กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 555.4 มาเป็นแขกถึงบ้านกินหมัดหนึ่งมื้อ
จางซานเฟิงนั่งลงแล้วเริ่มเล่าเรื่องด้านล่างภูเขาต่ออีกครั้ง
ศิษย์หลานน้อยผู้นั้นฟังอย่างตั้งใจ แต่แล้วจู่ๆ ก็พูดบ่นขึ้นมาว่า “อาจารย์อาน้อย ภูตผีสัตว์ประหลาดล่างภูเขาไม่มีดีเลยสักตนหรือ? หากเป็นแบบนี้ เหตุใดบรรพจารย์ปู่ แล้วยังมีพวกอาจารย์อาอาจารย์ลุงทั้งหลายถึงได้ปล่อยให้พวกมันทำเรื่องชั่วร้ายได้ล่ะ?”
จางซานเฟิงหัวเราะ “เรื่องนี้หรือ แน่นอนว่าต้องมีคำอธิบาย รอให้สหายของข้ามาเป็นแขกที่บ้านพวกเราเมื่อไหร่ อาจารย์อาน้อยจะให้เขาเล่าให้พวกเจ้าฟัง เขาน่ะมีเรื่องเล่าภูเขาสายน้ำที่น่าสนใจมากมายนักล่ะ”
นักพรตน้อยคนหนึ่งส่ายหน้าอย่างแรง “ข้ารู้สึกว่าเขาต้องเล่าได้ไม่เก่งเท่าอาจารย์อาน้อยแน่นอน!”
จางซานเฟิงโบกมือ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เชิญพูดเรื่องจริงได้ตามสบาย อีกเดี๋ยวพอหิมะตกแล้วเล่นปาหิมะกัน อาจารย์อาน้อยจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเจ้าเอง”
นักพรตน้อยคนนั้นรีบปฏิเสธทันที “ฝันไปเถอะ!”
ได้ยินพวกศิษย์พี่เล่าว่าทุกครั้งที่เล่นปาหิมะก็มีอาจารย์อาน้อยนี่แหละที่ถูกปาลูกหิมะใส่อย่างน่าอนาถที่สุด เพราะตัวสูงที่สุด วิ่งได้เร็ว ต่อให้ถูกปาโดนก็ไม่โกรธ
จางซานเฟิงขยับคอเสื้อชุดคลุมเต๋าแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “กล้าไม่เคารพอาจารย์อาน้อยหรือ? ไม่กลัวว่าอาจารย์เจ้าจะตีเจ้าจนก้นลายหรืออย่างไร?”
นักพรตน้อยคนนั้นทำหน้ายับยุ่ง พูดเสียงเบาว่า “เมื่อปีก่อนอาจารย์จากไปแล้ว”
จางซานเฟิงอึ้งตะลึง จากนั้นก็ถอนหายใจ ยื่นนิ้วชี้หน้านักพรตน้อย พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “อันที่จริงยังไม่ได้จากไปเสียหน่อย เจ้าเองก็ยังจำอาจารย์ได้ไม่ใช่หรือ?”
