กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 563.2 กลับลงใต้เดินทางขึ้นเหนือ
สตรีถอนหายใจหนักๆ จากนั้นก็หันหน้ามาถลึงตาใส่หลี่หลิ่ว “ได้ยินหรือยัง?! ในอดีตเวลาบอกให้เจ้าช่วยเขียนจดหมายให้ เจ้าเขียนง่ายๆ แค่แผ่นสองแผ่นก็เสร็จแล้ว ในใจเจ้ามีน้องชายของเจ้าบ้างหรือไม่ มีแม่อย่างข้าบ้างหรือไม่? ลูกสาวใจจืดใจดำอย่างเจ้านี่ช่างเลี้ยงมาเสียข้าวสุกจริงๆ!”
เฉินผิงอันหันไปยิ้มขออภัยให้กับหลี่หลิ่วที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
หลี่หลิ่วพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นนางก็กุมสองมือเป็นหมัดวางไว้ด้านหน้าตัวเอง พูดขอร้องสตรีว่า “ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว”
จากนั้นในห้องเล็กก็มีเสียงพร่ำพูดของสตรี กับเสียงจรดพู่กันเขียนตัวอักษรอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเฉินผิงอัน
คนหนุ่มชุดเขียวที่เดินทางหมื่นลี้ แล้วก็อ่านตำรามาหมื่นเล่มนั่งตัวตรงอย่างสำรวม เอวยืดอกตั้ง สีหน้าจริงจัง
สุดท้ายเฉินผิงอันสะพายกระบี่ ถือไม้เท้าเดินป่าเดินออกไปจากร้าน สตรีและชายฉกรรจ์ยืนอยู่ตรงหน้าประตู มองส่งเฉินผิงอันจากไป
สตรียืนกรานให้หลี่หลิ่วไปส่งเขา
หลี่หลิ่วคล้องห่อสัมภาระใบหนึ่งไว้ที่แขน ล้วนเป็นสิ่งของที่ท่านแม่ของนางจัดเตรียมไว้อย่างตั้งใจ ส่วนใหญ่เป็นของพิเศษที่มีเฉพาะในเมืองเล็ก
แน่นอนว่าด้านในยังมีชุดคลุมอาคมที่นางซ่อมแซมเองกับมืออีกสามตัวด้วย
สตรีพูดเสียงเบา “หลี่เอ้อร์ วันหน้าลูกสาวเราจะหาคนดีๆ แบบนี้เจอไหม?”
หลี่เอ้อร์คิดแล้วก็ตอบว่า “ยาก”
สตรีกระทืบหลังเท้าหลี่เอ้อร์ ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเขาอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะไม่เอาใจใส่หน่อยหรือ?! จะมองเฉยปล่อยให้เฉินผิงอันจากไปแบบนี้หรือไร? เวลาดื่มเหล้าไม่เห็นเจ้าจะดื่มให้น้อยลงบ้าง ทำอะไรพึ่งพาไม่ได้แม้แต่น้อย ข้ามาเจอกับผู้ชายอย่างเจ้า หลี่ไหวหลี่หลิ่วมาเจอบิดาอย่างเจ้า เป็นเพราะสวรรค์ไม่มีตา หรือชาติก่อนพวกเราสามคนไม่ได้ทำบุญไว้กันแน่?!”
หลี่เอ้อร์ไม่ส่งเสียงตอบโต้ แน่นอนว่าไม่กล้าหลบด้วย
สตรีถอนหายใจ ดึงมือกลับมาอย่างเดือดดาล จะทิ่มหน้าผากอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว เดิมทีบุรุษของตนก็เป็นตอไม้ทึ่มทื่อโง่เขลาอยู่แล้ว หากไม่ทันระวังถูกตนทิ่มให้หัวเป็นรูอีก ก็ไม่ใช่ว่าตนหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวหรอกหรือ?
