กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 564.1 ดั่งนักท่องเที่ยวที่ออกเดินทางไกลอยู่ภายนอก
เฉินผิงอันลงจากเรือข้ามฟากกลางทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังแคว้นชิงเฮาที่ถือว่าค่อนข้างอยู่ห่างไกลกันดารของอุตรกุรุทวีป
ระยะทางพันลี้ เฉินผิงอันเลือกจะเดินบนทางเส้นเล็กระหว่างป่าเขา เดินทางทั้งวันทั้งคืน เรือนกายพุ่งทะยานว่องไวดุจสายฟ้า
เพียงไม่นานก็มาถึงเมืองแห่งนั้น เขาเพิ่งจะเดินเข้าไปในถนนถ้ำเซียนที่ไม่กว้างมากเส้นนั้น ประตูบ้านหลังหนึ่งก็เปิดออก บุรุษเรือนกายสูงเพรียวสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งเดินออกมา คลี่ยิ้มกวักมือให้เขา
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไป สีหน้าของเขาเลื่อนลอยไปเล็กน้อย
เขาเก็บความคิดกลับมา เดินเร็วๆ เข้าไปหาอีกฝ่าย
หลี่ซีเซิ่งเดินลงมาจากบันได เฉินผิงอันประสานมือคารวะด้วยพิธีการของลัทธิขงจื๊อ “คารวะอาจารย์หลี่”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มพลางประสานมือคารวะกลับคืน
เด็กหนุ่มชุยซื่อยืนอยู่ด้านในของประตูมองคนบ้านเดียวกันสองคนที่จากกันไปนานและได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งที่นอกประตูใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กหนุ่มได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอาจารย์ ชุยซื่อก็ดีใจตามไปด้วย
พอมาถึงอุตรกุรุทวีป อาจารย์ก็มักจะขมวดคิ้วครุ่นคิดเรื่องราว ต่อให้หัวคิ้วคลายออกก็ดูเหมือนว่ายังมีหลายเรื่องอยู่เบื้องหลังรอให้อาจารย์ไปใคร่ครวญ ไม่เหมือนในเวลานี้ที่ดูเหมือนว่าอาจารย์ของตนไม่ต้องคิดอะไรมาก มีเพียงความสุขสบายใจอย่างเดียวเท่านั้น
หลี่ซีเซิ่งพาเฉินผิงอันเดินเข้าไปในเรือน แล้วหันหน้ามายิ้มกล่าว “เกือบจะจำเจ้าไม่ได้อยู่แล้วเชียว”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “คาดว่ารอให้คราวหน้าที่ข้าได้ไปพบเป่าผิงน้อยในสำนักศึกษาก็คงรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน”
เดินไปถึงห้องหนังสือของหลี่ซีเซิ่ง ห้องไม่ใหญ่นัก ตำราก็ไม่มาก แล้วก็ไม่มีเครื่องประดับตกแต่งอย่างพวกอักษรภาพ วัตถุโบราณอะไรที่มากเกินความจำเป็น
หลี่ซีเซิ่งบอกให้ชุยซื่อไปอ่านหนังสือของตัวเอง
แล้วเขาก็ยกเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังโต๊ะออกมานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอันที่เพิ่งปลดงอบและหีบไม้ไผ่
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้าเอ่ยว่า “ดีมาก จิตใจสงบมากขึ้นแล้ว”
เฉินผิงอันเกาหัว
หลี่ซีเซิ่งยิ้มบางๆ “เรื่องบางอย่าง เมื่อก่อนไม่เหมาะที่จะพูด ตอนนี้ก็ควรจะพูดให้เจ้าฟังได้บ้างแล้ว”
เฉินผิงอันที่เดิมทีก็นั่งตัวตรงอยู่แล้วยิ่งนั่งอย่างสำรวมถูกต้องตามระเบียบมากยิ่งขึ้น “อาจารย์หลี่โปรดพูด”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยว่า “ข้าคนนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ค่อยจะเข้าใจตัวเองสักเท่าไร”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย “เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”
หลี่ซีเซิ่งส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ค่อยเหมือนกัน”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยต่ออีกว่า “ยังจำยันต์ไม้ท้อที่ปีนั้นข้าอยากจะมอบให้เจ้าได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ
หลี่ซีเซิ่งกล่าว “ก่อนหน้านั้น ข้าเคยประมือกับผู้ฝึกกระบี่เฉาจวิ้นในตรอกหนีผิงไปครั้งหนึ่ง ถูกต้องไหม?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มทันใด “อาจารย์ทำให้เฉาจวิ้นผู้นั้นต้องอับจนหนทาง”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยเนิบช้าว่า “อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ผู้ฝึกลมปราณฝึกตนได้ยากมาก แต่ข้ากลับฝ่าทะลุขอบเขตได้อย่างรวดเร็ว เร็วจนหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวาที่เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูในภายหลัง เมื่อเทียบกับข้าแล้วก็ไม่นับเป็นอะไรได้”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่รอฟังประโยคถัดไปเงียบๆ
คำพูดของหลี่ซีเซิ่งดั่งการเปิดเผยเจตนารมสวรรค์ ถ้อยคำนั้นราวกับว่าหากไม่ทำให้คนตกใจตายจะไม่ยอมเลิกรา “ข้าเองก็เพิ่งจะมารู้ต้นสายปลายเหตุหลังจากที่ได้ทบทวนอนุมานในภายหลังครั้งแล้วครั้งเล่า โชคชะตาที่เดิมทีควรเป็นของเจ้า หรือควรจะพูดว่าโชควาสนาบนมหามรรคาส่วนนั้น มาหล่นอยู่บนตัวข้า ข้าเองก็เหมือนกับเจ้าที่รู้สึกมาโดยตลอดว่าหมื่นเรื่องราวหมื่นสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนควรพิถีพิถันในคำว่าสมดุล เจ้าได้ข้าเสีย ‘หนึ่ง’ น้อยใหญ่ในแต่ละครั้ง จะไม่มีทางหายไปหรือเพิ่มขึ้นมาเฉยๆ ได้เด็ดขาด ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน”
เฉินผิงอันขยับปากจะพูด หลี่ซีเซิ่งกลับโบกมือ “รอให้ข้าพูดให้จบก่อน”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยต่อว่า “วิธีการคิดเรื่องราวของเจ้าและข้าไม่ต่างกันมากนัก เมื่อรู้แล้วก็มักจะต้องทำอะไรสักอย่างถึงจะสบายใจ แม้ว่าก่อนหน้านั้นข้าจะไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองได้ครอบครองโชควาสนาในส่วนของเจ้าไป แต่ในเมื่อภายหลังขอบเขตไต่ทะยาน ความสามารถในการเล่นหมากล้อมเพิ่มพูน ข้าจึงค่อยๆ อนุมานถอยกลับไปทีละก้าวจนกระทั่งคำนวณได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน ถ้าอย่างนั้นในเมื่อรู้แล้ว ข้าย่อมไม่อาจรับเอามาอย่างผึ่งผาย แม้ว่าตอนนี้ขนาดข้าก็ยังไม่อาจรู้ประวัติความเป็นมาของยันต์ไม้ท้อชิ้นนั้น ไม่ว่าข้าจะอนุมานอย่างไรก็ไม่ได้ผลลัพธ์ แต่ข้ารู้ชัดเจนดีว่า สำหรับข้าแล้ว ยันต์ไม้ท้อต้องสำคัญมากแน่ๆ แต่ก็เพราะว่ามันสำคัญนี่แหละ ตอนนั้นข้าถึงได้อยากจะมอบมันให้กับเจ้า ถือเป็นการแลกเปลี่ยนทางใจอย่างหนึ่ง ข้าลดเจ้าเพิ่ม สองฝ่ายกลับคืนมามีสมดุลเหมือนเดิม ในช่วงเวลาระหว่างนี้ หาใช่ว่าตอนนั้นข้าหลี่ซีเซิ่งมีขอบเขตสูงกว่าเจ้า หรือจะบอกว่ายันต์ไม้ท้อล้ำค่ามาก พวกเราจึงไม่เท่าเทียมกัน ก็เลยจะแลกเปลี่ยนเอาของชิ้นหนึ่งมามอบให้เจ้า ไม่ควรเป็นเช่นนี้ ข้าได้รับรากฐานมรรคาส่วนนั้นของเจ้ามา ข้าก็ควรจะเอารากฐานมรรคาของข้ามอบให้แก่เจ้า นี่ต่างหากจึงจะเป็นได้หนึ่งคืนหนึ่งอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าตอนนั้นเจ้าไม่ยินดีจะรับไว้ ข้าก็เลยต้องถอยไปหนึ่งก้าว นี่เป็นเหตุให้ข้าพูดกับผู้อาวุโสหลี่เอ้อร์ของยอดเขาสิงโตว่า การมอบยันต์ให้ก็ดี การเขียนยันต์บนเรือนไม้ไผ่ก็ช่าง หากเจ้ารู้สึกซาบซึ้งบุญคุณจึงมาพบเจอข้าหลี่ซีเซิ่ง ก็มีแต่จะเพิ่มความหนักใจให้เจ้าและข้า ปมเชือกที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วจะยุ่งมากกว่าเก่า ไม่สู้ไม่ต้องพบกันเลยจะดีกว่า”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยสีหน้านิ่งสงบ
หลี่ซีเซิ่งยิ้มกล่าว “ส่วน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ เล่มนั้นกับกระดาษยันต์ทั้งหลาย ไม่นับรวมอยู่ในกรณีนี้ ข้าก็แค่ใช้สถานะพี่ชายใหญ่ของหลี่เป่าผิงขอบคุณที่เจ้าช่วยดูแลปกป้องนางไปตลอดการเดินทางเท่านั้น”
เฉินผิงอันยังคงพยักหน้ารับ
อยู่ดีๆ สีหน้าของหลี่ซีเซิ่งก็เปลี่ยนมาเป็นเปลี่ยวเหงา เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “เฉินผิงอัน เจ้าไม่แปลกใจหรือว่าเหตุใดน้องชายของข้าชื่อหลี่เป่าเจิน ในชื่อของเป่าผิงน้อยก็มีอักษรคำว่า ‘เป่า’ มีเพียงข้าที่ไม่เหมือนใคร?”
บุตรชายหญิงสามคนของสกุลหลี่ถนนฝูลวี่ หลี่ซีเซิ่ง หลี่เป่าเจิน หลี่เป่าผิง
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน”
ปีนั้นเวลาที่แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงอยู่กับอาจารย์อาน้อยของนาง ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่นางไม่เคยเล่าให้เขาฟัง เฉินผิงอันจึงได้ยินมาว่ามารดาแท้ๆ ของนางค่อนข้างจะลำเอียงรักหลี่เป่าเจินบุตรชายคนรองมากกว่า กับบุตรชายคนโตอย่างหลี่ซีเซิ่ง นางกลับไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมมากนัก สำหรับเรื่องในครอบครัวของเป่าผิงน้อย ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันเคยบอกไว้ แค่ได้ยินได้ฟังก็พอ เขาไม่เคยเก็บเอาไปใคร่ครวญให้ลึกซึ้ง
หลี่ซีเซิ่งลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าต่าง ทอดสายตามองไปไกล
