กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 566.2 กลับคืนสู่บ้านเกิด
เงียบงันไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “ข้าเป็นคนหัวแข็งดื้อดึง ทำเรื่องอะไรแล้วก็ชอบดึงดัน สักวันหนึ่งที่ภูเขาลั่วพั่วก็จะมีเรื่องเล็กๆ ยิบย่อยที่กลายเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้าของข้า ถึงเวลานั้นเจ้าก็ช่วยให้คำแนะนำสักหน่อย”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “อริยะเคยกล่าวว่า ยามพบเจอปัญหา ให้เด็กรุ่นหลังคอยช่วยเหลือผู้อาวุโส”
ชุยตงซานหันหน้ามา แนบแก้มไว้บนราวระเบียง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “มีอาหารให้พ่อแม่กิน แค่นี้ก็นึกว่าถือเป็นความกตัญญูได้แล้วหรือ?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม เอ่ยว่า “อย่าเปลี่ยนแปลงความหมายดั้งเดิมในบทความคุณธรรม ย่ำยีความตั้งใจของอริยะปราชญ์ส่งเดช”
ชุยตงซานเอ่ย “อาจารย์ อย่าลืมล่ะว่าปีนั้นศิษย์เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาขนาดไหน ประกายคมกริบสาดเจิดจ้า ความรู้นั้นยิ่งใหญ่จนทะลุออกมาข้างนอก ตัวเองอยากจะเก็บซ่อนก็เก็บซ่อนไว้ไม่อยู่ คนอื่นจะขวางก็ขวางไม่อยู่ ไม่ใช่ข้าคุยโวโดยไม่ต้องเขียนบทร่างหรอกนะ แต่ตำแหน่งผู้อำนวยการของสถานศึกษาก็อยู่ห่างแค่เอื้อมมือคว้าเท่านั้น หากหน้าเลือดกว่านั้นสักหน่อย แม้แต่รองเจ้าสำนักของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางก็ใช่ว่าจะเป็นไม่ได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ราชครูพูดเรื่องนี้ ข้าเชื่อ ส่วนเจ้าน่ะโม้เสียมากกว่ากระมัง ตรงหัวเรือนี่ลมแรง ระวังจะบาดลิ้นขาด”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “จะว่าไปแล้ว ศิษย์คุยโวโดยไม่ต้องเขียนบทร่างจริงๆ นั่นแหละ”
เฉินผิงอันถาม “ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางใหญ่มากเลยใช่ไหม?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ใหญ่มาก อาณาเขตของแปดทวีปรวมกันถึงจะพอทัดเทียมกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ ในอีกแปดทวีปที่เหลือ หากมีใครสักคนสองคนเบียดเข้าไปอยู่ในอันดับสิบคนของแผ่นดินกลางได้ ก็ถือว่ามีความสามารถมากแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีป เทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์อุตรกุรุทวีปอย่างฮว่อหลงเจินเหริน และท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวของธวัลทวีป”
เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าจะต้องไปเยือนให้จงได้”
ชุยตงซานบ่นเบาๆ “นั่นเป็นสถานที่แห่งความเสียใจของศิษย์”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หาเรื่องโดนตีเอง ต่อให้หน้าเขียวจมูกบวมก็ต้องยิ้มรับ”
ชุยตงซานกล่าวอย่างจนใจ “อาจารย์ไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย”
