กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 558.3 เหล้าหนึ่งกา กับแกล้มหนึ่งจาน
พอพูดมาถึงกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า แน่นอนว่าต้องพูดถึงผู้เฒ่าคนนั้น หลี่เอ้อร์มองไปยังทิศไกล เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสชุยเฉิงเป็นคนมหัศจรรย์ วิชาหมัดที่เขาถ่ายทอดให้เจ้าเป็นการถ่ายทอดที่แท้จริง ไม่ได้เป็นเพียงแค่การป้อนหมัดสอนวิชาหมัดอย่างเดียวเท่านั้น มองดูเหมือนว่าชุยเฉิงถ่ายทอดวิชาหมัดที่ดุดันรุนแรงให้แก่เจ้าอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้วสำหรับนิสัยที่เหมือนน้ำไหลไม่ใจแข็งแม้แต่น้อยของเจ้าเฉินผิงอันแล้ว กลับเป็นการช่วยส่งเสริมเติมเต็มซึ่งกันและกัน นี่ก็คือมาดของปรมาจารย์อันดับหนึ่งสมชื่ออย่างแท้จริง ข้าหลี่เอ้อร์ทำไม่ได้”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่เอ้อร์ก็ส่ายหน้า พูดซ้ำอีกว่า “ข้าทำไม่ได้แน่นอน”
เฉินผิงอันถอนหายใจ
พูดได้แค่ว่าความทรมานเจ็บปวดบนชั้นสองเรือนไม้ไผ่ในปีนั้น ขนาดคนที่ไม่กลัวความเจ็บปวดอย่างเขาเฉินผิงอันก็ยังต้องนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้ชั้นหนึ่งแอบร้องไห้ในผ้าห่มคนเดียว
หลี่เอ้อร์เอ่ย “ดังนั้นเจ้าเรียนหมัด ก็ได้แค่ให้ชุยเฉิงสอนรากฐานสัจธรรมหมัดแก่เจ้าก่อนเท่านั้นจริงๆ ส่วนข้าหลี่เอ้อร์ค่อยเป็นคนมาช่วยชดเชยซ่อมแซมปณิธานหมัดให้เจ้า นี่ต่างหากจึงจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง หากข้าสอนเจ้าก่อน แล้วค่อยตามมาด้วยชุยเฉิง ก็เท่ากับว่าใช้กำลังสิบจินลงนาปลูกข้าว แต่กลับได้ผลเก็บเกี่ยวแค่เจ็ดแปดจิน ไม่มีความหมาย ไม่มีทางได้ดิบได้ดี”
เฉินผิงอันจึงเกิดคำถามข้อใหม่อีกข้อ
เหตุใดหลี่เอ้อร์ไม่ประลองวิชาหมัดกับชุยเฉิง
หลังจากที่หลี่เอ้อร์ออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู ระหว่างนี้ได้กลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนหนึ่งครั้ง
แต่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่ยืนอยู่บนยอดเขาของการเรียนวรยุทธในใต้หล้าเหมือนกันทั้งสองคนนี้กลับไม่เคยประมือกัน
น่าเสียดายก็แต่หลี่เอ้อร์ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้
หลี่เอ้อร์ตบหัวเข่า ลุกขึ้นพลางยิ้มกล่าวว่า “พูดคุยกันได้พอประมาณแล้ว คำพูดในวันนี้ เมื่อเอาคำพูดตลอดหลายปีที่ข้าอยู่ในอุตรกุรุทวีปมารวมกัน ยังมากกว่าเสียอีก ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ข้าก็จะใช้กำลังที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้ามาขอความรู้วิชาหมัดเขย่าขุนเขาจากเจ้า วางใจเถอะ จะไม่สอดแทรกหมัดขอบเขตสิบไว้แน่นอน แต่ข้าก็แนะนำเจ้าว่าอย่าได้ดีใจเร็วเกินไปนัก ขอบเขตเก้านี้หนักแน่นเต็มแรง ทางฝั่งของร้านขายผ้า ท่านอาหลิ่วของเจ้าอยากจะรั้งให้เจ้าอยู่ต่อสักหลายๆ วัน ข้าไม่กล้ารับปาก เพราะอาจจะถ่วงเวลาการเดินทางของเจ้าใช่ไหมล่ะ? แต่ในเมื่อเรื่องของการป้อนหมัดเป็นเจ้าที่รนหาที่เอง ต่อยให้เจ้าได้แต่ค่อยๆ รักษาอาการบาดเจ็บสักสองสามเดือน แม้แต่จะเดินก็ยังยาก ถ้าอย่างนั้นเจ้าเฉินผิงอันก็โทษคนอื่นไม่ได้แล้ว”
เฉินผิงอันปากอ้าตาค้าง
แบบนี้ก็ได้หรือ?
