กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 563.3 กลับลงใต้เดินทางขึ้นเหนือ
หลังจากที่ป๋ายโส่วจากไปแล้ว เฉินผิงอันก็เล่าถึงประสบการณ์การเดินทางคร่าวๆ ของตัวเองให้ฉีจิ่งหลงฟังหนึ่งรอบ
ผู้คนและเรื่องราวมากมายเขาล้วนไม่ได้ปิดบัง เพียงแต่ว่ารายละเอียดในแต่ละเรื่องกลับไม่เหมือนกัน
ฉีจิ่งหลงรับฟังอย่างตั้งใจจนจบแล้วก็ช่วยตรวจสอบเสริมช่องโหว่ให้ ราวกับว่าคนทั้งสองกำลังทบทวนกระดานหมากล้อมอยู่ด้วยกัน
เมื่อพูดถึงว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงและสำนักชิงเหลียงผูกปมแค้นกับสองอาจารย์และศิษย์อย่างป๋ายฉาง สวีเซวี่ยน
ฉีจิ่งหลงก็เอ่ยว่า “ตอนนี้ทางรายงานภูเขาสายน้ำทั่วไปยังไม่มีข่าวปล่อยออกมา แต่ในความเป็นจริงแล้วเทียนจวินเซี่ยสือได้กลับมาที่สำนักแล้ว ลูกศิษย์ที่ก่อนหน้านี้มีความขัดแย้งกับสำนักชิงเหลียงก็ไม่เพียงแต่ถูกเทียนจวินตำหนิ ยังต้องรีบลงจากภูเขาไปขออภัยสำนักชิงเหลียงด้วยตัวเองทันที แล้วพอกลับมาถึงสำนักก็เริ่มปิดด่าน หลังจากนั้นมา สกุลหยางของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน สำนักมังกรน้ำ ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง สามฝ่ายที่เดิมทีมีผลประโยชน์พัวพันกันอยู่ต่างก็พากันไปเยี่ยมเยือนสำนักชิงเหลียง หยางหนิงซิ่งเทียนจวินน้อยของตำหนักนภากาศ เส้าจิ้งจือแห่งสำนักใต้ของสำนักมังกรน้ำ ฝ่ายทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก็ยิ่งเป็นเจ้าสำนักไฉ่ลี่ที่ไปเยือนด้วยตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสวีเซวี่ยนคิดอย่างไร สำนักฉงหลินก็คงไม่ค่อยรู้สึกดีเท่าไรแล้ว”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นที่เล่าลือกันว่าป๋ายฉางจะมาถามกระบี่เจ้าที่สำนักกระบี่ไท่ฮุย สำหรับเจ้าแล้วกลับกลายจะเป็นเรื่องดีน่ะสิ?”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “หนึ่งเพราะแต่ไหนแต่ไรมาป๋ายฉางก็มีความหยิ่งทระนงในตัวเองสูง เดิมทีก็ไม่คิดจะอาศัยขอบเขตและความอาวุโสมารังแกขอบเขตหยกดิบใหม่อย่างข้าอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีเรื่องในครั้งนี้ การที่เขายินดีออกกระบี่ อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องร้ายอะไร สองก็เหมือนอย่างที่เจ้าคาดเดาไว้ ป๋ายฉางเริ่มมีแรงกดดันอยู่บ้างจริงๆ จึงจำเป็นต้องมาผูกสัมพันธ์ควันธูปกับสำนักกระบี่ไท่ฮุยของข้า ช่วยหลีกเลี่ยง ‘หมื่นหนึ่ง’ ให้ข้า เพราะถึงอย่างไรผู้อาวุโสเซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปที่ไม่ชอบขี้หน้าข้าก็มีอยู่ เมื่อมีป๋ายฉางช่วยออกกระบี่ให้ในฉากสุดท้าย แล้วก่อนหน้านี้ยังมีผู้อาวุโสลี่ไฉ่ ผู้อาวุโสต้งจู้อีกสองคน การถามกระบี่สามครั้งนี้ ข้าฉีจิ่งหลงไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลเลย มีแต่จะได้รับผลประโยชน์ใหญ่เท่านั้น ไม่มีอันตรายแก่ชีวิตใดๆ”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เรื่องน่ายินดีที่ใหญ่ขนาดนี้ ไม่ดื่มเหล้าฉลองสักนิดหรือ?”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วจึงยื่นมือออกมา
เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักข้าวเหนียวออกมาสองกา พูดอย่างกังขาว่า “กลายเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนแล้ว นิสัยก็เปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลยหรือ?”