เรือข้ามฟากเข้ามาในอาณาเขตของชายหาดโครงกระดูก ซ่งหลันเฉียวมาเยือนถึงห้องพร้อมพกของขวัญชิ้นใหญ่มาด้วย
เป็นของขวัญสองชิ้น
มาจากตัวเขาเองหนึ่งชิ้น และมาจากถานหลิงแห่งสวนน้ำค้างวสันต์หนึ่งชิ้น
ของขวัญขอบคุณชิ้นนี้ของเขา อันที่จริงก็เป็นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งที่หลินชว่อเอ๋อร์อาจารย์ผู้มีพระคุณเลือกมาให้จากศาลบรรพจารย์ คือกล่องคัมภีร์ไผ่เหลืองลายมังกร ด้านในบรรจุตำราแผ่นหยกสี่ชิ้น
ของขวัญชิ้นนั้นของถานหลิงก็ยิ่งมีมูลค่าควรเมือง คือหนึ่งในสมบัติหนักบนภูเขาที่สองมือนับได้ของสวนน้ำค้างวสันต์ หมึกรวมชุดที่หนึ่งชุดมีแปดก้อน
ตอนที่มอบออกไป ซ่งหลันเฉียวยังอดรู้สึกเสียดายแทนถานหลิงไม่ได้
เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ ถานหลิงไม่ได้มอบของขวัญให้ด้วยตัวเองตอนที่อยู่ท่าเรือฝูสุ่ย แต่สั่งความให้ซ่งหลันเฉียวเป็นผู้นำมามอบให้ขณะที่เรือจะจอดเทียบท่าที่ชายหาดโครงกระดูก เดิมทีก็คือความจริงใจอย่างหนึ่ง
นี่คืองานหลวงเรื่องแรกที่ซ่งหลันเฉียวได้รับมอบหมายหลังจากกลายเป็นสมาชิกของศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ นับว่าผ่านไปได้อย่างราบรื่น ทำให้ซ่งหลันเฉียวโล่งใจได้ไม่น้อย
เพียงแต่ว่านั่งดื่มชาร่วมโต๊ะกับอาจารย์และศิษย์คู่นั้น ซ่งหลันเฉียวก็อดกระวนกระวายใจไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่นั่งข้างกายเขาก็คือชุยตงซาน
ชุยตงซานใช้สองนิ้วคีบถ้วยแล้ววาดลงบนโต๊ะเบาๆ เขายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “หลันเฉียวเอ๋ย บนโลกใบนี้คนน่าสงสารที่หิ้วหัวหมูแต่หาศาลไม่เจอมีมากมายนัก หลันเฉียวเจ้านับว่าโชคดีแล้ว”
นาทีก่อนซ่งหลันเฉียวยังได้ยินเฉินผิงอันเรียกตัวเองว่าผู้อาวุโสซ่ง ตอนนี้กลับถูกลูกศิษย์ของเขาคำก็เรียกหลันเฉียว สองคำก็เรียกหลันเฉียว ทำให้เขากระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง
สวนน้ำค้างวสันต์ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมไม่ปล่อยให้ชุยตงซานมาเล่นมุกตลกอยู่แถวนี้ เขาจึงโบกมือบอกเป็นนัยให้รู้ว่าตนมีเรื่องต้องคุยกับซ่งหลันเฉียว
คิดไม่ถึงว่าการกระทำนี้และภาพเหตุการณ์ต่อมาจะทำให้เหงื่อเย็นๆ ผุดซึมออกมาจากหน้าผากของซ่งหลันเฉียวโดยตรง
เด็กหนุ่มชุดขาวเหมือนถูกเฉินผิงอันตบจนปลิวกระเด็นไป ทั้งคนทั้งเก้าอี้ลอยคว้างหมุนตลบอยู่กลางอากาศหลายรอบจนนับไม่ถ้วน สุดท้ายหนึ่งคนหนึ่งเก้าอี้ก็แนบติดกำแพงอยู่อย่างนั้น แล้วค่อยๆ กลิ้งไถลลงมา ชุยตงซานหน้าม่อยน้ำตาตก เก้าอี้ติดกำแพง หลังคนแนบติดเก้าอี้ พูดอย่างขลาดกลัวว่า “ศิษย์จะนั่งอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน
ในใจซ่งหลันเฉียวตื่นตะลึงไม่หยุด หรือว่าเซียนกระบี่เฉินที่มีสีหน้าเป็นมิตรคนนี้ไม่ต่างจากหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่ไม่ใช่เซียนดินอะไร แต่เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำคนหนึ่ง?