ทุกครั้งที่ถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ สกุลหลี่จะมีขนบธรรมเนียมประจำตระกูลอย่างหนึ่งที่ไม่ถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร มารดาของพวกเขาสามพี่น้องจะให้พวกบ่าวไพร่ในจวนเอ่ยคำสุภาษิตหรือบทกวีที่มีอักษรคำว่า ‘หลี่’ ยกตัวอย่างเช่นประโยคที่มีความหมายดีอย่างท้อหลี่พูดไม่ได้ แต่ผลของพวกมันกลับมีรสหวาน คนเดินย่ำผลเป็นทาง (เปรียบเปรยว่าคนซื่อสัตย์จริงใจจะทำให้ผู้คนรู้สึกซาบซึ้งชื่นชอบได้เสมอ) หรือประโยคจับหมวกใต้ต้นหลี่ แม้กระทั่งหากมีเด็กคนใดที่เอ่ยประโยค ‘ท้อธรรมดาหลี่สามัญ’ ซึ่งเป็นความหมายในเชิงลบออกมาโดยไม่ทันระวัง มารดาของพวกเขาก็ยังไม่โกรธ ยังคงมอบเงินยาสุ้ยให้ มีเพียงยามที่นางได้ยินประโยคว่า ‘ให้ผลท้อมามอบผลหลี่กลับคืน’ เท่านั้นที่รอยยิ้มจะเลือนหายไปเยอะมาก จากนั้นพอได้ยินประโยคว่า ‘หลี่ตายแทนท้อ’ สตรีที่มักจะมีสีหน้าเป็นมิตรน่าเข้าใกล้สำหรับบ่าวไพร่อยู่เป็นนิตย์กลับมีสีหน้าโกรธเคืองยากจะปกปิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตอนนั้นหลี่ซีเซิ่งยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขายืนอยู่ในมุมหัวเลี้ยวของระเบียงทางเดินพอดี จึงได้เห็นภาพนั้น และได้ยินคำพูดเหล่านั้น
ตอนนั้นหลี่ซีเซิ่งไม่เข้าใจ จึงได้แต่ฝังกลบความสงสัยใคร่รู้ไว้ในส่วนลึกของหัวใจ แรกเริ่มก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่สักเท่าไร เพียงแต่ยังคงรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
ดูเหมือนว่านับแต่โบราณมา คำว่าท้อหลี่มักจะอยู่เคียงข้างกันในบทกวีอยู่เสมอ
หลี่ซีเซิ่งหันหน้ามาเอ่ยเสียงเบาว่า “ฝั่งตรงข้ามมีครอบครัวแซ่เฉินอาศัยอยู่ มีลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งอายุมากกว่าหลี่เป่าเจินสองสามปี ชื่อว่าเฉินเป่าโจว หากเจ้าได้เจอเขาก็จะเข้าใจได้เองว่าเหตุใดถึงมีเพียงข้าหลี่ซีเซิ่งที่สามารถรับโชคชะตาส่วนนั้นแทนเจ้าได้”
อันที่จริงไม่จำเป็นต้องไปพบแล้ว
เพราะแค่หลี่ซีเซิ่งพูดอย่างนี้ เฉินผิงอันก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว
หลี่ซีเซิ่งพลันยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร”
ถนนถ้ำเซียนของของอุตรกุรุทวีป เฉินซีเซิ่ง
ถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีป หลี่เป่าโจว
เดิมทีตามหลักแล้วควรเป็นเช่นนี้
และนี่ก็ช่วยอธิบายว่าเหตุใดบนหลุมศพบรรพบุรุษของสกุลเฉินที่ฝังอยู่ในภูเขาลึกถึงได้มีต้นเจีย (อักษร 楷 ที่เป็นชื่อของต้นไม้ชนิดนี้อ่านได้สองแบบคือเจียหรือข่าย ต้นเจียในพจนานุกรมไทยแปลได้เป็นต้นอบเชยจีน พันธ์ไม้นี้ยังมีชื่อเรียกอีกมากมาย ตามตำราจีนถือเป็นวงศ์เดียวกับหวงเหลียนสมุนไพรของจีน) ซึ่งมีความหมายถึงอริยะปราชญ์เผยกายบนโลกเติบโตขึ้นมา
เพราะเดิมทีแล้วอาจารย์หลี่ผู้นี้ ควรจะแซ่เฉิน
หลี่ซีเซิ่งทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังเสียงเบา “เรื่องราวมากมาย ข้าคิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ก็เหมือนกับว่าบนเส้นทางของชีวิตคนมีภูเขาสายน้ำเป็นอุปสรรคขัดขวาง มีด่านมากมายกางกั้น มีเพียงตบะสูงขึ้นอีกนิดถึงจะข้ามผ่านไปได้ด่านหนึ่ง”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “อาจารย์หลี่ควรจะเสียใจ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องเสียใจมากขนาดนั้น”
หลี่ซีเซิ่งหัวเราะ สายตาใสกระจ่างและเป็นประกายเจิดจ้า “ประโยคนี้ปลอบประโลมใจคนได้ดี”
เฉินผิงอันหัวเราะตามไปด้วย
จากนั้นหลี่ซีเซิ่งก็เสนอให้คนทั้งสองเล่นหมากล้อมกัน
คนทั้งสองจึงเล่นหมากล้อมพลางพูดคุยกันไปด้วย
เฉินผิงอันวางหมากช้า พอถึงช่วงท้าย ทุกครั้งที่วางหมากลงไปถึงจะพูดคุยสองสามประโยค
“ตอนที่ยังไม่ได้เดินทางมาอุตรกุรุทวีป อันที่จริงข้ากลัวมาก ได้ยินว่าที่นี่มีผู้ฝึกกระบี่เยอะ ทั้งบนและล่างภูเขาล้วนทำอะไรตามอำเภอใจ ข้าก็เลยคิดว่าลองมาผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่ดู นั่นถึงทำให้ได้รู้ว่า ที่แท้ขอแค่ข้ามผ่านด่านในหัวใจไปไม่ได้ ไม่ว่าคนจะบังคับลมเดินทางไกลอย่างมีอิสระเสรีมากแค่ไหน เท้าทั้งสองข้างก็ยังจมอยู่ในปลักโคลนอยู่ดี”
“แล้วก็กลัวว่าตัวเองจะเดินจากขั้วหนึ่งไปอีกขั้วหนึ่ง ก็เลยใช้ฉายาว่าเฉินคนดี นี่ไม่ใช่ว่าทำไปเพื่อความสนุกอะไร แต่เพื่อเป็นการย้ำเตือนตัวเองว่ามาฝึกประสบการณ์นี่ ไม่สามารถกระทำการกำเริบเสิบสานตามแต่ใจ คล้อยไปตามสถานการณ์ของที่นี่ได้อย่างแท้จริง”
“คงเป็นเพราะส่วนลึกในใจแอบคิดมาโดยตลอดว่า หากสามารถเป็นคนดีที่แท้จริงได้ก็คงจะดี”
หลี่ซีเซิ่งไม่ได้พูดอะไรมาก แต่พอได้ยินประโยคนี้ถึงได้เอ่ยว่า “ยอมรับว่าตัวเองมีความเห็นแก่ตัว แต่กลับสามารถทำดีได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
หลี่ซีเซิ่งคีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมาวางลงบนกระดานเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “นี่ก็คือประโยคที่ว่า ‘ปฏิบัติตนอย่างสำรวมแม้ยามอยู่ลำพัง ควบคุมตัวเองให้สอดคล้องกับมารยาทพิธีการ’ ที่ลัทธิขงจื๊อของพวกเราพร่ำพูดมาโดยตลอด”
เฉินผิงอันส่ายหน้า เขาไม่เห็นด้วยสักเท่าไร
หลี่ซีเซิ่งเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่มองสถานการณ์บนกระดานหมาก “แต่ฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยมากจริงๆ”
เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องของการเล่นหมากล้อม ข้าไม่มีพรสวรรค์เลยจริงๆ”
หลี่ซีเซิ่งยิ้ม “เป็นเช่นนี้จริงหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เพราะข้าวางหมากอย่างไม่มีรูปแบบ ตัดใจจากหนึ่งช่วงเวลาหนึ่งสถานที่ไม่ได้”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ย “คนบนโลกล้วนวางหมากของตัวเองอยู่บนวิถีทางโลก หมื่นเรื่องราวหมื่นผู้คนต่างก็เป็นคนฉลาดที่เหมือนมีเม็ดหมากอยู่ในมือ มีมากมาย ไม่ได้มีแค่เจ้าเฉินผิงอันคนเดียวหรอก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คำพูดประโยคนี้ของอาจารย์หลี่ปลอบใจคนได้ดีจริงๆ”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ย “ข้าพูดจากใจจริง แต่เจ้าน่ะพูดประจบ ใครสูงใครต่ำก็ตัดสินได้ทันที”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราออกท่องยุทธภพ บนหน้าผากของทุกคนล้วนสลักคำว่าจริงใจ!”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มพลางยกมือขึ้นกุมกันเป็นหมัด “ยินดีที่ได้พบๆ”
แต่รอยยิ้มของเฉินผิงอันกลับค่อนข้างฝืดฝืน
หลี่ซีเซิ่งถอนหายใจอยู่ในใจ
คงจะคิดถึงเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วหลังนั้น
คนเรามีชีวิตอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ดุจนักท่องเที่ยวที่ออกเดินทางไกลอยู่ด้านนอก
……
เมื่อเรือข้ามฟากมุ่งจากเหนือลงใต้ก็ทยอยผ่านราชวงศ์ต้าจ้วน แคว้นจินเฟย แคว้นหลันฝาง แล้วก็ไปถึงท่าเรือฝูสุ่ยของสวนน้ำค้างวสันต์
ตอนนี้ได้เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เฉินผิงอันจึงพลาดงานเลี้ยงอำลาวสันต์ของสวนน้ำค้างวสันต์ไปอีกปี เมื่อเทียบกับคราวก่อน ท่าเรือฝูสุ่ยซบเซากว่าเดิมมาก
ความครึกครื้นของสวนน้ำค้างวสันต์ล้วนอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิทั้งสิ้น
เฉินผิงอันเดินลงจากเรือข้ามฟาก เมื่อเทียบกับการแต่งกายตอนที่จากไปเมื่อปีก่อนก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากสะพายเจี้ยนเซียนมาเป็นสะพายหีบไม้ไผ่ ยังคงใส่ชุดเขียวสวมงอบ ถือไม้เท้าเดินป่าอยู่ดังเดิม
เฉินผิงอันตรงไปที่ถนนเหล่าไหว บนถนนคึกคักกว่าตรงท่าเรืออยู่มาก ผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ เห็นร้านเล็กๆ ที่แขวนกรอบป้ายว่าผีฝูแล้ว เฉินผิงอันก็ยิ้มอย่างชอบใจ ตัวอักษรใหญ่สองข้างของกรอบป้ายเขียนได้ไม่เลวเลยจริงๆ เขาปลดงอบลงมา ก้าวข้ามธรณีประตู ตอนนี้ในร้านยังไม่มีลูกค้า นี่ทำให้เฉินผิงอันกลัดกลุ้มขึ้นมาอีก ตัวแทนเถ้าแก่เงยหน้ายิ้มต้อนรับเขา คือผู้ฝึกตนหนุ่มที่มีชาติกำเนิดมาจากเรือนจ้าวเย่ฉ่าว พอเห็นว่าเป็นเจ้าของร้านหนุ่ม รอยยิ้มก็ยิ่งเผยให้เห็นถึงความจริงใจ รีบเดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมา ค้อมเอวกุมหมัดทักทาย “หวังถิงฟางคารวะเถ้าแก่เซียนกระบี่”
คำเรียกขานนี้ก็คือผลลัพธ์จากการที่หวังถิงฟางใคร่ครวญเองเป็นครึ่งๆ วัน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะได้กลับมาพบเจอกับเซียนกระบี่หนุ่มแซ่เฉินอีกครั้งเร็วขนาดนี้ เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนบนภูเขา หากออกเดินทางไกลขึ้นมาก็มักจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยสิบปีหรือหลายสิบปีเสมอ