บนถนนใหญ่ในเมืองเล็ก คนสองคนเดินเคียงบ่ากันไป
หลี่หลิ่วเอ่ยเสียงเบา “ท่านเฉิน หวงไฉ่จะพาท่านไปที่ท่าเรือ สามารถตรงไปที่ท่าเรือฮ่วนโหยวที่อยู่ใกล้กับสำนักกระบี่ไท่ฮุยได้โดยตรง เมื่อลงเรือแล้ว ก็อยู่ห่างจากสำนักกระบี่ไท่ฮุยแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น คนที่จะไปถามกระบี่ที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยคนแรกคือลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เรื่องนี้ก็คือกฎเก่าแก่ของอุตรกุรุทวีป ท่านเฉินไม่ต้องคิดอะไรมาก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่หลิ่วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ลืมไปเลยว่าท่านเฉินให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์มากที่สุด”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แต่สำหรับกฎเกณฑ์ที่สมเหตุสมผล ข้ายังเข้าใจน้อยและตื้นเขินเกินไป อยู่ห่างไกลเกินกว่าจะรู้ว่าอะไรคือมารยาทพิธีการที่แท้จริง”
หลี่หลิ่วไม่ให้คำวิจารณ์ในเรื่องนี้
หลักๆ แล้วเป็นเพราะไม่ยินดีจะเจ้ากี้เจ้าการกับอีกฝ่าย
หลี่หลิ่วถาม “หรือว่าท่านเฉินไม่ไขว่คว้าอิสระเสรีที่บริสุทธิ์และสมบูรณ์ที่แท้จริง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงก็ยังรู้สึกอิจฉาการไร้พันธนาการเช่นนั้นอยู่ แต่ข้าก็คิดมาโดยตลอดว่า ไม่มีความรู้ความเข้าใจใดที่สามารถประคับประคองอิสระที่สมบูรณ์เช่นนั้นได้ ทั้งไม่แน่นหนามากพอ แล้วก็ยังเป็นภัยอย่างหนึ่งด้วย”
คนทั้งสองเดินผ่านหัวเลี้ยวของถนนใหญ่ ห่างไปไม่ไกลเบื้องหน้ามีเจ้าขุนเขาก่อกำเนิดผู้เฒ่าแห่งยอดเขาสิงโตที่ร่ายใช้เวทอำพรางตายืนอยู่
หลี่หลิ่วปลดห่อสัมภาระที่อยู่ในมือออก เฉินผิงอันเองก็ปลดหีบไม้ไผ่ลงมา
เดิมทีหลี่หลิ่วคิดว่าจะให้เขายืนอยู่เฉยๆ ส่วนนางจะเปิดหีบไม้ไผ่เอง เวลานี้หลี่หลิ่วจึงยื่นห่อสัมภาระส่งไปให้ ยิ้มกล่าวว่า “ท่านเฉินกลัวว่าคนจะเข้าใจผิดหรือ? อันที่จริงพวกเพื่อนบ้านใกล้เคียงล้วนเข้าใจผิดกันไปมากแล้วล่ะ”
เฉินผิงอันเอาห่อสัมภาระมาใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ แล้วสะพายหีบขึ้นหลังอีกครั้ง เพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด
สุดท้ายหลี่หลิ่วใช้เสียงในใจบอกว่า “ใต้หล้ามืดสลัวมีอารามเสวียนตู คือปฐมสำนักสายหนึ่งของเซียนกระบี่ลัทธิเต๋า เจ้าอารามมีชื่อว่าซุนไหวจง เป็นคนใจกว้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีคุณธรรมในยุทธภพ”
เฉินผิงอันตอบรับ “ขอบคุณแม่นางหลิ่วที่มอบยาสงบใจเม็ดหนึ่งให้แก่ข้า”
……
ภายใต้การนำทางของหวงไฉ่ เฉินผิงอันพูดคุยกับเจ้าขุนเขาของยอดเขาสิงโตผู้นี้ไปตลอดทาง จากนั้นก็เอ่ยอำลา สุดท้ายนั่งโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำหนึ่งที่เสาเรือนแกะสลักประณีตโอ่อ่าดุจหอเรือนมุ่งหน้าไปยังท่าเรือฮ่วนโหยว บนเรือมีคนไม่น้อย และยังมีคนจำนวนมากที่ตั้งใจไปเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุย เวลานี้พวกเขากำลังวิพากษ์วิจารณ์กัน อันที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะในเมื่อเจียวหลงบนบกของอุตรกุรุทวีปท่านนั้นฝ่าทะลุขอบเขตออกจากด่านแล้ว ต่อจากนี้ก็ต้องตามมาด้วยการถามกระบี่ของเซียนกระบี่ที่น่าตะลึงพรึงเพริดสามครั้ง แบ่งออกเป็นการท้าทายจากเซียนกระบี่หญิงลีไฉ่ ต่งจู้ และป๋ายฉางเซียนกระบี่อันดับหนึ่งแห่งอุตรกุรุทวีป!