นักพรตน้อยก้มหน้า ดวงตาแดงก่ำ เขาอืมรับหนึ่งทีก่อนพูดว่า “ตอนที่อาจารย์จากไปก็พูดแบบนี้เหมือนกัน บอกข้าว่าอย่าร้องไห้ เพราะยามใดที่คิดถึงอาจารย์ ก็เท่ากับอาจารย์ไม่ได้จากไปไหน แล้วก็ไม่ต้องคิดถึงบ่อยๆ แค่คิดถึงบ้างเป็นบางครั้งก็ดีมากแล้ว ยังบอกอีกว่ารอเมื่อไหร่ที่ข้าคิดถึงอาจารย์แล้วไม่ได้เสียใจมากเท่าเดิมอีก ก็แสดงว่าข้าโตแล้ว พอถึงเวลานั้นก็สามารถลงจากภูเขาไปกำจัดปีศาจปราบมารได้แล้ว อาจารย์อาน้อย เหตุใดผ่านไปนานขนาดนี้ ตั้งปีกว่าแล้ว ข้าถึงยังเสียใจมากอยู่เลยล่ะ”
จางซานเฟิงคิดแล้วก็ไม่สามารถเอ่ยคำพูดปลอบใจอะไรออกมาได้
บางทีหากเฉินผิงอันอยู่ที่นี่ เขาอาจทำได้ดีกว่านี้ สำหรับจากลาแต่ละประเภทบนโลกใบนี้ เฉินผิงอันอายุไม่มาก แต่กลับมีประสบการณ์มากกว่า
น่าเสียดายที่เขาไม่อยู่
ตอนเด็กดูเหมือนว่าวันแล้ววันเล่าเพียงนับนิ้วก็ผ่านพ้นไป
แต่พอโตขึ้นมา เดือนแล้วเดือนเล่าก็ผ่านไปแล้วหนึ่งปี
หากกลายมาเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขา พอขอบเขตสูงแล้ว สิบปีร้อยปีก็ดูเหมือนว่าเพียงชั่วพริบตาก็ผ่านพ้น จะจดจำคนข้างกายได้สักกี่คน? แล้วจะมีสักกี่คนที่ถือว่าเป็นคนข้างกายได้?
จางซานเฟิงเคยถามคำถามมากมายกับอาจารย์ ทว่าหลายๆ ครั้งฮว่อหลงเจินเหรินมักจะบอกว่าคำถามนั้นไม่มีคำตอบ เพราะเดิมทีคำถามก็คือคำตอบ หลายครั้งที่มองดูเหมือนว่าจะเป็นคำตอบ ก็คือปัญหาข้อถัดไป
จางซานเฟิงไม่ได้รู้สึกว่าอาจารย์ตอบตนอย่างขอไปที ดังนั้นเขาจึงยิ่งสับสนมากกว่าเดิม
อาจารย์มรรคกถาสูงหรือไม่?
แน่นอนว่าไม่สูง
เพราะมรรคถาของอาจารย์ไม่ได้อยู่บนภูเขา ไม่ได้อยู่บนฟ้า แต่อยู่ในโลกมนุษย์ตีนเขา
นักพรตน้อยคนหนึ่งถามอย่างสงสัย “อาจารย์อาน้อย คิดอะไรอยู่น่ะ?”
จางซานเฟิงกำลังจะตอบ
เจ้าตัวน้อยคนหนึ่งกลับเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ก่อนว่า “ต้องแอบคิดถึงแม่นางหน้าตางดงามล่างภูเขาอยู่แน่นอน”
นักพรตน้อยอีกคนหนึ่งจึงเอ่ยรับว่า “เชิญพูดความจริงได้ตามสบาย”
จางซานเฟิงหัวเราะร่า “เรื่องเล่าภูเขาสายน้ำระหว่างการกำจัดปีศาจปราบมารก่อนหน้านี้ยังไม่ต้องพูดถึงก่อน เอาไว้ค่อยเล่าใหม่คราวหน้า อาจารย์อาน้อยจะเล่าเรื่องสนุกกว่าที่เป็นสมบัติก้นกรุให้พวกเจ้าฟัง”
คิดไม่ถึงว่านักพรตน้อยคนหนึ่งจะรีบพูดกับเหล่าสหายทันทีว่า “ไม่ต้องกลัวนะ อาจารย์อาน้อยต้องคิดจะเอาเรื่องภูตผีมาหลอกให้พวกเรากลัวแน่ๆ”
จางซานเฟิงมองเจ้าพวกตะพาบน้อยที่แต่ละคนฉลาดเฉลียวหัวไวไม่แพ้กัน นักพรตน้อยกลุ่มใหญ่ที่อยู่ข้างกายตอนนี้ เมื่อเทียบกับพวกศิษย์หลานน้อยที่ลงเขาไปก่อนหน้านั้น ดูเหมือนจะปรนนิบัติยากยิ่งกว่าเสียอีก
