กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 561.2 เสียงกลองยามเช้า เสียงระฆังยามเย็น ไร้ซึ่งควันไฟหุงหาอาหาร
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 561.2 เสียงกลองยามเช้า เสียงระฆังยามเย็น ไร้ซึ่งควันไฟหุงหาอาหาร
อู๋ยวนหัวเราะร่า หมุนตัวไปดึงกระดาษปึกหนึ่งออกมาจากบนโต๊ะหนังสือ บนม้วนกระดาษเขียนด้วยอักษรบรรจงตัวเล็กเป็นระเบียบ เขายื่นมันส่งให้กับเว่ยป้อ “ล้วนเขียนอยู่ในนี้หมดแล้ว”
เว่ยป้อก้มหน้าลงอ่านเนื้อหาบนกระดาษแล้วจุ๊ปากพูด “ตลอดทางที่เดินมา พวกชาวบ้านในพื้นที่ล้วนพูดกันว่าเขตการปกครองอวี๋ชุนมีขุนนางพ่อแม่ที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาดำรงตำแหน่ง ที่แท้เจ้าเมืองอู๋ก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ เลยนี่นา”
ข่าวลือปะปนกันวุ่นวายที่ได้ยินมามีความหมายไม่มาก อีกทั้งยังง่ายที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิด
สิ่งที่เขียนไว้บนกระดาษของอู๋ยวนกลับเป็นบันทึกเกี่ยวกับสิ่งที่ภูเขาเช่อจื่อขุนเขากลางและจิ้นชิงซานจวินทำมาในประวัติศาสตร์
เว่ยป้ออ่านบันทึกที่อยู่บนหน้ากระดาษอย่างละเอียด ล้วนเขียนไว้ว่าในยุคสมัยไหนราชวงศ์ใด จิ้นชิงเคยทำเรื่องอะไรมาบ้าง นอกจากนี้แล้วยังมีตัวอักษรสีแดงเขียนกำกับอธิบายความเข้าใจที่ตัวอู๋ยวนซึ่งเป็นคนนอกมีต่อบันทึกที่เหมือนตำราประวัติศาสตร์ปึกนี้ เรื่องเล่าข่าวลือตามหมู่ชาวบ้านบางอย่าง อู๋ยวนก็เขียนไว้เหมือนกัน แต่จะต้องเขียนสองคำว่า ‘อภินิหารเทพเจ้าและภูตผีปีศาจ’ กับ ‘เรื่องแปลกมหัศจรรย์’ กำกับไว้ด้วย
เว่ยป้ออ่านอย่างละเอียด แต่กลับอ่านได้อย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็อ่านกระดาษปึกใหญ่นั้นจบ พอคืนให้อู๋ยวนแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ของขวัญที่นำมามอบให้นับว่าไม่เสียเปล่า”
เว่ยป้อเขย่งปลายเท้าชำเลืองตามองกองกระดาษที่อยู่บนโต๊ะ “โอ้ บังเอิญจริง ช่วงนี้ใต้เท้าอู๋ก็ศึกษาประวัติความเป็นมาของการขุดเจาะหลุมหินจานฝนหมึกมากมายในเขตการปกครองอวิ๋นซิ่งด้วยหรือ? ทำไม จะจัดพิมพ์เป็นหนังสือหรือไร? เจ้าเมืองเขตการปกครองอวี๋ชุนแอบอาศัยผลผลิตพิเศษของเขตการปกครองอวิ๋นซิ่งมาหาเงินส่วนตัว ไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไรกระมัง?”