เฉินผิงอันคร้านจะสนใจชุยตงซาน เขาเริ่มหันมาพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกับซ่งหลันเฉียว พยายามจะปรึกษาเรื่องการร่วมมือกันระหว่างภูเขาลั่วพั่วและสวนน้ำค้างวสันต์ในอนาคตให้ได้ แต่ว่าก็เป็นเพียงแค่การพูดถึงทิศทางคร่าวๆ เท่านั้น เพราะตอนนี้ซ่งหลันเฉียวต้องยังตัดสินใจเองไม่ได้อย่างแน่นอน ยังต้องกลับไปถกเถียงกันที่ศาลบรรพจารย์หลายๆ รอบเสียก่อนถึงจะได้ หากสุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายตัดสินใจว่าจะร่วมมือกัน กิจธุระอย่างเป็นรูปธรรมทุกอย่างนับจากนี้ ภูเขาลั่วพั่วเองก็ต้องให้พวกจูเหลี่ยน เว่ยป้อปรึกษาหารือกันเช่นกัน เกี่ยวกับการค้าของสวนน้ำค้างวสันต์ เฉินผิงอันนับว่าพอจะรู้รากฐานอยู่บ้าง ดังนั้นยามที่พูดคุยกับซ่งหลันเฉียวจึงไม่อึดอัดขัดเขิน การเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีป เขาไม่ได้เป็นร้านผ้าห่อบุญอย่างเสียเปล่า ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของภูเขาลั่วพั่วแน่นอนว่าต้องเป็นท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวที่เป็นศูนย์กลางการโคจรที่สำคัญ มีซานจวินใหญ่เว่ยเฝ้าบัญชาการณ์ภูเขาพีอวิ๋น ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวก็สามารถรองรับเรือข้ามฟากข้ามทวีปของอุตรกุรุทวีปได้เป็นจำนวนมาก นี่ก็เท่ากับว่าร้านผ้าห่อบุญร้านหนึ่งมีร้านที่ตั้งเป็นหลักแหล่ง เงินทองใต้หล้าแห่งนี้ หยุดพักอยู่ที่ใดที่หนึ่งสักเล็กน้อย แล้วค่อยหมุนเวียนต่อไปอีกครั้ง ก็คือเงินต่อเงิน
บางครั้งเฉินผิงอันก็คิดว่า เงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งที่เสียหายค่อนข้างมาก เคยได้พบเจอกับผู้ฝึกตนมากี่มากน้อย? พันคน? หมื่นคน? จะเดินทางท่องไปทั่วอาณาเขตของเก้าทวีปในใต้หล้าไพศาลหรือไม่?
เดิมทีซ่งหลันเฉียวกำลังรวบรวมสมาธิคุยเรื่องใหญ่กับเฉินผิงอัน เพราะเขามีลางสังหรณ์ว่าการพูดคุยกันในวันนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะตัดสินทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในอีกร้อยปีข้างหน้าของสวนน้ำค้างวสันต์
จากนั้นซ่งหลันเฉียวก็เห็นว่าเซียนกระบี่เฉินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเหลือบมองไปทางกำแพงแวบหนึ่ง
ซ่งหลันเฉียวจึงมองตามสายตาเขาไป เห็นว่ามือสองข้างของเด็กหนุ่มชุดขาวจับที่เท้าแขนเก้าอี้ ร่างทั้งร่างโยกไหว ทั้งคนทั้งเก้าอี้จึงโยกไปซ้ายทีขวาที ราวกับว่าใช้ขาเก้าอี้ต่างขาสองข้างของตน แล้วกำลังเดินโซเซอยู่
พอถูกอาจารย์จับได้ ชุยตงซานก็หยุดการกระทำทันที เขาแหงนหน้าขึ้นแล้วผิวปาก
ซ่งหลันเฉียวยิ้มบางๆ ตามมารยาท แล้วจึงดึงสายตากลับคืนมา
สมองไอ้หมอนี่มีปัญหากระมัง? ต้องใช่แน่นอน!
