กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 554.3 เจอคนรู้จักที่จุดลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทร
ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาก็อาจจะสามารถแย่งชิงโชควาสนามากมายมาจากมือของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลได้เหมือนกัน แต่จะกินโชควาสนา กินสมบัติพวกนี้ได้อย่างไร ความสำเร็จในท้ายที่สุดจะเป็นการกินไปได้เจ็ดแปดส่วน หรือกินไปได้เก้าสิบส่วน กุญแจสำคัญนั้นอยู่ที่แปดคำของภูเขาตระกูลเซียนที่บอกว่า ‘การสืบทอดมีระบบระเบียบ วิชาคาถาทอดยาวสืบต่อไป’ ความต่างเล็กๆ น้อยๆ มากมาย เมื่อสะสมนานวันเข้า อาจชักนำให้เกิดความต่างทางด้านขอบเขต โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต่างของประตูมังกรกับโอสถทองก็ยิ่งเป็นความต่างราวฟ้ากับดินสมชื่ออย่างแท้จริง
ตั้งแต่ต้นจนจบ เสิ่นหลินไม่ได้ถามประวัติความเป็นมาของเฉินผิงอันสักคำเดียว แม้แต่การหยั่งเชิงก็ยังไม่มี
เมื่อดื่มชาไปแล้ว เฉินผิงอันก็บอกลากลับไปยังเกาะเป็ดน้ำ
ยังคงเป็นหลี่หยวนที่เดินทางไปส่งด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันมาถึงจวนของเกาะเป็ดน้ำแล้วก็นั่งลงบนเบาะ เริ่มคิดคำนวณวางแผนขั้นตอนการฝึกตนต่อจากนี้
ส่วนหลี่หยวนก็ย้อนกลับทางเดิมไปยังตำหนักวารีหนานซวิน ไปเจอกับเสิ่นหลินที่ยังไม่ได้เก็บอุปกรณ์ชาในศาลาหลังนั้น
อันที่จริงหลี่หยวนไม่ชอบดื่มชา แต่ในเมื่อเสิ่นหลินต้มชาอีกครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ดื่มชาไปอย่างเนิบช้า ถึงอย่างไรก็คงดีกว่าดื่มน้ำเปล่ากระมัง?
การมาเยือนและการจากไปของฮว่อหลงเจินเหรินครั้งนี้ คล้ายจะทำให้อารมณ์ของเสิ่นหลินผ่อนคลายได้มาก
ทั้งสองฝ่ายจึงพูดคุยกันถึงเรื่องบนภูเขาของอุตรกุรุทวีปในช่วงที่ผ่านมา
ยกตัวอย่างเช่นจีเยว่และกู้โย่วที่พินาศวอดวายไปพร้อมกัน หลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยเริ่มปิดด่านแล้ว สตรีเจ้าสำนักชิงเหลียงมีคู่บำเพ็ญเพียรแล้ว
ตอนที่หลี่หยวนพูดถึงเจ้าสำนักเฮ้อท่านนั้น เขาตีอกชกตัว บอกว่าโฉมสะคราญเทพเซียนเช่นนี้ หากชั่วชีวิตไม่ต้องถูกบุรุษสกปรกแตะต้อง คงจะดียิ่งนัก
เสิ่นหลินมองหลี่หยวน สีหน้าของนางเลื่อนลอยเล็กน้อย
นางค่อนข้างรู้สึกอิจฉาสุ่ยเจิ้งท่านนี้ที่ปีๆ หนึ่งไม่ทำอะไร เอาแต่ใช้เรือนกายของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาหยอกล้อเล่นสนุกกับโลกมนุษย์ไปวันๆ
ทางฝั่งของเกาะเป็ดน้ำ
เฉินผิงอันรู้สึกเพียงว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตนจะไม่มีเวลาว่างอีกแม้แต่เค่อเดียวแล้ว
ปณิธานเต๋าที่ซุกซ่อนอยู่ในอิฐเขียวสามสิบหกก้อนนั้น ตอนนี้เขาทำสำเร็จแค่ก้าวแรก พอจะถือว่าเชิญเทพเข้ามาในภูเขา ให้มาลงหลักปักฐานอยู่ในศาลภูเขาได้เท่านั้น การหลอมพวกมันให้กลายเป็นรากภูเขาได้อย่างสัมบูรณ์ต่อจากนี้ต่างหากถึงจะสำคัญในสำคัญอีกที ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นได้แค่ที่รองกระถางดอกไม้เอาไว้ตั้งประดับเท่านั้น ทว่าปณิธานเต๋ากลับหล่อหลอมได้ยาก เมื่อเทียบกับการค่อยๆ สาวดึงโชคชะตาน้ำเป็นกลุ่มๆ เส้นๆ ย้ายเข้าไปในจวนน้ำแล้วยังเสียเวลามากกว่า เรื่องนี้ไม่มีทางลัดให้เดิน ได้แต่อาศัยความพยายามโง่ๆ ดั่งน้ำที่หยดลงหินทุกวัน ค่อยๆ หล่อหลอมไปด้วยความอดทน เฉินผิงอันลองคำนวณดูคร่าวๆ การหลอมอิฐเขียวก้อนแรกให้สำเร็จต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม หนึ่งวันอย่างน้อยต้องใช้เวลาหกชั่วยาม บางทียิ่งเป็นช่วงหลังๆ การหลอมปณิธานเต๋าของอิฐเขียวอีกสามสิบห้าก้อนที่เหลือ ยิ่งนานอาจยิ่งเร็วขึ้น แต่ต่อให้เร็วที่สุดก็น่าจะต้องใช้เวลาถึงสองสามปี
ย้ายอิฐเขียวขึ้นไปบนภูเขา ย้ายโชคชะตาน้ำเข้าจวน ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลายาวนาน
ยังดีที่เฉินผิงอันรู้ว่าการฝึกหมัดของตัวเองในตอนนี้ค่อนข้างมีแนวโน้มไปในทางการฝึกแบบตายตัวแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สามารถสงบจิตใจใช้สถานะของผู้ฝึกลมปราณมาฝึกตนได้
อันที่จริงตนไม่จำเป็นต้องยึดติดจำนวนครั้งของการเดินนิ่งในทุกๆ วัน ขอแค่ปณิธานหมัดทั่วร่างไหลวนไม่หยุดนิ่ง คอขวดจะทะลุแต่ไม่ทะลุเสียที ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ส่วนข้อที่ว่าจะสามารถใช้ขอบเขตหกที่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทองที่แข็งแกร่งที่สุดได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการ เพียงแต่ว่าจะเรียกร้องมากเกินไปไม่ได้ หากมาถึงแล้วก็อยู่ให้สุขสบาย แต่หากไม่มาก็คือไม่มา ไม่จำเป็นต้องเอาแต่ง่วนฝึกวิชาหมัดอย่างเดียวเพียงเพื่อโชคชะตายุทธส่วนหนึ่งที่จะเอามามอบให้เผยเฉียน หากแม้ตัวเองก็ยังเดินทางผิด แล้วจะเป็นอาจารย์ของลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตัวเองได้อย่างไร?
เขาเฉินผิงอันเคยเรียกร้องอยากได้ชะตาบู๊ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือว่าขนาดอาจารย์ยังไม่ต้องการ ลูกศิษย์กลับจะต้องเดินทางลัดบนเส้นทางวรยุทธให้จงได้? ใต้หล้านี้ไม่มีหลักการเหตุผลเช่นนี้ แล้วก็ไม่ใช่เพราะเผยเฉียนคือลูกศิษย์ของเจ้าเฉินผิงอันแล้วก็ควรมีเรื่องดีๆ เช่นนี้
อีกทั้งเฉินผิงอันก็มีลางสังหรณ์ที่พร่าเลือนบางอย่าง หลังจากที่ชะตาบู๊ส่วนของผู้อาวุโสกู้โย่วสลายหายไป ขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดนี้คงยากแล้ว อันที่จริงการมอบให้ของผู้อาวุโสกู้ กับโชคชะตาบู๊ที่เฉินผิงอันแสวงหาและควรได้มาครอบครอง ทั้งสองอย่างนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องที่แน่นอน แต่เรื่องราวทางโลกมหัศจรรย์จนมิอาจบรรยาย แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้ฝึกยุทธเก้าทวีปและเหล่าผู้กล้ามากความสามารถในใต้หล้า ต่างคนต่างก็มีโชควาสนาและประสบการณ์เป็นของตัวเอง เฉินผิงอันหรือจะกล้าพูดว่าตัวเองคือผู้ฝึกยุทธที่บริสุทธิ์เต็มตัวที่สุด?