จางซานเฟิงจึงได้แต่ใช้ท่าไม้ตาย ตะโกนเสียงดังว่า “อาจารย์ เหตุใดหิมะถึงยังไม่ตกสักที”
เจินเหรินผู้เฒ่าที่นั่งงีบหลับอยู่ตรงหน้าผาห่างไปไกลเปิดปากยิ้มกล่าวว่า “จะเข้าห้องส้วมต้องกินข้าวให้อิ่มก่อนไม่ใช่หรือ”
นักพรตน้อยทุกคนมองอาจารย์อาน้อยด้วยสายตาเวทนา ต่างก็รู้สึกว่าดูเหมือนสมองของอาจารย์อาน้อยจะไม่ดีเท่าไร
จางซานเฟิงลุกขึ้นยืน “ช่างเถอะ จะสอนวิชาหมัดให้พวกเจ้าแล้วกัน”
เสียงฟิ้วดังขึ้นรอบด้าน ทุกคนพากันวิ่งหนีหายไปหมด
ไม่มีหิมะตก ไม่มีเรื่องเล่า แล้วหน้าหนาวก็ไม่มีผลป่าบนภูเขาอะไรให้เก็บ อาจารย์ของแต่ละคนก็ไม่ได้ทำให้ก้นของใครลายพร้อย อาจารย์อาน้อยจึงไม่มีประโยชน์อะไรอีก
จางซานเฟิงพลันสังเกตเห็นว่าเจ้าตัวน้อยคนหนึ่งหยุดเดิน ไม่ได้จากไป
จางซานเฟิงพอใจอย่างยิ่ง ยิ้มกวักมือเรียก “ดีๆ อาจารย์อาน้อยจะสอนวิชาหมัดให้เจ้าคนเดียวแล้วกัน”
นักพรตน้อยคนนั้นหัวเราะหึหึ แล้วปล่อยหมัดสะเปะสะปะไปหนึ่งคำรบ ปากก็ร้องฮื่อฮ่าตามหมัดที่ปล่อย จากนั้นก็ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “อาจารย์อาน้อยเรียนเป็นแล้วหรือยัง” แล้วก็วิ่งหายไป
จางซานเฟิงเกาหัว
ศิษย์หลานกลุ่มนี้เจ้าเล่ห์กันจริงๆ อาจารย์อาน้อยควบคุมไม่อยู่เลย
……
ช่วงสนธยา เมืองเล็กในหมู่ชาวบ้านที่ตั้งอยู่ตีนเขาของยอดเขาสิงโต
คนหนุ่มต่างถิ่นที่สวมชุดเขียว สะพาบหีบไม้ไผ่ ถือไม้เท้าเดินป่าคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านขายผ้าที่กิจการไม่เลว
สตรีแต่งงานแล้วที่กำลังรับรองลูกค้าหันหน้ามาเห็นว่ามีลูกค้าเดินเข้ามาในร้านก็ยิ้มทักทาย “โอ้ะ คุณชายน้อยผู้หล่อเหลามาเลือกผ้าแพรต่วนเอาไปตัดชุดสวยๆ ให้ภรรยาของเจ้าหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยด้วยภาษาบ้านเกิด “ท่านอาหลิ่ว ข้าชื่อเฉินผิงอัน อาศัยอยู่ที่ตรอกหนีผิง”
สตรีแต่งงานแล้วอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง “เฉินผิงอันที่ไหวหวาเอ๋อร์ (หวาเอ๋อร์คือคำเรียกแทนบุตรชาย) ของข้าพูดถึงเป็นประจำนั่นน่ะหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ในมือหิ้วของขวัญห่อเล็กห่อใหญ่มาด้วย ล้วนเป็นของที่เขาซื้อมาจากร้านในเมืองเล็ก
สตรีแต่งงานแล้วรีบวางการค้าในมือลง ให้สตรีออกเรือนของเมืองเล็กที่ฐานะทางบ้านดีหลายคนนั้นเลือกเนื้อผ้ากันเอาเอง นางหิ้วม้านั่งตัวยาวมาให้เฉินผิงอัน “นั่ง รีบนั่งเร็วเข้า พ่อของหลี่ไหวขึ้นเขาไปแล้ว จะกลับมาเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ แต่ว่าบนภูเขาไม่มีพวกนังจิ้งจอก อย่างช้าสุดก็ต้องกลับมาก่อนฟ้ามืดแน่นอน แต่ถ้าถามข้านะ หากมีนังจิ้งจอกอยู่จริงก็ไม่มีทางชอบเจ้าตอไม้ทึ่มทื่อนั่นได้หรอก ก็มีแต่ข้านี่แหละที่ปีนั้นถูกน้ำมันหมูบดบังหัวใจ ถึงได้ตาบอดเลือกหลี่เอ้อร์”
สตรีแต่งงานแล้วนั่งลงอีกฝั่งหนึ่งของม้านั่งยาว นางไม่วางตัวห่างเหินกับเฉินผิงอันแม้แต่น้อย “ตรอกหนีผิง ข้ารู้จัก อยู่ใกล้กับบ่อโซ่เหล็กมาก เป็นตรอกเล็กที่คนไม่เยอะ ตรงท้ายตรอกมีหญิงหม้ายยังสาวคนหนึ่ง หน้าตาด้อยกว่าข้าเล็กน้อย แม่เฒ่าหม่าของตรอกซิ่งฮวาที่อยู่ใกล้ๆ กับตรอกหนีผิง เจ้าก็น่าจะรู้จักกระมัง? หญิงแก่ผู้นี้ยิ่งอายุมาก ปากคอก็ยิ่งเราะร้าย จุ๊ๆๆ ข้าว่านะ นางน่ะด่าคนจนคนตายฟื้นมาพูดได้เลย หญิงหม้ายตระกูลกู้ของตรอกหนีผิงยังเอาชนะหญิงแก่ผู้นี้ไม่ได้”
เฉินผิงอันวางของขวัญพวกนั้นไว้บนโต๊ะคิดเงินเบาๆ เรียบร้อยแล้วก็ปลดหีบไม้ไผ่วางไว้ข้างเท้า วางไม้เท้าเดินป่าพิงไว้เอียงๆ นั่งเบี่ยงตัวยิ้มฟังสตรีแต่งงานแล้วผู้นี้พร่ำพูดถึงเรื่องราวในบ้านเกิดเงียบๆ
สตรีแต่งงานแล้วพลันตบเข่าฉาด “หลี่หลิ่วลูกสาวใจจืดใจดำของข้าคนนั้น เจ้าเคยเจอหรือยัง? คงยังไม่เคยเจอกันสินะ เฮ้อ เฉินผิงอัน เจ้าไม่รู้อะไร ลูกสาวคนนี้ของพวกเราก่อกบฏซะแล้ว นางไม่ได้กลับบ้านมานานมากแล้ว แต่ถึงอย่างไรต่อให้ถูกเจ้าพวกคนกะล่อนข้างนอกหลอกไป ข้าก็ไม่สงสาร จะถือซะว่าเลี้ยงลูกสาวคนหนึ่งมาเสียเปล่า สงสารก็แต่หลี่ไหวของข้าที่ไม่มีหวังว่าจะได้พึ่งพาพี่เขยแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มพูดกับสตรีแต่งงานแล้ว “หลี่ไหวต้องเล่าเรียนจนได้ดิบได้ดีแน่นอน ข้ารู้จักหลี่ไหว เรียนหนังสือได้ช้า แต่กลับมีแรงฮึดสู้ ที่สำคัญที่สุดคือเด็กคนนี้จิตใจดีเหมือนกับท่านอาทั้งสอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เล่าเรียนได้จากในตำรา บวกกับที่ทุกวันนี้แม่นางหลี่กลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการอยู่ อีกทั้งยังอยู่ใกล้มาก แค่บนยอดเขาสิงโตนี่เอง ท่านป้าหลิ่ว สำหรับครอบครัวทั้งหลายที่ในบ้านมีลูกสาวได้ขึ้นไปฝึกตนบนภูเขาแล้ว นี่ถือว่าหาได้ยากมากแล้ว เชื่อว่าวันหน้าแม่นางหลี่จะต้องเจอคนดีที่เข้ากันได้ดีอย่างแน่นอน ไม่ใช่ว่าข้าพูดจาเกรงใจไปตามมารยาท แต่เป็นเพราะท่านป้าหลิ่วโชคดีจริงๆ พวกเราที่เป็นชาวบ้านร้านตลาดใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละวัน ถึงอย่างไรก็ต้องมองไปถึงอนาคตยาวๆ ถึงจะสามารถแบ่งแยกสูงต่ำได้ วันนี้เพิ่มขวดเพิ่มโถ พรุ่งนี้สะสมโต๊ะแปดเซียน ค่อยๆ เพิ่มสมบัติให้กับบ้านตัวเองไปทีละชิ้น ชีวิตย่อมต้องมั่นคงได้แน่นอน”
