กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 560.3 อยากพูด แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร
บนม้วนภาพวาด อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นนั่งตัวตรงอย่างสำรวมอยู่ในตำแหน่งเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยนมาสามสิบปี เขากระแอมให้ลำคอชุ่มชื้น หยิบตำราเล่มหนึ่งที่เพิ่งได้มาขึ้นมา คือบันทึกภูเขาสายน้ำเล่มหนึ่ง หลังจากบอกชื่อหนังสือเร็วๆ แล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าก็บอกกล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการบรรยาย บอกว่าวันนี้จะสอนว่าความมหัศจรรย์ของประโยค ‘หมู่บ้านชนบทเตาเล็กจุดไฟ ท้อหลีในวัดดอกร่วงโรย’ ในตำรานั้นอยู่ที่ตรงไหน แล้วเหตุใดสองคำว่า ‘หมู่บ้าน’ และ ‘ในวัด’ ถึงกลายมาเป็นภาระที่ทำให้เกิดข้อด้อยในความสมบูรณ์แบบ อาจารย์ผู้เฒ่าหน้าแดงเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก ชูบันทึกท่องเที่ยวเล่มนั้นขึ้นสูง มือทั้งสองข้างจับประคองตำรา ราวกับว่าจะแสดงชื่อหนังสือให้คนเห็นชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
ชุยซื่อทำสีหน้าเอือมระอา “อาจารย์ อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้จะหิวตายแล้วหรือ? ถึงได้ช่วยร้านขายหนังสือทำการค้าด้วย?”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มบางๆ “นี่เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นมาก่อน คาดว่าคงเป็นสหายที่ขอร้องมา จึงไม่อาจปฏิเสธได้”
ชุยซื่อฟุบตัวลงบนโต๊ะ ถอนหายใจเอ่ยว่า “เป็นนักปราชญ์แต่ทำตัวถึงขั้นนี้ก็ควรจะหน้าแดงบ้างแล้วจริงๆ”
ชุยซื่อหัวเราะ “แต่ในที่สุดวันนี้อาจารย์ผู้เฒ่าก็ไม่พูดหลักการเหตุผลที่เลื่อนลอยพวกนั้นแล้ว ดีมากเลยล่ะ ไม่อย่างนั้นข้ารับรองเลยว่าผ่านไปแค่ก้านธูปเดียว ข้าต้องง่วงอีกแน่”
หลี่ซีเซิ่งฟังอาจารย์ผู้เฒ่าในม้วนภาพบรรยายเรื่องวิถีของบทกลอนแล้วถามว่า “ใครบอกว่าความรู้จะต้องมีประโยชน์ถึงจะเป็นความรู้ที่ดีได้?”
ชุยซื่อนึกว่าตัวเองฟังผิดไป “อาจารย์?”
หลี่ซีเซิ่งมองม้วนภาพวาดอยู่ตลอดเวลา หูก็รับฟังถ้อยคำของอาจารย์ผู้เฒ่า แต่กลับยิ้มเอ่ยกับชุยซื่อว่า “ชุยซื่อ ข้าถามคำถามเจ้าเล็กๆ ข้อหนึ่ง หนึ่งตำลึงหนึ่งจิน น้ำหนักสองอย่างนี้ มีน้ำหนักเท่าไรกันแน่?”
ชุยซื่อยิ่งมึนงง นี่ก็เรียกว่าเป็นคำถามได้ด้วยหรือ?
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยต่อว่า “น้ำหนักสองอย่าง ใครเป็นคนตั้งกฎเกณฑ์ ช่วงแรกเริ่มสุด ตาชั่งและตุ้มชั่งน้ำหนักอยู่ในมือของใคร เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน กับหนึ่งหมื่นปีให้หลัง จะมีความคลาดเคลื่อนสักนิดหรือไม่? หรือหากมีความคลาดเคลื่อนแม้เพียงเสี้ยวเดียว การเคลื่อนโคจรของหมื่นสรรพสิ่งในใต้หล้า จะมีอะไรที่ได้รับผลกระทบบ้าง?”
