กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 554.4 เจอคนรู้จักที่จุดลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทร
เสิ่นหลินได้พบเจอหลี่หลิ่วก็หมอบกราบไม่ยอมลุกขึ้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่เป็นคำ
หลี่หลิ่วยื่นมือออกไป ดึงร่างทองของเหนียงเนียงตำหนักวารีผู้นี้ออกมา จากนั้นก็ยื่นมือกดลงไปบนศีรษะของร่างทอง พริบตาเดียวรอยปริแตกเล็กละเอียดนับพันนับหมื่นเส้นบนร่างทองก็ค่อยๆ ประสานเข้าหากัน
หลี่หลิ่วลดข้อมือลงเล็กน้อย ร่างทองก็กระแทกกลับใส่เนื้อหนังมังสาของเสิ่นหลินที่หมอบอยู่บนพื้น
หลี่หลิ่วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวในศาลา
เสิ่นหลินหมอบกราบอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
หลี่หลิ่วเอ่ย “ลำบากเจ้าแล้ว หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันใหญ่ๆ เกิดขึ้น วันหน้าเจ้าก็จะได้เป็นหลิงหยวนกงของลำน้ำจี้ตู๋”
เสิ่นหลินพูดเสียงสั่น “บ่าวไม่กล้าเพ้อฝันแบบนั้นอย่างแน่นอน! สามารถเฝ้าพิทักษ์ตำหนักวารีหนานซวินนานเป็นพันปี บ่าวก็พอใจมากแล้ว”
หลี่หลิ่วขมวดคิ้ว “หืม?”
เสิ่นหลินไม่กล้าขัดความประสงค์ของนางอีก รีบโขกหัวแรงๆ ตอบรับทันที “รับคำบัญชา!”
หลี่หลิ่วลุกขึ้นยืน เพียงชั่วพริบตาร่างก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เสิ่นหลินหมอบกราบตามมารยาทพิธีใหญ่อยู่อย่างนั้น เป็นนานก็ยังไม่กล้าขยับเขยื้อน
จนกระทั่งหลี่หยวนเดินอาดๆ เข้ามาในตำหนักหลบร้อน มาที่ศาลาลมเย็นแห่งนี้ เสิ่นหลินถึงได้ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน รู้สึกราวกับว่าอยู่คนละโลก
ตรงเอวของหลี่หยวนห้อยป้ายหยก ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ เอาไว้ เขายืดอกตั้ง เวลาเดินตัวรู้สึกตัวลอยๆ ราวกับมีลมรองรับอยู่ใต้ฝ่าเท้า พอเข้ามาในศาลาก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้กับเหนียงเนียงเทพวารีที่เหมือนจิตหลุดออกจากร่าง ใช้นิ้วชี้ไปยังแผ่นป้ายตรงเอวตัวเอง
ดูสินี่อะไร?
เสิ่นหลินแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางของหลี่หยวน นางลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงบนม้านั่งตัวยาว สีหน้ายังคงล่องลอย พูดพึมพำว่า “หลี่หยวน ข้าจะได้เป็นหลิงหยวนกงของลำน้ำจี้ตู๋แล้ว เจ้าเชื่อหรือไม่?”
หลี่หยวนเหมือนถูกวิชาห้าอสนีของฮว่อหลงเจินเหรินผ่ากลางหัว อึ้งงันเป็นไก่ไม้อยู่นาน จากนั้นก็กุมหัวร้องคร่ำครวญ ทิ้งตัวหงายผลึ่งลงนอนกับพื้น ปัดป่ายมือเท้าสะเปะสะปะ “ทำไมถึงไม่เป็นข้าล่ะ หลิงหยวนกงที่ไม่มีมาหลายพันปีแล้ว เหตุใดกงโหวของลำน้ำใหญ่ถึงไม่ใช่ข้าหลี่หยวนที่ทนทำงานเหนื่อยยากโดยไม่ปริปากบ่นบ้างนะ”
แม้ว่าจิตใจของเสิ่นหลินจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อตัวถึงได้หลุดพูดเรื่องนี้ออกมา แต่นางก็ไม่รู้สึกเสียใจที่เปิดเผยความลับสวรรค์นี้ เพราะไม่ช้าก็เร็วสุ่ยเจิ้งอย่างหลี่หยวนก็ต้องรู้เรื่อง แทนที่จะเก็บไว้เป็นความลับ ถึงเวลานั้นจะยิ่งทำให้หลี่หยวนรู้สึกแย่มากกว่าเดิม ก็ไม่สู้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเสียแต่เนิ่นๆ ซะยังดีกว่า
ไม่อย่างนั้นปมในใจของทั้งสองฝ่ายจะยิ่งขยายใหญ่
หลี่หยวนนอนนิ่งไม่ขยับราวกับเป็นซากศพ
เสิ่นหลินรู้สึกระอาใจเล็กน้อย
หลี่หยวนสูดน้ำมูก ในที่สุดบนใบหน้าก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวา เขาพูดอย่างอัดอั้น “ยินดีกับเสิ่นฮูหยินด้วยที่ได้ครองตำแหน่งหลิงหยวนกง”
เสิ่นหลินยิ้มกล่าว “วันหน้าหากมาเที่ยวที่ตำหนักวารีหนานซวินอีกก็หยอกล้อขุนนางหญิงผู้ติดตามของที่นี่ให้น้อยๆ หน่อย”
หลี่หยวนเริ่มปัดป่ายมือเท้าอีกครั้ง พูดเสียงดังว่า “ข้าไม่ทำ ไม่ทำซะอย่าง!”
แล้วหลี่หยวนก็หยุดนิ่ง พูดอย่างน่าสงสารว่า “ข้าจะไปขอร้องเจินเหรินผู้เฒ่าให้เขาขายยาแก้เสียใจภายหลังให้ข้าโถใหญ่ ข้าจะได้กินให้ท้องแตกตายมันไปเลย”
เสิ่นหลินพูดกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องการแต่งตั้งของลำน้ำจี้ตู๋ก็ยังไม่แน่เหมือนกันนะ”
หลี่หยวนหันหน้ามา เอาหน้าถูกับพื้นอย่างแรง สีหน้าเลื่อนลอย พูดอย่างน้อยใจว่า “เชิญเจ้าสาดเกลือลงบนบาดแผลของข้าได้ตามสบายเลย”
เสิ่นหลินเหม่อลอย รู้สึกซาบซึ้งใจในตัวของฮว่อหลงเจินเหริน แล้วก็ซาบซึ้งในบุญคุณของคนหนุ่มที่วางตัวมีมารยาท ปฏิบัติตามหลักพิธีการทุกเรื่องคนนั้น
หลี่หยวนพลันกระโดดผลุงลุกขึ้นยืน แล้วก็แหวกม่านฟ้าของถ้ำสวรรค์วังมังกรออกโดยตรง พุ่งเข้าไปในลำน้ำใหญ่ ไล่ตามไปหาท่านเฉินที่ใจร้ายใจดำผู้นั้น
ริมตลิ่งของลำน้ำใหญ่
เฉินผิงอันกำลังวักน้ำล้างหน้า
จู่ๆ ก็มีศีรษะหนึ่งโผล่พรวดออกมา เพราะมาอย่างเงียบเชียบเกินไป เฉินผิงอันจึงเกือบจะปล่อยหมัดซัดเข้าให้
แต่พอเห็นว่าเป็นหลี่หยวน เขาถึงได้เก็บปณิธานหมัดที่ท่วมท้นไปทั่วร่างเหมือนน้ำทะลักเขื่อนในชั่วพริบตานั้นมา ยิ้มถามว่า “มาได้อย่างไร?”
หลี่หยวนขึ้นมาบนฝั่ง ยิ้มถาม “ท่านเฉินเหนื่อยหรือไม่ ให้ข้าช่วยแบกหีบไม้ไผ่ให้ไหม? หรือจะให้บีบไหล่ ทุบหลังให้ดี?”
เฉินผิงอันรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ ยิ้มจืดเอ่ยว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
หลี่หยวนทรุดตัวลงนั่ง กอดขาของเฉินผิงอันเอาไว้แล้วเริ่มคร่ำครวญ “ท่านเฉินต้องการโอสถวารีหรือไม่? หากต้องการ ที่ข้ามีอยู่สองขวด เอาไว้ที่ข้าก็มีแต่จะเป็นภาระ…”
มารดามันเถอะ นายท่านใหญ่หลี่จะยังต้องการหน้าตาไปอีกทำไม? วันนี้เขาจะทำตัวหน้าไม่อายดูสักครั้ง!
ปล่อยให้เสิ่นหลินเป็นหลิงหยวนกงของนางไป ตามกฎแล้วลำน้ำใหญ่จี้ตู๋ยังสามารถมีหลงถิงโหวได้อีกหนึ่งคน แม้จะบอกว่าระดับขั้นแย่กว่ากันเล็กน้อย แต่อันที่จริงหลงถิงโหวไม่ได้อยู่ในการดูแลของหลิงหยวนกงที่เป็นองค์เทพหลักผู้นำของลำน้ำจี้ตู๋ เพียงแต่ว่าอาณาเขตน่านน้ำที่หลงถิงโหวให้การดูแลจะด้อยกว่าหลิงหยวนกงเล็กน้อย เป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง หนึ่งตะวันออกหนึ่งตะวันตก ร่วมกันดูแลลำน้ำจี้ตู๋
เฉินผิงอันจึงได้แต่ย่อตัวลง กล่าวอย่างจนใจว่า “หากยังทำอย่างนี้อยู่อีก ข้าจะไปแล้วนะ”
หลี่หยวนปล่อยมือ นั่งอยู่บนพื้น พูดเสียงเบาว่า “ท่านเฉิน สรุปว่าท่านรู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องที่เจ้ารู้ ข้าย่อมไม่รู้แน่นอน ข้ารู้แค่ว่าแม่นางหลี่เป็นคนบ้านเดียวกับข้า เป็นพี่สาวของเจ้าเด็กป่วนคนหนึ่ง”
ในความเป็นจริงแล้วจนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังเดาตัวตนของหลี่หลิ่วไม่ออก
ส่วนตำแหน่งสูงต่ำของตำหนักวารีหนานซวินที่อยู่ในถ้ำสวรรค์วังมังกร เฉินผิงอันก็ไม่ยินดีไปสืบเสาะให้ลึกซึ้ง เพียงแค่พอจะเดาออกว่าเสิ่นฮูหยินผู้นั้นน่าจะมีสถานะที่พิเศษท่ามกลางบรรดาเทพวารีมากมายในถ้ำสวรรค์วังมังกร เพราะถึงอย่างไรนางก็ดูแล ‘ตำหนักน้ำ’ แห่งหนึ่ง
หลี่หยวนเองก็ไม่กล้าพูดมาก
หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังต้องเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ แม้แต่แผ่นหยกชือหลงที่ถูกนำไปตั้งบูชาไว้ในศาลแล้วก็อาจยังต้องหายไปเพราะฝีมือตนด้วย
หลี่หยวนเงียบงัน สีหน้าหม่นหมอง
เฉินผิงอันจึงได้แต่นั่งลงบนพื้นเป็นเพื่อนเขา เอนหลังพิงหีบไม้ไผ่ พูดเสียงเบาว่า “ข้าสามารถช่วยอะไรได้ไหม? ไหนลองบอกมาสิ? ขอแค่เป็นเรื่องที่ช่วยได้ ข้าจะไม่ลังเลแม้แต่น้อย”
คราวนี้เป็นตาของหลี่หยวนบ้างที่เปิดปากพูดไม่ได้
อันที่จริงการที่เขาแหกกฎออกมาจากอาณาเขตของสำนักมังกรน้ำในครั้งนี้ ก็แค่เพราะรู้สึกอึดอัดใจเท่านั้น
ไม่ได้ต้องการจะช่วงชิงตำแหน่งหลงถิงโหวของลำน้ำจี้ตู๋มาจริงๆ เพราะหลี่หยวนรู้ดีอยู่แก่ใจว่า บนเส้นทางชีวิตคน คนที่เดินสวนไหล่ผ่านกันไปสามารถไล่ตามได้ทัน แต่เรื่องที่พลาดไปแล้วไม่อาจไล่ตามไปไขว่คว้ามาได้
