กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 564.2 ดั่งนักท่องเที่ยวที่ออกเดินทางไกลอยู่ด้านนอก
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน “ลำบากเถ้าแก่หวังแล้ว”
หวังถิงฟางถามเสียงเบา “ผู้น้อยจะไปเอาสมุดบัญชีมาให้ท่านเดี๋ยวนี้เลย?”
คนทำการค้าก็ต้องพูดภาษาการค้า มีประโยชน์กว่าคำทักทายปราศรัยเป็นไหนๆ
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เดินไปที่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินพร้อมกับอีกฝ่าย เฉินผิงอันปลดหีบไม้ไผ่ลง วางงอบสานไว้บนไม้เท้าเดินป่า
หวังถิงฟางหยิบสมุดบัญชีออกมาสองเล่ม พอเฉินผิงอันเห็นภาพนี้ ความกลัดกลุ้มก็หายวับไป หากกิจการไม่ดีจริงๆ จะลงบัญชีไว้ได้ตั้งสองเล่มเชียวหรือ?
เฉินผิงอันกวาดตามองวัตถุต่างๆ ที่อยู่บนชั้นวางสมบัติมากมายในร้านอย่างละเอียดมาก่อนแล้ว ในใจจึงกระจ่างแจ้งดี จากนั้นพอเอามาเทียบกับสมุดบัญชีแล้วมองเห็นจุดหนึ่ง เขาก็เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “มีคนซื้อมงกุฎทองที่มีระดับขั้นเป็นสมบัติอาคมคู่นั้นไปในราคาสูงเทียมฟ้าจริงๆ หรือ?”
พอเห็นวันที่ขายสินค้าได้ สีหน้าเฉินผิงอันก็เหยเก ถามว่า “ใช่หญิงสาวที่มีสำเนียงของแคว้นอู่หลิงคนหนึ่งหรือไม่? ข้างกายยังมีองค์รักษ์ที่สะพายกระบี่ติดตามมาด้วย?”
หวังถิงฟางกล่าวอย่างตกตะลึง “เรื่องนี้เถ้าแก่ก็คิดคำนวณได้ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันจนใจเล็กน้อย ไม่ได้บอกสถานะของสุ่ยจิ่งเฉิงและหรงช่างผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดของทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เพียงส่ายหน้าเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “เป็นพวกที่ไม่เห็นเงินเป็นเงินจริงๆ ราคาที่ขายออกจะต่ำไปสักหน่อย”
หวังถิงฟางจึงรู้สึกตื่นตระหนกอยู่เล็กน้อย
เฉินผิงอันฟุบตัวลงบนโต๊ะคิดเงิน เปิดสมุดบัญชีช้าๆ ยิ้มกล่าวว่า “การค้าครั้งนี้ เถ้าแก่หวังทำได้ดีที่สุดแล้ว ข้าก็แค่พอจะสนิทสนมกับอีกฝ่ายอยู่บ้างก็เลยพูดจาเหลวไหลไปเรื่อย ไม่ถึงขั้นที่จะต้องหลอกลวงคนใกล้ตัวจริงๆ หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่ขายของอยู่ในร้านเอง ย่อมไม่มีทางขายได้ราคาเท่าเถ้าแก่หวังอย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันอ่านสมุดบัญชีอย่างละเอียดพลางพูดคุยเรื่องสถานกาณ์ช่วงที่ผ่านมาของสวนน้ำค้างวสันต์กับการทำการค้าของเรือนจ้าวเย่ฉ่าวกับหวังถิงฟางไปด้วย
หวังถิงฟางยิ้มกล่าว “ก็แค่โอกาสประจวบเหมาะ อาศัยหน้าตาที่ใหญ่เทียมฟ้าของเถ้าแก่ถึงขายสมบัติพิทักษ์ร้านอย่างมงกุฎทองคู่นั้นไปได้ การค้าบนสมุดบัญชีของปีก่อนถึงได้ดูสวยงาม ไม่เกี่ยวกับผู้น้อยสักเท่าไร ผู้น้อยขอบังอาจขอร้องเถ้าแก่ว่าอย่าบอกความจริงกับทางอาจารย์ของผู้น้อย ไม่อย่างนั้นผู้น้อยก็ต้องม้วนเสื่อเก็บผ้าออกไปจากร้านผีฝูแห่งนี้แน่ๆ อาจารย์ให้ความสำคัญกับการค้าของร้านผู้อาวุโสมาก กำไรและขาดทุนของทุกฤดูกาลล้วนต้องผ่านตาเขาด้วยตัวเอง และยังเรียกผู้น้อยไปสอบถามด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ครั้งนี้ข้าพกก้อนชากำแพงดำน้อยของจวนไช่เฉวี่ยมาด้วยส่วนหนึ่ง จะไปขอบคุณถังเซียนซือถึงที่ด้วยตัวเอง กิจการของร้านจัดการได้ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มากนัก หากเถ้าแก่หวังไม่กังวลว่าข้าจะวาดงูเติมขากับถังเซียนซือ ข้าย่อมต้องช่วยพูดชมเถ้าแก่หวังหลายๆ คำแน่”
