ง ไม่ยอมรับ นี่ก็คือหายนะใหญ่เทียมฟ้า คือมารในใจที่ใหญ่ที่สุด”
ด่านแห่งหัวใจก็คือด่านประตูผี นอกด่านประตูผีมีผู้คนเดินวนเวียนป้วนเปี้ยน ระหว่างคนกับผีมีเพียงเส้นบางๆ กั้นขวาง ดังนั้นจึงมักจะมีคนโลกมืดผีโลกสว่าง ยากจะแยกแยะว่าเป็นผีหรือคน
คนธรรมดาทั่วไปกลับยังพูดง่าย เพราะก็หนีไม่พ้นการพยายามมีชีวิตรอด กับมีชีวิตให้ได้ดียิ่งกว่าเดิม คนไม่ใช่คน ผีไม่ใช่ผี เดิมทีก็ไม่มีทฤษฎีบทใดๆ ทว่า ผู้ฝึกตน บนเส้นทางจิตใจมีแต่ดินโคลนก็ย่อมทำให้เกิดความผิดพลาดได้
จางซานเฟิงเกาหัว “อาจารย์ ท่านพูดวกไปวนมาแบบนี้ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ นะ”
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มเอ่ย “เพราะเจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจ คนกับคนก็คือ ความแตกต่างระหว่างฟ้าดินแห่งหนึ่งกับฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง”
จางซานเฟิงถาม “อาจารย์ หากท่านบอกว่าคนอื่นมีใจเห็นแก่ตัวที่เข้มข้น ข้าคงไม่อาจพูดอะไรได้ แต่หากจะบอกว่าเฉินผิงอันมีใจเห็นแก่ตัวที่เข้มข้น ข้ากลับรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง”
ฮว่อหลงเจินเหรินส่ายหน้า “ไม่ใช่คำกล่าวในเชิงลบอะไร ดังนั้นไม่จำเป็นต้องพูดทวงความเป็นธรรมให้เขา”
จางซานเฟิงพลันหยุดเดิน เอ่ยว่า “อาจารย์ ข้าคงไม่เดินต่อแล้ว ข้าจะอยู่มองดูเฉินผิงอันตรงนี้ ไม่อย่างนั้นข้าไม่วางใจ”
ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับ “ดีมาก”
จางซานเฟิงบ่นว่า “ดีอะไรกัน”
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มพลางเดินหน้าต่อไปเพียงลำพัง เขาจะเดินวนรอบเกาะสักรอบหนึ่งก็แล้วกัน
อีกอย่างเจินเหรินผู้เฒ่าก็สงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่าสุดท้ายแล้วคำตอบที่คนหนุ่มผู้นั้นคิดออกมาได้จะเป็นอะไร
จางซานเฟิงนั่งยองอยู่ที่เดิม แม้ว่าฝนจะไม่ตก แต่ก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงกางร่มออก ทอดสายตามองไปยังเงาร่างที่เล็กเท่าเมล็ดงาซึ่งยืนอยู่ริมน้ำนั้น
ฮว่อหลงเจินเหรินเดินหน้าต่ออีกครั้ง ฝีเท้าที่ก้าวเดินไม่ว่องไวนัก
ทว่าเกาะเป็ดน้ำมีระยะทางแค่สามสิบกว่าลี้ เวลาเพียงไม่นานฮว่อหลงเจินเหริน ก็เดินขยับเข้ามาใกล้เฉินผิงอันอีกครั้ง ทอดสายตามองทัศนียภาพที่ห่างไปไกล พร้อมกับเขา บนเกาะเป็ดน้ำไม่มีฝนตก ทว่าทั่วทุกหนแห่งของเกาะอื่นๆ ในถ้ำสวรรค์วังมังกร ม่านฝนกับม่านราตรีตัดสลับถักทอกัน เม็ดฝนหล่นลงเชื่อมโยงกับทะเลสาบ ยิ่งทำให้การมองเห็นของคนพร่าเลือน
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “เจินเหรินผู้เฒ่า มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เคยเล่าให้ใครฟัง”
ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ย “เจ้าเล่ามาได้เลย พูดออกมาแล้วจะได้สบายใจ”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “ชั่วชีวิตที่ผ่านมานี้ ข้าเองก็ถือว่า เดินทางผ่านสถานที่ต่างๆ มาไม่น้อย แต่ข้ารู้สึกว่าการทดสอบที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ในชีวิต เมื่อลองมองย้อนกลับไป กลับกลายเป็นช่วงระยะทางที่ข้าเดินทางผ่านภูเขาสายน้ำได้อย่างมั่นคงที่สุด ไม่ใช่ตอนอยู่ที่บ้านเกิดแล้วเกือบจะโดนวานรย้ายขุนเขาสังหาร ไม่ใช่เจ้าลัทธิลู่แห่งใต้หล้ามืดสลัวคนนั้น ไม่ใช่ครั้งที่โดนเรือกลืนกระบี่ แทงทะลุหน้าท้อง ยิ่งไม่ใช่แผนการร้ายและการต่อสู้เข่นฆ่ามากมายนับครั้งไม่ถ้วน ระยะทางที่ทำให้จิตใจของข้าระส่ำระส่ายมากที่สุด คนที่อยู่เคียงข้างข้า คือหนึ่งในคนไม่กี่คนที่ข้าเคารพนับถือมากที่สุด เขาชื่อว่าอาเหลียง คือมือกระบี่คนหนึ่ง”
ฮว่อหลงเจินเหรินกล่าวอย่างเฉยเมย “เด็กคนหนึ่งมองฟ้าดินที่ไม่คุ้นเคยอย่างกล้าๆ กลัวๆ จำต้องใช้การคาดเดาในทางที่เลวร้ายที่สุดไปมองคนอื่น ผลกลับกลายเป็นว่าหลังจากจบเรื่องถึงได้ค้นพบว่า จิตใจเช่นนั้นของตนแย่ได้ถึงเพียงนั้น วิชากระบี่ของอาเหลียงยิ่งสูงเท่าไร จิตใจของเขาก็ยิ่งสูงส่ง ยิ่งสามารถรองรับฟ้าดิน ได้มากเท่านั้น ในอนาคตเด็กคนนี้จึงยิ่งรู้สึกผิดหวัง รู้สึกละอายใจ เมื่อเทียบกับอาจารย์ฉีที่เด็กคนนั้นมองเขาเป็นดั่งเทพเจ้ามาตั้งแต่แรกเริ่ม คือสภาพจิตใจสองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ยต่อ “พูดต่อไปเถอะ ข้าผู้เป็นนักพรตฟังไปแล้วเดี๋ยวก็ลืม เจ้าจงฉวยโอกาสที่สายฝนชำระล้างฟ้าดินให้ใสกระจ่างนี้ เคาะจิตถามมโนธรรมในใจตัวเองอย่างผึ่งผาย”
เฉินผิงอันจึงกล่าวต่อว่า “ภายหลังข้าถึงได้รู้ว่า เรื่องวาสนาชีวิตคู่ในโลกมนุษย์ ที่แท้ก็สามารถถูกคนบนยอดเขาชักนำได้ ดังนั้นข้าจึงกลัวอย่างมากว่าแม่นางที่ ตัวเองชอบ แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นตัวนางเองที่ชื่นชอบข้า ข้ากลัวเรื่องนี้มาก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็คลี่ยิ้ม “เพียงแต่ข้าคิดไปคิดมาก็ยังรู้สึกว่านาง ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น เพราะนางคือหนิงเหยา พันปีหมื่นปีก็จะมีหนิงเหยาที่เป็น หนิงเหยาแค่หนึ่งเดียว ดังนั้นจึงไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดคิด ไม่มีทางใช้คำว่าถอยไปพูดหมื่นก้าวอะไรได้”
ฮว่อหลงเจินเหรินหัวเราะ “แล้วยังไงต่อ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้ากลัวมากว่าตัวเองจะกลายเป็นคนที่ตัวเองเกลียดที่สุดในอดีตเหมือนกับเจ้าเด็กขี้มูกยืด ดังนั้นจึงกลัวมาโดยตลอดว่าตัวเองจะกลายเป็นคนบนภูเขา แรกเริ่มที่ได้เห็นมาดของเซียนกระบี่ก็เลื่อมใสอย่างยิ่ง เดินทางไปทั่วสารทิศในใต้หล้า ได้เห็นความทุกข์ยากบนโลกมนุษย์มามากมาย ยิ่งนานวันข้าก็ยิ่งรู้สึกขัดแย้งกับวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ใช้หนึ่งกระบี่ปาดขุนเขาให้ราบ ใช้หนึ่งหมัดต่อยให้นครพังถล่ม แต่ภายหลังตัวข้าเองก็คิดจนกระจ่างแล้วว่าไม่ต้องกลัวเรื่องพวกนี้ หากตบะของข้าเดินขึ้นสู่ยอดบนสุด และการฝึกจิตใจก็ตามไปด้วย ก็สามารถทำให้คนบนภูเขา ที่ทำอะไรยึดเอาแค่ความสะใจของตัวเอง ไม่รู้สึกสะใจแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นข้า ที่สะใจแทน”