ฉีจิ่งหลงรับกาเหล้ามา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ใช่ฉลองที่ข้าและเจ้าต่างก็ฝ่าทะลุขอบเขต แต่เป็นเพราะที่พวกเรายังสามารถได้กลับมาพบกันอีกครั้ง”
เส้นทางการเดินเลียบลำน้ำของเฉินผิงอันไม่ได้ผ่อนคลายนัก และการฝ่าทะลุคอขวดของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งก็เป็นเช่นเดียวกัน
การที่คนทั้งสองต่างก็มีชีวิตรอด หลังจากนั้นยังได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง เมื่อเทียบกับการฝ่าทะลุขอบเขตแล้วย่อมมีค่าให้ดื่มเหล้าได้มากกว่า
ฉีจิ่งหลงยินดีที่จะดื่มเหล้ากับเรื่องแบบนี้
ในมือคนทั้งสองต่างก็ถือกาเหล้า ยกกาชนกันเบาๆ หันหน้ามายิ้มให้กัน ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย แค่ต่างคนต่างดื่มเหล้าในยุทธภพไปก็พอ
เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ยุทธภพไม่มีอะไรดี”
ฉีจิ่งหลงยิ้มเอ่ยตอบ “มีแต่สุราที่ยังพอใช้ได้”
ป๋ายโส่วเหมือนจะออกไปเดินเตร็ดเตร่ แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ได้เดินไปไกลนัก เขาคอยเงี่ยหูฟัง ‘คำกระซิบเรื่องส่วนตัว’ ของทางฝั่งนั้นอยู่ตลอดเวลา
เด็กหนุ่มพลันสะดุ้งโหยง ยกสองมือกอดไหล่ พูดบ่นว่า “บุรุษตัวโตๆ สองคน เหตุใดถึงได้พูดจาหวานเลี่ยนเช่นนี้? ไม่เข้าท่า ไม่เข้าท่า…”
แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าคนแซ่เฉินค่อนข้างน่ากลัวอย่างไร้เหตุผลแล้วจริงๆ เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสท่านหนึ่งของภูเขาเกอลู่ว่าไว้จริงๆ ใต้หล้านี้หมาที่ไม่เห่าคนนี่แหละที่กัดคนได้อย่างดุร้ายที่สุด ตอนนี้พี่ชายคนดีก็มีขอบเขตเพียงเท่านี้เองไม่ใช่หรือ แต่กลับมีประสบการณ์และความสามารถมากถึงขั้นนั้น? พอป๋ายโส่วที่ไม่เคยรู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำนึกถึงว่าตอนนั้นตนเคยจะไปลอบฆ่าพี่ชายคนดีผู้นี้ ก็ให้รู้สึกหวาดผวาตามมา พี่ชายคนดีผู้นี้ยามพูดถึงการป้อนหมัด การโดนหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบกลับเหมือนคนดื่มสุราที่ติดอกติดใจซะอย่างนั้น? หัวสมองมีรูอยู่รูหนึ่งหรือไร หรือว่ามีอยู่สองรู?
ไม่ควรไปแหยม ไม่ควรไปแหยมด้วย วันหน้าเวลาที่ตนพูดคุยกับเขาต้องมีมารยาทสักหน่อย ยามที่เรียกเขาเป็นพี่เป็นน้องก็ต้องมีความจริงใจให้มากหน่อย รอให้เฉินผิงอันกลายเป็นเซียนดินโอสถทอง ขณะเดียวกันก็ยังเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบอะไรนั่นด้วย แบบนั้นตนคงมีหน้ามีตามากแน่
เสียงของฉีจิ่งหลงพลันดังขึ้นที่ข้างหูของเด็กหนุ่ม “แอบฟังมานานขนาดนี้ คิดอย่างไร อยากดื่มเหล้าหรือไม่?”
ป๋ายโส่วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ดื่มเหล้าอะไรกัน อายุยังน้อย เดี๋ยวจะถ่วงเวลาการฝึกตน!”
เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ของฉีจิ่งหลง ความสามารถในการขับเรือตามกระแสลมไม่ได้แย่ไปกว่าลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของข้าสักเท่าไรเลย”
ป๋ายโส่วจึงรู้สึกไม่ยอมแพ้ บอกว่าข้าขับเรือตามกระแสลม ข้าก็ทน บอกว่าความสามารถในการขับเรือตามกระแสลมของข้าสู้คนอื่นไม่ได้ ข้อนี้ข้าทนไม่ไหวจริงๆ เขาจึงหันหน้ามาพูดเสียงดังว่า “คนแซ่เฉิน ลูกศิษย์ของเจ้าชื่อแซ่อะไร เจ้าช่วยนำความไปบอกเขาแทนข้าทีว่า ข้าคือป๋ายโส่วแห่งยอดเขาเพียนหราน วันใดมีเวลาว่างจะต้องไปพบเจอเขาอย่างแน่นอน! ประลองบุ๋นประลองบู๊ วิชาหมัด มรรคกถา วิชากระบี่ เชิญเขาเลือกได้ตามสบาย!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ประลองบุ๋นยังพอได้ แต่ประลองบู๊นั้นช่างเถิด ตอนนี้ลูกศิษย์เปิดขุนเขาของข้ายังเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนอยู่เลย”
ป๋ายโส่วส่ายหน้า “ถือว่าเขาเหยียบโชคดีขี้หมาไป!”
แล้วเด็กหนุ่มก็เดินก้าวยาวๆ จากไป
ตอนนี้เด็กหนุ่มยังไม่รู้ว่าคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจเพียงแค่ไม่กี่ประโยคนี้ของเขา วันหน้าทำให้เขาต้องถูกซ้อมตีอยู่ไม่น้อย เป็นเหตุให้ในอนาคตยามที่ผู้คนพูดถึงเซียนกระบี่ป๋ายโส่วแห่งยอดเขาเพียนหรานจึงมีคำพูดติดปากบอกว่า ‘หายนะออกมาจากปากแท้ๆ’
เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วก็ลุกขึ้นกล่าวว่า “ไม่ถ่วงเวลาการรับรองแขกของเจ้าแล้ว อีกอย่างยังมีการต่อสู้ถึงสามรอบรออยู่ ข้าเองก็ต้องรีบออกเดินทางต่อ”
ฉีจิ่งหลงไม่ได้รั้งเขาไว้ แต่หยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อคล้ายเตรียมรอไว้นานแล้ว เขาเอ่ยว่า “เกี่ยวกับวิธีการฝึกตนของผู้ฝึกกระบี่ เป็นความเข้าใจเล็กน้อยของตัวข้าเอง เวลาอยู่ว่างๆ เจ้าก็ลองเปิดอ่านดูได้”
เฉินผิงอันเก็บมาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ถามว่า “หากข้าบังคับเรือยันต์เดินทางอยู่ในสำนักกระบี่ไท่ฮุยของพวกเจ้า จะมีปัญหาหรือไม่?”
สำนักใหญ่ กฎเกณฑ์เยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักของผู้ฝึกกระบี่ ลำพังเพียงแค่เรื่องของการโคจรวิถีกระบี่บินทะยานของผู้ฝึกกระบี่ก็มีเรื่องมากมายให้ต้องพิถีพิถันแล้ว
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้ายังรู้ด้วยหรือว่าอยู่ในสำนักกระบี่ไท่ฮุย?”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นตกตะลึง “กลายเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน ยามพูดจาจึงฟังดูแข็งกระด้าง หากเปลี่ยนไปอยู่บนภูเขาลั่วพั่วของข้า ไหนเลยจะกล้าพูดจาเช่นนี้”