หวังถิงฟางถอยหลังไปสองก้าว ประสานมือคารวะขอบคุณ “เถ้าแก่เซียนกระบี่มีพระคุณยิ่งใหญ่ดุจขุนเขา ผู้น้อยตอบแทนได้เพียงพยายามให้มากขึ้น ช่วยให้ร้านผีฝูหาเงินมาได้มากกว่าเดิม”
เฉินผิงอันปิดสมุดบัญชีลง แล้วก็ไม่เปิดอ่านเล่มที่สองแล้ว ในเมื่อหวังถิงฟางพูดแล้วว่าทางฝั่งของเรือนจ้าวเย่ฉ่าวจะต้องตรวจสอบดู เฉินผิงอันก็ปฏิบัติกลับคืนอย่างมีมารยาท หากยังอ่านอย่างละเอียดต่อไปก็เท่ากับว่าตบหน้าหวังถิงฟางและเรือนจ้าวเย่ฉ่าวแล้ว
เขาผลักบัญชีเล่มบางสองเล่มไปให้หวังถิงฟาง ยิ้มกล่าว “สมุดบัญชีไม่มีข้อผิดพลาด บันทึกไว้ได้อย่างละเอียดและชัดเจน ไม่มีอะไรให้ข้าไม่วางใจ อีกอย่างวันหน้าเถ้าแก่หวังทำการค้าก็แค่ให้เป็นดั่งน้ำเส้นเล็กที่ไหลยาวก็พอ ไม่จำเป็นต้องเข้มงวดกับกำไรหรือขาดทุนในแต่ละปีของร้านมากเกินไป หน้าบัญชีก็จะยิ่งน่าดู หลังข้าออกไปจากสวนน้ำค้างวสันต์ครั้งนี้ คาดว่าก็คงทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านไปนานอีกหลายปี ต้องรบกวนให้เถ้าแก่หวังสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจแล้ว”
หวังถิงฟางตกปากรับคำด้วยรอยยิ้ม เขาเก็บสมุดบัญชีมาใส่ในลิ้นชักแล้วลงดาลเอาไว้อย่างระมัดระวัง
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับไปหยิบของสองชิ้นออกมาจากหีบไม้ไผ่ ชิ้นหนึ่งคือกำไลหยกที่มีภาพปรากฎการณ์ของ ‘ไฟในน้ำ’ ซึ่งสลักบทกลอนที่สามารถอ่านแบบวนกลับได้วงหนึ่ง และยังมีกระจกทองสัมฤทธิ์โบราณอีกบานหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นกระจกขับไล่เสนียดชั่วร้ายอย่างแน่นอน และยังสลักสี่ตัวอักษรว่า ‘วังหลวงเป็นผู้สร้าง’ ซึ่งมีมูลค่ามากที่สุดเอาไว้อีกด้วย หากรวมกับกาซู่อิ่งและป้ายถือศีล ของทั้งสี่ชิ้นนี้ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธหวงซือที่มอบให้ หลังจบเรื่องแล้วย้อนนึกถึงการเดินทางตามหาสมบัติครั้งนั้น การที่สามารถแยกกันไปคนละทางกับหวงซือ ไม่ถือว่าเจอกันด้วยดี แต่ก็ถือว่าจากกันด้วยดีอยู่จริงๆ
เดิมทีระดับขั้นของกาซู่อิ่งก็ไม่ถือว่าสูงนัก แต่หลังจากเจินเหรินผู้เฒ่าหวนอวิ๋นช่วยดูของให้แล้วก็บอกอย่างชัดเจนว่าของเก่าแก่ชิ้นนี้สามารถช่วยให้ผู้ฝึกลมปราณดูดซับปราณวิญญาณของสมบัติวิเศษธาตุไม้ได้ สำหรับเฉินผิงอันที่ตอนนี้หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สามเป็นธาตุไม้แล้ว จึงถือว่าเป็นของจำเป็นที่ต่อให้มีทองเป็นพันชั่งก็ยากจะหาซื้อมาได้พอดี ระหว่างที่เดินทางลงใต้มานี้ เฉินผิงอันจึงได้ใช้วิชาหลอมสามขุนเขาของฮว่อหลงเจินเหรินหลอมมันให้กลายเป็นสมบัติที่คอยให้การช่วยเหลือในช่องโพรงสำคัญแห่งหนึ่งของจวนไม้ จึงเอาวางไว้ในจวนไม้