ฮว่อหลงเจินเหรินจุ๊ปากพูด “คำกล่าวนี้นับว่า ‘เจินเหรินผู้เฒ่า’ อย่างข้า ผู้เป็นนักพรตเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ชวนให้ขบคิดไม่น้อย ไม่เลวๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “การถามใจครั้งนี้ โชคดีที่ได้เจินเหรินผู้เฒ่าช่วยชี้แนะให้ ข้าถึงจำต้องยอมรับในใจที่เห็นแก่ตัวของตัวเอง ก่อนหน้านี้ ข้ามักจะจงใจคิดถึงเรื่องราวทางโลกให้ซับซ้อน ให้ลึกซึ้ง สำหรับตัวเองแล้ว จิตใต้สำนึกก็ยิ่งรู้สึกว่า การที่จิตบุ๋นแหลกสลาย เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องสืบสาวให้ลึกซึ้ง อันที่จริงนี่เป็น การหลบเลี่ยงอย่างหนึ่ง ก็เหมือนอย่างที่เจินเหรินผู้เฒ่าบอก เป็นการกระทำ ที่เกิดจากใจเห็นแก่ตัว ใจเห็นแก่ตัวเข้มข้นขนาดนี้ ไม่ได้น่ากลัว ความน่ากลัวนั้น อยู่ที่ว่าลงมือทำเรื่องต่างๆ ตามสภาพจิตใจที่เป็นเช่นนี้แล้วยังไม่รู้ตัว พอรู้แล้ว กลับกลายเป็นว่าไม่ต้องกลัวแล้ว เรื่องเรื่องหนึ่ง เมื่อถึงจุดที่ย่ำแย่ที่สุด ต่อจากนี้ ขอแค่ตัวเองยังความกล้ามีจิตใจที่พร้อมจะรับมือ ต่อให้ยากแค่ไหนก็ต้องเปลี่ยน มาเป็นดีได้”
เจินเหรินผู้เฒ่าส่ายหน้า “ยังไม่พอ”
“ข้าจดจำความแค้นได้เป็นอย่างดี คนที่อยากฆ่าแต่ฆ่าไม่ได้ มีอยู่ไม่น้อย แต่กลับทำได้แค่อดทนเอาไว้เท่านั้น แต่ข้าก็ไม่กลัวที่ต้องรอ กลัวก็แต่ว่ารอนานไป แล้วจะ ค้นพบว่าหลักการเหตุผลของตัวเองเปลี่ยนไป ไม่เหลือเหตุผลให้ฆ่าคนอีกแล้ว ดังนั้นข้าจึงหวังมาโดยตลอดว่าก่อนที่หลักการเหตุผลอย่างใหม่จะปรากฏขึ้น ตัวเองจะมีกำลังมากพอให้ฆ่าคน!”
เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ยต่อว่า “อีกอย่าง ข้าคนนี้ขี้ขลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตอนเด็กกลัวผี พอพ่อแม่ตายไป ไม่ใช่ว่าข้าไม่กลัวผีอีกแล้วจริงๆ เพียงแค่เปลี่ยนมาเป็นการหลบเลี่ยงอีกอย่างหนึ่งเท่านั้น หลิวเสี้ยนหยางที่สนิทกับข้าที่สุดรู้ดีว่า ตอนที่ข้าเป็นลูกศิษย์ในเตาเผามังกร เรื่องที่ข้ากลัวมากที่สุดก็คือกลัวว่าตัวเองจะป่วย ในช่วงเวลาที่ข้ายังไม่ได้ฝึกหมัด ยิ่งไม่ได้ฝึกตนนั้น อันที่จริงข้าก็เริ่มพยายามจะไล่จับเบาะแสต่างๆ ของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายคนแล้ว สำหรับการเปลี่ยนแปลงของสี่ฤดูกาลที่ผันผ่าน การผลัดเปลี่ยนของสภาพอากาศ ข้าได้เริ่มทดลองติดต่อกับฟ้าดินและร่างกายมนุษย์ซึ่งเป็นฟ้าดินสองแห่งมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นตอนนั้นหลิวเสี้ยนหยางถึงได้บอกว่าข้ามีชะตารัดทนของสาวใช้ แต่กลับมีความคิดของคุณหนู”