เฉินผิงอันคุยกับซ่งหลันเฉียวนานถึงหนึ่งชั่วยามเต็ม ทั้งสองฝ่ายต่างก็เสนอความเป็นไปได้มากมาย พูดคุยกันถูกคอไม่น้อย
พอถึงช่วงหลังๆ ซ่งหลันเฉียวก็ผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก เริ่มเข้าสู่สภาวะที่ยอดเยี่ยม ความคิดมากมายที่สะสมมานานหลายปี แต่กลับไม่เคยพูดออกมาล้วนสามารถเปิดเผยได้อย่างสบายใจ ส่วนเซียนกระบี่หนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามซึ่งมักจะคอยเติมน้ำชาให้ทั้งสองฝ่ายอยู่บ่อยๆ ก็ยิ่งเป็นคนค้าขายที่เขาถูกชะตาด้วยอย่างที่หาได้ยาก ถ้อยคำของเขาไม่เคยแสดงการยืนกรานอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่เคยพูดว่าได้หรือไม่ได้ ส่วนมากจะเอ่ยถ้อยคำที่อ่อนโยนละมุนละม่อมทำนองว่า ‘ตรงจุดนี้ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร ขอผู้อาวุโสซ่งช่วยอธิบายอย่างละเอียดอีกหน่อย’ ‘เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้ามีความคิดบางอย่างที่แตกต่างออกไป ผู้อาวุโสซ่งลองฟังดูก่อน หากมีความเห็นต่างก็บอกมาตามตรงได้เลย’ แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่เลอะเลือน การกระทำเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างที่ซ่งหลันเฉียวคิดจะขุดหลุมฝังเกาซง เซียนกระบี่หนุ่มก็ไม่พูดแฉต่อหน้า เพียงเอ่ยประโยคว่า ‘เรื่องนี้อาจต้องให้ผู้อาวุโสซ่งสิ้นเปลืองแรงใจกับทางฝั่งของศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ให้มากสักหน่อย’
เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นไม่มีอะไรทำจึงโยกเก้าอี้วนไปรอบโต๊ะ ยังดีที่ตอนใช้เก้าอี้เดินไม่มีเสียงใด ไม่มีความเคลื่อนไหวให้หนวกหูแม้แต่น้อย
ซ่งหลันเฉียวสามารถแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นได้แล้ว
หลังจากพูดคุยกันจบ ซ่งหลันเฉียวก็มีสีหน้ากระปรี้กระเปร่า บนโต๊ะไม่มีน้ำชาให้ดื่มแล้ว แม้ว่าจะยังพูดคุยกันไม่สาแก่ใจพอ แต่ก็ยังลุกขึ้นแล้วเอ่ยขอตัวลา
ซ่งหลันเฉียวบอกว่าท่านเฉินไม่ต้องไปส่ง คนหนุ่มยิ้มพยักหน้ารับ แล้วก็เดินมาส่งแค่ที่หน้าประตูห้อง แต่ยังบอกให้ชุยตงซานเดินไปส่งเขาต่อ
ซ่งหลันเฉียวเดินเข้ามาในระเบียง ไม่เห็นร่างของเซียนกระบี่ชุดเขียวแล้ว มีเพียงเด็กหนุ่มชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาคนเดียว เส้นเอ็นหัวใจของโอสถทองผู้เฒ่าก็หดรัดเกร็งขึ้นมาทันที
เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มเดินถอยหลัง ปิดประตูลงเบาๆ แล้วหันหน้ามายิ้มมองซ่งหลันเฉียว
รอยยิ้มของซ่งหลันเฉียวจึงเริ่มแข็งทื่อ
ชุยตงซานเดินมาหยุดอยู่ข้างกายซ่งหลันเฉียวที่ค้อมเอวลงตามจิตใต้สำนึก แล้วกระโดดกอดคอเขา กระชากโอสถทองผู้เฒ่าคนนี้ให้เดินหน้าไปด้วยกัน
“พี่น้องหลันเฉียว เจ้านี่พูดเก่งเป็นน้ำไหลไฟดับ สรรหาถ้อยคำไพเราะได้มากมายดุจไข่มุกร้อยเรียงต่อกันเลยนะ”
ซ่งหลันเฉียวเกือบอดไม่ไหวร้องเรียกให้ท่านเฉินมาช่วยตนพ้นจากเคราะห์ภัยครั้งนี้
ซ่งหลันเฉียวพลันขนลุกชันด้วยความพรั่นพรึง คิดอยากจะหยุดเดิน แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำไม่ได้แม้แต่น้อย หลังจากถูกเด็กหนุ่มที่เรี่ยวแรงไม่มากผู้นั้นกระชากให้ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ซ่งหลันเฉียวก็รู้แล้วว่าท่าไม่ดี