ผลคือหนึ่งหมัดพุ่งมาถึง
ต่อให้เฉินผิงอันจะรู้ว่าท่าไม่ดี พยายามจะยกสองแขนขึ้นบัง แต่ก็ยังถูกหมัดนี้ต่อยให้กลิ้งหลุนๆ ไปตลอดทางจนพลัดหล่นจากผิวกระจก ตกลงน้ำไปโดยตรง
……
วันนี้ชุยเฉิงไม่เพียงแต่ไม่ได้สอนวิชาหมัดให้เผยเฉียน กลับกันยังสวมชุดลัทธิขงจื๊อ ไม่เปลือยเท้า แต่สวมรองเท้าหุ้มแข้งที่เฉินหรูชูช่วยเตรียมไว้ให้ผู้เฒ่านานแล้วเดินออกมาจากชั้นสอง เขามายืนอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เอาสองมือไพล่หลัง มองตัวอักษรที่อยู่บนผนังเรือนไม้ไผ่ คือยันต์ที่หลี่ซีเซิ่งวาดไว้ให้ในอดีต ตัวอักษรนั้นดีมาก ในฐานะอดีตเจ้าประมุขของสกุลชุยแห่งแจกันสมบัติทวีป ความรู้ในอดีตของชุยฉานผู้เป็นหลานชาย ถึงอย่างไรก็ได้ผู้เฒ่าที่ช่วยปูรากฐานมาให้ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ถึงความสูงต่ำของบทความ ความดีเลวของตัวอักษรในโลกใบนี้
ตัวอักษรที่อยู่บนเรือนไม้ไผ่เหล่านี้มีความหมายที่หนักอึ้ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางทำให้ภูเขาลั่วพั่วทั้งลูกลดระดับลงมาได้หลายส่วน
ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถอยู่บนภูเขาลั่วพั่วได้โดยที่ไม่กลายเป็นคนสติวิปลาสน่าสงสารที่เป็นบ้าคลุ้มคลั่งมาเกือบร้อยปี ถึงขั้นที่ว่ายังพอจะรักษาสภาพจิตใจที่ใสกระจ่างส่วนหนึ่งเอาไว้ได้
เผยเฉียนออกไปเล่นแล้ว ด้านหลังก็คือแมลงตามก้นน้อยอย่างโจวหมี่ลี่ที่ติดตามไปด้วย บอกว่าจะไปที่ตรอกฉีหลงสักรอบ ดูว่าเมื่อไม่มีนางเผยเฉียน กิจการจะขาดทุนหรือไม่ แล้วยังต้องพลิกเปิดดูสมุดบัญชีอย่างละเอียด หลีกเลี่ยงไม่ให้เถ้าแก่ที่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างสือโหรวเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมเอามาเป็นผลประโยชน์ส่วนตน
ผู้เฒ่าไม่ได้ขัดขวาง เด็กตัวใหญ่เท่าก้น หากไม่มีความร่าเริงสมวัยบ้างเลย หรือจะให้วันๆ เอาแต่เซื่องซึมเหมือนตาแก่หนังเหนียวอย่างพวกเขา?