เฉินผิงอันตบศีรษะของตัวเอง เพิ่งนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงควักเอาถุงเงินใบใหญ่หนักอึ้งบรรจุเต็มไปด้วยเงินฝนธัญพืชที่เตรียมไว้นานแล้วออกมา นี่คือเงินส่วนที่เหลือจากการทำการค้ากับฮว่อหลงเจินเหรินแล้วเก็บไว้ที่ตัว เขายิ้มกล่าวว่า “หนึ่งร้อยเหรียญ หากราคาถูกก็ช่วยข้าซื้อกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่สักเจ็ดแปดเล่ม แต่ถ้าแพงมาก กระบี่จำลองหนึ่งเล่มราคาสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อมาแค่เล่มสองเล่ม ส่วนที่เหลือก็อยู่ช่วยซื้อของดีๆ จากศาลซานหลางมาให้ข้าหน่อย ส่วนจะเป็นของอะไรนั้น เจ้าก็ตัดสินใจเองได้เลย”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้าตกลง
เฉินผิงอันจึงบังคับเรือยันต์กลับไปยังท่าเรือฮ่วนโหยว เตรียมจะไปหาจางซานเฟิงที่ยอดเขาพาตี้ต่อ
ก่อนจะทะยานขึ้นกลางอากาศ เขาตะโกนพูดกับเด็กหนุ่มป๋ายโส่วที่เดินเล่นอยู่บนยอดเขาเพียนหรานว่า “อาจารย์เจ้าติดเงินฝนธัญพืชข้าหนึ่งเหรียญ คอยเตือนเขาเป็นระยะด้วยล่ะ”
เมื่อครู่นี้ป๋ายโส่วเพิ่งคิดว่าเวลาอยู่กับเจ้าคนแซ่เฉินจะมีมารยาทกฎเกณฑ์สักหน่อย แต่เวลานี้กลับอดไม่ไหวชูนิ้วกลางให้อีกฝ่าย
ตรงกระท่อมหลังนั้น ฉีจิ่งหลงพยักหน้า พอจะมีลักษณะของคนเป็นลูกศิษย์บ้างแล้ว
บนยอดเขามากมายของสำนักกระบี่ไท่ฮุย ผู้ฝึกตนหญิงจับกลุ่มกันกลุ่มละสองสามคน กำลังกระซิบพูดคุยกันด้วยสีหน้าลิงโลด
เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนชายที่สงสัยใคร่รู้ในตบะ ขอบเขตและประวัติความเป็นมาของคนหนุ่มผู้นั้นแล้ว
เนื้อหาที่เหล่าสตรีพูดคุยกันกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
พวกนางกำลังคุยกันว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติคนใดที่สามารถทำให้อาจารย์อาหลิว บรรพจารย์อาออกจากเรือนไปต้อนรับด้วยตัวเองได้ พอได้ยินว่าเป็นบุรุษที่สวมชุดเขียวถือไม้เท้าเดินป่า สะพายหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ ต่างก็อดไม่ไหวสอบถามกันว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไร บุคลิกเป็นอย่างไร สตรีที่เห็นคนทั้งสองเดินขึ้นเขาด้วยกันอยู่ไกลๆ เงียบไปนานก่อนจะพูดว่าพอใช้ได้ สตรีคนอื่นๆ จึงพากันบ่นไม่หยุด ต่างก็รู้สึกว่าอาจารย์อาน้อย บรรพจารย์อาของพวกตนได้รับความอยุติธรรมที่ใหญ่เทียมฟ้า
ทางฝั่งของยอดเขาเพียนหราน ให้ตายฉีจิ่งหลงก็ไม่มีทางคิดได้ว่าพวกเด็กรุ่นหลังในสำนักจะมีความคิดเหลวไหลเลื่อนเปื้อนเช่นนี้ ต่อให้เขาได้ยินก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี
คาดว่ายังจะต้องขอความรู้จากเฉินผิงอัน ถึงจะคลายปมปริศนา เข้าใจได้อย่างกระจ่างแจ้ง
ป๋ายโส่วกลับมาที่กระท่อม “เขาจากไปง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือ? คนแซ่หลิว เขาไม่เห็นเจ้าเป็นเพื่อนเลยใช่ไหม?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “รอให้วันหน้าเจ้าเองก็มีเพื่อนเหมือนกัน ก็จะรู้คำตอบเอง”
ป๋ายโส่วเอ่ย “ข้ากับคนแซ่เฉินก็เป็นเพื่อนกันนี่นา ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน เจ็บใจที่พบเจอกันช้าไป ดื่มสุราพูดคุยถูกคอ เรียกขานกันเป็นพี่เป็นน้อง…”
ฉีจิ่งหลงโบกมือ “พวกเราไปที่ศาลบรรพจารย์กัน”
ป๋ายโส่วมีท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงทันที “พรุ่งนี้ค่อยไปได้ไหม?”
