กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 557.2 วัตถุใดบนภูเขาทำให้คนหวั่นไหวได้มากที่สุด
ในห้องของหลูป๋ายเซี่ยง จูเหลี่ยนนั่งขัดสมาธิ บนโต๊ะมีเหล้าหนึ่งกา จอกกระเบื้องหนึ่งใบ ถั่วเหลืองหนึ่งจาน จิบเหล้าคำเล็กดื่มเนิบช้า
หลูป๋ายเซี่ยงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่มีท่าทีว่าจะดื่มเหล้า
ในจดหมายตอบกลับฉบับนั้นของชุยตงซาน เขาได้พูดถึงเว่ยเซี่ยน บอกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าหมอนี่เริ่มจากการเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ ไปเป็นลูกน้องของแม่ทัพบู๊ที่มีอำนาจคนหนึ่งนามว่าเฉาจวิ้น สะสมคุณความชอบทางการทหารมาไม่น้อย จึงได้รับตำแหน่งอู่ซ่าน (ตำแหน่งทางการทหารอย่างหนึ่งที่มีแต่ชื่อ ไม่มีอำนาจหน้าที่จริงจัง) จากราชสำนักต้าหลี วันหน้าเมื่อได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางชิงหลิวก็ถือว่ามีบันไดให้ก้าวเดินต่อ
สี่คนในม้วนภาพวาดของพื้นที่มงคลดอกบัว ตอนนี้ต่างคนต่างเดินไปบนเส้นทางใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง
เว่ยเซี่ยนเข้าร่วมกองทัพ สุยโย่วเปียนฝึกตนอยู่ในสำนักกุยหยกใบถงทวีป กลายเป็นผู้ฝึกตน หลูป๋ายเซี่ยงก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในยุทธภพ มีเพียงจูเหลี่ยนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว
ก่อนหน้านี้ที่หลูป๋ายเซี่ยงได้รับจดหมายลับจากจูเหลี่ยนก็ได้จัดเตรียมสมบัติบนภูเขาสามชิ้นและเงินเทพเซียนหนึ่งหีบทันที ล้วนเป็นเงินซื้อชีวิตที่ชาวบ้านสิ้นแคว้นของราชวงศ์จูอิ๋งหลายกลุ่มนำมามอบให้ แต่ภายหลังเฉินผิงอันส่งจดหมายจากถ้ำสวรรค์วังมังกรกลับมายังภูเขาลั่วพั่ว จูเหลี่ยนจึงไม่เพียงแต่ไม่ได้รับเอาทรัพย์สมบัติที่หลูป๋ายเซี่ยงสะสมอย่างยากลำบากมา ยังกลับเป็นฝ่ายมอบเงินฝนธัญพืชให้หลูป๋ายเซี่ยงอีกสิบเหรียญ แต่ขณะเดียวกันก็กำชับหลูป๋ายเซี่ยงว่าจะก่อตั้งพรรค รวบรวมกองกำลังจากฝ่ายต่างๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ทางที่ดีที่สุดอย่าไปเข้าร่วมการกอบกู้แคว้นของพวกคนแก่คนหนุ่มเหล่านั้น เพราะสิ่งที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะทำต่อจากนี้จะต้องเป็นการหันไปเล่นงานพวกปลาที่หลุดรอดออกจากตาข่ายซึ่งพยายามจะจุดไฟให้ขี้เถ้ามอดกลุ่มนี้อย่างแน่นอน ในจดหมายเฉินผิงอันแค่เสนอคำแนะนำ ไม่ได้เรียกร้องว่าหลูป๋ายเซี่ยงควรทำอย่างไร
