กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 555.2 มาเป็นแขกถึงบ้านกินหมัดหนึ่งมื้อ
หลี่หลิ่วไม่ได้สนใจการแพ้การชนะบนกระดานหมากพวกนี้ ไม่ว่าจะในหรือนอกกระดานหมากล้อมก็ล้วนเป็นเช่นนี้ นั่นก็เพราะผ่านประสบการณ์มามากมายเกินไป แม้แต่ชีวิตนี้ร่างกายนี้ นางก็ยังไม่ค่อยใส่ใจเลยด้วยซ้ำ
มองว่าเป็นการท่องเที่ยวตามภูเขาลำน้ำซ้ำอีกครั้งเสียมากกว่า
ในเมื่อเกิดมาก็เข้าใจหลักการเหตุผล สิ่งที่หลี่หลิ่วรู้ แน่นอนว่าต้องมากยิ่งกว่า ไม่เพียงแค่เรื่องราวทางโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจิตใจคนหลากหลายรูปแบบอีกด้วย
เทวรูปในวัดวาอารามของโลกมนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนมีการชุบทอง หยางเหล่าโถวจึงเรียกร้องให้นักโทษกากเดนที่เหลืออยู่อย่างพวกเขาปฏิบัติในทางตรงกันข้าม ห่อหุ้มจิตใจคนเอาไว้ก่อนชั้นหนึ่ง ต่อให้จะแค่แสร้งทำพอเป็นพิธี ก็ยังต้องออกมาท่องโลกมนุษย์อย่างจริงจังสักครั้ง
แต่ตอนนี้หลี่หลิ่วก็มีเรื่องที่ตัวเองใส่ใจจริงๆ อยู่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นการช่วงชิงบนมหามรรคาที่ต่อสู้กันจนฟ้าคว่ำแผ่นดินพลิกในอดีตคราวนั้นที่เริ่มเปิดฉากขึ้นอีกครั้ง บางครั้งหลี่หลิ่วจึงคิดว่าเพิ่งจะเปิดฉากก็ควรให้ปิดม่านเสียเลย จะได้สอนให้คนผู้นั้นที่อยู่ภพนี้ชาตินี้รู้ว่าการพ่ายแพ้อย่างราบคาบเป็นอย่างไร
คราวนี้ฮว่อหลงเจินเหรินวางหมากลงบนสถานการณ์หมากของสำนักมังกรน้ำ หากไม่พูดถึงเฉินผิงอัน ก็ถือว่าเขาพอจะมีความตั้งใจอยู่บ้าง เสิ่นหลินที่เป็นดั่งน้ำมาคลองสำเร็จ การทำเพื่อซุนเจี๋ยเจ้าสำนักมังกรน้ำ และคำพูดที่เอ่ยกับสุ่ยเจิ้งหลี่หยวน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฮว่อหลงเจินเหรินคล้อยตามชะตาลิขิตช่วยให้ทั้งสามฝ่ายผ่านด่านยากน้อยใหญ่ไปได้ก็จริง แต่เขายิ่งหวังว่าจะอาศัยการกระทำบางอย่างหลังจากที่สติปัญญาเปิดโล่งแล้วของหลี่หยวน ไปถ่ายทอด ‘ถ้อยคำ’ บางอย่างให้กับหลี่หลิ่วที่อยู่ตรงหน้าฟัง
เพราะถึงอย่างไรในเรื่องของการ ‘วางตัวเป็นคน’ นี้ ต่อให้เป็นหลี่หลิ่วที่มีอายุนับพันนับหมื่นปี แท้จริงแล้วก็ยังถือว่าเป็นผู้น้อยคนหนึ่ง
น่าเสียดายที่หลี่หลิ่วฟังไม่เข้าหู ฮว่อหลงเจินเหรินจึงไม่คิดจะมีส่วนเกี่ยวข้องไปมากกว่านี้
หยวนหลิงเตี้ยนรู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย
ตอนที่อาจารย์อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อันที่จริงก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของชะตาบู๊ที่ซากปรักสนามรบโบราณทวีปเกราะทองนั่นแล้ว อันที่จริงสำหรับเฉินผิงอันแล้ว หากได้โชควาสนามาอยู่ในมือ แล้วมองในมุมของชัยชนะบนกระดานหมาก ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันกับสตรีวัยเดียวกันของทวีปแผ่นดินกลางผู้นั้นก็คือสองฝ่ายที่ประชันฝีมือกันอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