ฉีจิ่งหลงไม่ได้เอ่ยอะไร
ป๋ายโส่วนินทาในใจไม่หยุด ทว่ากลับได้แต่ยอมติดตามฉีจิ่งหลงทะยานลมไปยังศาลบรรพจารย์บนยอดเขาหลักแต่โดยดี
โดยทั่วไปแล้ว ขอแค่คนแซ่หลิวพูดถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง บางทีระหว่างนี้อาจจะจู้จี้จุกจิกอยู่มาก แต่จากนั้นหากไม่พูดมากอีกแม้แต่คำเดียว นั่นก็ถึงคราวของเขาป๋ายโส่วต้องลงมือทำแล้ว
ตอนที่ทะยานลมเดินทาง ป๋ายโส่วสังเกตเห็นว่าดูเหมือนคนแซ่หลิวจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน จึงควักเอาถุงเงินใบใหญ่ออกมาเขย่า ราวกับกำลังฟังเสียงนับเงิน
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยังดีที่ไม่ใช่เก้าสิบเก้าเหรียญ”
ป๋ายโส่วถาม “มีอะไรหรือ?”
ฉีจิ่งหลงเพียงตอบว่าไม่มีอะไร
ป๋ายโส่วกลับรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย คนแซ่หลิวกับพี่ชายคนดีนั่นเล่นอะไรกันอยู่นะ
……
เฉินผิงอันคิดไม่ถึงว่าจางซานเฟิงจะติดตามศิษย์พี่หยวนหลิงเตี้ยนลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์แล้ว
ผู้ที่มารับรองต้อนรับคือเจ้าขุนเขาสายป๋ายอวิ๋น คือเทพเซียนผู้เฒ่าที่มีมาดของเซียนคนหนึ่ง เขาออกมาขออภัยเฉินผิงอันที่ประตูภูเขาด้วยตัวเอง
พอเฉินผิงอันรู้ว่าฮว่อหลงเจินเหรินยังนอนหลับก็บอกว่าครั้งนี้คงไม่ขึ้นเขาแล้ว คราวหน้าค่อยมาเยี่ยมเยียนใหม่ ขอเจินเหรินผู้เฒ่าโปรดให้อภัยที่ตนผ่านทางมาแล้วไม่เข้าไปเยี่ยมเยียน วันหน้าเมื่อได้มาเยือนอุตรกุรุทวีปอีกครั้ง ก่อนจะมาเยือนต้องบอกกล่าวล่วงหน้าอย่างแน่นอน
เทพเซียนผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก เขามีสีหน้าเมตตาอ่อนโยน เพียงเอ่ยแค่ว่าคำกล่าว ‘เหลือไว้ก่อน’ ของเฉินผิงอันนั้นน่าสนใจมาก
เฉินผิงอันเขินอายเล็กน้อย บอกกว่านี่เป็นคำกล่าวโบร่ำโบราณของบ้านเกิด
เทพเซียนผู้เฒ่าจึงมาส่งเฉินผิงอันที่ท่าเรือด้วยตัวเอง แล้วถึงได้บอกลากลับไปยังภูเขา
เฉินผิงอันนั่งโดยสารเรือข้ามฟากลำหนึ่งไปยังสวนน้ำค้างวสันต์ เขาฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง เหม่อมองออกไปด้านนอก
พอไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์ก็สามารถตรงไปยังชายหาดโครงกระดูกที่อยู่ทางทิศใต้สุดของอุตรกุรุทวีปได้เลย
แต่ระหว่างนี้เฉินผิงอันจำเป็นต้องลงจากเรือกลางทาง ไปที่แคว้นชิงเฮาก่อนหนึ่งรอบ นี่เป็นแคว้นเล็กๆ แห่งหนึ่ง ไม่มีท่าเรือตระกูลเซียน จำเป็นต้องเดินเท้าเป็นระยะทางพันกว่าลี้
ตอนนี้หลี่ซีเซิ่งอยู่ในเมืองแห่งหนึ่ง อาศัยอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าถนนถ้ำเซียน
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าเขาออกจากสำนักกระบี่ไท่ฮุยไปได้ไม่นานเท่าไร
ก็มีเด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้ว ในมือถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมรกตนั่งโดยสารเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาลำหนึ่งมุ่งหน้าไปยังชายหาดโครงกระดูก