ชุยเฉิงผลักประตูเรือนไม้ไผ่ชั้นหนึ่งให้เปิดออก ด้านในเป็นทั้งห้องหนังสือ แล้วก็วางเตียงไม้ไว้หลังหนึ่ง
ถูกแม่หนูเฉินหรูชูผู้นั้นทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่อง ไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด
หลังออกมาจากห้องแล้ว ชุยเฉิงก็เดินเท้าตรงไปยังสำนักศึกษาหลินลู่บนยอดเขาพีอวิ๋น พอกลับมาก็มานั่งอยู่ข้างโต๊ะหินริมหน้าผา เฉินหรูชูไม่ได้ลงจากเขาไปกับเผยเฉียน บนภูเขามีเรื่องมากมายให้ต้องทำ นางต้องทำงานทุกอย่างตรงเวลาตรงสถานที่ แต่กระนั้นก็ยังมีงานให้ทำไม่จบสิ้น เห็นว่าผู้เฒ่าชุยออกจากเรือนไม้ไผ่ เฉินหรูชูจึงรีบยกกล่องอาหารไม้แดงกล่องใหญ่ไปให้ หยิบกาเหล้ากับแกล้มออกมาจัดวาง ชุยเฉิงยิ้มถามว่าทำไมถึงไม่มีเมล็ดแตง เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ้มเขินอาย แล้วหยิบเมล็ดแตงกำใหญ่จากกระเป๋าเสื้อออกมาวางลงบนโต๊ะ
เฉินหลิงจวินยังคงชอบเตร็ดเตร่ไปทั่วเพียงลำพังอยู่เหมือนเดิม วันนี้เห็นผู้เฒ่านั่งดื่มเหล้าอยู่บนโต๊ะหิน เขาก็ถึงกับขยี้ตาอย่างแรง ถึงได้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
เฉินหลิงจวินไม่กล้าตีสนิทกับตาแก่ผู้นี้ เพราะอีกฝ่ายที่อยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนก็คือบุคคลที่สามารถต่อยตนให้ตายได้ด้วยหมัดเดียว
คิดไม่ถึงว่าชุยเฉิงจะกวักมือเรียก “มานั่งนี่”
เฉินหลิงจวินหน้าม่อย “ผู้อาวุโส หากข้าไม่ไปนั่งก็จะต้องถูกซ้อมใช่ไหม?”
ชุยเฉิงพยักหน้ารับ
เฉินหลิงจวินรีบวิ่งปรู๊ดมาหาทันที ชายชาตรีต้องยืดได้หดได้ ไม่อย่างนั้นตนที่อยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนจะมีชีวิตรอดอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร อาศัยตบะงั้นรึ?
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “จงใจวางเดิมพันให้ตัวเองแพ้ทุกสามวันห้าวัน สนุกนักหรือ”
เฉินหลิงจวินกะพริบตาปริบๆ “อะไร?”
ชุยเฉิงเห็นว่าเขาแกล้งโง่ก็ไม่พูดอะไรให้มากความอีก เพียงถามชวนคุยว่า “เฉินผิงอันไม่เคยโน้มน้าวให้เจ้าขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับพี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงของเจ้าหรือ?”
เฉินหลิงจวินส่ายหน้า เขายกชายแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดบนผิวโต๊ะที่สะอาดเอี่ยมยิ่งกว่ากระจกเบาๆ “เขาเป็นคนดีเกินเหตุยิ่งกว่าข้าเสียอีก พูดไปเรื่อยเปื่อยว่าหากมีน้ำใจก็ให้ใช้เงินได้เต็มที่ เขาไม่มีโน้มน้าวข้าแบบนั้นหรอก ยังจะช่วยตบหน้าข้าให้ดูเป็นคนอ้วนด้วย”
ชุยเฉิงเอ่ย “ครั้งนี้ที่เฉินผิงอันเดินทางไปท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีป ครึ่งหนึ่งก็เพื่อเจ้า เดินทางเลียบลำน้ำใหญ่ระยะทางไกลเป็นหมื่นลี้ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย”
เฉินหลิงจวินเงียบงัน
ชุยเฉิงคีบจอกเหล้าว่างเปล่าใบหนึ่งขึ้นมา รินเหล้าลงไปแล้วยื่นส่งให้เด็กชายชุดเขียวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
เฉินหลิงจวินกล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ผู้อาวุโส คงไม่ใช่สุราลงทัณฑ์หรอกกระมัง? ข้าที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วรอบคอบระมัดระวังในทุกเรื่อง ให้เป็นวัวเป็นม้าก็ยอมหมด ไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายสักนิดเลยนะ”
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “ดื่มเหล้าของเจ้าไปเถอะ”
เฉินหลิงจวินรับจอกเหล้ามาจิบด้วยท่าทางน่าสงสาร
ชุยเฉิงถาม “เฉินผิงอันปฏิบัติกับเจ้าเช่นนี้ ในอนาคตเจ้าสามารถปฏิบัติกับเขาอย่างที่เขาทำต่อเจ้าสักครึ่งหนึ่งได้ไหม?”