แต่หลี่หยวนก็ยังไม่ถอดใจ เขารู้สึกว่าตัวเองยังพอจะลองดิ้นรนดูได้ จึงกะพริบตาปริบๆ พยายามจะทำให้รอยยิ้มของตนยิ่งดูจริงใจ แล้วถามว่า “ท่านเฉิน ข้าจะมอบโอสถวารีให้ท่านสองขวด ท่านจะรับไว้หรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มส่ายหน้า
หลี่หยวนหน้ามุ่ย พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ว่าแล้วเชียว”
เฉินผิงอันหยิบเหล้าออกมาสองกา กาหนึ่งคือเหล้าซานเกิงที่ซื้อมาจากบนสะพาน อีกกาหนึ่งคือเหล้าหมักข้าวเหนียว
ซื้อเหล้าตระกูลเซียนของทุกที่ที่ไปเยือน เป็นความเคยชินของเฉินผิงอันมานานแล้ว
หลี่หยวนรับเหล้าซานเกิงกานั้นมาแล้วกระดกดื่มเสียงดังอึกๆๆ รวดเดียว
เฉินผิงอันที่ตลอดทางมานี้ไม่ได้ดื่มเหล้าเพียงแค่จิบเหล้าข้าวของบ้านเกิดอึกเล็กๆ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
หลี่หยวนนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาทำมาตั้งนานแล้ว แต่ว่าทำได้แค่ครึ่งเดียว เพราะก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเสแสร้งเกินไป จึงไม่ได้ทำอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ
นั่นคือแผ่นไม้ ‘พักผ่อน’ แผ่นนั้น เขาไปขอมาจากสำนักมังกรน้ำแล้ว เพียงแต่ไม่กล้ามอบให้เฉินผิงอัน ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าตนมีเจตนาไม่ดี
เวลานี้ดื่มเหล้าซานเกิงของคนเขาไปแล้ว จึงโยนมันไปให้กับเฉินผิงอัน ยิ้มกล่าวว่า “ถือเสียว่าเป็นเงินค่าเหล้าแล้วกัน”
เฉินผิงอันรับแผ่นไม้มา ยิ้มเอ่ย “ขอบใจ”
หลี่หยวนคล้ายจะตัดใจได้แล้ว แล้วก็คิดจนเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว จึงลุกขึ้นยืน “ไปแล้วๆ กลับไปร้องไห้ที่บ้านตัวเองดีกว่า”
เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นตาม กุมหมัดเอ่ยว่า “ภูเขาสูงสายน้ำไหลยาว ไว้เจอกันใหม่วันหน้า”
หลี่หยวนอึ้งตะลึง ก่อนจะพยักหน้ารับ เขาสูดจมูก พูดอย่างท้อแท้หมดกำลังใจว่า “หวนคืนบ้านเกิดครานี้จิตใจเลื่อนลอย ขุนเขาเขียวน้ำใสนับไม่ถ้วนช่างยาวไกล”
เฉินผิงอันเองก็อึ้งตะลึงไปเหมือนกัน หรือว่าจะประชันบทกวี? ข้าเฉินผิงอันแต่งกลอนไม่เป็น ทว่าหากให้ยกจากตำรามาก็สามารถประชันกับเจ้าหลี่หยวนหนึ่งวันหนึ่งคืนได้ไม่มีปัญหา
หลี่หยวนกล่าวอย่างน้อยใจ “มองอะไรน่ะ”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก น่าจะเป็นตนที่คิดมากไปเอง
หลี่หยวนกระโดดทะยานตัวไปทางลำน้ำใหญ่ แต่กลับไม่ได้จมดิ่งสู่เบื้องล่างแล้วแหวกน้ำออกไป แต่เดินวนไปวนมาอยู่บนผิวน้ำ บางครั้งก็มีปลาใหญ่ตัวสองตัวที่พอหลี่หยวนกระทืบเท้าเบาๆ ก็กระเด้งออกมาจากลำน้ำใหญ่สูงหลายจั้ง จากนั้นก็กระแทกกลับลงน้ำไปอย่างมึนงง
เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา รู้สึกว่าน่าสนใจ จึงเริ่มคาดหวังว่าในอนาคตยามที่เฉินหลิงจวินเดินลงลำน้ำใหญ่ เขาก็น่าจะถูกชะตากับหลี่หยวนผู้นี้อยู่มาก
การเดินเลียบล้ำน้ำของเฉินผิงอันต่อจากนั้นไร้คลื่นลมมรสุมไปตลอดทาง ระหว่างทางที่หยุดพักก็ได้มีประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ มาเพิ่ม
มีเรือลำใหญ่ข้ามลำน้ำตอนกลางคืนมาจอดเทียบท่าที่ท่าเรือ บนชั้นสองของเรือหอเรือนมีห้องคนจุดตะเกียงเอาไว้ เฉินผิงอันจึงเห็นว่ามีสตรีของครอบครัวขุนนางคนหนึ่งถอดศีรษะของตัวเองมาวางไว้บนโต๊ะ ในมือถือหวีงาช้างสางผมเบาๆ
คล้ายสัมผัสได้ถึงสายตาของเฉินผิงอัน นางจึงโน้มตัวจับให้หัวนั้นหันมามองนอกหน้าต่าง พอเห็นบุรุษชุดเขียวผู้นั้นแล้วก็เหมือนนางจะเขินอายเล็กน้อย จึงวางหวีในมือลง วางหัวกลับไปที่ลำคอ นางไม่กล้ามองสบตาบุรุษชุดเขียวที่อยู่บนฝั่ง เพียงแค่ยอบตัวคารวะด้วยท่วงท่าแช่มช้อย
เฉินผิงอันหัวเราะ
สตรีแต่งงานแล้วได้ยินเสียงทารกร้องไห้จึงเดินเร็วๆ ไปยังห้องที่อยู่ติดกัน
เฉินผิงอันจึงออกเดินทางต่ออีกครั้ง
บนเรือตระกูลขุนนางลำนั้น ไม่เพียงแต่ไม่มีกลิ่นอายชั่วร้ายที่ภูตผีออกอาละวาด กลับกันยังมีภาพบรรยากาศของชะตาบุ๋นกลุ่มหนึ่งล้อมวน
เดินทางผ่านหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ติดริมน้ำแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันเจอกับเด็กทึ่มทื่อคนหนึ่งในหมู่บ้าน จึงตบหลังของเขาเบาๆ ในชนบทของโลกมนุษย์ ดูเหมือนว่าจะมีคนที่น่าสงสารแบบนี้อยู่เสมอ
จากนั้นพอถึงยามดึก เฉินผิงอันก็แอบไปจุดธูปที่ศาลของหมู่บ้าน จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างช่องเพดานสี่เหลี่ยมที่เปิดโล่ง รับฟัง ‘เรื่องจิปาถะในชีวิตประจำวัน’ ของใครบางคน แล้วก็ทำเรื่องเล็กๆ บางอย่าง พอฟ้าสางจึงจากไป
ฤดูหนาวผ่านพ้น ฤดูใบไม้ผลิของปีมาถึงอีกครั้ง
โดยไม่ทันรู้ตัว เฉินผิงอันก็เดินมาจนสุดปลายทางที่ลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทรแล้ว
เมื่อคืนวันที่สามสิบก่อนวันสิ้นปี เขายังคงนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่เหมือนเดิม
ตรงทางเชื่อมต่อที่ลำน้ำไหลลงมหาสมุทรมีนครใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง เฉินผิงอันมายืนอยู่หน้าร้านหนึ่งในนคร มีลูกค้าถามเถ้าแก่ว่าส้มนั้นหวานหรือไม่ เถ้าแก่หัวเราะร่าตอบด้วยประโยคหนึ่ง หากข้าบอกว่าไม่หวานแล้วเจ้าถึงจะซื้อ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่หวาน