นอกจากนี้แล้วก็ยังพูดคุยกันถึงทะเลเมฆสีทองและฝนหวานชะตาบู๊ที่ยอดเขาสิงโต
ต่างก็คาดเดากันว่ายอดเขาสิงโตจงใจเก็บซ่อนผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งเอาไว้อย่างมีเจตนา หรือว่าจะเป็นแค่ใครบางคนที่เดินทางผ่านมาเท่านั้นกันแน่
เฉินผิงอันไปถึงห้องแล้วก็เปิดหีบไม้ไผ่ เตรียมจะหยิบเอาชุดคลุมอาคมสามตัวมาเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อ แต่ตอนที่เปิดห่อสัมภาระออกกลับค้นพบว่าด้านในนอกจากจะมีของกินและของพิเศษในท้องถิ่นที่ท่านอาหลิ่วตั้งใจเตรียมไว้ให้แล้ว ยังมีแผ่นหยกสีเขียวมรกตงามวิจิตรอยู่อีกแผ่นหนึ่งที่ถูกหลี่หลิ่วร่ายตราผนึกขุนเขาสายน้ำเอาไว้ เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณไม่ปรากฎเด่นชัด ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันถึงสัมผัสไม่ได้ เฉินผิงอันถอนหายใจ ไม่เพียงแต่อยู่กิน ซ้อมหมัดโดยไม่จ่ายเงิน ยังจะได้ของขวัญที่ล้ำค่าแบบนี้มาเปล่าๆ อีก มีใครที่เป็นแขกแบบตนบ้าง
บนแผ่นหยกสลักคำว่า ‘เจียวเฒ่าสยบคลื่นลม’
เขาเก็บมันไปพร้อมกับชุดคลุมอาคม แล้วจึงเริ่มหล่อหลอมปราณวิญญาณที่อยู่ในช่องโพรงลมปราณสำคัญทั้งสามแห่งต่ออีกครั้ง
ตลอดทางไร้ปัญหาใดๆ
ไปถึงท่าเรือฮ่วนโหยวที่อยู่ห่างจากสำนักกระบี่ไท่ฮุยแค่สามร้อยลี้
เฉินผิงอันก็สังเกตเห็นว่ามีผู้คนเนืองแน่น ล้วนเป็นพวกผู้ฝึกตนที่มาร่วมวงความครึกครื้นทั้งสิ้น
หลังจากที่เรือข้ามฟากเข้ามาในอาณาเขตของสำนักกระบี่ไท่ฮุยแล้ว เฉินผิงอันก็ส่งกระบี่บินไปหาฉีจิ่งหลง
เขาไม่ได้พบฉีจิ่งหลงที่ท่าเรือแห่งนี้ แต่ได้พบกับเด็กหนุ่มที่มีชาติกำเนิดจากภูเขาเกอลู่อย่างป๋ายโส่วแทน
ป๋ายโส่ววิ่งตะบึงดุจปลาที่แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางกระแสฝูงชน พอเห็นเฉินผิงอันก็ยิ้มกว้าง ยกนิ้วโป้งให้
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “เจ้าอารมณ์ดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ป๋ายโส่วพูดกลั้วหัวเราะฮ่าๆ “คนแซ่เฉิน เจ้ารู้จักกับคนที่ชื่อสวีซิ่งจิ่วของนครเหนือเมฆใช่ไหม?”