อู๋ยวนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ไม่มีเรื่องอะไรทำ ก็เลยอยากจะใช้เรื่องเล็กเรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้น จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในวงการขุนนางของราชวงศ์จูอิ๋งได้มากหน่อย เอกสารลับคลังบุ๋นของพระราชวังแคว้นล่มสลายนี้ถูกปิดตายไปนานแล้ว ข้าน้อยไม่มีโอกาสจะไปเปิดอ่านดู จึงได้แต่เลือกใช้วิธีการอย่างอื่น”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ เอ่ยชมเชยว่า “ใต้เท้าอู๋ไม่ได้เป็นผู้ว่าคนใหม่ของจังหวัดหลงโจวพวกเรา นับว่าน่าเสียดายอย่างยิ่ง”
อู๋ยวนยิ้มกล่าว “ทำดีควรได้รางวัล ทำผิดก็ควรรับโทษ เดิมทีก็ควรเป็นเช่นนี้ สามารถรักษาหมวกขุนนางเจ้าเมืองเอาไว้ได้ ข้าก็พอใจมากแล้ว แล้วยังไม่ต้องอยู่ให้ขวางหูขวางตาบุคคลใหญ่บางคน ไม่ขวางทางคนบางคนในราชสำนัก ก็ถือว่าได้รับโชคหลังเคราะห์ร้ายกระมัง ได้มาหลบอยู่ที่นี่ก็มีชีวิตที่สงบสุขดีเหมือนกัน”
เว่ยป้อไม่ได้มีท่าทีว่าจะหยุดอยู่นาน อู๋ยวนจึงกล่าวว่า “ซานจวินออกจากเขตการปกครองมาครั้งนี้คงจะมาเยี่ยมหาสวี่รั่วด้วยกระมัง? ทางที่ดีที่สุดควรไปที่ศาลของขุนเขากลางก่อน แล้วค่อยไปเยี่ยมเยือนสหายเก่าก็ยังไม่สาย”
เว่ยป้อพยักหน้า “ข้าก็วางแผนไว้อย่างนี้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ข้าปิดด่านอยู่ที่ภูเขาพีอวิ๋น ท่านสวี่ช่วยคุมหลังพิทักษ์ด่านให้ข้า ขณะที่ข้ากำลังจะฝ่าด่านสำเร็จ เขาก็จากมาเงียบๆ กลับมาถึงภูเขาเช่อจื่อของพวกเจ้า น้ำใจควันธูปที่ใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้ หากไม่ขอบคุณต่อหน้าย่อมไม่เหมาะ”
อู๋ยวนยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนใต้เท้าซานจวินรีบไปซะเถอะ อย่าได้อยู่ถ่วงเวลาการชื่นชมจานฝนหมึกโบราณของข้าน้อยเลย”
เว่ยป้อยิ้มจากไป เรือนกายหายวับไปในพริบตา
อันที่จริงตอนที่เว่ยป้อออกจากเรือข้ามฟากมาปรากฏตัวอยู่ที่เขตการปกครองอวิ๋นซิ่ง เทวรูปองค์ใหญ่มหึมาในศาลขุนเขากลางที่อยู่บนยอดเขาก็ได้ลืมตาสีทองคู่นั้นขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ว่าจิ้นชิงซานจวินเลือกที่จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นการมาเยี่ยมเยือนของเทพชุดขาวผู้นั้น
รอจนเว่ยป้อมาปรากฏตัวที่เขตการปกครองอวี๋ชุนที่อยู่ตรงตีนเขา จวิ้นชิงถึงได้ก้าวยาวๆ ออกมาจากเทวรูปร่างทอง เขาคือบุรุษร่างกำยำที่เรือนกายสูงใหญ่ สวมชุดสีม่วงรัดเข็มขัดหยก ควันธูปบนภูเขาโชติช่วง แต่กลับไม่มีใครเห็นภาพเหตุการณ์นี้
จวิ้นชิงเดินผ่านกลุ่มชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาจำนวนมากในตำหนักใหญ่มา หลังจากเดินข้ามธรณีประตูออกมาแล้วก็มาถึงบนยอดเขาแห่งหนึ่งที่สูงเป็นรองจากยอดเขาเช่อจื่อ และเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็เงียบสงบกว่ามาก