ปรึกษาเรื่องการค้นหาสมบัติกับหลิวจ้งรุ่น หลูป๋ายเซี่ยงเองก็อยู่ด้วย เพียงแต่ว่าล้วนเป็นจูเหลี่ยนที่วางแผนทั้งหมด
การกระทำของจูเหลี่ยนเท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว
ช่วยภูเขาลั่วพั่วยืนยันว่าหลิวจ้งรุ่นและเกาะจูไชมีค่าพอจะเป็นพันธมิตรกันอย่างยาวนานหรือไม่
และเกาะจูไชยังติดค้างน้ำใจควันธูปที่ไม่เล็กส่วนหนึ่งกับภูเขาลั่วพั่ว
หลิวจ้งรุ่นติดค้างหนี้ส่วนหนึ่งกับเจ้าขุนเขาหนุ่มอย่างเฉินผิงอัน
แน่นอนว่าภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันและจูเหลี่ยนต่างก็ไม่ได้ละโมบในความสัมพันธ์ควันธูปเหล่านี้ หากการทำการค้าในอนาคต หลิวจ้งรุ่นและเกาะจูไชแสดงท่าทีออกมา ภูเขาลั่วพั่วก็ย่อมมีวิธีอื่นในการตอบแทนกลับคืนไป
เชื่อว่าจนถึงตอนนี้หลิวจ้งรุ่นก็ยังไม่รู้ว่า ก่อนหน้านี้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเกาะจูไชจะได้ฝึกตนอยู่บนภูเขาหลังอ๋าวหรือไม่ ล้วนอยู่ที่ชั่วความคิดเดียวของนางเท่านั้น
หากโดนผลประโยชน์บดบังใจ หลังจากรู้ว่าการค้นหาสมบัติเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน แต่ก็ยังยืนกรานจะเสี่ยงทำเรื่องครั้งนี้ ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีเหตุการณ์ในตอนนี้เกิดขึ้น
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “ถ้าหากหลิวจ้งรุ่นเลือกผิด ก็เท่ากับว่าเจ้าจูเหลี่ยนวาดงูเติมขา ไม่ใช่ว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ เมื่อเจ้าหยั่งเชิงจนรู้ว่าหลิวจ้งรุ่นไม่ใช่พันธมิตรที่เหมาะสม ตำหนักวารีและเรือน้ำที่เดิมทีควรเป็นของในกระเป๋าของภูเขาลั่วพั่ว สรุปแล้วว่าจะยังเอามาหรือไม่? ไม่เอามาก็เท่ากับว่าเสียส่วนแบ่งไปห้าส่วนอย่างเสียเปล่า เอามาแล้วก็ต้องมีความสัมพันธ์กับหลิวจ้งรุ่นและเกาะจูไชลึกซึ้งไปอีกขั้น ภูเขาลั่วพั่วก็ย่อมต้องเจอกับภัยแฝงนับไม่ถ้วน”
จูเหลี่ยนคีบถั่วเหลืองคั่วสีทองอร่ามสองสามเม็ดขึ้นมาโยนใส่ปาก เคี้ยวเสียงดังกรุบกรอบ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ถ้าหาก? ตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี ‘ถ้าหาก’ นี้สักหน่อย”
หลูป๋ายเซี่ยงส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยยอมรับในการกระทำนี้ของจูเหลี่ยน
หากเขาเป็นคนจัดการเรื่องนี้ หลังจากที่จดหมายฉบับนั้นของชุยตงซานส่งมาถึงภูเขาลั่วพั่ว สถานการณ์ใหญ่ก็มั่นคงดีแล้ว ตำหนักวารี เรือมังกร จะต้องมีชิ้นหนึ่งที่ถูกย้ายมายังภูเขาลั่วพั่วอย่างผึ่งผาย ส่วนเรื่องอื่นๆ ความถูกและความผิดของหลิวจ้งรุ่นและผู้ฝึกตนเกาะจูไชในอนาคตหลังจากนี้ อันที่จริงล้วนเป็นเรื่องเล็ก เพราะหลูป๋ายเซี่ยงเชื่อว่าภูเขาลั่วพั่วต้องพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เวลาเพียงไม่นานก็จะต้องทำให้ผู้ฝึกตนเกาะจูไชทุกคนได้แต่แหงนมองขุนเขาสูงอย่างพวกเขา คิดจะทำความผิดก็ยังไม่กล้า ต่อให้เป็นความผิดที่ผู้ฝึกตนเกาะจูไชคิดว่าใหญ่เทียมฟ้า แต่เมื่ออยู่กับภูเขาลั่วพั่วก็มีแต่จะเป็นความผิดเล็กๆ ที่เขาหลูป๋ายเซี่ยงสามารถเอามือลูบให้ราบเรียบได้อย่างง่ายดาย
จูเหลี่ยนจิบเหล้าคำเล็ก สูดเหล้าเข้าปากดังซูด สีหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม เขาคีบถั่วเหลืองเม็ดหนึ่งขึ้นมา ชำเลืองตามองแล้วยิ้มกล่าวว่า “เป็นเจ้าลัทธิมารของเจ้าไปอย่างสบายใจเถอะ อย่าได้กังวลเรื่องเล็กน้อยเท่าเมล็ดถั่วเหลืองของข้านี่เลย”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “เผยเฉียนเป็นฝ่ายไปขอเรียนหมัดที่เรือนไม้ไผ่ด้วยตัวเอง เหตุใดถึงไม่บอกเฉินผิงอันไปตรงๆ? ในเมื่อรู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ เหตุใดถึงปล่อยให้ผู้อาวุโสชุยทำลายจิตดั้งเดิมของเผยเฉียนเช่นนั้น? ไม่กลัวจริงๆ หรือว่าเรื่องราวเมื่อพัฒนาไปถึงจุดสูงสุดจะกลับกลายเป็นตรงกันข้าม เส้นทางการเรียนวรยุทธของเผยเฉียนไปถึงเส้นทางหัวขาดเสียแต่เนิ่นๆ?”
จูเหลี่ยนวางจอกเหล้าที่ชูมาได้ครึ่งทางลงไป พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “การออกหมัดของชุยเฉิงได้แค่หล่อหลอมเรือนกายของผู้ฝึกยุทธอย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ หรือ? หมัดไม่ร่วงลงบนหัวใจของเผยเฉียนจะมีความหมายอะไร?”
จูเหลี่ยนหัวเราะเสียงเย็น “คนมีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธอย่างเผยเฉียน ใครบ้างที่สอนไม่ได้ สอนได้ไม่ดี? ข้าจูเหลี่ยนสอนได้ เจ้าหลูป๋ายเซี่ยงก็สอนได้ คาดว่าแม้แต่เฉินยวนจีก็ยังสอนได้ ถึงอย่างไรขอแค่ตัวเผยเฉียนอยากเรียนหมัด ก็สามารถเรียนได้เร็วมาก เร็วจนขนาดคนที่เป็นอาจารย์ยังไม่กล้าเชื่อ แต่หากจะบอกว่าใครสามารถสอนให้กลายเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลกได้ เจ้าและข้าต่างก็ไม่ได้ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่นายน้อยก็ยังทำไม่ได้!”
จูเหลี่ยนยกแขนขึ้นกำเป็นหมัดเบาๆ “หมัดนี้ต่อยลงไป คือต่อยให้เรือนกายและจิตใจของแม่นางน้อยเหลือเพียงแค่พลังชีวิตเสี้ยวเดียวที่มีชีวิตรอดได้ ที่เหลือล้วนตายหมด จำต้องยอมแพ้ยอมรับชะตากรรม แต่อาศัยลมหายใจเฮือกหนึ่งที่ยังเหลืออยู่นี้ กลับทำให้เผยเฉียนลุกขึ้นมาได้ หากแพ้ ก็ยังต้องกินหมัดเพิ่มอีกหมัด ทว่าก็ยัง ‘ชนะตัวข้าเอง’ หลักการข้อนี้ ตัวเผยเฉียนเองไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะคำพูดและการกระทำของนายน้อยข้าที่สอนนางนอกเหนือจากในตำรา แล้วก็ได้หล่นลงบนหัวใจของนางอย่างมั่นคง กระทั่งผลิดอกออกผล ทว่าชุยเฉิงเข้าใจพอดี อีกทั้งยังทำได้ด้วย เจ้าหลูป๋ายเซี่ยงทำได้หรือ? พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ยามที่เผยเฉียนเผชิญหน้ากับเจ้าหลูป๋ายเซี่ยง นางไม่รู้สึกว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่จะถ่ายทอดวิชาหมัดให้นางด้วยซ้ำ แม่หนูเผยดีแต่จะแสร้งโง่ ยิ้มตาหยีถามว่า เจ้าเป็นใครกัน? ขอบเขตสูงแค่ไหน? คงไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเอ็ดสินะ? หากใช่ ทำไมเจ้าไม่ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้ฟ้าเปิดเสียเลยเล่า? มามัวเสียเวลาอยู่กับข้าเผยเฉียนทำไม”
พูดถึงท้ายที่สุด จูเหลี่ยนก็หัวเราะขึ้นมากับตัวเอง แล้วดื่มเหล้าที่อยู่ในจอกรวดเดียวหมด
หลูป๋ายเซี่ยงหัวเราะพลางพยักหน้ารับ
นั่นคือแม่นางน้อยที่ฉลาดหลักแหลมอย่างถึงที่สุดคนหนึ่ง
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าวอีกว่า “เจ้าคิดว่านางรู้หรือว่าชุยเฉิงมีขอบเขตอะไร? แม่หนูเผยจะรู้กับผายลมอะไรล่ะ นางรู้แค่เรื่องเดียว นั่นคือหมัดของอาจารย์นางได้ตาแก่ชื่อว่าชุยเฉิงช่วยต่อยออกมาทีละหมัด ถ้าอย่างนั้นใต้หล้านี้ก็มีเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถถ่ายทอดวิชาหมัดให้นางได้ นอกจากฟ้าใหญ่ดินใหญ่อาจารย์ใหญ่ที่สุดแล้ว ก็คือผู้เฒ่าบนชั้นสองคนนั้นเท่านั้นที่พอจะมีคุณสมบัติอยู่บ้าง คนอื่นๆ ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะมีขอบเขตอะไร เมื่อมาเจอกับแม่หนูเผยก็ล้วนไม่มีสิทธิ์สั่งสอนนางทั้งสิ้น”
จูเหลี่ยนยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาดวงกลมง่ายๆ ลงบนผิวโต๊ะ “อยู่ในนี้ การกระทำและคำพูดของเผยเฉียนไร้ความยำเกรงใดๆ”
หลูป๋ายเซี่ยงถาม “หากมีวันหนึ่งขอบเขตในการเรียนวรยุทธของเผยเฉียนเหนือกว่าอาจารย์ของตัวเอง ควรจะทำอย่างไร? นางจะยังควบคุมนิสัยจิตใจของตัวเองได้อีกหรือ?”
จูเหลี่ยนหลุดหัวเราะพรืด “เมื่อหลายร้อยปีก่อนนายน้อยของข้าก็คิดถึงสถานการณ์นี้ได้แล้ว จำเป็นต้องให้คนนอกอย่างเจ้าหลูป๋ายเซี่ยงมาเป็นกังวลไม่เข้าเรื่องด้วยหรือ? เจ้าคิดว่านายน้อยข้าจะประหยัดแรงกายแรงใจเหมือนเจ้าที่ถ่ายทอดวิชาหมัดให้พี่น้องคู่นั้นหรือไร? แค่โยนวิชาหมัดกระบวนท่าหมัดไม่กี่อย่างออกไป ให้พวกเขาไปฝึกกันเอาเอง พออารมณ์ดี ป้อนพวกเขาไม่กี่หมัดก็จบเรื่องแล้ว? หลูป๋ายเซี่ยง ไม่ใช่ว่าข้าดูแคลนเจ้าหรอกนะ แต่หากเป็นอย่างนี้ต่อไป หยวนไหลหยวนเป่าสองคนนี้ ในอนาคตหากโชคดีสามารถฝึกวิชาหมัดจนติดเป็นนิสัยตายตัวได้ อาจารย์อย่างเจ้าก็ควรจะจุดธูปไหว้พระแล้ว”
หลูป๋ายเซี่ยงไม่ถือสา
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “น่าสงสารเด็กสองคนนั้นนัก ต้องมาเจอกับอาจารย์ที่ไม่เคยมองการเรียนวรยุทธเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ตัวเองแสวงหาในชีวิตเช่นนี้ ตัวอาจารย์เองยังไม่บริสุทธิ์เต็มตัว แล้วปณิธานหมัดของลูกศิษย์จะบริสุทธิ์ได้อย่างไร”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “หากมีวันใดที่ต้องให้พวกเขาสองพี่น้องแสวงหาทางรอดท่ามกลางความตายจริงๆ รบกวนเจ้าช่วยพวกเขาสักหน่อยได้ไหม?”
จูเหลี่ยนหัวเราะร่า “ในอนาคตหยวนเป่าจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ยังบอกได้ยาก แต่หากหยวนไหลอยากจะฝ่าทะลุคอขวดใหญ่ ข้าก็พอจะมีอุบายแยบยลอยู่บ้างจริงๆ”
หลูป๋ายเซี่ยงเอ่ย “สมบัติบนภูเขาสามชิ้นนั้น ข้าจะมอบให้เจ้าเป็นการส่วนตัว ส่วนเจ้าจูเหลี่ยนจะจัดการอย่างไร จะเอาไปเสริมในบ้านของภูเขาลั่วพั่ว หรือว่าจะเก็บไว้เอง ข้าไม่สน”
จูเหลี่ยนจิบเหล้าหนึ่งอึก “สัญญาแล้ว?”
หลูป่ายเซี่ยงพยักหน้ารับ
จูเหลี่ยนถึงได้ให้คำตอบ “ในอนาคตแค่ให้แม่หนูเผยต่อยเฉินยวนจีให้ร่อแร่ปางตายต่อหน้าหยวนไหล แค่นี้ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
หลูป๋ายเซี่ยงหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ
จูเหลี่ยนผลักถั่วเหลืองคั่วที่เหลืออยู่ไม่มากจานนั้นไปให้หลูป๋ายเซี่ยง “เอาแต่รับเงินคนอื่นมาเช่นนี้ มโนธรรมในใจไม่อาจสงบได้ ยังดีที่เจ้าลัทธิลู่มีคุณธรรม ให้ข้าได้มีโอกาสรื้อกำแพงตะวันออกไปซ่อมกำแพงตะวันตก เดี๋ยววันหน้าจะเอาของชิ้นหนึ่งในนั้นไปมอบให้เฉินหลิงจวิน ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ วันนี้เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญ วันพรุ่งนี้เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ เขาลงเดิมพันกับการเล่นหมากล้อมจนใกล้จะหมดตัวอยู่แล้ว”
หลูป๋ายเซี่ยงนึกถึงเด็กชายชุดเขียวที่วางท่าหยิ่งผยองลำพองใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคนนั้น แล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “หน้าใหญ่อย่างนี้ มีชีวิตอยู่ย่อมลำบาก”