ส่วนป้ายถือศีลแผ่นนั้นเฉินผิงอันก็คิดว่าจะหลอมมันไว้ในจวนน้ำเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเรื่องของการหล่อหลอมนี้เผาผลาญเวลามากเกินไป ทุกวันนอกจากจะหลอมโชคชะตาน้ำของอิฐเขียวหกชั่วยามอย่างที่ฟ้าผ่าก็ไม่มีสะเทือนแล้ว เวลานอกเหนือจากนั้นสามารถหลอมกลางให้กาซู่อิ่งได้สำเร็จก็ถือว่าเฉินผิงอันขยันตั้งใจฝึกตนมากแล้ว หลายครั้งที่นั่งเรือข้ามฟาก เฉินผิงอันก็ใช้เวลาว่างแทบทั้งหมดไปกับเรื่องของการหลอมวัตถุ
เฉินผิงอันวางกำไลหยกและกระจกโบราณสองชิ้นวางไว้บนโต๊ะ อธิบายประวัติความเป็นมาของวัตถุทั้งสองชิ้นคร่าวๆ แล้วยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อขายมงกุฎทองสองชิ้นออกไปได้แล้ว ร้านผีฝูก็ไม่มีสมบัติพิทักษ์ร้านอีก ของสองชิ้นนี้เถ้าแก่หวังเอาไปรวมให้ครบจำนวน แต่ว่าจะไม่ขายทั้งสองชิ้น สามารถโก่งราคาให้แพงลิบลิ่วได้เลย ถึงอย่างไรก็แค่วางไว้ในร้านเพื่อเรียกพวกลูกค้าเซียนดินอยู่แล้ว ร้านเล็ก แต่ของดีๆ มีเยอะ”
หวังถิงฟางยิ้มพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย แล้วจึงเก็บของทั้งสองชิ้นไปอย่างระมัดระวัง กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นผู้น้อยจะซื้อกล่องไม้เป็นชุดที่ระดับขั้นดีที่สุดมาจากสวนน้ำค้างวสันต์ ไม่อย่างนั้นจะผิดต่อสมบัติหนักสองชิ้นนี้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ค่าใช้จ่ายประเภทนี้ วันหน้าเถ้าแก่หวังไม่จำเป็นต้องบอกข้า ข้าเชื่อคัมภีร์การทำการค้าของเรือนจ้าวเย่ฉ่าว แล้วก็เชื่อใจในตัวเถ้าแก่หวัง”
หวังถิงฟางประสานมือคารวะขอบคุณอีกครั้ง
เฉินผิงอันออกจากร้านผีฝูไปพบกับลูกจ้างหนุ่มที่ช่วยแกะสลักหินไข่ห่านของหน้าผาอวี้อิ๋งทั้งสี่สิบแปดก้อนให้เขา ฝ่ายหลังซาบซึ้งใจจนน้ำหูน้ำตาไหล
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก เพียงแต่ยิ้มแล้วพูดคุยกับเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปดูต้นไหวโบราณต้นนั้น เขายืนอยู่ที่นั่นนานมาก หลังจากนั้นก็บังคับเรือยันต์ที่หวนอวิ๋นมอบให้ไปเยือนเรือนจ้าวเย่ฉ่าวและหญิงชราอาจารย์ผู้มีพระคุณของซ่งหลันเฉียวผู้ดูแลเรือข้ามฟากของสวนน้ำค้างวสันต์ ของขวัญที่พกไปเยี่ยมเยือนล้วนเป็นกำแพงดำน้อยที่อู่ชวินบรรพจารย์ผู้คุมกฎของจวนไช่เฉวี่ยมอบให้ในภายหลัง
หญิงชราดีใจมากเป็นพิเศษ ตอนนี้ตำแหน่งฐานะของซ่งหลันเฉียวผู้เป็นลูกศิษย์ในสวนน้ำค้างวสันต์เหมือนเรือที่ลอยสูงตามน้ำ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเซียนกระบี่หนุ่มต่างถิ่นอายุน้อยคนนี้ และการที่คนหนุ่มเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยือนนางถึงเรือนด้วยตัวเองถึงสองครั้งก็ยิ่งเป็นการให้เกียรตินาง ก่อนหน้านี้หญิงชราไม่มีของขวัญตอบแทนกลับคืน และครั้งนี้ก็ยังคงไม่มีอยู่เหมือนเดิม ใช่ว่าหญิงชราขี้เหนียว แต่เป็นเพราะเซียนกระบี่หนุ่มที่เรียกแทนตัวเองว่าผู้น้อยทุกคำนั้นเอ่ยประโยคที่ชาญฉลาดว่า ‘เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม สะสมไว้รวมกัน’ ทำให้หญิงชราเบิกบานใจอย่างถึงที่สุด ถึงกับเดินมาส่งเขาด้วยตัวเองถึงตีนเขา พอกลับไปถึงบนภูเขาแล้ว หญิงชราที่มีเก้าอี้อยู่ตัวหนึ่งในศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ก็ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจว่าวันหน้านอกจากที่ตนจะต้องไปมาหาสู่กับเรือนจ้าวเย่ฉ่าวที่เดิมทีมีความสัมพันธ์อันธรรมดาต่อกันให้มากขึ้นแล้ว ยังต้องกำชับซ่งหลันเฉียวผู้เป็นลูกศิษย์อีกว่าให้คอยช่วยดูแลกิจการของร้านผีฝูเยอะๆ หน่อย ไม่ต้องคอยปิดบังอำพราง กังวลว่าจะเป็นการเปิดเผยร่องรอยให้คนอื่นรู้สึกว่าตัวเองมีการกระทำชั้นต่ำอะไรอีก วันหน้าก็เปิดเผยท่าทีให้ชัดเจนไปเลยว่าเป็นนางผู้เป็นอาจารย์ที่เรียกร้องให้เขาทำ ใครกล้าปากมาก คิดว่าสองอาจารย์และศิษย์ที่เป็นโอสถทองอย่างพวกเขากินหญ้าหรือไร?
ตอนที่อยู่บนยอดเขาเพียนหรานของสำนักกระบี่ไท่ฮุย เดิมทีควรมอบกำแพงดำน้อยโถหนึ่งไปให้ตามคำสัญญา เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันไม่กล้าราดน้ำมันลงบนกองเพลิง การไปเยี่ยมเยือนด้วยความจริงใจของสวีซิ่งจิ่วก่อนหน้านื้ทำให้ฉีจิ่งหลงดื่มเหล้าจนอิ่มมากพอแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าดื่มเหล้าแล้วยังต้องดื่มชาอีก? มโนธรรมในใจของเฉินผิงอันยากจะสงบลงได้ จึงคิดว่าจะมอบชาไปให้ฉีจิ่งหลงจากที่สวนน้ำค้างวสันต์แห่งนี้ เขาไม่อยากรับก็ต้องรับ
ก่อนหน้านี้ไปเยือนเรือนจ้าวเย่ฉ่าว ถังชิงชิงบุตรสาวของถังเซียนซือไม่อยู่บนภูเขา นางไปพบคู่รักที่จวนเถี่ยชางของราชวงศ์ต้ากวานแล้ว ฟังจากน้ำเสียงของถังเซียนซือ ทั้งสองฝ่ายใกล้จะได้แต่งงานผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขากันแล้ว หลังจากนั้นเรือนจ้าวเย่ฉ่าวของสวนน้ำค้างวสันต์กับจวนเถี่ยชางก็จะกลายเป็นญาติที่ดองกันผ่านการแต่งงาน ถังเซียนซือเชื้อเชิญให้เซียนกระบี่เฉินไปร่วมดื่มเหล้ามงคลด้วย เฉินผิงอันหาข้ออ้างปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม ถังเซียนซือเองก็ไม่ได้บังคับให้เขาต้องลำบากใจ
เฉินผิงอันชื่นชอบจวนเถี่ยชางไม่ลงจริงๆ ในความเป็นจริงแล้วยังถือว่าเฉินผิงอันผูกปมแค้นกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ บนเรือข้ามฟากลำนั้น เขาสังหารผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองแซ่เลี่ยวที่มีชาติกำเนิดจากสมรภูมิรบกับมือตัวเอง เพียงแต่ว่าตระกูลเว่ยจวนเถี่ยชางไม่เพียงแต่ไม่เอาเรื่อง กลับกันยังแสดงถึงความเคารพยำเกรง เฉินผิงอันเข้าใจถึงความอดทนข่มกลั้นของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงพยายามจะรักษาสถานะของน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ส่วนคำที่บอกว่าไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน พบเจอกันแค่ยิ้มก็สลายความแค้นอะไรนั่น ก็อย่านับดีกว่า
ดื่มเหล้ากับหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนอยู่หลายครั้ง ยังเคยเป็นพันธมิตรในช่วงเวลาสั้นๆ เคยทำการค้าร่วมกัน ก็คือคำกล่าวที่เฉินผิงอันเคยบอกว่าเรื่องราวทางโลกซับซ้อน ปรับตัวไม่ได้ก็ต้องปรับตัวให้ได้
ได้กลับมาพบเจอกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงอีกครั้งที่ริมชายหาดของทะเลตะวันออกในอุตรกุรุทวีป ท่ามกลางการพูดคุยที่มองดูเหมือนผ่อนคลาย เฉินผิงอันบอกว่าปีนั้นหากวานรย้ายภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงต้องการให้เขาโขกหัว แล้วหลิวเสี้ยนหยางจะสามารถหลบเลี่ยงหายนะได้ ก็อย่าว่าแต่ให้เขาเฉินผิงอันคุกเข่าโขกหัวเลย จะให้เขาโขกหัวจนเลือดอาบหน้าก็ยังได้
ซึ่งตามหลักแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ถ้อยคำที่ล้อเล่นอะไร
แต่หลังจากที่หลิวจื้อเม่าฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้สำเร็จ ภูเขาลั่วพั่วก็ยังไม่มีการส่งคำไปอวยพร
บนเส้นทางของชีวิตคน ก้มหัวให้คนก็แบ่งออกเป็นสองชนิด หนึ่งคือต้องไปพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น สถานการณ์บีบบังคับ นอกจากนี้ก็คือพวกคนที่แสวงหาผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
อย่างแรกจะทำให้คนกลัดกลุ้มจนมิอาจบรรยาย แต่อย่างหลังกลับทำให้คนมีความสุขกับการทำมัน
เฉินผิงอันนั่งโดยสารเรือยันต์มุ่งหน้าไปยังหน้าผาอวี้อิ๋งที่เคยเป็นสถานที่ชงชาของหลิ่วจื้อชิงแห่งตำหนักจินอู ตอนนี้ที่นี่ต่างก็เป็นเขตอิทธิพลของตนเหมือนกับร้านผีฝู
แต่เฉินผิงอันกลับสังเกตเห็นว่าในศาลาของหน้าผาอวี้อิ๋งมีคนคุ้นเคยคนหนึ่งยืนอยู่ เจ้าของสวนน้ำค้างวสันต์อย่างบรรพจารย์ถานหลิง
เฉินผิงอันเก็บเรือยันต์แล้วเดินเร็วๆ ไปทางศาลา
ถานหลิงเดินลงบันไดศาลามา ยิ้มกล่าวว่า “รู้ว่าเซียนกระบี่เฉินมาเยี่ยมเยือนสวนน้ำค้างวสันต์ พอดีกับที่ข้าว่างงาน ก็เลยพาตัวเองมาโดยที่ไม่ได้รับเชิญ”
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในศาลาพร้อมกับถานหลิง นั่งลงตรงข้ามกัน แล้วถึงได้เปิดปากยิ้มบางๆ ว่า “ถานฮูหยินเกรงใจกันเกินไปแล้ว”
ถานหลิงยิ้มพลางยื่นสมุดรวมเล่มที่สวนน้ำค้างวสันต์เพิ่งจัดพิมพ์ใหม่ในช่วงปลายฤดูหนาวของปีก่อนมาให้ “นี่คือ ‘น้ำค้างวสันต์คงเหมันต์’ เล่มล่าสุด ภายหลังทางสำนักได้คำตอบรับกลับมา เกี่ยวกับบทดื่มชาที่หน้าผาอวี้อิ๋งของเซียนกระบี่เฉินกับเซียนกระบี่หลิ่วได้รับความนิยมมากที่สุด”
เฉินผิงอันรับสมุดมา พลิกเปิดไปถึงหน้าที่มีบทของตน ถ้อยคำที่ใช้สละสลวย เนื้อหาเหมาะสม จึงคิดว่าเดี๋ยวจะเอากลับไปให้ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนอ่านดู
เฉินผิงอันเก็บสมุดใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ มองไปยังหน้าผาและบ่อลึกหยกขาวที่เกิดจากธรรมชาติ เอ่ยเสียงเบาว่า “พลาดงานเลี้ยงวสันต์ถึงสองครั้ง รู้สึกเสียดายมากจริงๆ จากไปคราวนี้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาที่สวนน้ำค้างวสันต์อีก”
ถานหลิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้ถึงได้ ‘โปรดปราน’ สวนน้ำค้างวสันต์ขนาดนี้?