ขุนเขาน้อยใหญ่ในแต่ละแคว้นบนโลกแทบไม่มีทางมียอดเขาเดียวดายที่มีแค่สองสามลูกเท่านั้น ส่วนใหญ่อาณาเขตมักจะกว้างขวาง เทือกเขาทอดยาวเป็นสาย อย่างภูเขาเช่อจื่อนี้ก็ประกอบไปด้วยยอดเขาถึงแปดลูก ยอดเขาหลักถูกขนานนามให้เป็นเจ้าแห่งหมื่นขุนเขาในอาณาเขตภาคกลางของราชวงศ์จูอิ๋ง บนยอดเขาสร้างศาลขุนเขากลางเอาไว้ ซึ่งจะใช้เป็นสถานที่เซ่นบวงสรวงสำหรับจักรพรรดิ ขุนนางและอาณาประชาราษฎรในแต่ละยุคสมัย
ยอดเขารองแห่งนี้มีชื่อว่ายอดเขาเตี๋ยจ้าง บนยอดเขาไม่มีสิ่งปลูกสร้างอย่างวัดวาอาราม มีเพียงตำหนักเทพภูเขาที่จิ้นชิงเคยสร้างไว้ในอดีต ตอนนี้มีเพียงสาวใช้ไม่กี่คนเท่านั้นที่คอยทำความสะอาดเก็บกวาด ไม่ได้มีองค์เทพภูเขาองค์อื่นเฝ้าพิทักษ์
แรกเริ่มที่สิ่งปลูกสร้างแห่งนี้ถูกสร้างขึ้น จิ้นชิงยังไม่ใช่ซานจวินของขุนเขากลาง แต่ภูเขาเช่อจื่อกลับเป็นขุนเขากลางเก่าแก่ของราชวงศ์จูอิ๋งมาก่อนแล้ว หลังจากที่ร่างทองของอดีตซานจวินแตกสลาย อำนาจในการปกครองหนึ่งขุนเขาก็ถูกส่งมอบมาที่มือของจิ้นชิง และตอนนั้นอัครเสนาบดีผู้มีชื่อเสียงของจูอิ๋งซึ่งกุมอำนาจของหนึ่งแคว้นไว้ในมือก็เคยได้มาสร้างกระท่อมอยู่ตรงกึ่งกลางภูเขาเตี๋ยจ้างทางทิศเหนือ มาศึกษาตำราและฝึกวรยุทธอยู่นานหลายปี
จิ้นชิงมีสีหน้าเฉยเมย เขาหลุบตาลงต่ำมองขุนเขาสายน้ำที่อยู่เบื้องล่าง
เรื่องราวและผู้คนทั้งหมดล้วนผ่านเลยไปเหมือนหมอกควัน
จิ้นชิงเบี่ยงเส้นสายตามองไป ในถ้ำเหล่าจวินของยอดเขาเฟิงหลงแห่งนั้น สวี่รั่วจอมยุทธพเนจรสำนักโม่มาพำนักอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง บอกว่าจะตั้งใจฝึกบำเพ็ญตน แต่แท้จริงแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำในอาณาเขตของยอดเขาเช่อจื่อล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจว่า สวี่รั่วมาจับตาดูขุนเขากลาง เมื่อเทียบกับการต่อสู้ฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำของภูเขาชี่ซานขุนเขาบูรพาแห่งใหม่ที่ผู้ฝึกตนของทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายกันไปนับไม่ถ้วนแล้ว ภูเขาเช่อจื่อก็ถือว่าเปื้อนเลือดน้อยมาก จิ้นชิงรู้แค่ว่าสวี่รั่วเคยออกไปจากอาณาเขตขุนเขากลางอยู่สองครั้ง ครั้งล่าสุดนี้ไปที่ยอดเขาพีอวิ๋นเพื่อช่วยเฝ้าด่านให้แก่เว่ยป้อ แต่ครั้งแรกร่องรอยของเขากลับเลือนรางเกินกว่าจะรับรู้ได้ หลังจากนั้นมา เดิมทีจิ้นชิงนึกว่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่เป็นดั่งเสาค้ำทะเลต่งไห่ของราชวงศจูอิ๋งจะปรากฎตัว แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ปรากฏตัวเลย จิ้นชิงจึงไม่แน่ใจว่าสาเหตุเป็นเพราะว่าสวี่รั่วไปหาเขาหรือไม่
หากเป็นสวี่รั่วที่ไปขัดขวางเซียนกระบี่ผู้เฒ่าท่านนั้นจริงๆ
ในฐานะซานจวินของหนึ่งขุนเขาแห่งแจกันสมบัติทวีป จิ้นชิงกลับรู้สึกดีขึ้นมาได้เล็กน้อย
เกี่ยวกับว่าตบะของสวี่รั่วผู้นี้สูงหรือต่ำ ไม่ว่าใครก็มองไม่ออก แล้วก็ไม่มีคำบอกกล่าวที่แน่ชัด หากจะบอกว่าหร่วนฉงแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนคือผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่มีชื่อเสียงที่สุดของแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ ถ้าอย่างนั้นสวี่รั่วก็คือคนที่อำพรางตนได้อย่างลึกล้ำที่สุด เบาะแสเพียงอย่างเดียวที่มีก็คือเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะเคยไปท้ารบกับเทียนจวินเซี่ยสือ หลังจบเรื่องก็มีแค่ข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ แพร่ออกมาว่า หากมีคนพาดกระบี่ขวางไว้ด้านหลัง เขาเว่ยจิ้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเอาชนะได้
ต่อให้สวี่รั่วจะฝึกตนอยู่ใต้เปลือกตาของจิ้นชิง ทว่าจิ้นชิงซานจวินกลับยังคงเหมือนในอดีต นั่นคือเหมือนคนธรรมดาที่มองหุบเหวลึก รู้สึกเพียงว่าลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง
จิ้นชิงชำเลืองตามองไปยังที่ว่าการเจ้าเมืองเขตการปกครองอวี๋ชุน แล้วรอยยิ้มเย็นชาก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมา
หากไม่ผิดไปจากที่คาด ซานจวินแห่งขุนเขาเหนือผู้นี้ได้พบกับอู๋ยวนแล้วก็น่าจะไปขอบคุณสวี่รั่วที่อยู่บนยอดเขาเฟิงหลงก่อน
แล้วค่อยมาหาตน ความมั่นใจจะได้มากขึ้น
จิ้นชิงขมวดคิ้ว
นาทีถัดมา คนชุดขาวก็พลิ้วกายลงบนพื้น ปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาเตี๋ยจ้างแห่งนี้ แล้วค่อยๆ เดินเข้าหาจิ้นชิง คนผู้นั้นยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “คารวะจิ้นซานจวิน มารบกวนท่านแล้ว”
จิ้นชิงเอ่ย “เป็นองค์เทพซานจวินเหมือนกัน ห้าขุนเขามีความแตกต่าง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันเช่นนี้ มีธุระก็ว่ามาได้เลย หากไม่มีธุระก็โปรดอภัยที่ไม่รั้งตัวไว้”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้ได้ย่อมดีที่สุด ข้ามาเยือนภูเขาเช่อจื่อในครั้งนี้ก็เพราะอยากจะเตือนเจ้าจิ้นชิงสักคำ ว่าอย่าทำตัวเป็นซานจวินแห่งขุนเขากลางอะไรอยู่ ขุนเขาเหนือของข้าไม่ค่อยชอบใจนัก”
จิ้นชิงไม่ได้หันไปมองเทพชุดขาวที่ท่วงท่าสง่างามผู้นั้น เพียงแค่ทอดสายตามองไปยังทิศไกล ถามว่า “ไม่ค่อยชอบใจแล้วอย่างไร?”
เว่ยป้อยื่นนิ้วมาเคาะต่างหูสีทองเบาๆ ยิ้มบางเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นขุนเขากลางก็ต้องปิดภูเขาแล้ว”
จิ้นชิงหันหน้ามา “มีพระราชโองการลับของฮ่องเต้ต้าหลี? หรือว่าบนร่างของเจ้ามีหนังสือคำสั่งของกรมพิธีการแห่งราชสำนัก?”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ “แน่นอนว่า…”
จากนั้นก็ส่ายหน้าเอ่ยเสริมว่า “ไม่มีทั้งสองอย่าง”
จิ้นชิงผายมือออกมาข้างหนึ่งพลางยิ้มหยันเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเว่ยซานจวินก็ทำตามอำเภอใจตัวเองสินะ?”
เว่ยป้อทำตามใจตัวเองจริงๆ นั่นแหละ
โชคชะตาของขุนเขาเหนือประดุจดั่งน้ำในมหาสมุทรที่ไหลทะลักเข้าสู่พื้นที่ใจกลางของทวีป พลังอำนาจนั้นดุดันน่าเกรงขาม จากใต้ไปเหนือ ราวกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่อยู่บนก้อนเมฆ
ดูจากท่าทางนั้นแล้วย่อมไม่ใช่แค่แสร้งข่มขู่ให้คนกลัวอย่างแน่นอน
จิ้นชิงรู้ดีว่าหากโชคชะตาสายน้ำภูเขาของขุนเขาทั้งสองลูกปะทะกันเมื่อไหร่ ก็คือปัญหาใหญ่เทียมฟ้า จึงอดไม่ไหวพูดเสียงดังอย่างเดือดดาลว่า “เว่ยป้อ! เจ้าจงชั่งน้ำหนักผลลัพธ์ที่จะตามมาให้ดี!”
เว่ยป้อเอาสองมือไพล่หลัง ยิ้มร่าเอ่ยว่า “ควรจะเรียกอย่างเคารพว่าเว่ยซานจวินถึงจะถูก”
จิ้นชิงไม่มัวเสียเวลาพูดไร้สาระอยู่อีก เห็นเพียงว่าในศาลภูเขาของขุนเขากลางที่อยู่บนยอดเขาหลักเช่อจื่อปรากฎกายธรรมร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขนาดมหึมาองค์หนึ่งที่ชูแขนขึ้นสูง ม้วนหอบเอาทะเลเมฆมาคล้ายจะยกฝ่ามือตบเข้าที่ยอดเขาเตี๋ยจ้าง
ด้านหลังของเว่ยป้อ ยอดเขาเตี๋ยจ้างก็มีกายธรรมร่างทองใหญ่โอฬารร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเช่นกัน กายธรรมนั้นยืนทับซ้อนอยู่กับยอดเขา ต่อให้ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของขุนเขาบ้านตัวเอง แต่กายธรรมของเว่ยป้อกลับยังสูงกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของขุนเขากลางถึงห้าสิบกว่าจั้ง
กายธรรมสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาเหนือที่เว่ยป้อใช้วิชาอภินิหารร่ายออกมา มือข้างหนึ่งกระชากแขนขององค์เทพขุนเขากลาง อีกมือหนึ่งกดศีรษะของฝ่ายหลัง จากนั้นก็ยกเท้าถีบออกไปหนักๆ ถึงกับทำให้ร่างทองของจิ้นชิงโซเซถอยไปหลายก้าวจนเกือบจะผงะหงายล้มทับยอดเขาเฟิงหลงของภูเขาเช่อจื่อ แต่ถึงกระนั้นเว่ยป้อก็ยังไม่ยอมเลิกรา ด้านหลังกายธรรมใหญ่ยักษ์ของเว่ยป้อมีวงแสงสีทองปรากฎ จึงเอื้อมมือไปด้านหลัง คว้าจับห่วงทอง เตรียมจะขว้างกระแทกแสกหน้ากายธรรมของขุนเขากลาง
ทั้งสองฝ่ายยังนับว่าสยบกำลังเอาไว้มากแล้ว เพราะกายธรรมร่างทองล้วนเป็นภาพมายาทั้งคู่ ไม่อย่างนั้นสิ่งปลูกสร้างบนสามยอดเขาของภูเขาเช่อจื่อคงถูกทำลายไปนับไม่ถ้วนแล้ว
และเวลานี้เอง ตรงถ้ำเหล่าจวินของยอดเขาเฟิงหลงก็มีบุรุษที่รูปโฉมไม่โดดเด่นคนหนึ่งเดินออกมาจากกระท่อม เขาอยู่ในท่าทางประหลาดที่เอากระบี่วางพาดขวางไว้ด้านหลัง เขาส่ายหน้าคล้ายจะระอาใจเล็กน้อย ยื่นมือไปกุมด้ามกระบี่ที่อยู่ด้านหลัง ชักกระบี่ออกมาเบาๆ สองสามชุ่น
พริบตานั้นระหว่างร่างทองขององค์เทพขุนเขาทั้งสองก็มีเทือกเขาสายหนึ่งทอดตัวกั้นขวาง
เขาเอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “หากซานจวินทั้งสองท่านเกลียดขี้หน้ากันจริงๆ ก็ควรจะเลือกวิธีประลองบุ๋นที่ค่อนข้างจะสุภาพมีอารยธรรมดีกว่ากระมัง ม้วนชายแขนเสื้อต่อยตีกันแบบนี้ออกจะทำลายภาพลักษณ์ของตัวเองไปหน่อย ซานจวินสองท่านของภูเขาชี่ซานและภูเขากานโจวคงขบขันกันแย่ ข้าสวี่รั่วเองก็จะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าคุ้มครองภูเขาได้ไม่ดีพอ”
จิ้นชิงสีหน้ามืดทะมึน สลายกายธรรมร่างทองออกไป
เว่ยป้อเองก็เก็บกายธรรมของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใหญ่โตมโหฬารนั่นลงไป
จิ้นชิงถาม “เว่ยป้อ ข้าแนะนำเจ้าว่าควรหยุดเมื่อพอสมควร!”