นาทีถัดมา ร่างของเด็กหนุ่มชุดขาวก็พลันหายวับไป
ซ่งหลันเฉียวค้นพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกขาวโพลน รอบด้านไม่มีทัศนียภาพใดๆ ราวกับว่าอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กที่จืดชืดแห่งหนึ่ง สิ่งที่สายตามองเห็นมีเพียงสีขาวโพลนที่ทำให้ใจคนเหน็บหนาวเป็นทบทวี อีกทั้งยามที่เดินไป ใต้ฝ่าเท้ายังรู้สึกอ่อนนุ่ม แต่กลับไม่ใช่ดินโคลนใดๆ บนโลก หากเพิ่มกำลังฝีเท้าอีกเล็กน้อย ใต้ฝ่าเท้าก็จะเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นวง
เขาเริ่มก้าวเดินออกไปอย่างระมัดระวัง ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมาก็เริ่มทะยานลม หนึ่งชั่วยามให้หลัง ซ่งหลันเฉียวยังร่ายสมบัติอาคมออกมาด้วย เขาไม่สนใจมารยาทพิธีการอะไรอีกแล้ว จำต้องเรียกสมบัติมากมายออกมาขว้างใส่อย่างบ้าคลั่ง แต่กลับไม่อาจทำให้ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้แม้แต่น้อย หนึ่งปีต่อมา ซ่งหลันเฉียวนั่งขัดสมาธิ ใบหน้าแห้งตอบ ได้แต่รอความตายเท่านั้น
ชั่วขณะนั้น ซ่งหลันเฉียวพลันเงยหน้าขึ้น เขาเห็นศีรษะขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีใบหน้าของเด็กหนุ่ม ทั้งๆ ที่คลี่ยิ้ม แต่สีหน้าอีกฝ่ายกลับเย็นชา เขาชูแขนขึ้นช้าๆ
ซ่งหลันเฉียวรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ ที่แท้ตนเดินวนอยู่ในชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะของอีกฝ่ายมาโดยตลอด?
นาทีถัดมาซ่งหลันเฉียวที่เศร้ารันทดพบว่าตนยืนอยู่กลางระเบียงของเรือข้ามฟาก ห่างไปไม่ไกลก็คือเด็กหนุ่มที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ กำลังยิ้มตาหยีมองมาทางตน
ซ่งหลันเฉียวที่รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดเกือบจะหลั่งน้ำตา
ชุยตงซานยิ้มบางๆ “อาจารย์ให้ข้ามาส่งเจ้า ข้าก็เลยตัดสินใจเองโดยพลการ เดินมาส่งเจ้าไกลกว่าเดิมอีกเล็กน้อย หลันเฉียวเอ๋ย หลังจากนี้อย่าได้เอาไปฟ้องอาจารย์ของข้าเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคราวหน้าที่ไปส่งเจ้าจะเป็นสิบปีร้อยปีแล้ว ถึงเวลานั้นสมองใครมีปัญหาก็คงบอกได้ยากแล้วจริงๆ”
ซ่งหลันเฉียวพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ”
ชุยตงซานถาม “เคยชินกับปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นของสวนน้ำค้างวสันต์ แล้วก็เคยชินกับปราณวิญญาณที่บางเบาของบนเรือข้ามฟากแล้ว แต่เหตุใดเมื่ออยู่ในสถานที่ไร้กฎเกณฑ์ กลับไม่เคยชินเสียได้?”
ซ่งหลันเฉียวเหม่อลอย
ชุยตงซานเดินสวนไหล่เขาแล้วยกมือตบไหล่อีกฝ่าย พูดด้วยน้ำเสียงหวังดีว่า “หลันเฉียวเอ๋ย การฝึกจิตใจเละเทะ โอสถทองก็เป็นกระดาษเปียกนะ”
ซ่งหลันเฉียวหันตัวมาช้าๆ ประสานมือขอบคุณอีกฝ่าย คราวนี้มาจากความรู้สึกที่จริงใจอย่างแท้จริง “คำสั่งสอนของผู้อาวุโสทำให้ผู้น้อยรู้สึกเหมือนอุปสรรคถูกปัดเป่าจนมองเห็นรัศมีแสงจันทรา แม้จะยังไม่เห็นแสงจันทราอย่างแท้จริง แต่กลับได้รับผลประโยชน์อย่างไร้ที่สิ้นสุด”
ชุยตงซานแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาเคาะประตูห้อง “อาจารย์ จะให้ข้าไปเอาน้ำชาผลไม้มาให้ท่านหรือไม่ขอรับ?”