เฉินหลิงจวินตอบเสียงเบา “คงจะได้กระมัง?”
ชุยเฉิงยิ้ม “แค่นี้ก็พอแล้ว”
คราวนี้กลายเป็นเฉินหลิงจวินบ้างที่ต้องสงสัย “แค่นี้ก็พอแล้ว?”
ชุยเฉิงเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เฉินหลิงจวินจึงพึมพำว่า “เจ้าไม่ใช่เฉินผิงอันสักหน่อย ใช่ว่าจะพูดถูก”
ชุยเฉิงเอ่ยสัพยอก “มาเดิมพันกันดีไหมล่ะ?”
เฉินหลิงจวินโอดครวญทันที “ข้าไม่มีเงินเหลือแล้วจริงๆ นะ! เหลือแค่เงินเก็บไว้แต่งเมียที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็เอาออกมาใช้ไม่ได้ สมบัติเล็กน้อยแค่นี้ แม้แต่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวก็ห้ามแตะ ห้ามแตะจริงๆ!”
ชุยเฉิงกล่าว “เคยคิดหรือไม่ว่า เหตุใดทั้งๆ ที่พยายามแสร้งทำเป็นว่ากลัวข้ามากแล้ว แต่อันที่จริงกลับไม่ได้รู้สึกกลัวข้ามากขนาดนั้น? ไม่แน่ว่าเวลาที่เจอกับคนหรือเรื่องราวที่ไม่อาจรับมือได้จริงๆ ก็อาจจะยังกล้าขอให้ข้าช่วยเหลือด้วย?”
เฉินหลิงจวินก้มหน้า มือหนึ่งกำเป็นหมัดหมุนวนเบาๆ รอบจอกเหล้า พูดเสียงแผ่วว่า “เพราะนายท่านคนดีของข้าผู้นั้นน่ะสิ”
ชุยเฉิงถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า เหตุใดเฉินผิงอันถึงได้ยินดีให้เจ้ามาอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว อีกทั้งยังดีกว่าเจ้าไม่น้อยไปกว่าที่เขาดีกว่าคนอื่น”
เฉินหลิงจวินกล่าวอย่างอัดอั้น “เพราะเขาเป็นคนดีเกินเหตุ”
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “เพราะในสายตาของเฉินผิงอัน เจ้าเองก็ไม่เลว”
เฉินหลิงจวินพึมพำเบาๆ “ผายลมเถอะ”
ชุยเฉิงถาม “ว่าอะไรนะ?”
เฉินหลิงจวินรีบเงยหน้าขึ้นทันที มือทั้งสองประคองจอกเหล้า ยิ้มเจิดจ้าเอ่ยว่า “ท่านผู้เฒ่า พวกเราสองพี่น้องมาดื่มเหล้าสักจอก?”
ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินหลิงจวินเองต้องนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
พวกเราสองพี่น้อง?
รนหาที่ตายหรืออย่างไร?