เว่ยป้อกลับเอ่ยว่า “จิ้นชิง หากเจ้ายังทำอะไรตามความคิดเดิม ก็คงรักษาความสงบสุขของขุนเขาสายน้ำในอดีตไว้ไม่ได้ ราชสำนักต้าหลีไม่ได้โง่ รู้ดีว่าเจ้าจิ้นชิงไม่เคยมีใจภักดีต่อพวกเขาอย่างแท้จริง หากเจ้ายังใคร่ครวญข้อนี้ไม่กระจ่าง ข้าก็จะถือโอกาสช่วยต้าหลีเปลี่ยนซานจวินคนใหม่ ถึงอย่างไรข้าก็เกลียดขี้หน้าเจ้าจริงๆ สวี่รั่วลงมือขัดขวางครั้งหนึ่งก็ถือว่ามีคุณธรรมต่อเจ้ามากแล้ว”
จิ้นชิงหันหน้าไปมองทางทิศเหนือ อาณาเขตที่ภูเขาสองลูกเชื่อมติดกันเริ่มมีภาพปรากฎการณ์ประหลาดของลมฟ้าลมฝนแล้ว
จิ้นชิงกล่าวอย่างห่อเหี่ยว “เจ้าว่ามาสิ ขุนเขากลางควรทำอย่างไร เจ้าถึงจะยินดีเก็บลมน้ำของขุนเขาเหนือกลับคืนไป”
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ขนาดขุนเขาเหนือเจ้าก็ยังไม่ให้ความเคารพ แล้วจะมีความจงรักภักดีต่อราชสำนักต้าหลีได้อย่างไร? เจ้าเห็นว่าคนในราชสำนักต้าหลีเป็นเด็กสามขวบกันหมดหรือไง? ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าว่าควรทำอย่างไรอีกหรือ? พกของขวัญชิ้นใหญ่ไปก้มหัวยอมรับผิด ไปขอขมาที่ภูเขาพีอวิ๋นน่ะสิ!”
สวี่รั่วนวดคลึงขมับ เดินกลับเข้าไปในกระท่อม นับคนประเภทนี้เป็นสหาย ตนก็ช่างเลือกคนผิดจริงๆ
จิ้นชิงกล่าวอย่างกังขา “แค่นี้เองหรือ?”
เว่ยป้อย้อนถาม “ถ้าไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรล่ะ? อีกอย่างเจ้าเองก็ไปถึงอาณาเขตของขุนเขาเหนือแล้ว อยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าหลีอีกแค่กี่ก้าวกัน? แค่ยกเท้าไม่กี่ทีก็ไปถึงแล้วไม่ใช่หรือ? ขอแค่พื้นที่ขุนเขากลางไม่เกิดความวุ่นวายเอง ราชสำนักต้าหลีก็ไม่ใช่คนบ้าสักหน่อย จะจงใจเปิดฉากสังหารใหญ่ที่นี่ทำไม? เจ้ารู้บ้างหรือไม่ว่าท่าทางคลุมเครือที่มองดูเหมือนทั้งภักดีทั้งมีคุณธรรมนี้ของเจ้าจะทำให้ชาวบ้านของแคว้นที่ล่มสลายมากมายรู้สึกว่ามีโอกาส หวังว่าการกระโจนเข้าสู่ความตายอย่างกล้าหาญของพวกเขาจะไปทำให้เจ้าฟื้นคืนสติ สุดท้ายก็ล่มหัวจมท้ายไปกับพวกเขาด้วย? หากเจ้าจิ้นชิงคิดแบบนี้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นชายชาตรีคนหนึ่ง แต่หากไม่ยินดีจะทำเช่นนี้ ยินดีจะแบกรับคำด่าชื่อเสียงฉาวโฉ่ ก็เพราะหวังว่าจะสามารถคุ้มครองความสงบสุขปลอดภัยให้ชาวประชาได้ ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเจ้าต้องทำตัวเสแสร้งแบบนี้ด้วย?”