ทัศนียภาพของด่านสุดท้ายที่ปราณกระบี่สิบแปดหยุดไปเคาะหน้าด่าน เฉินผิงอันไม่ไปมองให้เสียเวลาอีก
การขัดกลึงคมกระบี่ของชูอีสืออู่ สุดท้ายการนำกระบี่บินสองเล่มมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
ต่อจากนี้อยู่ต่อบนเกาะเป็ดน้ำก็ยังคงต้องทำตามคำบอกของเจินเหรินผู้เฒ่า นั่นคือหลอมปราณวิญญาณเปี่ยมล้นที่สะสมอยู่ในช่องโพรงสามแห่งให้ดี
ด้านนอกมีฝนตกอีกครั้งแล้ว
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ลุกขึ้นยืนจากเบาะนั่ง กางร่มเดินออกจากเรือนไป
ภูเขาสายน้ำยังคงเป็นภูเขาสายน้ำ สภาพจิตใจยังคงมีปัญหาต้องให้ไปทบทวนตัวเอง แต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองมีข้อหนึ่งที่ดี ขอแค่ไม่ตกอยู่ในสภาพที่มองไปทางใดก็สับสนเลื่อนลอย เมื่อเขาก้าวเดินก้าวแรกออกไปได้แล้ว ความลำบากแค่ไหนก็ยังพอทนรับได้
เฉินผิงอันเดินอยู่ท่ามกลางม่านฝนช้าๆ
เรื่องเรื่องหนึ่งที่เป็นรากฐาน เมื่อคิดจนเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วก็คือคำว่าเข้าใจหนึ่งวิชา ก็เข้าใจหมื่นวิชา
ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อยแยกตัวออกจากกันย่อมเห็นฟ้าใส เห็นแสงจันทร์
หัวใจมีรูโหว่ขนาดใหญ่ มีตำหนิด่างพร้อยมากมายขนาดนั้น ก็แค่ชดเชยแก้ไขมันซะ
ยกตัวอย่างเช่นมีใจทำความดี แม้ว่าทำความดีไม่ควรหวังสิ่งตอบแทน แต่ไม่ได้สิ่งตอบแทนแล้วจะอย่างไร? เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นกับคนอื่นก็จะไม่ใช่เรื่องดีแล้วหรือ? หากตนมีใจอยากทำความดี หากไม่สามารถแก้ไขความผิดได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่อาจชดใช้ความผิดที่ทำลงไป ไม่อาจช่วยสั่งสมบุญกุศลในชาติหน้าให้กับผีวิญญาณที่ตายไปอย่างอยุติธรรมพวกนั้นได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็หาวิธีแก้ไขความผิดแบบใหม่ ตลอดหลายปีที่ขึ้นเขาลงห้วยมานี้ ต่อให้มีเส้นทางมากน้อยแค่ไหนก็ล้วนเดินผ่านมาหมดแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าเฉินผิงอันเลื่อมใสในคำกล่าวที่ว่าวิญญูชนสร้างบุญคุณโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนมาโดยตลอด หรือว่าแค่เอามาไว้ใช้หลอกตัวเองหลอกคนอื่นเท่านั้น เพื่อให้ยามเกิดเรื่องกับตัวเองแล้วตัวเองจะสบายใจมากขึ้น? จิตเห็นแก่ตัวในส่วนลึกที่หลอกตัวเองเช่นนี้ หากยังปล่อยให้ขยายลุกลามต่อไปจะไม่ไปรังแกคนอื่น ทำลายคนอื่นเข้าจริงๆ หรือ? ถึงเวลานั้นหลักการเหตุผลมากมายที่บรรจุไว้ในตะกร้าไม้ไผ่ที่สะพายไว้ด้านหลัง ยิ่งมากเข้าก็จะยิ่งไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองไม่รู้หลักการเหตุผลพวกนั้นเลย