เฉินผิงอันหัวเราะตาม “รู้จัก”
ป๋ายโส่วกุมท้องหัวเราะก๊าก “เจ้าตัวดี ตอนนี้คนแซ่หลิวมีหน้ามีตานักล่ะ ทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็นต้องคอยรับรองแขกที่มาเยี่ยมเยือนบนภูเขา แรกเริ่มได้ยินว่าสวีซิ่งจิ่วผู้นั้นส่งเทียบมาขอเยี่ยมพบ บอกว่าตัวเองรู้จักกับ ‘ท่านเฉิน’ คนแซ่หลิวจึงปฏิเสธงานเลี้ยงทั้งหมดลงจากภูเขาไปพบเขา ข้าเองก็ตามไปด้วย ผลเป็นอย่างไรเจ้าลองเดาดูสิ ไอ้หมอนั่นก็สะพายหีบไม้ไผ่ใบใหญ่เลียนแบบเจ้า หลังจากทักทายปราศรัยกันพอหอมปากหอมคอไปแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า ‘ผู้น้อยได้ยินมาว่าท่านหลิวชอบดื่มเหล้า ก็เลยเอาเหล้าที่หมักเองของนครเหนือเมฆมาฝากโดยพลการ’”
ตอนที่ป๋ายโส่วเล่าถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะจนน้ำตาเล็ดแล้ว “เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นคนแซ่หลิวมีสีหน้าอย่างไร ก็สีหน้าแบบคนที่เขาห้องส้วมแต่ไม่ได้พกกระดาษไปเช็ดก้นด้วยอย่างไรล่ะ!”
เฉินผิงอันทอดถอนใจ “สวีซิ่งจิ่วคนนี้ได้ยินลมก็นึกว่าเป็นฝน ต้องเข้าใจความหมายข้าผิดไป เข้าใจผิดไปแน่ๆ”
ป๋ายโส่วชูสองมือขึ้นสูง กุมมือเป็นหมัดแล้วเขย่าอย่างแรง “คนแซ่เฉิน นับถือๆ!”
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “ตอนนี้อาจารย์ของเจ้ายุ่งมากหรือ? ยุ่งจนถึงขนาดไม่สามารถมารับข้าที่นี่ได้ ก็เลยส่งลูกสมุนอย่างเจ้ามาแทน?”
ป๋ายโส่วแยกเขี้ยว “คนแซ่เฉิน เจ้าต่างหากที่เป็นลูกสมุน! ทุกวันนี้ข้าผู้อาวุโสที่อยู่ในสำนักกระบี่ไท่ฮุย ก็คือผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำที่ไม่ว่าใครพบเห็นก็ต้องเอ่ยชื่นชม ทุกวันคนแซ่หลิวจะต้องแอบจุดธูปไหว้พระแสดงความยินดีที่ตัวเองได้รับลูกศิษย์ที่ดีอย่างข้า”
เฉินผิงอันหัวเราะพลางลูบหัวเด็กหนุ่ม
ป๋ายโส่วกลับไม่หลบเลี่ยง แต่เอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “อย่าลามปามสิ! คนแซ่เฉิน นี่ข้ายอมเห็นแก่หน้าเจ้าหรอกนะ พวกเราสองคนถึงเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องได้ หากเจ้ายังได้คืบแล้วจะเอาศอก ก็ไปที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยเองเลย ข้าไม่ช่วยนำทางเจ้าไปแล้ว”
พอไปถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุยก็เห็นฉีจิ่งหลงยืนหน้าเคร่งอยู่ตรงนั้น
เฉินผิงอันขยับหีบไม้ไผ่ให้เข้าที่แล้ววิ่งเหยาะๆ ไปหา ยิ้มกล่าวว่า “ใช้ได้นี่นา ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วขนาดนี้เลย”
ฉีจิ่งหลงกระตุกมุมปาก “ที่ไหนกันๆ เมื่อเทียบกับเซียนกระบี่ใหญ่เฉินแล้วยังห่างชั้นอยู่มากนัก ฝ่าทะลุคอขวดของผู้ฝึกยุทธและผู้ฝึกตนถึงสองขอบเขตรวด”
เฉินผิงอันโบกมือ “มิกล้าๆ”
ป๋ายโส่วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้าไม่รู้จักจบจักสิ้นกันสักทีหรือไร พอเจอหน้าก็เอ่ยประจบเอาใจกันอยู่ได้ สนุกนักหรือ?”
แล้วเด็กหนุ่มก็หัวเราะหึหึอย่างชั่วร้าย “ทำไมไม่เอาเหล้าออกมาสักสองกา คุยไปดื่มไปด้วยเลยเล่า? คนแซ่หลิว ครั้งนี้เจ้าต้องดื่มช้าๆ ค่อยๆ ดื่มล่ะ”
เด็กหนุ่มนับถือเจ้าคนที่ชื่อสวีซิ่งจิ่วผู้นั้นจริงๆ มารดามันเถอะ พอไปถึงกระท่อมบนภูเขาหลังนั้น ไอ้หมอนั่นเพิ่งจะนั่งลง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็กระดกเหล้าดื่มอักๆๆ ติดกันทีเดียวถึงสองกา หากไม่เป็นเพราะคนแซ่หลิวห้ามไว้ ดูจากท่าทางนั้นคงต้องดื่มติดกันถึงสามกาถึงจะสาแก่ใจ แม้จะบอกว่ากาเหล้าเล็กไปสักหน่อย แต่ผู้ฝึกบำเพ็ญตนจงใจสะกดปราณวิญญาณเอาไว้แล้วดื่มเหล้าด้วยวิธีการเช่นนี้ก็ถือว่ามีความห้าวหาญที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
คนทั้งสามเดินขึ้นเขาไปด้วยกันช้าๆ ตลอดทางที่เดินไปฉีจิ่งหลงมักจะเอ่ยทักทายกับคนอื่นอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ได้จงใจหยุดเดินเพื่อพูดคุยกับใครเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันถาม “สวีซิ่งจิ่วกลับไปแล้วหรือ?”
ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างระอาใจ “ดื่มเหล้าไปมื้อหนึ่ง เมาไปหนึ่งวัน พอสร่างเมา ในที่สุดข้าก็ได้อธิบายให้เขาเข้าใจเสียที ผลกลับกลายเป็นว่าเขาดันดื่มเหล้าลงโทษตัวเองไปอีกรอบ ข้าจะห้ามก็ห้ามไม่อยู่ ก็เลยได้แต่ดื่มเป็นเพื่อนเขาไปอีกนิดหน่อย”
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ
ฉีจิ่งหลงพูดเสียงเย็น “คราวหน้าห้ามให้มีอีก”
เฉินผิงอันแอบหันไปตีมือกับป๋ายโส่วเบาๆ อย่างชอบใจ
ป๋ายโส่วรู้สึกว่าต้องเป็นคนอย่างคนแซ่เฉินผู้นี้ถึงจะน่าสนใจ วันหน้าสามารถมาเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุยบ่อยๆ ได้
หากเขาไม่มาเอง ให้คนอื่นพกเหล้าขึ้นเขามาหาคนแซ่หลิวก็ไม่เลวเหมือนกัน
สำนักกระบี่ไท่ฮุยกินอาณาบริเวณกว้างขวาง กลุ่มยอดเขาสูงตระหง่าน ภูเขาเขียวน้ำใส ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น เฉินผิงอันไม่อาจทะยานลมเดินทางไกลได้ จึงหยิบเอาเรือยันต์ออกมา แล้วมุ่งหน้าไปยังสถานที่ฝึกตนของฉีจิ่งหลงด้วยกัน
ที่กระท่อมหลังนั้น ป๋ายโส่วยกเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมาสามตัว แต่ละคนจึงพากันนั่งลง
ฉีจิ่งหลงพลันเอ่ยว่า “ให้ข้ายืมเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญได้ไหม?”
เฉินผิงอันโยนเงินฝนธัญพืชไปให้เขาเหรียญหนึ่ง ถามอย่างใคร่รู้ว่า “อยู่บนภูเขาบ้านตัวเอง เจ้ายากจนขนาดนี้เชียวหรือ?”
ฉีจิ่งหลงรับเงินฝนธัญพืชเอาไว้โดยใช้สองนิ้วคีบมัน มืออีกข้างหนึ่งวาดยันต์กลางอากาศว่างเปล่า แล้วจึงโยนเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นเข้าไปด้านใน แสงยันต์สลายเงินก็หายไป จากนั้นเขาก็พุดเสียงขุ่นว่า “ลูกศิษย์ของศาลบรรพจารย์ในสำนักจะได้รับเงินและสิ่งของสิบปีครั้ง หากต้องใช้เงินเทพเซียนอย่างเร่งด่วน แน่นอนว่าสามารถติดหนี้ไว้ก่อนได้ แต่ข้าไม่มีความเคยชินเช่นนี้ ยืมเงินของเจ้าเฉินผิงอัน ข้ายังคร้านจะใช้คืนด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองป๋ายโส่ว “ฟังดูสิ นี่ก็คือคนเป็นอาจารย์ของเจ้า อยู่ต่อหน้าลูกศิษย์ควรพูดจาแบบนี้หรือ?”
ป๋ายโส่วกำลังจะซ้ำเติมสักคำสองคำ แต่กลับพบว่าคนแซ่หลิวยิ้มบางๆ มองมาที่ตน ป๋ายโส่วจึงกลืนคำพูดกลับลงท้องไป มารดามันเถอะ คนแซ่เฉินอย่างเจ้าถึงเวลาก็แค่ปัดก้นเดินจากไป ข้าผู้อาวุโสยังต้องอยู่ต่อบนภูเขาลูกนี้ ทุกวันต้องเห็นหน้าเจ้าคนแซ่หลิวนี่ จะทำอะไรโดยใช้อารมณ์ไม่ได้เด็ดขาด อย่าคะนองปากจะดีกว่า เพราะก่อนหน้านี้หลิวจิ่งหลงเคยบอกว่า รอเขาออกจากด่านเมื่อไหร่ก็จะอธิบายกฎเกณฑ์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยให้เขาฟังอย่างละเอียด
เฉินผิงอันยิ้มพูดกับป๋ายโส่ว “ไปเล่นที่ไหนก็ไปเถอะ ข้าจะคุยธุระกับอาจารย์ของเจ้าสักหน่อย”
ป๋ายโส่วไม่ยอมขยับก้น พูดเหน็บแนมว่า “ทำไม จะซุบซิบคุยเรื่องส่วนตัวเหมือนพวกสตรีกันหรือไร ข้าก็เลยอยู่ฟังด้วยไม่ได้?”
เฉินผิงอันสอดสิบนิ้วประสานกันแล้วหักเสียงดังกร๊อบ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ป๋ายโส่ว จู่ๆ ข้าก็ค้นพบว่าเจ้าคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ หากไม่เรียนวรยุทธออกจะน่าเสียดายเกินไปหน่อย ให้ข้าช่วยป้อนหมัดให้เจ้าไหม?”
ป๋ายโส่วร้องถุย “ขนาดเซียนกระบี่ดีๆ ข้าผู้อาวุโสยังไม่อยากเป็น แล้วจะยินดีหันไปฝึกหมัดฝึกวรยุทธได้อย่างไร?”
แต่กระนั้นก็ยังยอมลุกขึ้นไปเดินเตร็ดเตร่ที่อื่น
ภูเขาลูกนี้มีชื่อว่ายอดเขาเพียนหราน คือพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่ผู้ฝึกลมปราณปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน ตั้งอยู่บนตำแหน่งค่อนไปทางด้านหลังระหว่างยอดเขาหลักและยอดเขารอง ช่วงฤดูใบไม้ร่วงและใบไม้ผลิของทุกปีจะมีภาพปรากฎการณ์ประหลาดที่ปราณวิญญาณเหมือนกระแสน้ำท่วมทะลักเข้าหายอดเขาเพียนหรานอยู่สองครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์เป็นเสี้ยวๆ แทรกซอนอยู่ด้านในด้วย ผู้ฝึกตนที่อยู่บนภูเขาสามารถนอนเสวยสุขได้รับปราณวิญญาณเหล่านั้นได้ หลังจากที่เจ้าสำนักคนที่สองของสำนักกระบี่ไท่ฮุยตายไป ยอดเขาแห่งนี้ก็ไม่มีผู้ฝึกตนคนใดมาพักอาศัยอีก ในประวัติศาสตร์เคยมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งเปิดปากขอให้ยกยอดเขาเพียนหรานแห่งนี้ให้เป็นที่ฝึกตนของเขา แล้วเขาจะยินดีเป็นผู้ถวายงานให้แก่สำนักกระบี่ไท่ฮุย แต่ทางสำนักก็ไม่ตอบตกลง
คนแซ่หลิวผู้นั้นไม่รู้จักดีชั่ว ไม่ยอมย้ายออกจากภูเขาบรรพบุรุษของสำนักกระบี่ไท่ฮุยมาอยู่ที่ยอดเขาเพียนหรานแห่งนี้เสียที บอกว่าชินที่จะอยู่ในเรือนหลังเดิมแล้ว กระทั่งเลื่อนเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดเลยถูกทางศาลบรรพจารย์เร่งรัดทุกๆ สามวันห้าวัน เขาถึงได้ย้ายมาอยู่ที่ยอดเขาแห่งนี้ ผลกลับกลายเป็นว่าเขาสร้างแค่กระท่อมโทรมๆ หลังหนึ่งก็ถือว่าเป็นการเปิดภูเขาบุกเบิกจวนแล้ว เดิมทีลูกศิษย์ทุกคนของสำนักกระบี่ไท่ฮุยล้วนสามารถมาแบ่งปราณวิญญาณจากที่นี่ได้ แต่ฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ คนแซ่หลิวยังคงปิดด่านอยู่ ปีนี้พวกเขาก็เลยไม่กล้ามา ป๋ายโส่วก็เลยต้องไปที่ศาลบรรพจารย์มาหนึ่งรอบ ถ่ายทอดถ้อยคำที่คนแซ่หลิวกำชับไว้กับบรรพจารย์คนหนึ่งที่มีสีหน้าเมตตา นี่จึงเป็นเหตุให้สุดท้ายแล้วฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้จึงยังคงมีผู้ฝึกตนหนุ่มสาวมาเยือนกันมากมาย เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับความครึกครื้นในอดีต คนส่วนใหญ่ล้วนฝึกตนกันอย่างสงบ ไม่ค่อยพูดจา มุ่งมั่นหลอมปณิธานกระบี่กันอย่างเดียว
ตอนนั้นเด็กหนุ่มที่เหมือนจะกลายมาเป็นเจ้าของยอดเขาเพียนหรานครึ่งตัวกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เขาเพียงแค่มานั่งกอดอกอยู่บนม้านั่งตัวเล็กหน้ากระท่อมนิ่งๆ หนึ่งวันหนึ่งคืน
ดังนั้นผู้ฝึกตนหนุ่มสาวของสำนักกระบี่ไท่ฮุยจึงยิ่งรู้สึกว่าอาจารย์อาหลิว บรรพจารย์อาของยอดเขาเพียนหรานได้รับลูกศิษย์ที่นิสัยประหลาดมาคนหนึ่ง