จิ้นชิงเงียบงันไร้คำตอบโต้
เว่ยป้อจึงเอ่ยต่ออีกว่า “วันหน้าไปเยือนภูเขาพีอวิ๋นก็อย่าลืมพกของขวัญไปล่ะ ของขวัญชิ้นใหญ่จึงจะถือว่ามีความจริงใจเปี่ยมล้น”
หลังจากกล่าวจบเว่ยป้อก็ไปจากยอดเขาเตี๋ยจ้าง ไปเยือนกระท่อมที่อยู่นอกถ้ำเหล่าจวินของยอดเขาเฟิงหลง
สวี่รั่วยืนอยู่หน้าประตู สองแขนกอดอก เอนตัวพิงกรอบประตู พูดเสียงขุ่น “เว่ยซานจวินผู้ยิ่งใหญ่ตอบแทนข้าแบบนี้เองรึ? ไม่เพียงแต่มาเยือนมือเปล่า ยังก่อเรื่องแบบนี้ด้วย?”
เว่ยป้อกระทืบเท้าทอดถอนใจเอ่ยว่า “พระคุณยิ่งใหญ่ต้องจดจำให้ขึ้นใจ หาใช่แค่เอ่ยขอบคุณแต่ปากนี่นา!”
สวี่รั่วยื่นสองมือออกมาขยี้ข้างแก้มแรงๆ “เป็นซานจวิน แต่ทำตัวได้ถึงขั้นนี้ก็ถือว่ามีเฉพาะในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภูเขาสายน้ำของใต้หล้าไพศาลจริงๆ”
สายตาเว่ยป้อฉายแววตำหนิ “นี่ก็ไม่ใช่เพราะม้าผอมขนยาว คนจนปณิธานสั้นหรือไร”
สวี่รั่วคลี่ยิ้ม ยื่นนิ้วมาชี้ง่ายๆ หนึ่งที “หายตัวไปเลย ให้ไว”
เว่ยป้อยิ้มบาง “รับทราบ!”
จากไปแล้ว
สวี่รั่วคิดแล้วก็ทะยานลมไปที่ยอดเขาเตี๋ยจ้าง จิ้นชิงซานจวินยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าเคร่งเครียด
สวี่รั่วเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
จิ้นชิงพลันเอ่ยว่า “แสงแดดแผดเผา หมื่นประชาชักภูเขา พันคนชักดึง ร้อยคนเคลื่อนย้าย ถือคบไฟโรยตัว ค้นหาหินล้ำค่า”
สวี่รั่วรู้ว่าซานจวินท่านนี้กำลังพูดอะไร ก็คือเรื่องการเจาะภูเขาดึงน้ำเพื่อค้นหาหินทำจานฝนหมึกที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์จูอิ๋ง
และตอนที่จิ้นชิงผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ก็มีชาติกำเนิดมาจากคนเก็บหินพอดี บ้างก็บอกว่าสุดท้ายเขาไม่ทันระวังจมน้ำตาย แล้วก็มีคนบอกว่าเขาถูกขุนนางที่คอยคุมการเก็บหินเฆี่ยนจนตาย หลังจากตายไปแล้วแรงอาฆาตไม่สลายหายไปไหน แต่กลับไม่ได้กลายเป็นผีร้าย กลับกันคือกลายมาเป็นวิญญาณวีรบุรุษของพื้นที่แห่งหนึ่งที่คอยปกป้องขุนเขาสายน้ำ สุดท้ายนิสัยใจคอได้ไปถูกใจอดีตซานจวินของภูเขาเช่อจื่อเข้า จึงเดินทีละก้าวจนได้เลื่อนขั้นเป็นเทพภูเขาของยอดเขาเตี๋ยจ้าง