อาจารย์กลับลงใต้ ลูกศิษย์เดินทางขึ้นเหนือ
เรื่องแรกที่เด็กหนุ่มทำหลังจากไปถึงชายหาดโครงกระดูกก็คือแหวกม่านฟ้ามุมหนึ่งของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างหุบเขาผีร้าย มองไปเหนือนครจิงกวาน แล้วทุ่มห่าฝนสมบัติอาคมที่ส่องประกายแสงพร่างพราวอย่างถึงที่สุดลงไป พอทำเสร็จแล้วก็เก็บสมบัติอาคมเผ่นหนี
ส่วนเกาเฉิงวิญญาณวีรุบุรุษของนครจิงกวานก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ไม่ตามไปไล่ฆ่าเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้น
เกาเฉิงที่สวมเสื้อเกราะนั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกขาวขมวดคิ้วมุ่น เหตุใดพอเห็นคนผู้นี้ อารมณ์กระวนกระวายไม่เป็นสุขที่เดิมทีเกิดขึ้นแบบขาดๆ หายๆ ถึงยิ่งชัดเจนมากกว่าเดิม
เกาเฉิงไม่เพียงแต่ไม่ได้บุ่มบ่ามใช้กายธรรมแหวกผ่าม่านฟ้า กลับกันยังรู้สึกได้ถึงพันธนาการประหลาดบางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นครปี้ฮว่าตรงตีนเขาของภูเขามู่อี เด็กหนุ่มคนหนึ่งคิดจะซื้อภาพเทพหญิงฉบับเต็มเติมชุดหนึ่งมาจากในร้าน เขาต่อรองราคากับเด็กสาวคนหนึ่งด้วยท่าทางน่าสงสาร บอกว่าตัวเองอายุยังน้อย ออกทัศนาจรศึกษาอย่างยากลำบาก ในกระเป๋าฟีบแบน แล้วก็เพราะชื่นชอบภาพเทพหญิงพวกนี้มากจริงๆ จึงยอมให้ท้องหิว แต่ก็ต้องซื้อพวกมันมาให้ได้
เด็กสาวเห็นว่าเขาพูดจาน่าเชื่อถือ สีหน้าจริงใจ ดูจากท่าทางแล้วหากยังปล่อยให้เขาพร่ำพรรณนาต่อไป คาดว่าอีกฝ่ายอาจจะมีการหลั่งน้ำตาเอาได้ นางที่รู้สึกจนใจจึงยอมแหกกฎขายให้เขาในราคาถูก ผลกลับกลายเป็นว่าพอตกลงราคากันได้แล้ว เด็กหนุ่มคนนี้ก็เผยสีหน้าซาบซึ้งใจ โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เอ่ยว่า “ภาพเทพหญิงทั้งหมดในร้าน อิงตามราคาที่เป็นธรรมนี้ ข้าเหมาทั้งหมด!”
เด็กสาวปากอ้าตาค้าง
เด็กหนุ่มชุดขาวที่หน้าไม่อายผู้นี้หันหน้าไปมอง
จู๋เฉวียนเจ้าสำนักพีหมาที่พกดาบตรงเอวกำลังยืนยิ้มอยู่ห่างไปไม่ไกล “น้องชายคนนี้ช่างใจกล้าเสียจริง”
ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ กอดไม้เท้าเดินป่าไว้ในอ้อมอก “ก็ใช่น่ะสิ ข้าคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์ข้า พี่สาวท่านนี้ ไม่ทราบว่าเป็นใครมาจากไหน?”
จู๋เฉวียนเห็นไม้เท้าเดินป่าอันนั้นก็มีสีหน้าปั้นยากเล็กน้อย “อาจารย์ของเจ้าคงไม่ได้แซ่เฉินหรอกกระมัง?”
ชุยตงซานยิ้มกว้างสดใส “พี่สาวเป็นเทพเซียนจริงๆ ล่วงรู้เหตุการณ์เสียด้วย”
จู๋เฉวียนเอ่ยสัพยอก “แต่ข้าไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงเจ้ามาก่อน”
นาทีถัดมาจู๋เฉวียนก็ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่
น่าประหลาดนัก เมื่อครู่นี้ไอ้หมอนี่เพิ่งจะโยนสมบัติอาคมใส่หัวเกาเฉิงในนครจิงกวาน ท่าทางดูมีความสุขนักหนา
ทว่าเวลานี้เด็กหนุ่มหน้าตางดงามตรงหน้ากลับทำหน้ายับยู่ น้ำตาร่วงเผลาะๆ ลงมาเป็นสาย