สตรียิ้มหน้าบาน เด็กรุ่นหลังคนนี้ มองแล้วหน้าตาหล่อเหลา ทั้งยังเข้าใจพูด อีกอย่างยังไม่ได้พูดถ้อยคำสวยหรูที่ไม่จริงใจ ขนาดนางก็ยังรู้สึกว่าเป็นความจริงที่มีเหตุผล
อีกอย่างสามารถปกป้องหลี่ไหวด้วยความตั้งใจมาได้ตลอดทางเช่นนั้น จะเป็นคนแย่ได้สักแค่ไหนกันเชียว? แม้จะบอกว่าดูจากชุดที่สวมใส่ เด็กรุ่นหลังคนนี้ไม่เหมือนเป็นคนร่ำรวยอะไร แต่ขอแค่เป็นคนซื่อสัตย์ ขนาดยังไม่ได้เป็นพี่เขยของหลี่ไหวก็ยังดีกับหลี่ไหวขนาดนี้ วันหน้ากลายเป็นพี่เขยของหลี่ไหวแล้วจะไม่ยิ่งควักใจให้เขา ยิ่งช่วยเหลือหลี่ไหวอย่างสุดกำลังความสามารถเลยหรือ?
ไม่สู้จับคู่เฉินผิงอันกับลูกสาวตนดีหรือไม่? พอสตรีแต่งงานแล้วคิดเช่นนี้ก็เริ่มใช้สายตาของแม่ยายมองลูกเขยมามองประเมินคนหนุ่มที่เดินทางมาไกลผู้นี้เสียใหม่ ไม่เลวๆ เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนรอบคอบจิตใจละเอียดอ่อน เป็นคนหนุ่มที่รู้จักดูแลคนอื่น ไม่ใช่ว่านางอยากทำผิดต่อหลินโส่วอีที่อยู่ในสำนักศึกษานั่นจริงๆ แต่เป็นเพราะนางรู้สึกว่าคนทั้งสองอยู่ห่างกันไกลขนาดนี้ เมืองหลวงต้าสุยคือสถานที่ใหญ่โตที่ครึกครื้นถึงเพียงนั้น จะมีสตรีหน้าตางดงามน้อยได้อย่างไร หากวันใดหลินโส่วอีเปลี่ยนใจ หรือจะต้องให้บุตรสาวตนกลายเป็นสาวแก่แล้วก็ยังไม่ได้แต่งงาน? หลี่หลิ่วเด็กคนนี้หน้าตาดีเหมือนแม่อย่างนางก็จริง แต่สตรีกลับรู้ดีว่าสตรีหน้าตางดงามหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย หากไปเจอกับบุรุษเจ้าชู้ ยิ่งหน้าตางดงามเท่าไรก็ยิ่งต้องเจ็บปวดใจมากเท่านั้น แล้วถ้ายิ่งเป็นคนทระนงตนก็ยิ่งจะมีชีวิตยากลำบาก เวลาผ่านไปสักเจ็ดแปดปี คาดว่าคงไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเองแล้ว
นางยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกชอบ ไม่ใช่ว่านางพลิกแพลงเก่งอะไร ต่งสุ่ยจิ่งที่ในอดีตมักจะมาช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านอยู่เสมอผู้นั้น แน่นอนว่าเป็นคนซื่อไว้ใจได้ แต่นางกลับรู้สึกว่าเขาขาดอะไรบางอย่างมาตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนหลินโส่วอี ต่างก็พูดกันว่าเขาคือเมล็ดพันธ์บัณฑิต นางจึงรู้สึกว่าสูงส่งจนเกินจะปีนป่าย แต่นางก็ได้ยินมาว่าปีนั้นบิดาของเด็กคนนี้เคยทำงานอยู่ในที่ว่าการผู้ตรวจการ ตำแหน่งขุนนางยังไม่เล็ก อีกอย่างครอบครัวที่สามารถย้ายไปอยู่เมืองหลวงได้ ธรณีประตูบ้านจะต่ำได้หรือ? หากหลี่หลิ่วแต่งงานไปกับเขาจริงๆ ลูกสาวโง่ที่ไม่เข้าใจเรื่องราวและนิสัยใจคอผู้คนของนางคนนี้จะไม่ถูกโขกสับรังแกแย่หรือ? ในอนาคตหากหลี่ไหวไปเยี่ยมจะไม่ถูกคนเฝ้าประตูใช้สายตาสุนัขมองอย่างดูแคลนด้วยหรือไร?
เฉินผิงอันหรือจะคิดได้ว่าท่านอาหลิ่วกำลังดีดลูกคิดรางแก้วอะไรอยู่ เห็นว่าผู้อาวุโสท่านนี้เพียงยิ้มไม่เอ่ยถ้อยคำ กลัวว่าจะทำให้เสียบรรยากาศ เขาจึงเป็นฝ่ายชวนคุยเรื่องสัพเพเหระเสียเอง
เฉินผิงอันพลันหันหน้าไปมอง แล้วจึงถอนสายตากลับ ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านอาหญิง ท่านอาหลี่กลับมาแล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วยื่นตัวออกไปมองนอกประตู กลับมาแล้วจริงๆ ด้วย จึงยิ้มกล่าวว่า “ถึงเวลากินข้าวพอดี เดี๋ยวอาจะไปทำอาหารของบ้านเกิดมาให้เจ้ากินสักหน่อย”
สตรีลุกขึ้นยืน แล้วตะโกนเสียงดังด้วยความเคยชิน “หลี่เอ้อร์!”
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งวิ่งเหยาะๆ มาหาทันที
สตรีบ่นอย่างไม่พอใจว่า “ไม่เห็นหรือว่าเฉินผิงอันมาที่บ้านพวกเรา? กลับมาบ้านแล้วยังเดินอืดอาดอยู่ได้ ออกจากบ้านไปทีก็ราวกับไปเดินเก็บเงินบนพื้นอย่างไรอย่างนั้น”
หลี่เอ้อร์ยิ้มพลางเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา “มาแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขาเรียกหนึ่งคำว่า “ท่านอาหลี่”
สตรีเห็นว่าหลี่เอ้อร์ทำท่าจะนั่งบนตำแหน่งของตัวเองจึงพูดอย่างเดือดดาลว่า “ไปซื้อเหล้าสิ หรือว่าแอบเก็บซ่อนเงินเอาไว้ซื้อเครื่องประทินโฉมให้พวกนังจิ้งจอกหมดแล้ว?”
หลี่เอ้อร์กล่าวอย่างอัดอั้น “ในกระเป๋าข้าไม่เคยมีเงินเสียหน่อย”
สตรีแต่งงานแล้วตบโต๊ะคิดเงินแรงๆ “มาหยิบเงินไปจากในลิ้นชักเอง แล้วรีบไปซื้อเหล้าดีๆ มาสองกา ข้าจะให้เฉินผิงอันไปพักในห้องที่เตรียมไว้ให้หลี่ไหว ซื้อเหล้ามาแล้วก็คิดดูว่ามีของอะไรที่ขาดไปหรือไม่ ตอนซื้อเหล้าก็ซื้อมาพร้อมกันให้ครบทีเดียว”
ตอนที่หันไปมองเฉินผิงอัน สตรีเปลี่ยนมาเป็นหน้าตายิ้มแย้ม “เฉินผิงอัน มาถึงที่นี่แล้วก็คิดซะว่ามาอยู่บ้านตัวเอง หากเกรงใจกันเกินไป อาจะโกรธนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เกรงใจท่านอาหญิง หน่อไม้ผัดเนื้อต้องห้ามขาด”
สตรีคลี่ยิ้ม “มี ต้องมีแน่นอน”
หลี่เอ้อร์หยิบเงินแล้วก็เดินออกจากร้านมาพร้อมเฉินผิงอัน
ล้วนเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงและคนบ้านเดียวกัน อีกอย่างตอนนี้ก็อยู่ที่ตีนเขาของยอดเขาสิงโต จึงไม่ต้องกังวลว่าไม่มีคนดูร้านแล้วจะเกิดเรื่อง
คนทั้งสองเดินไปบนถนนที่เริ่มเงียบสงัด เฉินผิงอันถามเสียงเบาว่า “ท่านอาหลี่ ท่านรู้หรือไม่ว่าหลี่ซีเซิ่งแห่งตรอกฝูลวี่ หรือก็คือพี่ชายใหญ่ของหลี่เป่าผิง ตอนนี้อยู่ที่ไหนในอุตรกุรุทวีป?”
หลี่เอ้อร์ตอบ “รู้ ก่อนหน้านี้คนผู้นี้พาเด็กรับใช้ที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดคนหนึ่งแวะมาเยี่ยมข้าที่นี่ เดี๋ยวค่อยเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียดอีกที”
เฉินผิงอันถอนหายใจโล่งอก
ไม่อย่างนั้นตนคงหาเขาเจอได้ยากจริงๆ
หลี่เอ้อร์ลังเลอยู่เล็กน้อย กวาดตามองรอบด้าน สุดท้ายมองไปยังมุมหนึ่ง เขาขมวดคิ้ว จากนั้นก็ปล่อยหมัดออกไปหนึ่งหมัด
ตลอดทั้งถนนสายใหญ่ มีเพียงเฉินผิงอันที่พอจะสัมผัสถึงสัญญาณเล็กน้อยนั่นได้อย่างเลือนราง
คาดว่าต่อให้มีคนที่อยู่ใกล้เคียงเบิกตามองมายังหลี่เอ้อร์พอดีก็ไม่มีความสามารถมากพอจะมองเห็นการออกหมัดของเขา
จากนั้นทะเลเมฆที่อยู่ห่างไปไกลอย่างถึงที่สุดก็มีเสียงสายฟ้าระเบิดดังอื้ออึงที่ขนาดเมืองเล็กแห่งนี้ก็ยังได้ยินแว่วมา
หลังจากปล่อยหมัดออกไปแล้ว หลี่เอ้อร์ก็ไม่ได้อธิบายอะไร เพียงเอ่ยว่า “หลี่ซีเซิ่งให้ข้าบอกเจ้าว่า ก่อนจะไปหาเขา จำเป็นต้องบอกเรื่องหนึ่งให้เจ้ารู้ก่อน ปีนั้นที่เขามอบยันต์ไม้ท้อให้เจ้า ไม่ใช่การกระทำง่ายๆ ที่เกิดฉุกคิดขึ้นมาได้กะทันหัน แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วเจ้าไม่ได้รับเอาไว้ จากนั้นเขาก็เลยไปวาดยันต์ไว้บนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว นั่นคือการตัดขาดผลกรรมไม่เล็กที่มีความเกี่ยวพันกับเจ้าอย่างแนบแน่นครั้งหนึ่ง ดังนั้นหลี่ซีเซิ่งจึงไม่ต้องการให้เจ้าซาบซึ้งใจใดๆ หากทำไม่ได้ก็ไม่ต้องไปหาเขา”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”
หลี่เอ้อร์เดินมาถึงร้านเหล้าตรงมุมถนนแห่งหนึ่งก็ควักเงินซื้อเหล้าที่แพงที่สุดสองกามาจากเถ้าแก่ร้าน “ได้พึ่งใบบุญของเจ้า”
ลูกค้าหนุ่มคนหนึ่งยิ้มถาม “หลี่เอ้อร์ หลี่หลิ่วลูกสาวเจ้าไม่ได้ลงจากเขามาหรือ? คงไม่ใช่ว่าแม่นางหลี่ไปอยู่จวนเทพเซียนบนภูเขาจนชินแล้วก็เลยดูแคลนคอกหมาล่างภูเขาหรอกกระมัง?”
หลี่เอ้อร์ไม่ได้สนใจ
ระหว่างที่เดินกลับ หลี่เอ้อร์พยักหน้ายิ้มกล่าว “ขอบเขตหกนี้ของเจ้ามั่นคงดีมาก”
ยามอยู่กับหลี่เอ้อร์ เฉินผิงอันไม่จำเป็นต้องมีข้อห้ามให้กริ่งเกรงมากนัก เขาเอ่ยว่า “ถูกผู้อาวุโสกู้โย่วต่อยสามหมัดชี้แนะให้ตอนอยู่ในพื้นที่ที่ค่อนไปทางตะวันออกของลำน้ำจี้ตู๋”
หลี่เอ้อร์อืมรับหนึ่งที แต่เพียงไม่นานก็เอ่ยว่า “สามหมัดถือว่าน้อยไปหน่อย”
เฉินผิงอันตอบ “ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นผู้อาวุโสกู้ต้องรีบไปตามนัดต่อสู้กับผู้อาวุโสจีเยว่แห่งภูเขาวานรคำราม”
การต่อสู้ครั้งนั้น หลี่เอ้อร์ไม่ได้เข้าร่วมวงชมความครึกครื้นด้วย
เพราะไม่มีความจำเป็น
หลี่เอ้อร์กล่าว “ไม่เป็นไร ที่ข้าไม่ขาดอาหารบนโต๊ะ หมัดก็มีเหมือนกัน”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “กินข้าวให้อิ่มก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
หลี่เอ้อร์เผยสีหน้าจริงจังอย่างที่หาได้ยาก เขาหันหน้ามาถามว่า “ข้าต้องรู้เรื่องเรื่องหนึ่งก่อน ต้องการอะไร? คำว่าแข็งแกร่งที่สุด?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มตอบ “นับตั้งแต่วันแรกที่ฝึกหมัด ก็ไม่เคยต้องการสิ่งนี้ ระหว่างนี้เพราะมีสาเหตุมาจากคนอื่น จึงเคยคิดต้องการคำว่าแข็งแกร่งที่สุดและโชคชะตาบู๊ เพียงแต่สุดท้ายค้นพบว่าอันที่จริงทั้งสองอย่างไม่ถือว่าขัดแย้งกันเอง”
หลี่เอ้อร์ยังมองเฉินผิงอันไม่เลิก
เฉินผิงอันจึงพูดต่อว่า “หากอาศัยแค่การฝึกหมัดของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแรงกายหรือแรงใจ ปณิธานหมัดของทั้งร่างล้วนพุ่งสู่จุดสูงสุดแล้ว ถ้าอย่างนั้นในเรื่องนี้ ในเมื่อรู้จักกับท่านอาหลี่แล้ว แน่นอนว่าต้องลองเรียกร้องเพิ่มเติมดูสักครั้ง ข้าไม่สนใจชะตาบู๊ แต่ข้าจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการฝ่าทะลุของปณิธานหมัดมากกว่า พูดง่ายๆ ก็คือ ขอบเขตร่างทองนี้ จำเป็นต้องเป็นขอบเขตร่างทองที่เรือนกายของข้าเฉินผิงอันผ่านการหล่อหลอมถึงขีดสุดแล้ว ข้าต้องการแค่สิ่งนี้”
หลี่เอ้อร์ไม่ได้พูดเรื่องการฝึกหมัดอะไร แต่ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “แขกอย่างเจ้าไม่กินข้าว ท่านอาหลิ่วของเจ้าก็คงไม่ยอมเป็นแน่ นางไม่ยอม ข้าก็ไม่กล้าเก็บกวาดจานชาม”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดีจริง”
หลี่เอ้อร์ถึงได้ตบไหล่เฉินผิงอัน “กินดื่มอิ่มหนำแล้ว หลังจากป้อนหมัดค่อยเอ่ยประโยคนี้”