เพราะมีเฉาสือเพิ่มเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงยิ่งซับซ้อนมากกว่าเดิม
หากเฉาสือไม่ได้ไปที่ซากปรักสนามรบแห่งนั้น สือไจ้ซีสตรีที่ใช้ขอบเขตห้าที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าเลื่อนสู่ขอบเขตหกบนวิถีวรยุทธก็อาจจะฝ่าทะลุขอบเขตได้อย่างราบรื่นไปนานแล้ว แต่กลับไม่อาจได้รับคำว่าแข็งแกร่งที่สุดมาครอง เพราะเฉินผิงอันที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปมีขอบเขตที่แข็งแกร่งมั่นคงกว่า มีปณิธานหมัดที่หนักกว่า ทว่าพอเฉาสือปรากฎตัว ปณิธานการต่อสู้ของสือไจ้ซีก็เพิ่มทะยาน ด้วยนิสัยที่ชอบเอาชนะเป็นเหตุ นางที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาจึงสามารถยกระดับของขอบเขตวิถีวรยุทธให้สูงขึ้นได้อีกหนึ่งระดับ และยังตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะใช้ขอบเขตหกต่อยเฉาสือที่เป็นขอบเขตเจ็ดหนึ่งหมัด ต่อให้หมัดนั้นจะได้แค่แตะร่างเขาอย่างผิวเผินก็ตาม แต่นางก็ต้องทำให้ได้ก่อนถึงจะยินดีฝ่าทะลุขอบเขต หันกลับมามองเฉินผิงอัน เมื่อเทียบกับสตรีผู้นั้น คอขวดวิถีวรยุทธของเขา แรกเริ่มมีระดับความสูงมากกว่า แน่นอนว่าจะต้องอดทนฝ่าทะลุขอบเขตไปช้าๆ
หนึ่งถ่วงเวลา หนึ่งชะลอให้ล่าช้า
จึงกลายมาเป็นสถานการณ์หมากล้อมที่สองฝ่ายประลองกันอยู่ไกลๆ แต่กลับไม่รู้ตัว
ฮว่อหลงเจินเหรินรู้แค่ว่าสือไจ้ซีอยู่ที่ซากปรักโบราณที่เทวรูปพังภินท์ และได้ยินมาว่าเฉาสือไปที่นั่น
จึงค่อยๆ อนุมานรูปแบบและสถานการณ์บนกระดานหมากล้อมออกมา
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “หากสือไจ้ซีไม่ไปคิดถึงคำว่าแข็งแกร่งที่สุด ก็ถือว่าจะมีภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่ที่ไม่ธรรมดา บางทีหากเกิดกับผู้ฝึกยุทธคนอื่นอาจเป็นเรื่องร้ายที่ทำให้จิตใจห่อเหี่ยว แต่เมื่อเกิดขึ้นกับนาง กลับกลายเป็นการพยายามเอาชีวิตรอดท่ามกลางความตาย ปณิธานหมัดได้รับความอิสระเสรี คิดดูแล้วนี่ต่างหากจึงจะเป็นสิ่งที่เฉาสือต้องการเห็น ดังนั้นถึงได้ไม่ยอมออกมาจากซากปรักแห่งนั้นเสียที เป็นฝ่ายช่วยป้อนหมัดให้กับสือไจ้ซี แม้จะบอกว่าตอนนี้เฉาสือจะเป็นแค่ขอบเขตร่างทอง แต่สำหรับสือไจ้ซีที่มีนิสัยเย่อหยิ่งโอหังแล้ว กลับกลายเป็นหินลับที่ดีที่สุดในโลกพอดี ไม่อย่างนั้นต่อให้เผชิญหน้ากับการทุบตีหล่อหลอมอย่างเต็มกำลังของขอบเขตยอดเขาคนหนึ่งก็ไม่ได้มีทางได้ผลลัพธ์เช่นนี้แน่นอน”
หยวนหลิงเตี้ยนพยักหน้ารับ “คอขวดที่แท้จริงของสือไจ้ซีก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ที่หมัด แต่อยู่ที่ใจ”
จากนั้นหยวนหลิงเตี้ยนก็ยิ้มเอ่ยว่า “อันที่จริงขอแค่เฉินผิงอันโชคดี ถ่วงเวลาต่อไป ไม่ฝ่าทะลุขอบเขตก่อนหน้าสือไจ้ซี เขาก็ยังคงสามารถเป็นขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดใน ‘ช่วงเวลานั้น’ ได้ แล้วก็จะยังได้รับโชคชะตาบู๊มาส่วนหนึ่งอยู่ดี”
“ข้าผู้เป็นนักพรตว่าเป็นไปได้ยาก”