“ไม่ใช่ออกจากบ้านเกิดมาแล้ว ข้าถึงเพิ่งจะเริ่มระมัดระวังตัว เพื่อจะได้พลิกคดีแก้แค้นให้พ่อแม่ ตอนที่ข้ายังเด็กมากๆ ก็เริ่มเสแสร้งเป็นแล้ว ตอนที่อยู่กับพวก เพื่อนบ้านใกล้เคียง ข้าจะต้องวางตัวเป็นเด็กที่รู้ความกตัญญู ทำให้ทุกคนรู้สึกว่า ข้าคือคนที่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีทางสร้างปัญหาใดๆ ให้กับพวกเขา ข้าจะไม่ไปขโมย ไม่ไปแย่งชิง และข้าก็ยิ่งไม่มีทางกลายเป็นตัวปัญหาของผู้คนที่อยู่ใกล้เคียง ตรอกหนีผิง ไม่มีทางเป็นเมล็ดพันธ์แห่งหายนะอย่างที่พวกคนเฒ่าคนแก่พูด เพราะข้ารู้ว่าหากข้าสูญเสียการปกป้องบางอย่างไป ข้าก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ ต่อให้เวลานั้นข้าจะอายุยังน้อย เพิ่งจะรู้ความ แต่ข้าก็เรียนรู้แล้วว่าควรจะประจบเอาใจทุกคนที่อยู่รอบกายอย่างไร ข้ามักจะนั่งเหม่อมองหม้อยา ที่ไม่ต้องต้มยาเป็นประจำ มองนานเข้าก็เข้าใจแล้วว่าข้าจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการควบคุมกำลังไฟ ดังนั้นข้าจึงแอบไปปัดกวาดหิมะที่กองทับถมในตรอก เพราะข้ารู้ว่าหากคำแค่ครั้งสองครั้งย่อมไม่มีคนเห็น
แต่หากทำสิบครั้งหลายสิบครั้ง ก็จะต้องมีคนเห็นเข้าสักครั้ง ข้าจะช่วยผู้เฒ่าตักน้ำ ช่วยคนวัยเดียวกันปีนต้นไม้ไปเก็บว่าว ยามที่มีงานมงคลก็จะไปช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ เวลาที่คนอื่นทำไร่ทำนา ข้าสามารถช่วยได้มากแค่ไหนก็จะทำเท่านั้น ข้าไม่อาจทำให้พวกเขารู้สึกว่าเด็กที่ชื่อเฉินผิงอันของตรอกหนีผิง เป็นคนฉลาด เพราะว่าคิดถึงเรื่องพวกนี้ได้ ถึงได้ทำเรื่องมากมายขนาดนั้น แต่ต้องทำให้พวกเขารู้สึกว่าเด็กคนนั้น น่าจะเป็น ‘คนดี’ จริงๆ ก่อนที่จะไปเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร ข้าทำเรื่องพวกนี้มา โดยตลอดจนกลายเป็นความเคยชิน พอเป็นลูกศิษย์ของที่นั่นแล้วก็ยังคงทำแบบนี้ เป็นเหตุให้มาจนถึงวันนี้ เดินมาถึงเกาะเป็ดน้ำของอุตรกุรุทวีป ข้าถึงได้อดไม่ไหว หวนนึกไปว่า สรุปแล้วเฉินผิงอันเป็นคนอย่างไรกันแน่? เป็นคนดีจริงๆ หรือ? ก่อนหน้านี้ตอนที่ร่วมชมการไต่สวนยามราตรีอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งหนึ่ง ท่านเทพอภิบาลเมืองพูดว่ามีใจทำความดีก็ควรทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อันที่จริงข้ารู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะอยู่มาก งานพิธีกรรมลัทธิพุทธและลัทธิเต๋า ที่จัดขึ้นในทะเลสาบซูเจี่ยน และยังมีพิธีกรรมยันต์ทองของถ้ำสวรรค์วังมังกรที่จัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ หลี่หยวนบอกว่าคนและฟ้าเชื่อมโยง ผีเทพสอดผสาน ข้าได้ยินแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกใจฝ่อเข้าไปใหญ่”
ฮว่อหลงเจินเหรินรับฟังคนหนุ่มผู้นี้พร่ำพูดจนจบอย่างอดทน แล้วจึงถามว่า “เฉินผิงอัน ถ้าอย่างนั้นมีคนและเรื่องราวใดที่เจ้ารู้สึกว่าสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่นอน ยกตัวอย่างเช่นพ่อแม่ของข้าเป็นคนดี ชั่วชีวิตนี้ข้าจะชอบแค่หนิงเหยาคนเดียว ข้าจะต้องไปเที่ยวชมทัศนียภาพขุนเขาสายน้ำ ให้มากกว่าที่อาจารย์ฉีเคยเห็นมา ข้าต้องกลายเป็นมือกระบี่ได้อย่างอาเหลียง! ข้ารู้จักคนดีที่แท้จริงมากมาย ข้าไม่หวังให้การฝึกตนของตัวเองเป็นแค่เรื่องของตัวเอง ข้าหวังว่าวันหน้าเมื่อพบเจอกับเรื่องอยุติธรรมที่กล้าโมโหไม่กล้าพูดทุกเรื่อง ข้าจะสามารถออกหมัดออกกระบี่ได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาด ข้าหวังว่าหลักการเหตุผล ก็คือหลักการเหตุผล