ซ่งหลันเฉียวมองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มก็ให้รู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก
เฉินผิงอันเปิดประตูออกมา กดหัวของชุยตงซานเบาๆ แล้วหันหน้ามาถามซ่งหลันเฉียว “ผู้อาวุโสซ่ง ลูกศิษย์ของข้าคนนี้ทำตัวไม่เคารพท่านใช่หรือไม่?”
ไม่รู้ว่าซ่งหลันเฉียวสติวิปลาส หรือได้รับคำอวยพรจนจิตใจเปิดกว้างแล้วฉลาดขึ้น จึงเอ่ยประโยคหนึ่งที่หากเป็นในอดีตต่อให้ตีให้ตายเขาก็ไม่กล้าพูด “บอกตามตรง ทุกข์ทนจนเกินบรรยาย”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
เด็กหนุ่มชุดขาวถูกบิดหู ร้องโอ้ยๆ โดนเฉินผิงอันลากเข้าห้องไป
ยังคงมีเสียงด่าดังลอยมา “ซ่งหลันเฉียวชาติสุนัข เจ้าคนใจจืดใจดำ ฝากไว้ก่อนเถอะ…อาจารย์ ข้าช่วยพี่น้องหลันเฉียวฝึกบำเพ็ญตนด้วยความหวังดีนะ ไม่ได้หลอกแกล้งเขาจริงๆ …อาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว!”
ซ่งหลันเฉียวสะบัดชายแขนเสื้อก้าวยาวๆ จากไป
สบายใจซะจริง
……
ตอนที่เรือจอดที่ท่าเรือของชายหาดโครงกระดูก ซ่งหลันเฉียวไม่ได้ปรากฏตัว แต่ให้คนออกมาส่งพวกเฉินผิงอันแทน ส่วนตัวเองก็หาข้ออ้างที่ไร้ข้อตำหนิ หายตัวไปนานแล้ว
ชุยตงซานใช้ฝ่ามือลูบปลายคาง เหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว
คนทั้งสองลงจากเรือ มุ่งหน้าไปที่ภูเขามู่อีของสำนักพีหมาด้วยกัน
แล้วชุยตงซานก็เริ่มพูดฟ้อง “อาจารย์ ครั้งแรกที่จู๋เฉวียนพบหน้าข้าก็บอกว่าอาจารย์ไม่เคยพูดถึงข้ามาก่อน แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้จักข้า ทำเอาข้าเสียใจแทบตาย ต่อให้ไม่ตายก็ร่อแรเกือบตายแน่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าเคยพูดถึงเจ้ากับเจ้าสำนักจู๋อยู่หลายครั้ง แต่คนเขาเป็นถึงเจ้าสำนัก มีเรื่องมากมายให้ต้องสนใจ แล้วยังต้องคอยระวังป้องกันหุบเขาผีร้ายอีก ไม่ทันระวังเลยลืมไป มีอะไรให้น่าแปลกใจกัน”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยเตือนว่า “บนภูเขา เจ้าสำนักจู๋คือผู้ฝึกตนที่พบเห็นได้น้อยนัก ข้าเคารพนับถือนางมาก ไปถึงภูเขามู่อี เจ้าอย่าได้คิดทำอะไรแผลงๆ เด็ดขาด แล้วยังมีเด็กหนุ่มผังหลันซีที่เป็นผู้สืบทอดซึ่งศาลบรรพจารย์ภูเขามู่อีฝากความหวังไว้อีก เจ้าที่เป็นคนนอกก็อย่าได้พูดจาอะไรเหลวไหล ข้ารู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าทำอะไรรู้หนักรู้เบาอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือชายหาดโครงกระดูก ไม่ใช่ภูเขาลั่วพั่วบ้านเรา”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ ชำเลืองตามองไปทางภูเขามู่อีด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ แบบนี้ออกจะน่าเบื่อไปหน่อยแล้ว