คลายปมในใจ
สภาพจิตใจผ่อนคลาย บนไหล่หนักอึ้ง
แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไร ไม่สวมรองเท้าสานแล้ว ก็ยังเป็นเฉินผิงอันอยู่ดีไม่ใช่หรือ เรื่องที่คนยากจนทุกคนใต้หล้านี้ไม่จำเป็นต้องเอามาพูดกันมากที่สุด ก็คือการทนรับกับความลำบาก เพราะเมื่อทนรับกับความลำบากได้แล้วก็ย่อมเสวยสุขได้เช่นกัน
เฉินผิงอันเดินวนรอบเกาะเป็ดน้ำที่ขุนเขาสายน้ำอิงแอบกันไปรอบหนึ่ง แล้วก็กลับมาที่ห้องในจวน นั่งลงบนเบาะนั่ง เริ่มเข้าฌานลืมตน ค่อยๆ หล่อหลอมปราณวิญญาณที่พักพิงอยู่ในเรือนไม้
ปราณวิญญาณของฟ้าดินก็คือเงินเทพเซียนที่ใหญ่ที่สุดของผู้ฝึกตน
ก็ถือเสียว่าเปลี่ยนวิธีมาหาเงินก็แล้วกัน
ในช่วงเวลาระหว่างที่รอให้หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียนมาถึงเกาะเป็ดน้ำ เกี่ยวกับข้อที่ว่าจะดึงปราณวิญญาณมาในระดับที่มากที่สุดอย่างไร นอกจากเฉินผิงอันจะหลอมลมปราณวันละหกชั่วยามแบบที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือนแล้ว แน่นอนว่าเขายังไม่ลืมที่จะวาดยันต์ด้วย
แต่เฉินผิงอันก็ไม่ได้ฝึกตนจนถึงขั้นลืมกินลืมนอน การฝึกตนตั้งแต่เช้าจรดค่ำใช้เวลาแค่หกชั่วยามเท่านั้น
วันนี้บนเกาะเป็ดน้ำมีนักพรตวัยกลางคนร่างกายผอมบางคนหนึ่งมาเยือน เขาไม่ได้นั่งโดยสารเรือยันต์ แต่แหวกทะเลเมฆทะยานลมมาโดยตรง
บนใบหน้าของนักพรตประดับรอยยิ้มน้อยๆ มองไปยังเฉินผิงอันที่ออกจากบ้านมาต้อนรับแขก
นักพรตประสานมือคารวะ “หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียน ศิษย์พี่ห้าของจางซานเฟิง คุณชายเฉินสามารถเรียกข้าผู้เป็นนักพรตว่าหยวนจื่อเสวียนได้”
เฉินผิงอันรีบกุมหมัดคารวะกลับคืน แน่นอนว่าไม่มีทางเรียกอีกฝ่ายว่าหยวนจื่อเสวียนจริงๆ แต่เรียกว่าผู้อาวุโสหยวน
แล้วจึงพาเทพเซียนลัทธิเต๋าแห่งยอดเขาจื่อเสวียนที่หน้าตาไม่แก่ อายุแก่ มรรคกถาสูงผู้นี้เข้าไปในจวน
จางซานเฟิงไม่รู้รากฐานที่แท้จริงของสำนักตัวเอง เฉินผิงอันกลับรู้มากกว่า ก่อนจะออกเดินทางมาท่องเที่ยวที่อุตรกุรุทวีป เว่ยป้อก็เล่าเรื่องน่าสนใจมากมายเกี่ยวกับยอดเขาพาตี้ให้เขาฟังคร่าวๆ แล้ว ไม่ถือว่าเป็นเรื่องวงในที่ถูกเก็บเป็นความลับอะไร ขอแค่มีใจก็สามารถรู้ได้ แน่นอนว่าภูเขาลูกเล็กของจวนเซียนทั่วไปย่อมยากที่จะพบเจอข่าวของนักพรตยอดเขาพาตี้จากในรายงานภูเขาสายน้ำ ยอดเขาพาตี้กับพวกนักพรตที่ไปบุกเบิกภูเขาก่อตั้งจวนด้วยตัวเองเหล่านั้น ไม่ใช่พวกผู้ฝึกตนที่ชอบโอ้อวดตัวเองจริงๆ ยอดฝีมือของยอดเขาจื่อเสวียนที่อยู่ข้างกายท่านนี้ อันที่จริงไม่ใช่ลูกศิษย์ที่ขอบเขตสูงที่สุดของฮว่อหลงเจินเหริน แต่อุตรกุรุทวีปกลับให้การยอมรับกันว่าคนผู้นี้ก็คือเทพเซียนลัทธิเต๋าที่สามารถเอาขอบเขตหยกดิบมาใช้เป็นขอบเขตเซียนเหรินได้
หลังจากที่มอบเงินเกล็ดหิมะหกร้อยเหรียญให้กับเฉินผิงอัน และเชื้อเชิญให้เฉินผิงอันไปเป็นแขกที่ยอดเขาพาตี้และยอดเขาจื่อเสวียนแล้ว หยวนหลิงเตี้ยนก็ไม่ได้ชวนคุยอะไรที่เกินความจำเป็นอีก
หาใช่เพราะเทพเซียนของยอดเขาจื่อเสวียนท่านนี้ดูแคลนผู้ฝึกตนขอบเขตสามอย่างเฉินผิงอัน แต่เป็นเพราะทั้งสองฝ่ายไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกัน
ดังนั้นจึงมาอย่างรีบร้อน แล้วก็จากไปอย่างรีบร้อน
เฉินผิงอันจึงพาหยวนหลิงเตี้ยนไปส่งที่ท่าเรือของเกาะ
หยวนหลิงเตี้ยนยิ้มกล่าว “คุณชายเฉิน ข้าผู้เป็นนักพรตยังต้องขอบคุณที่เจ้าช่วยดูแลซานเฟิงไปตลอดการเดินทางครั้งนั้น”
เฉินผิงอันกล่าว “ผู้อาวุโสหยวนพูดหนักเกินไปแล้ว”
“พูดหนักหรือไม่ ข้าผู้เป็นนักพรตไม่สนใจ”
หยวนหลิงเตี้ยนหัวเราะ แล้วจึงหยิบกล่องไม้ท้อขนาดเล็กใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “ด้านในคือกระบี่จำลองเล่มหนึ่งที่ภูเขาชังกระบี่เป็นผู้สร้าง คุณชายเฉินอย่าได้รังเกียจที่ของขวัญเบาเกินไปก็พอ”
เฉินผิงอันรู้สึกตื่นตะลึงเล็กน้อย
เพียงแต่ไม่ถ่วงรั้งการรับของขวัญของเขา
จะให้มีมารยาทอย่างเสแสร้งกับเทพเซียนพวกนี้ไปทำไม โง่หรือไง
หยวนหลิงเตี้ยนจำแลงร่างเป็นรุ้งยาวจากไป
เฉินผิงอันถือกล่องไม้ท้อใบนั้นยืนอยู่ที่เดิม
ในใจคิดว่าหลังจากนี้หากซื้อกระบี่จำลองมาจากภูเขาชังกระบี่ ต่อให้ราคาจะแพงไปสักหน่อย แต่ก็ต้องซื้อมาเพิ่มอีกสองเล่มให้จงได้
ลำพังเพียงแค่เงินสดตอนนี้ เฉินผิงอันก็มีติดตัวถึงหนึ่งร้อยกว่าเหรียญเงินฝนธัญพืชแล้ว เอวเขายืดได้ตรงนักล่ะ
เรื่องติดหนี้ก็ปล่อยให้จูเหลี่ยนปวดหัวไปคนเดียวก่อนเถอะ
เงินฝนธัญพืชที่เหลืออีกห้าร้อยเหรียญ ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่วางใจให้หลี่หยวนนำไปส่งที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่เป็นเพราะไม่อยากจะรบกวนคนเขามากเกินไป จะเรียกใช้คนอื่นก็ควรให้พอเหมาะพอสม
ดังนั้นให้ไปถึงยอดเขาสิงโตก่อนค่อยว่ากัน
ช่วงปลายฤดูหนาว
เฉินผิงอันออกจากเกาะเป็ดน้ำ
เขาเขียนจดหมายฉบับหนึ่งไว้เรียบร้อยนานแล้ว เตรียมจะส่งไปที่ยอดเขาสิงโต เขาวางมันไว้บนโต๊ะหนังสือ ขณะเดียวกันก็ทิ้งป้ายชือหลง ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ ของหลี่หลิ่วทับไว้บนจดหมาย
แรกเริ่มเขาคิดว่าจะให้เสิ่นหลินเหนียงเนียงตำหนักวารีหนานซวินช่วยเป็นผู้ส่งต่อจดหมายและป้ายหยกให้ แต่พอพิจารณาดูแล้วก็คิดว่าควรให้หลี่หยวนช่วยเหลือในครั้งที่สามนี้ดีกว่า
เพราะถึงอย่างไรเรื่องบางอย่างเขาก็เขียนบอกไว้ในจดหมายตามความเป็นจริงและชัดเจนแล้ว
ส่วนแผ่นป้าย ‘จวิ้นชิงอวี่เซียง’ นั้น แน่นอนว่าต้องคืนให้หลี่หยวน
แรกเริ่มให้ตายอย่างไรหลี่หยวนก็ไม่ยอมรับเอาแผ่นหยก ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ นั้นไปดูแล เขาเอ่ยถ้อยคำที่ฟังดูมีเหตุผลมีคุณธรรมอยู่มากมาย
เฉินผิงอันจึงต้องค่อยๆ พูดตะล่อมจนหลี่หยวนยอมตกลง เขารับประกันว่าหากแม่นางหลี่เอาโทษหลี่หยวนจริงๆ เขาเฉินผิงอันจะช่วยอธิบายให้เอง
หลี่หยวนถึงได้พอจะวางใจได้บ้าง
รู้สึกว่าในเมื่อนางยินดีเรียกคนหนุ่มผู้นี้ว่า ‘ท่านเฉิน’ แล้วท่านเฉินผู้นี้ยังยอมรับประกันกับเขาเช่นนี้ ก็คงไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่สักเท่าไรแล้ว
เฉินผิงอันให้หลี่หยวนช่วยบอกลาตำหนักวารีหนานซวินแทนเขา ขนาดปัญหายากข้อใหญ่หลี่หยวนยังแข็งใจยอมรับไว้ได้แล้ว เรื่องเล็กน้อยขี้หมูราขี้หมาแห้งแค่นี้ แน่นอนว่ายิ่งไม่เป็นปัญหา
หลี่หยวนยืนกรานว่าจะต้องไปส่งเฉินผิงอันที่หัวสะพานด้านนอกถ้ำสวรรค์วังมังกรให้จงได้
เฉินผิงอันคืนป้ายไม้ต้นส้มตระกูลเซียนที่สลักสองคำว่า ‘พักผ่อน’ เรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางท่องลำน้ำใหญ่ต่ออีกครั้ง
เพียงแค่สวมชุดสีเขียว สะพายหีบไม้ไผ่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า
เจี้ยนเซียนและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ต่างก็ถูกเก็บไว้ในหีบไม้ไผ่ชั่วคราว
หลี่หยวนยังคงไม่ได้เดินลงมาจากสะพาน เขามองส่งคนหนุ่มที่ออกเดินทางไกลไปทางทิศตะวันตกผู้นั้นอยู่อีกพักใหญ่
หลี่หยวนกลับมาถึงเกาะเป็ดน้ำแล้วก็ยังไม่กล้าแตะต้องแผ่นหยกแผ่นนั้น ทำเพียงแค่ดึงเอาจดหมายออกมาอย่างรวดเร็วและระมัดระวัง แล้วส่งไปที่ยอดเขาสิงโตอย่างว่องไว
สิบวันผ่านไป
หลี่หลิ่วหวนกลับมาที่ถ้ำสวรรค์วังมังกรอีกครั้ง พบกับหลี่หยวนสุ่ยเจิ้งที่มีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ครั้งนี้ นางยอมมองเขาตรงๆ และคลี่ยิ้มส่งให้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ยังกล่าวอีกว่าในที่สุดเขาก็พอจะสร้างคุณความชอบได้บ้างแล้ว
ได้ยินประโยคนี้ หลี่หยวนเกือบจะเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งคุกเข่า นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกว่ามีน้ำตาร้อนๆ มาเอ่อคลอที่ดวงตา
หลี่หลิ่วเก็บแผ่นหยกชือหลงแผ่นนั้นมา แล้วโยนให้หลี่หยวนง่ายๆ บอกให้สุ่ยเจิ้งลำน้ำจี้ตู๋ท่านนี้เอาไปตั้งบูชาไว้ในศาล เป็นการช่วยรวบรวมแก่นควันธูปมาให้
หลี่หยวนทรุดตัวนอนหมอบอยู่กับพื้น เอ่ยขอบคุณเสียงสั่น
เพียงแต่ว่าหลี่หลิ่วได้ไปเยือนตำหนักวารีหนานซวินแล้ว