ชุยซื่อเริ่มใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง แล้วก็ให้รู้สึกปวดหัวราวกับหัวจะแตก
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยเนิบช้า “ความรู้บางอย่างบนโลกที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด มองดูเหมือนอยู่ห่างจากโลกมนุษย์ไปไกลแสนไกล แต่ไม่อาจพูดได้ว่าพวกมันไม่มีประโยชน์ จะต้องมีความรู้บางอย่างที่มองดูเหมือนไม่มีประโยชน์ แล้วก็ต้องมีคนที่เอามันมาทำเป็นความรู้ เรื่องพวกนี้ที่ข้าพูดกับเจ้า ช่วยให้เจ้าหาเหรียญทองแดงได้สักเหรียญหนึ่งไหม? หรือว่าช่วยให้ตบะของเจ้าพัฒนาได้บ้างหรือไม่?”
ชุยซื่อส่ายหน้า “ไม่ค่อยได้”
หลี่ซีเซิ่งมองไปยังบัณฑิตแห่งสำนักศึกษาที่รูปโฉมแก่ชราในม้วนภาพวาดแล้วก็ให้รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขาดึงสายตากลับมา หันหน้ามามองเด็กหนุ่มที่ ‘ไม่ใช่คน’ เพราะเป็นเพียงแค่เศษกระเบื้องกองหนึ่งที่ถูกนำมาประกอบเข้าด้วยกัน แล้วเอ่ยว่า “หล่อหลอมปราณวิญญาณมาใช้เอง เดินขึ้นฟ้าทีละก้าว เป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย ก็คือการฝึกตนถามมรรคา ชาวลัทธิขงจื๊ออย่างพวกเราจะต้องนำบทความคุณธรรม ความรู้บนหน้ากระดาษกลับไปหล่อเลี้ยงคนบนโลก นี่ก็คือการโน้มน้าวให้คนทำความดีของลัทธิขงจื๊อ สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยยามราตรี หล่อเลี้ยงให้สรรพสิ่งชุ่มชื้นอย่างไร้เสียง นี่ก็คือขอบเขตสูงสุดของความรู้”
หลี่ซีเซิ่งเงียบงันไปครู่หนึ่ง เขามองควันธูปที่ลอยกรุ่นอยู่เหนือกระถางธูป แล้วเอ่ยว่า “หนึ่งเก็บ ก็คือฟ้าและคนผสานรวมเป็นหนึ่ง พิสูจน์มรรคาความเป็นอมตะ หนึ่งปล่อย นับแต่โบราณอริยะปราชญ์ล้วนเงียบเหงา มีเพียงบทความที่ทิ้งไว้นานร้อยปีพันปี ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่แท้จริงล้วนไม่เคยเอาแต่แสวงหาความเป็นอมตะอย่างเดียวเท่านั้น”
ถึงอย่างไรอาจารย์ผู้เฒ่าก็แก่แล้ว พูดไปพูดมาตัวเขาเองก็เริ่มเหนื่อย ในอดีตที่ต้องสอนหนังสือในสำนักศึกษาหนึ่งชั่วยาม เขาก็สามารถพูดได้นานถึงครึ่งชั่วยาม
แต่วันนี้ผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยาม เขาก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงและกำลังใจให้อธิบายต่อไปอีกแล้ว สีหน้าของอาจารย์ผู้เฒ่าเศร้าอาลัย ทอดสายตามองไปยังทิศไกล พูดพึมพำกับตัวเองว่า “อันที่จริงข้ารู้ว่าไม่มีคนฟัง ไม่มีใครฟังเรื่องพวกนี้ที่ข้าพูด”
ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเบา “เมื่อยี่สิบปีก่อน ฟังเจ้าขุนเขาอธิบาย ทุกๆ สามวันห้าวันยังพอจะมีปราณวิญญาณเพิ่มมาจากเงินเกล็ดหิมะบ้าง เมื่อสิบปีก่อนก็น้อยลงมากแล้ว ทุกครั้งพอได้ยินว่ามีคนยินดีทุ่มเงินแสดงความเวทนาต่อความรู้ของข้าผู้อาวุโส ข้าผู้อาวุโสก็จะต้องหาคนไปดื่มเหล้าด้วย…”
พูดมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็เค้นรอยยิ้มออกมา หยิบตำราบันทึกการท่องเที่ยวเล่มนั้นขึ้น “ก็คือตาเฒ่าที่พิมพ์หนังสือเล่มนี้ขายแลกเงินนี่แหละ เวลาเพียงชั่วพริบตา ดื่มเหล้าด้วยกันแค่ไม่กี่มื้อก็แก่กันหมดแล้ว”
“หลายปีที่ผ่านมานี้ก็ยิ่งไม่สามารถอาศัยความรู้น้อยนิดพวกนี้ช่วยหาเงินเกล็ดหิมะมาให้ทางสำนักศึกษาได้แม้แต่เหรียญเดียว รู้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจจริงๆ”
สีหน้าของผู้เฒ่าเศร้าสลด เขาวางตำราเล่มนั้นลง แล้วจู่ๆ ก็พูดกลั้วหัวเราะอย่างฉุนๆ ว่า “เจ้าเฒ่าแซ่เฉียน ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังดูอยู่ กลัวว่าข้าจะไม่ช่วยเจ้าขายหนังสือใช่ไหม?! มารดาเจ้าเถอะ เอาขาที่ยกขึ้นนั่งไขว่ห้างลงซะ หรือจะไม่เอาลงก็ได้ จำไว้ว่าอย่าดื่มเหล้ากินกับแกล้มจนหมด จะดีจะชั่วก็เหลือไว้ให้ข้าบ้าง รอให้ข้าออกไปจากสำนักศึกษา แล้วให้ข้าได้กินสักคำสองคำก็ยังดี”
ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะ “บรรยายคราวนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะสร้างความอัปยศให้ตัวเองในสำนักศึกษาแล้ว ไม่มีคนฟังก็ยิ่งดี จะได้ไม่ต้องเสียเงินอย่างเปล่าประโยชน์ ฝึกตนอยู่บนภูเขาไม่ใช่เรื่องง่าย ความรู้ที่ข้าบรรยายมาสามสิบปีไม่มีประโยชน์อะไรเลยจริงๆ ดูอย่างข้าสิ สภาพข้าในทุกวันนี้เหมือนบัณฑิต เหมือนคนมีความรู้ไหม? ขนาดตัวข้าเองยังรู้สึกว่าไม่เหมือน”
ผู้เฒ่าเตรียมจะเก็บบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำลงไป เขามีแต่ยศนักปราชญ์ของสำนักศึกษาที่ว่างเปล่า ไม่ใช่ผู้ฝึกตนจริงๆ จึงไม่อาจโบกมือให้เกิดลมเกิดฝนอะไรได้
และเวลานี้เอง หลี่ซีเซิ่งที่อยู่ในแคว้นชิงเฮาก็โยนเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งลงไปเบาๆ เขาลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะพลางเอ่ยว่า “บัณฑิตหลี่ซีเซิ่งได้รับผลประโยชน์มากมาย ขอคารวะขอบคุณท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้”
อาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้นอึ้งตะลึงค้างอยู่กับที่เป็นนาน เขาถึงขั้นน้ำตาคลอ โบกมือกล่าวว่า “มิกล้ารับ มิกล้ารับ”
จากนั้นผู้เฒ่าก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เขาเข้าใจผิดคิดว่ามีคนโยนเงินร้อนน้อยมาหนึ่งเหรียญจึงพูดเสียงเบาว่า “บันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้น อย่าได้ไปซื้อตามเด็ดขาด ไม่คุ้มค่า ราคาแพงจะตายอยู่แล้ว ไม่คุ้มค่าแม้แต่นิดเดียว! ต่อให้จะมีเงินเทพเซียนมากแค่ไหนก็ไม่ควรเอามาใช้ฟุ่มเฟือยเช่นนี้ เรื่องของการฝึกอบรมตนและปกครองบ้านเรือน พูดไปแล้วอาจฟังดูยิ่งใหญ่ แต่ในความเป็นจริงก็ควรลงมือจากเรื่องเล็กๆ …”
เมื่อเริ่มจะพร่ำพูดถึงหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ด้วยความเคยชิน อาจารย์ผู้เฒ่าก็พลันหุบปากฉับ สีหน้าเปลี่ยวเหงา เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “ไม่พูดแล้วๆ”
แล้วจู่ๆ ก็มีคนทุ่มเงินฝนธัญพืชลงมาอีกเหรียญหนึ่ง พูดด้วยเสียงดังกังวานว่า “หลิวจิ่งหลงรับฟังคำสั่งสอนของอาจารย์มาสามสิบปี ขอขอบพระคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้ ครั้งนี้ออกจากด่านมา โชคดีที่ไม่พลาดการสอนครั้งสุดท้ายของท่านอาจารย์!”
ไม่เพียงแค่อาจารย์ผู้เฒ่าเท่านั้นที่รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า แม้แต่ชุยซื่อเองก็ยังอดไม่ไหวเปิดปากถาม “อาจารย์ คือหลิวจิ่งหลงเซียนกระบี่หนุ่มของสำนักกระบี่ไท่ฮุยหรือ?”
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
อาจารย์ผู้เฒ่าน้ำตาไหลอาบใบหน้าแก่ชรา สุดท้ายเขานั่งตัวตรงอย่างสำรวม เอวยืดหลังตั้ง ยิ้มกล่าวว่า “วันหน้ามีโอกาสจะต้องมาดื่มเหล้ากับข้าล่ะ! ไม่ได้อยู่ในสำนักศึกษาแล้ว แต่ก็อยู่ห่างไปไม่ไกล หาได้ง่าย แค่บอกไปว่ามาหาอาจารย์กั่วเจี่ยวจะต้องหาเจอแน่นอน ถึงเวลานั้นข้าจะต้องบ่นสักหน่อยว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่แสดงตัวตนเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ให้ข้าผู้อาวุโสได้มีหน้ามีตาอยู่ในสำนักศึกษาบ้าง”
แล้วจู่ๆ คนที่สามที่แม้จะไม่ได้ทุ่มเงิน แต่กลับส่งเสียงดังสะท้อนก้องขึ้นว่า “ครั้งนี้บรรยายความรู้ได้แย่ที่สุด แต่ความสามารถในการช่วยคนขายหนังสือกลับไม่น้อย ทำไมไม่ไปเปิดร้านขายหนังสือเองเลยเล่า ข้าโจวมี่กลับยินดีจะซื้อหลายๆ เล่ม”
อาจารย์ผู้เฒ่ากดเสียงลงต่ำ ถามหยั่งเชิงไปว่า “เจ้าขุนเขาโจว?”
คนผู้นั้นหัวเราะหึหึ “ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร? ในอุตรกุรุทวีป ใครสามารถพูดคำว่า ‘ข้าโจวมี่’ ได้อย่างถูกต้องชอบธรรมแบบนี้อีก?”
อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นรีบวิ่งไปปิดตำราอริยะปราชญ์เล่มหนึ่งที่เปิดอ้าอยู่ ไม่ให้คนทั้งสามได้เห็นสภาพอับจนของตัวเอง
อาจารย์ผู้เฒ่าอายุปูนนี้แล้ว ถึงอย่างไรก็ยังต้องรักษาหน้าตาเอาไว้บ้าง
……
ในขณะที่ซานจวินเว่ยป้อกำลังจะออกจากภูเขาพีอวิ๋น
ขบวนรถม้ายิ่งใหญ่ขบวนหนึ่งก็ทำการย้ายบ้านออกไปจากเมืองไหวหวงเขตการปกครองหลงเฉวียน
ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนของภูเขาหนิวเจี่ยว แต่เป็นเพราะไม่มีใครยอมตอบตกลง นี่ทำให้สตรีแต่งงานแล้วที่มีอำนาจใหญ่ในการดูแลทรัพย์สินเงินทองรู้สึกเสียดายอย่างมาก ตลอดชีวิตที่ผ่านมานางยังไม่เคยนั่งเรือข้ามฟากตระกูลเซียนมาก่อนเลย
ช่วยไม่ได้ บุตรชายที่ไม่อนุญาต นางที่เป็นมารดาก็จนปัญญา ได้แต่คล้อยตามเขาไป
ตระกูลหม่าในตรอกซิ่งฮวา หลังจากหญิงชราตายไป เพียงไม่นานหลานชายของหญิงชราก็ออกไปจากเมืองเล็กด้วย บ้านบรรพบุรุษถูกปล่อยว่างไว้ตลอด ส่วนลูกชายลูกสะใภ้ของหญิงชราก็ย้ายออกจากบ้านบรรพบุรุษในตรอกซิ่งฮวาไปนานแล้ว ตระกูลหม่ามีเงิน แต่กลับไม่เปิดเผยตัวตน ก็เหมือนกับบิดาของหลินโส่วอีที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการงานเตาเผาที่มีอำนาจ แต่กลับไม่โดดเด่น ความทรงจำที่ผู้คนมีต่อเขาจึงเห็นเป็นแค่เสมียนปลายแถว คนของสองตระกูลนี้จึงมีสภาพการณ์ที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร
ปีนั้นสามีภรรยาตระกูลหม่าย้ายออกไปจากตรอกซิ่งฮวา แต่กลับไม่ได้ไปซื้อบ้านอยู่บนถนนฝูลวี่หรือตรอกเถาเย่ และตอนนี้ก็ได้แอบขายเตาเผามังกรที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเปลี่ยนมือให้แก่สกุลสวี่นครลมเย็นที่ให้ราคาสูงเทียมฟ้าแล้ว
จากนั้นภายใต้การจัดการของบุตรชาย พวกเขาก็ย้ายบ้านไปอยู่ในอาณาเขตของภูเขาเจินอู่หนึ่งในปฐมสำนักของสำนักการทหาร รุ่นลูกรุ่นหลานในภายภาคหน้าก็จะลงหลักปักฐานอยู่ที่นั่น อันที่จริงสตรีแต่งงานแล้วไม่ค่อยเต็มใจนัก และบุรุษของนางก็ไม่รู้สึกสนใจสักเท่าไร สองสามีภรรยาอยากจะไปอยู่ที่เมืองหลวงต้าหลีมากกว่า แต่น่าเสียดายที่บุตรชายบอกแล้วว่า พวกเขาที่เป็นพ่อแม่แค่ทำตามที่บอกก็พอ เพราะถึงอย่างไรบุตรชายก็ไม่ใช่เด็กโง่ของตรอกซิ่งฮวาในอดีตคนนั้นอีกแล้ว แต่เป็นหม่าขู่เสวียน ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่โดดเด่นที่สุดของแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่มีชื่อเสียงด้านการเข่นฆ่าของราชวงศ์จูอิ๋งก็ยังถูกบุตรชายของพวกเขาสังหารไปถึงสองคน
สตรีแต่งงานแล้วเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น มองไปยังม้าตัวหนึ่งที่อยู่ด้านนอก คนที่ขี่ม้าตัวนั้นก็คือหญิงสาวหน้าตางดงามจนเหมือนไม่มีอยู่จริง ตอนนี้เป็นสาวใช้ของบุตรชายตน บุตรชายตั้งชื่อให้นางว่า ‘ซู่เตี่ยน’
สตรีรู้สึกว่าน่าสนใจ มีเพียงเรื่องนี้ที่ทำให้นางรู้สึกว่าบุตรชายยังคงเป็นเด็กโง่ในปีนั้น
กำลังพานประชดใครอยู่สินะ
ในอดีตซ่งจี๋ซินของตรอกหนีผิงที่เล่าลือกันว่าเป็นบุตรนอกสมรสของใต้เท้าผู้ตรวจการ มีสาวใช้ข้างกายนามว่าจื้อกุย
ฟังจากคำบอกเล่าของแม่สามีตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ อันที่จริงบุตรชายชื่นชอบจื้อกุยผู้นั้นมาโดยตลอด
สตรีที่ขี่ม้าเคียงข้างไปกับรถม้าช้าๆ สัมผัสได้ถึงสายตาของสตรีแต่งงานแล้ว แรกเริ่มนางคิดจะทำเป็นมองไม่เห็น
แต่บุรุษหนุ่มที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าสุดของขบวนหันหน้ามามองนางด้วยสีหน้าเย็นชา
นางตกใจจนตัวสั่น รีบหันไปทางผ้าม่านรถแล้วถามเสียงอ่อนโยนทันที “ฮูหยิน ต้องการให้จอดรถหยุดพักหรือไม่เจ้าคะ?”
สตรีวัยกลางคนยิ้มพลางส่ายหน้า ก่อนจะปล่อยผ้าม่านลงช้าๆ
หญิงสาวที่ถูกตั้งชื่อให้ว่าซู่เตี่ยนชำเลืองตามองแผ่นหลังของบุรุษหนุ่มด้านหน้า ในใจนางทุกข์ตรมขมขื่น แต่กลับไม่กล้าแสดงออกมา
ปีนั้นนางเข้ามาในถ้ำสวรรค์หลีจูพร้อมกับแม่ลูกสกุลสวี่นครลมเย็นและวานรย้ายขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยง ทุกคนต่างก็มาตามหาโชควาสนา แต่พอถึงท้ายที่สุด กลับเป็นนางที่มีสภาพอเนจอนาถมากที่สุด ไม่ได้โชควาสนามาอยู่ในมือแม้แต่อย่างเดียว ยังสร้างหายนะใหญ่เทียมฟ้า คือหายนะทำลายล้างตระกูลที่แท้จริง ท่านปู่ของนาง เจ้านายของกองทัพม้าเหล็กไห่เฉา หลังจากกองทัพต้าหลีที่บุกไปที่ใดที่นั่นก็สิ้นราบพนาสูรทำลายแคว้นของพวกเขาแล้ว เดิมทีพวกเขายังสามารถคล้อยไปตามสถานการณ์ ทิ้งอำนาจทางการทหาร แต่ยังรักษาสถานะขุนนางในราชสำนักเอาไว้ได้ จากนั้นท่านปู่ก็จะขอลาออกกลับคืนสู่บ้านเกิด ทว่าคนหนุ่มผู้นี้กลับปรากฏตัว
เดิมได้กลับคืนสู่บ้านเกิดอย่างสมเกียรติ ทางราชสำนักโยกย้ายองค์รักษ์ติดตามขบวนมาคุ้มครองพวกเขา เมื่อรวมกับองค์รักษ์ทหารคนสนิทของท่านปู่ด้วย คนร้อยกว่าคน ล้วนตายกันหมด ศพนอนเกลื่อนพื้น
นางกับผู้เฒ่านั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
หม่าขู่เสวียนยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสองที่คุกเข่า มือกดลงบนศีรษะทั้งสอง บอกว่าศีรษะสองศีรษะนี้ก็ยังชดใช้หนี้คืนได้ไม่หมด ต่อให้กองทัพม้าเหล็กไห่เฉาตายกันจนสิ้นซาก ก็ยังชดใช้คืนไม่หมดอยู่ดี
หม่าขู่เสวียนถามผู้เฒ่าคนนั้นว่า ควรจะทำอย่างไรดี
ผู้เฒ่าเริ่มโขกหัว วิงวอนขอให้หม่าขู่เสวียนปล่อยหลานสาวของเขาไป เอาชีวิตเขาแค่คนเดียว
อยู่บนหลังม้ามาทั้งชีวิต ผลงานการสู้รบมีนับไม่ถ้วน ไหนเลยจะนึกได้ว่าต้องมามีจุดจบเช่นนี้ สตรีที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างบื้อใบ้ราวท่อนไม้
หม่าขู่เสวียนจึงกดฝ่ามือหนึ่งลงไป เหลือเพียงศพที่กองพังพาบด้วยสภาพน่าสังเวชจนไม่อาจทนมอง
สุดท้ายหม่าขู่เสวียนไม่ได้ฆ่านาง แต่เก็บนางไว้ข้างกาย ตั้งชื่อให้นางใหม่ว่าซู่เตี่ยน ไม่มีแซ่
สุดท้ายซู่เตี่ยนที่ขวัญหายก็ติดตามหม่าขู่เสวียนไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน
คนหนุ่มที่ตลอดทางฆ่าคนตามใจชอบ พอกลับไปถึงบ้านเกิด สถานที่แรกที่เขาไปไม่ใช่ตรอกซิ่งฮวา ยิ่งไม่ใช่สถานที่ที่พ่อแม่ของเขาพักอาศัย แต่ไปเดินอยู่ริมตลิ่งลำคลองหลงซวี ยืนอยู่เหนือต้นกำเนิดน้ำตกอันเป็นจุดตัดระหว่างลำคลองหลงซวีกับแม่น้ำเถี่ยฝู จากนั้นซู่เตี่ยนก็ได้เห็นเทพถือกระบี่องค์หนึ่งปรากฏตัว คือเทพวารีอันดับหนึ่งของต้าหลี นามว่าหยางฮวา
ตอนนั้นหม่าขู่เสวียนนั่งยองอยู่ตรงจุดตัดระหว่างลำคลองกับแม่น้ำ โยนก้อนหินลงไปในน้ำเบาๆ ยิ้มพูดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของต้าหลีที่ระดับเทพสูงอย่างถึงที่สุดคนนั้นว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคือสาวใช้ข้างกายของไทเฮา ส่วนข้านั้นเป็นแค่หลานชายของเทพลำคลองใต้บังคับบัญชาของเจ้า ตามหลักแล้วก็ควรจะเคารพนับถือเจ้าสักหน่อย แต่ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่ค่อยเกรงใจท่านย่าของข้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องระวังตัวแล้ว คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภูตผี หากติดค้างหนี้ก็ล้วนต้องชำระคืน รอให้คราวหน้าที่ข้ากลับมาเยี่ยมท่านย่าที่นี่อีกครั้ง หากเจ้ายังไม่ใช้หนี้ให้ครบ กล้าชี้นิ้วบงการลำคลองหลงซวีสายนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเอาร่างทองของเจ้าไปกักไว้บนภูเขาเจินอู่ ทุบตีหล่อหลอมทุกวัน แก่นควันธูปสลายหายไปเท่าไร ข้าก็จะป้อนควันธูปกลับคืนให้เจ้าเท่านั้น ข้าจะให้เจ้าชดใช้ไปพันปี ต่อให้ข้าหม่าขู่เสวียนตายไปแล้ว แต่ขอแค่ภูเขาเจินอู่ยังคงอยู่ เจ้าก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานพันปี หากน้อยไปแค่วันเดียวก็ถือว่าข้าหม่าขู่เสวียนแพ้”
หยางฮวาเทพวารีพ่นเสียงออกจากจมูก
หม่าขู่เสวียนเอ่ยอีกประโยคว่า “ในเมื่อเจ้าสามารถเป็นองค์เทพของสายน้ำใหญ่ได้ แน่นอนว่าต้องไม่กลัวความลำบาก ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นสตรี ไม่มีนิสัยของมนุษย์แล้ว แต่สันดานบางอย่างก็ยากจะลบล้างไปได้อย่างสิ้นซาก ทุกๆ ช่วงเวลาสองสามปีข้าจะจับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกศาลเถื่อน หรือไม่ก็พวกภูตบนภูเขาหนองบึงไปที่ภูเขาเจินอู่ จากนั้นก็ถ่ายทอดวิชาลับวิชาหนึ่งที่สาบสูญไปนานแล้วให้พวกเขา ให้พวกเขาได้มีโชคท่ามกลางเคราะห์ร้าย ให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าติดเงินแล้วต้องชดใช้คืนด้วยร่างกาย”
สุดท้ายหม่าขู่เสวียนเอ่ยว่า “ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ก็เพราะหวังว่าเจ้าจะไม่เลียนแบบคนบางคน โง่เง่าจนคิดว่าเรื่องเล็กๆ หลายเรื่องจะเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ ตลอดไป ไม่อย่างนั้นข้าหม่าขู่เสวียนฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเท่าไร พวกเจ้าก็ต้องชดใช้หนี้เร็วเท่านั้น”
เทพวารีของแม่น้ำเถี่ยฝูไม่ได้เอ่ยคำใด ใบหน้ามีเพียงรอยยิ้มดูแคลน