เฉินผิงอันรู้สึกว่าเป็นร้านผ้าห่อบุญได้แข็งกระด้างเช่นนี้ จึงจะเรียกว่ามีฝีมือเข้าขั้นอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงซื้อส้มเพิ่มอีกหนึ่งจินมาจากเถ้าแก่ เก็บเอาไว้แค่ลูกเดียว ที่เหลือล้วนใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ แล้วจึงไปเดินอยู่ตามตรอกน้อยใหญ่ คิดว่าเมื่อออกจากเมืองไปชมทัศนียภาพของจุดตัดระหว่างลำน้ำกับมหาสมุทรแล้วก็จะไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนของเรือนเทพสายฟ้าภูเขาอิงเอ๋อร์ เพื่อโดยสารเรือไปเยือนยอดเขาสิงโต
ถือส้มไว้ในมือ เดินไปบนถนนอย่างเนิบช้า เฉินผิงอันพลันหยุดเดิน หันหน้ากลับไป มองไปยังตรอกเส้นหนึ่ง
ในตรอกมีนักพรตหญิงคนหนึ่งกับบุรุษหนุ่มคนหนึ่ง
อายุใกล้เคียงกัน แต่สถานะแตกต่าง คนหนึ่งคือเจ้าสำนัก อีกคนหนึ่งคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนัก
เดิมทีบุรุษผู้นั้นยังรู้สึกประหลาดใจว่าเหตุใดเจ้าสำนักถึงต้องเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน มาเยือนนครในโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายบ้านๆ นี้ ในที่สุดตอนนี้ก็ได้รู้คำตอบแล้ว
มารอคน
บัณฑิตตกอับที่ออกทัศนาจรคนหนึ่ง?
เฉินผิงอันไม่ได้หันหลังกลับแล้วออกเดินต่อ แต่เดินตรงไปที่ตรอกเล็กเส้นนั้น
เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เฉินผิงอัน”
เฉินผิงอันหยุดอยู่ตรงทางเข้าตรอกเล็ก ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากไม่ได้เจอกันนานกว่านี้จะดียิ่งกว่า”
บุรุษที่ยืนเยื้องห่างไปด้านหลังเจ้าสำนักของตัวเองหนึ่งก้าวหรี่ตาลง แม้ไม่ได้เปิดปากเอ่ยคำใด แต่ปราณสังหารกลับวูบผ่านไปแวบหนึ่ง
เฉินผิงอันถาม “ตั้งใจมาหาข้าอีกแล้วหรือ?”
สีหน้าของเฮ้อเสี่ยวเหลียงซับซ้อน ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ใช่ตั้งใจ แต่มาเจอโดยบังเอิญ ก็เลยมาพบเจ้าเสียหน่อย”
บุรุษผู้นั้นรู้สึกเพียงว่าฟ้าถล่มดินทลาย ไหนเลยจะยังมีจิตสังหารอะไรอีก จิตแห่งเต๋าของเขาเกือบจะแหลกสลายอยู่รอมร่อแล้ว
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักที่เป็นดั่งเทพเซียนในสายตาของเขาผู้นี้ แม้มองดูเหมือนคนทั้งสองห่างกันแค่ก้าวเดียว แต่แท้จริงแล้วกลับมีปราการใหญ่กั้นขวาง เขาถึงขั้นไม่กล้าเกิดความคิดที่ไม่ซื่อกับนาง อีกทั้งแม้แต่สวีเสวี่ยนเจ้าสำนักยังไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เห็น เคยหรือที่จะแสดงความโปรดปรานต่อบุรุษคนใดในโลกเช่นนี้?
เฮ้อเสี่ยวเหลียงมองคนหนุ่มชุดเขียวที่อยู่ตรงหน้า จิตวิญญาณของนางส่ายไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในความทรงจำของนาง ดูเหมือนว่าเขาควรจะเป็นเด็กหนุ่มตัวดำเกรียมที่สวมรองเท้าสาน แต่กลับมีสายตาเป็นประกายเจิดจ้า อีกทั้งยังบริสุทธิ์จนมองเห็นก้นบึ้งไปตลอดชีวิต
ไม่ควรจะเป็นอย่างคนที่อยู่ตรงหน้านี้