จูเหลี่ยนกลับเอ่ยว่า “ต้องการหน้าตาเล็กน้อยแค่นี้ ถือว่าเป็นเรื่องดี”
หลูป๋ายเซี่ยงมองเจ้าหมอนี่ด้วยสายตามีเลศนัย
จูเหลี่ยนพูดอย่างเต็มไปด้วยเหตุด้วยผลว่า “เป็นเทพภูเขาใหญ่เว่ยที่ไม่ต้องการหน้าตา เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มพลางคีบถั่วเหลืองคั่วเมล็ดหนึ่งขึ้นมา
จูเหลี่ยนพลันเปลี่ยนคำพูดว่า “พูดแบบนี้ไม่ค่อยมีคุณธรรมแล้ว หากคิดจะเปรียบเทียบกันจริงๆ ยังคงเป็นพี่น้องต้าเฟิงที่หน้าหนา ข้ากับพี่น้องเว่ย ถึงอย่างไรก็หน้าบางกว่า ต้องอับอายขายหน้ากันอยู่ทุกวัน”
เทพชุดขาวสวมต่างหูกลมสีทองคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มน่าหลงใหลมายืนอยู่ด้านหลังจูเหลี่ยน เขายื่นมือมากดบ่าจูเหลี่ยน มืออีกข้างยื่นมาบนโต๊ะเบาๆ เบื้องหน้ามีม้วนภาพขุนเขาสายน้ำราวกับเทียบตัวอักษรแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นมา บนภาพนั้นมีชายฉกรรจ์หลังค่อมคนหนึ่งกำลังนั่งอาบแดดแคะหัวแม่เท้าอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กหน้าประตูภูเขา เขายกนิ้วกลางให้จูเหลี่ยน จูเหลี่ยนร้องโอ้โห ก่อนจะโน้มตัวไปด้านหน้า ฟุบตัวลงบนผิวโต๊ะ แล้วรีบชูกาเหล้า ยิ้มประจบพูดว่า “พี่น้องต้าเฟิงก็อยู่ด้วยหรือ ไม่พบหน้าวันเดียวเหมือนห่างกันสามปี น้องชายคิดถึงเจ้ายิ่งนัก มาๆๆ อาศัยโอกาสนี้ พวกเราสองพี่น้องมาดื่มเหล้าดีๆ ร่วมกันสักกา”
เจิ้งต้าเฟิงยังคงชูนิ้วกลางอยู่เหมือนเดิม คล้ายจะพูดคำหนึ่งว่าไสหัวไป
จูเหลี่ยนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ทำเป็นว่าไม่ได้ยิน เขาหันหน้าไปบ่นกับเว่ยป้อว่า “ทำไมไม่ร่ายวิชาอภินิหารส่งเหล้ากานี้ไปให้พี่น้องต้าเฟิงเล่า?”
เว่ยป้อโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งก็มีเหล้ากาหนึ่งหล่นจากยอดเขาภูเขาลั่วพั่วใส่หัวเจิ้งต้าเฟิง ถูกเจิ้งต้าเฟิงยื่นมือมารับเอาไว้
มือหนึ่งของจูเหลี่ยนถือม้วนภาพวาด มือหนึ่งถือกาเหล้า เขาลุกขึ้นแล้วเดินจากมา เดินพลางดื่มเหล้าแล้วก็พูดคุยกับเจิ้งต้าเฟิงไปด้วย สหายสองคนที่อยู่ห่างไกลกันมีภูเขาสายน้ำพันหมื่นลี้กั้นขวาง ต่างคนต่างดื่มเหล้าคนละอึก
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มผายมือเชื้อเชิญให้องค์เทพภูเขานั่งลง
เว่ยป้อไม่ได้จากไป แต่ก็ไม่ได้นั่งลง เขาเอามือมาจับที่เท้าแขนของเก้าอี้ ยิ้มกล่าวว่า “ญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง ข้าจะไปเยี่ยมเยือนองค์เทพคนใหม่ของขุนเขากลางสักหน่อย ถือว่าผ่านไปทางเดียวกับพวกเจ้า”
หลูป๋ายเซี่ยงกล่าวอย่างกังขา “นี่ไม่สอดคล้องกับกฎขุนเขาสายน้ำกระมัง?”
เพราะโดยทั่วไปแล้วองค์เทพแห่งห้าขุนเขาของราชวงศ์หนึ่งในโลกมนุษย์จะไม่มาพบเจอกันง่ายๆ