ไม่ใช่ว่าเวลามีประโยชน์ก็เอาออกมาใช้ เวลาไม่มีประโยชน์ก็เก็บไว้บนหิ้ง ผู้อ่อนแอทุกคนบนโลกกล้าโมโหกล้าพูด ผู้แข็งแกร่งก็ยินดีที่จะเคารพพวกเขา”
เฉินผิงอันหยุดไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเนิบช้าว่า “ข้ายังหวังว่าเฉินผิงอันที่เติบโตมาในตรอกหนีผิงทุกคนบนโลกไม่ต้องวางแผนคิดคำนวณมากขนาดนี้ ก็สามารถเป็นคนดี ที่แท้จริงได้”
ฮว่อหลงเจินเหรินถาม “ถ้าอย่างนั้นสุดท้ายนี้ ข้าผู้เป็นนักพรตขอถามเจ้า จิตดั้งเดิมของเจ้าแจ่มกระจ่างแล้วหรือยัง? เฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงเป็นคนอย่างไรกันแน่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีคำตอบ”
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะยังคิดต่อหรือไม่ หากยังต้องคิดแบบนี้ไปตลอด เมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุด?”
ยังคงเป็นคำถามเดิม
วกวนอ้อมค้อม ก็เหมือนที่เจินเหรินผู้เฒ่าเดินวนเกาะเป็ดน้ำมารอบหนึ่ง แล้วย้อนกลับมาที่เดิมอีกครั้ง
แต่อย่าได้ดูแคลนรอบเล็กๆ รอบนี้
ลัทธิเต๋าเลื่อมใสในการย้อนกลับคืนสู่ธรรมชาติความเป็นจริง
แสวงหาในความจริง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เหม่อมองไปยังทิศไกล เงียบงันอยู่นาน ก่อนจะยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่ใช่คำตอบ แต่ก็เป็นคำตอบ
ฮว่อหลงเจินเหรินฟังแล้วก็พยักหน้ารับ ไม่ได้รู้สึกว่าคนหนุ่มผู้นี้แค่ตอบรับตนอย่างขอไปที เฉินผิงอันเป็นคนฉลาดขนาดนี้ คิดจะรังแกคนอื่นก็ง่ายมาก รังแกตัวเองต่างหากถึงจะยาก
ดังนั้นเจินเหรินผู้เฒ่าจึงรู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย ในใจคิดว่าสายตาในการรับ ลูกศิษย์ของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งดีเหมือนตนจริงๆ
ฮว่อหลงเจินเหรินถามว่า “วัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สาม มีความคิดแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีแล้ว”
ฮว่อหลงเจินเหรินถาม “ต้องการให้ข้าผู้อาวุโสช่วยเหลือหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ต้องการ”
ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับ “ได้เลย”
รวดเร็วฉับไวอย่างยิ่ง หลังจากผ่านด่านเคาะใจก่อนหน้านี้ไปแล้ว การถามตอบครั้งนี้จึงไม่มีความอืดอาดชักช้าเลยแม้แต่น้อย
เจินเหรินผู้เฒ่าตบไหล่คนหนุ่ม “ไปเถอะ ไปพูดคุยเรื่องในวันวานกับซานเฟิง เสียหน่อย ข้าผู้เป็นนักพรตจะอยู่ชมทิวทัศน์ที่นี่”
เฉินผิงอันบอกลาจากไป
เจินเหรินผู้เฒ่ายืนอยู่ที่เดิม
ฮว่อหลงเจินเหรินถอนหายใจเบาๆ
นึกถึงคำตอบก่อนหน้านั้นของเฉินผิงอัน
ช่างเป็น ‘ข้าคบค้าสมาคมกับตัวเองมานาน ก็ยังยินดีจะเป็นตัวข้าเอง’ ที่ดีจริงๆ