หลังจากฮว่อหลงเจินเหรินให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแล้ว เขาก็หันหน้ามามองลูกศิษย์คนนี้ “อาจารย์ให้เจ้าเอาเงินไปส่งที่เกาะเป็ดน้ำ ก็เพราะหวังว่าเจ้าจะบอกความจริงข้อนี้ให้แก่เฉินผิงอันด้วยตัวเอง ผู้ฝึกยุทธกับผู้ฝึกตน คนกันเองพูดจาเป็นกันเอง เทียบกับบทสนทนาระหว่างเจินเหรินเฒ่าคนหนึ่งกับผู้ฝึกตนขอบเขตสามที่ยกเอาเหตุผลยิ่งใหญ่บนหมัดมาพูดแล้ว กลับมีความหมายมากยิ่งกว่า เดิมทีอาจารย์ยังอยากจะดูว่า เฉินผิงอันจะแอบหวังว่าตัวเองจะโชคดีอยู่เสี้ยวหนึ่ง จึงเผยท่าทีว่าจะชะลอฝีเท้าเดินให้ช้าเพื่อชะตาบู๊ส่วนนั้นหรือไม่ หรือว่าจะ ‘แสวงหาทางรอดในความตาย’ ที่ถึงแม้วิธีจะแตกต่างแต่มหามรรคาก็เชื่อมโยงถึงกันอย่างสือไจ้ซี เฉินผิงอันในตอนนี้ฝึกวิชาหมัดแบบตายตัว หาใช่เพราะความขี้เกียจเป็นตัวชักนำ และช่วงที่ผ่านมานี้ก็ยิ่งไม่มีการเปิดฉากสู้รบเอาเป็นเอาตายกับคนอื่น ทั้งที่สามารถใช้คำว่า ‘มนุษย์มีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง’ มาปลอบใจตัวเองได้แล้ว เขาจะยังคงเดินในตรอกหัวขาดที่ต้องเจอทางตัน หรือจะปล่อยหมัดต่อยกำแพงที่ขวางหน้า เปิดเส้นทางสายใหม่ให้กับจิตใจตัวเอง”
แต่เจินเหรินผู้เฒ่าก็ส่ายหน้า ทำไม่ได้หรอก
เว้นเสียจากว่าเจ้าเด็กนั่นจะคิดจนกระจ่างด้วยตัวเอง อีกทั้งยังผ่านด่านทางใจเล็กๆ ด่านนั้นไปได้ ถึงจะมีโอกาสทำได้สำเร็จ
หยวนหลิงเตี้ยนยิ้มเจื่อน พูดอย่างละอายใจว่า “เป็นศิษย์ที่เข้าใจอาจารย์ผิด จะให้ศิษย์กลับไปที่ถ้ำสวรรค์วังมังกรเลยไหมขอรับ?”
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “ช่างเถอะ ทุกเรื่องราวให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ เจ้าคิดว่าพูดเรื่องนี้แล้วจะต้องเป็นเรื่องดีเสมอไปหรือ? เฉินผิงอันจะสามารถช่วงชิงขอบเขตที่แข็งแกร่งที่สุดมาได้แน่หรือ? เจ้าคิดว่าบนเส้นทางหัวใจ การพยายามเดินไปข้างหน้าในแต่ละครั้งจะไม่มีโรคร้ายทิ้งไว้เบื้องหลังเลยหรือ? คนคนหนึ่ง ไม่ยอมรับชะตากรรมกับเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า คิดว่าหากแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดได้ย่อมดี บนเส้นทางการฝึกตน ทำเช่นนั้นย่อมต้องตาย ช่วงชิงขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุด ได้หกมาแล้วก็ช่วงชิงเจ็ดต่อ พอได้เจ็ดมาแล้ว แปดก็ควรจะเป็นของข้า แปดเป็นของข้าแล้ว ใครที่แย่งชิงกับข้า ควรจะตายหรือไม่? ใช่การช่วงชิงบนมหามรรคาหรือไม่? ตลอดทางที่เดินไป ก็ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้นเคืองเท่านั้น เส้นทางวรยุทธต่ำขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลี่หลิ่วส่ายหน้า “เหตุผลสุดโต่งเกินไปแล้ว”
ฮว่อหลงเจินเหรินก็ส่ายหน้าเช่นเดียวกัน “จะเป็นผู้ฝึกยุทธที่บริสุทธิ์เต็มตัวก็ควรจะรีบกำจัดเหตุผลที่สุดโต่งเสียแต่เนิ่นๆ”
หลักการข้อนี้ หยวนหลิงเตี้ยนไม่มีความกังขาใดๆ
เฉาสือทำได้ดีมาก บนเส้นทางของการฝึกยุทธ ข้าอยู่สูงของข้า แต่กลับไม่ขัดขวางการเดินขึ้นสู่ที่สูงของผู้อื่น หากมีโอกาสก็จะช่วยเหลือคนอื่น ก็เหมือนกับที่ช่วยขัดเกลาขอบเขตให้กับสือไจ้ซี
นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่เฉาสือสามารถ ‘ไร้เทียมทาน’ อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้
ไม่เพียงแต่เกี่ยวกับเรื่องที่อาจารย์ของเขาคือเผยเปยเทพีแห่งการต่อสู้ที่คอยช่วยปกป้องไม่ให้เฉาสือถูกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนสังหารอย่างไม่คาดฝัน เพราะไม่อย่างนั้นการที่ราชวงศ์ใหญ่แห่งนั้นถูกฆ่าล้าง ศัตรูของพวกเขาก็ไม่ได้มีแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตคนสองคนเท่านั้น สังหารเจ้าเผยเปยเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่สังหารเฉาสือลูกศิษย์ที่อยู่ห่างเจ้าไปคนละทวีปกลับไม่ยากสักเท่าไร อย่างน้อยที่สุดก็พอจะมีโอกาส
นอกจากนี้ความคิดและการกระทำของเฉาสือก็คือผู้ปกป้องมรรคาที่ใหญ่ที่สุดของเขา ยกตัวอย่างเช่นครั้งนี้เดินทางไปเที่ยวทวีปเกราะทองกับหลิวโยวโจวผู้เป็นสหาย ท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีปมองชีวิตของเฉาสือสำคัญมากแค่ไหน จะเท่ากับบุตรชายอย่างหลิวโยวโจวหรือไม่ มองดูเหมือนว่าเป็นการเลือกหลังจากผ่านการชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียของท่านเทพแห่งโชคลาภมาแล้ว แต่อันที่จริงสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ยังคงเป็นการตัดสินใจของเฉาสือเอง
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่แท้จริงของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ส่วนใหญ่ยินดีที่จะเป็นฝ่ายมอบความหวังดีให้เฉาสือไม่มากก็น้อย การพูดคุยกันลับหลังก็ยังพูดจาดีๆ ถึงเด็กรุ่นหลังคนนี้อยู่หลายคำ ไม่แน่ว่าอาจจะยังลงมือทำลายริ้วคลื่นอันตรายบางอย่างที่แฝงอยู่ให้เขาด้วยตัวเองด้วยซ้ำ
จะเปลี่ยนเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องดีได้อย่างไร คือความสามารถ ทำเรื่องที่ดีให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร ก็ยิ่งเป็นความสามารถ
สิ่งที่ใช้มองหมื่นสรรพสิ่งบนโลกอย่างแท้จริง ไม่ใช่ดวงตาทั้งคู่ แต่เป็นใจคน
มองเฉาสือ ก็มองแค่คุณสมบัติที่ในอดีตไม่เคยมีใครเหมือนมาก่อนของเขา มองแค่เผยเปยอาจารย์ที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา
นี่ก็คือประโยชน์ของดวงตา ทว่าใจคนอยู่ตรงประตูที่ปิด
หลี่หลิ่วคงจะเคยชินกับการตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับฮว่อหลงเจินเหรินแล้ว ถึงได้ยิ้มเอ่ยว่า “หลักการเหตุผลพวกนี้ คนที่เอามาใช้มีไม่เยอะหรอก”
ฮว่อหลงเจินเหรินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ว่ากันไปตามสถานการณ์ ว่ากันไปตามบุคคล ไม่เอาคนมาทำให้เรื่องทุกอย่างพัง ไม่เอาเรื่องมาทำลายคนคนหนึ่ง ผิดหรือถูกไม่ได้เหลวเป็นแป้งเปียกขนาดนั้น”
หลี่หลิ่วเอ่ย “ยาก”
หยวนหลิงเตี้ยนพยักหน้า “อาจารย์มีเหตุผล”
ไม่ช่วยอาจารย์ หรือจะให้ช่วยคนนอกเล่า?
แล้วนับประสาอะไรกับที่หยวนหลิงเตี้ยนก็รู้สึกว่าอาจารย์มีเหตุผลจริงๆ
ผลกลับกลายเป็นถูกฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามเจ้า เจ้าคิดว่าเฉาสือผู้นี้ และยังมีคนหนุ่มอันดับหนึ่งของอุตรกุรุทวีปของพวกเราในทุกวันนี้ สถานการณ์ถามใจของพวกเขาอยู่ที่ไหนเวลาใด?”
แต่เดิมหยวนหลิงเตี้ยนก็คือผู้ฝึกตนที่เคยชินกับการพูดจาด้วย ‘กำลัง’ ฝึกอบรมบ่มเพาะนิสัยจิตใจมาก็นานหลายปี แต่อันที่จริงกลับยังทำได้ไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบไร้จุดด่างพร้อย นี่จึงเป็นเหตุให้เขาติดค้างอยู่ที่คอขวดขอบเขตหยกดิบมาโดยตลอด ไม่ได้บอกว่าหยวนหลิงเตี้ยนเป็นพวกโอหังจองหอง มรรคกถาและหลักการเหตุผลที่ยอดเขาพาตี้มี หยวนหลิงเตี้ยนก็มีไม่น้อยไปกว่ากัน ในความเป็นจริงแล้วตอนลงเขาไปฝึกประสบการณ์ หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียนกลับเป็นคนที่ถูกพวกคนร่วมสำนักพูดถึงในแง่ดีมากที่สุด เพียงแต่ว่ากลับกลายเป็นคนที่ถูกฮว่อหลงเจินเหรินลงโทษมากที่สุดและหนักที่สุด
หยวนหลิงเตี้ยนครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนยิ้มตอบว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นตอนที่เฉาสือที่ในอดีตไม่มีใครเหมือนได้พบเจอกับคนรุ่นหลังแล้วได้ยืนอยู่ข้างกาย หรือไม่ก็ยืนอยู่ห่างไปข้างหลังไม่ไกลนัก ไม่เพียงเท่านี้ คนที่มาถึงทีหลังยังมีโอกาสจะเดินนำหน้าเฉาสือ เวลานั้นถึงจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้จิตดั้งเดิมของเฉาสือปรากฎ ส่วนหลินซู่ที่ขอแค่เลือกคู่ต่อสู้ได้แล้วก็ต้องชนะอย่างแน่นอนผู้นั้น ยามใดที่เขาพ่ายแพ้อย่างแท้จริง ยามนั้นต่างหากถึงจะได้รับความทุกข์ทรมานอย่างเต็มกลืน”
ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับ คล้ายเห็นด้วยกับคำตอบสองข้อนี้ แล้วก็ถามอีกว่า “แล้วเจ้าล่ะ หลิงเตี้ยน เหตุใดถึงไม่ฝ่าทะลุขอบเขตสักที? ใต้หล้านี้มีผู้ฝึกตนลัทธิเต๋าที่ทั้งๆ ที่มีตบะขอบเขตเซียนเหรินแต่กลับมีขอบเขตแท้จริงแค่หยกดิบอย่างเจ้าด้วยหรือ? อาจารย์เบิกตากว้างมองไปมองมาก็ยังหาไม่เจอ”
หยวนหลิงเตี้ยนเอ่ย “แน่นอนว่าการฝึกตบะเหลือเฟือ แต่ฝึกจิตใจได้ไม่มากพอ”
ฮว่อหลงเจินเหรินหัวเราะ “ก็เพราะว่าช่วงแรกที่เจ้าฝึกตนใช้พละกำลังมากเกินไป ไตร่ตรองเรื่องราวต่างๆ น้อยเกินไป ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเกินไป ดูเหมือนว่าเมื่อเปรียบเทียบกับศิษย์พี่ชายหญิงสายไท่เสีย สายป๋ายอวิ๋นแล้ว ความเข้าใจที่ตัวเจ้าเองมีต่อสัจธรรมในส่วนลึกของมรรคกถาเหมือนจะน้อยที่สุด? หรือว่าเป็นเพราะตอนหลังถูกอาจารย์ลงโทษหนักเกินไป รู้สึกว่าต่อให้ตัวเองไม่ผิด แต่ก็ต้องเป็นเพราะคิดไม่ถึง จึงใคร่ครวญอนุมานซ้ำไปซ้ำมา ปิดประตูย้อนทบทวนตนว่าตัวเองทำผิดที่ตรงไหน? พอคิดเข้าใจแล้วก็คือช่วงเวลาที่จะได้ฝ่าทะลุขอบเขต?”
หยวนหลิงเตี้ยนพยักหน้ายอมรับ “เป็นเช่นนี้จริง”