เฮ้อ นิสัยในยุทธภพเช่นนี้ของตน ไม่เพียงแต่ทำให้คนที่เห็นรู้สึกขำขัน ยังอาจจะขำจนตายอีกด้วย
ตีให้ตายเฉินหลิงจวินก็คิดไม่ถึงว่า ชุยเฉิงไม่เพียงแต่ไม่มีโทสะ กลับกันยังยกจอกเหล้ายิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มหนึ่งจอก”
ดื่มเหล้ากันไปแล้ว เฉินหลิงจวินก็ยังนั่งไม่เป็นสุขอยู่ดี
ชุยเฉิงเองก็ไม่ได้รั้งเจ้าตะพาบน้อยผู้นี้ไว้นานนัก “เฉินผิงอันไม่ค่อยจะพูดจาเกรงใจตามมารยาทกับคนใกล้ชิดข้างกาย ดังนั้นเจ้าลองไตร่ตรองดูให้มากๆ ได้ว่าตัวเองดูแคลนตัวเองเกินไปหรือไม่ บนร่างของเจ้าต้องมีเรื่องบางอย่างที่เฉินผิงอันรู้สึกว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังทำไม่ได้”
เฉินหลิงจวินพยักหน้ารับอย่างแรง ลุกขึ้นยืนแล้วค้อมเอวเอ่ยขอตัวลาอย่างนอบน้อม เขาหันหลังเดินจากไปช้าๆ จากนั้นก็พลันชักเท้าวิ่งตะบึง เพียงแต่ว่าพอวิ่งออกไปได้ไกลมากแล้ว เขาก็อดไม่ไหวหยุดวิ่งหันหน้ากลับมามองอีกครั้ง
ตาเฒ่าชุยวันนี้ดูแปลกไปจากเดิม
ชุยเฉิงดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพัง
ตอนที่ยังเป็นหนุ่ม มักจะรู้สึกว่าในใจมีมีดที่ลับจนคม ฉายประกายคมกริบ หมื่นปีก็ไม่ถูกทำลาย
……
หลังจากการฝึกหมัดครั้งหนึ่งผ่านไป
เฉินผิงอันที่เรือนกายท่วมไปด้วยเลือด แต่กลับยังสามารถนั่งได้อย่างหาได้ยาก และยังถึงขั้นสามารถใช้วิชาน้ำวักน้ำมาล้างหน้าได้อีกด้วย
หลี่เอ้อร์นั่งอยู่ด้านข้าง
เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักข้าวเหนียวออกมาสองกา ตนกับหลี่เอ้อร์ดื่มกันคนละกาพลางพูดคุยกันไปด้วย
เพราะหลี่เอ้อร์บอกว่าไม่จำเป็นต้องดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียน
แม้จะบอกว่าพูดคุยกัน แต่อันที่จริงกลับเป็นเฉินผิงอันที่พูดเรื่องในอดีตอยู่คนเดียว
โดยไม่ทันรู้ตัวก็เริ่มพูดตั้งแต่อุตรกุรุทวีไปจนถึงใบถงทวีป แล้วก็ไปถึงแจกันสมบัติทวีปกับบ้านเกิด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จำได้ว่าครั้งแรกที่ไปส่งจดหมายหาเงินเหรียญทองแดงที่ถนนฝูลวี่ ตรอกเถาเย่ เดินบนเส้นทางดินโคลนในตรอกหนีผิงและทางของเตาเผามังกรมาจนชินแล้ว ได้เหยียบลงบนถนนหินเขียวเป็นครั้งแรกเลยกลัวว่ารองเท้าแตะของตัวเองจะทำให้พื้นสกปรก เกือบไม่รู้ว่าควรจะยกเท้าเดินต่ออย่างไร ภายหลังไปส่งพวกเป่าผิง หลี่ไหวที่ต้าสุย ไปเป็นแขกในตระกูลของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าคนหนึ่งในแคว้นหวงถิง นั่งกินข้าวบนโต๊ะก็มีความรู้สึกที่ไม่ต่างกันเท่าไรนัก ครั้งแรกที่เข้าพักโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนก็แสร้งทำเป็นว่าผ่อนคลาย พยายามควบคุมดวงตาไม่ให้กวาดมองไปทั่วค่อนข้างเหนื่อยไม่น้อย”
“ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนเคยร่วมงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง กู้ช่านเป็นคนจัด บนโต๊ะอาหารมีองค์ชายผู้ลี้ภัย มีบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ และยังมีลูกศิษย์ของเซียนซือ หากไม่พูดถึงความผิดหวังที่มีต่อกู้ช่าน ได้เห็นว่าเจ้าเด็กขี้มูกยืดรับรองผู้คน วางตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ อันที่จริงส่วนลึกในใจกลับรู้สึกดีใจอยู่มาก นี่ก็คือความเห็นแก่ตัวของข้าที่ฮว่อหลงเจินเหรินพูดถึง ตอนนั้นก็รู้สึกแล้วว่าเจ้าเด็กขี้มูกยืดท้ายตรอกหนีผิง ไม่มีข้าเฉินผิงอัน ก็ดูเหมือนว่าจะยังมีชีวิตที่ดีได้ ตอนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน มีเพียงครั้งนั้นเท่านั้นที่ข้าอยากจะทิ้งทุกอย่างโดยไม่สนใจสิ่งใดดูสักครั้ง จะได้ไม่ต้องมีเรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นภายหลัง”
“เรื่องราวหลายๆ อย่าง อันที่จริงล้วนไม่คุ้นเคย บอกไม่ได้ว่าชอบหรือไม่ชอบ ทว่าก็ได้แต่ปรับตัวให้ชินกับมันเท่านั้น”
“ยุทธภพคืออะไร แล้วเทพเซียนเล่าคืออะไร”
“ข้าเบิกตากว้าง พยายามมองคนแปลกหน้าและเรื่องราวไม่คุ้นเคยทั้งหมดให้ได้มากที่สุด หลายๆ เรื่องแรกเริ่มไม่เข้าใจ แล้วก็มีหลายเรื่องที่ภายหลังเข้าใจแล้ว แต่ก็ยังยอมรับไม่ได้อยู่ดี”
หลี่เอ้อร์เปิดปากถาม “รู้สึกแย่มากเลยหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ก็แค่รู้สึกอึดอัดใจนิดหน่อย แต่บางครั้งก็คิดว่า ตลอดทางที่เดินมานี้ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่เสียหน่อย อีกอย่าง ได้เห็นกับตาตัวเองว่าในใต้หล้ายังมีคนอีกมากมายขนาดนั้นที่มีชีวิตยากลำบากกว่าตน มีทั้งคนที่ไม่อาจมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมได้ แล้วก็มีทั้งคนที่มีชีวิตราวกับว่าความลำบากจะไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาจะไปหาใครให้พูดคุยด้วย? ก็ได้แต่ทนรับไว้ พยายามผ่านพ้นแต่ละวันไปให้ได้ไม่ใช่หรือ หรือหากทนไม่ไหวแล้ว ก็เหมือนคนในตรอกมากมายของบ้านเกิดที่พอป่วยหนัก รู้ตัวแล้วก็ไปหายามากิน ต้มยาสองสามถ้วย จากนั้นก็ตายไป ญาติในครอบครัวเข้าใจ คนที่รับเคราะห์กรรมนอนอยู่บนเตียงก็ยิ่งเข้าใจดี ไม่ใช่ว่าไม่เสียใจ แต่เป็นเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้อีก”
“หากมีวันหนึ่งข้าจะต้องไปจากโลกใบนี้ จะต้องให้คนจดจำข้าให้ได้ พวกเขาอาจจะเสียใจ แต่จะไม่มีทางมีเพียงความเสียใจเท่านั้น รอให้วันใดที่พวกเขาไม่เสียใจมากขนาดนั้นอีกแล้ว ยังคงใช้ชีวิตของตัวเองไป บางครั้งก็อาจลองย้อนนึกดูว่า เคยรู้จักคนคนหนึ่งที่ชื่อว่าเฉินผิงอัน ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้ เรื่องบางอย่างที่ไม่ว่าเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ มีเพียงเฉินผิงอันที่ทำ แล้วก็ทำสำเร็จ”
สุดท้ายเฉินผิงอันก็ดื่มเหล้าหนึ่งอึก ทอดสายตามองทิศไกล ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พอคิดถึงว่าฤดูหนาวของทุกปีจะได้กินเนื้อผัดหน่อไม้จานหนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจมากแล้ว ราวกับว่าพอวางตะเกียบลง ฤดูหนาวก็ผ่านพ้น ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแล้ว”
หลี่เอ้อร์หันหน้ามามองคนหนุ่มผู้นี้
ราวกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน