กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 570.1 เจ้าขุนเขาต้องออกเดินทางไกลอีกแล้ว
เมื่อศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่วสร้างเสร็จ สิ่งปลูกสร้างอื่นๆ บนยอดเขาจี้เซ่อก็ก่อสร้างตามมา นี่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว
สำหรับเรื่องนี้จูเหลี่ยนวางแผนคร่าวๆ มาไว้ก่อนแล้ว นับตั้งแต่ซุ้มป้ายที่ตีนเขายอดเขาจี้เซ่อไล่ขึ้นมาเป็นลำดับเรื่อยๆ บนเส้นแกนกลางเส้นนี้จะมีสิ่งปลูกสร้างน้อยใหญ่อยู่ประมาณสามสิบกว่าหลัง มีทั้งตำหนักใหญ่โตโอ่อ่า มีทั้งสวนต้นไม้ดอกไม้ แม้แต่เรื่องที่ว่ากรอบป้าย กลอนคู่จะเขียนคำว่าอะไรก็ยังมีการบรรยายไว้อย่างละเอียด เรือนอื่นๆ นอกจากตำหนักหลักห้องโถงใหญ่จะแสดงให้เห็นทักษะในการก่อสร้างได้มากเป็นพิเศษ เจิ้งต้าเฟิงและเว่ยป้อก็ช่วยวางแผนให้ แต่สุดท้ายแล้วควรจะทำอย่างไร แน่นอนว่ายังต้องให้เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วอย่างเฉินผิงอันเป็นผู้ตัดสินใจเอาเอง
‘รูปแบบมาตรฐานสถาปัตยกรรม’ เล่มที่เฉินผิงอันเอามาจากพื้นที่มงคลดอกบัวตอนนั้นได้มาจากคลังของกรมโยธาธิการเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เฉินผิงอันเลื่อมใสมันอย่างมาก จึงมอบให้กับจูเหลี่ยนไปพร้อมกับกระดาษวาดภาพร่างของซากปรักจวนเซียนในอาณาเขตแคว้นเป่ยถิงปึกใหญ่ เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่เสริมมากับศาลบรรพจารย์ เฉินผิงอันมีแค่ข้อเรียกร้องเล็กๆ เพียงอย่างเดียว นั่นคือสามารถสร้างศาลาริมน้ำหลังหนึ่งเลียนแบบศาลาในหมู่บ้านของผู้อาวุโสซ่งอวี่เซาเอาไว้ได้ ตั้งชื่อว่าศาลาจือชุนหรือไม่ก็ศาลามังกร นอกจากนี้แล้วเฉินผิงอันก็ไม่มีความคาดหวังอะไรที่มากเกินไปนัก
ผลคือพอจูเหลี่ยนได้ ‘รูปแบบมาตรฐานสถาปัตยกรรม’ เล่มนั้นไป ก็คลี่ยิ้มด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย เฉินผิงอันถึงเพิ่งนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นึกถึงตำราตัวอย่างที่ราชสำนักของแคว้นหนึ่งในประวัติศาสตร์พื้นที่มงคลดอกบัวเป็นผู้แจกจ่าย จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ บอกว่าการเรียบเรียงตำราเล่มนี้ ปีนั้นเขาเคยลงแรงอยู่หลายส่วนจริงๆ กฎเกณฑ์การสร้างสิ่งปลูกสร้าง ฝ้าเพดาน โต่วก่ง (รูปแบบการปลูกสร้างอย่างหนึ่งของจีน คือชายคาที่เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ) ฯลฯ สองสามในสิบส่วนของตำราเล่มนี้ อันที่จริงล้วนมาจากการเขียนของเขาทั้งสิ้น
เฉินผิงอันจึงถามว่าเหตุใดเรือนที่สร้างอยู่กึ่งกลางยอดเขาหลักของภูเขาลั่วพั่วถึงได้เรียบง่ายมากจนมองร่องรอยของ ‘รูปแบบมาตรฐาน’ ไม่ออกแม้แต่น้อย จูเหลี่ยนตอบอย่างมีเหตุมีผล บอกว่าตอนนั้นรากฐานของตระกูลบางเบา หากไม่มีวัตถุดิบ ต่อให้สตรีที่มีฝีมือแค่ไหนก็ปรุงอาหารรสเลิศออกมาไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่นายน้อยพักอยู่บนเรือนไม้ไผ่ คนอื่นๆ แค่มีที่ให้ซุกหัวนอนก็ควรจะซาบซึ้งในบุญคุณมากพอแล้ว ไม่อย่างนั้นหากให้เขาจูเหลี่ยนลงมือจัดการด้วยตัวเอง แล้วจะให้สร้างเรือนใหญ่โตมโหฬารที่ต้องกินเงินจำนวนมาก คงไม่มีความจำเป็น
กลุ่มสิ่งปลูกสร้างที่ตอนนี้มีศาลบรรพจารย์ถูกสร้างนำไปก่อนคือหน้าตาของภูเขาลั่วพั่ว แน่นอนว่าย่อมไม่อยู่ในกรณีนี้ ต้องให้เขาจูเหลี่ยนเป็นคนจัดการเอง ไม่มีทางมอบให้ช่างที่ถูกจ้างมามาย่ำยีทัศนียภาพของยอดเขาจี้เซ่อเด็ดขาด
หากพูดตามคำกล่าวของจูเหลี่ยนก็คือ ตอนที่ไม่มีเงินก็ควรคิดว่าจะหาเงินอย่างไร ไม่มีเงินเดิมทีก็เป็นเรื่องน่าอาย แล้วยังทำตัวโอ้อวดคนอื่นว่าตัวเองมีเงินอีก นั่นก็มีแต่จะยิ่งทำให้คนอื่นดูแคลน แต่หากมีเงินแล้ว ควรจะใช้จ่ายเงินอย่างไร ก็ยิ่งต้องพิถีพิถันสักหน่อย
เฉินผิงอันรู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังตีหน้าเคร่งกลั้นยิ้ม ปากบอกว่าวันหน้าอย่าตัดสินใจเองโดยพลการอีก จะทำให้คนกันเองต้องน้อยเนื้อต่ำใจได้อย่างไร นี่จะไม่ทำให้ผู้คนเสียกำลังใจหรอกหรือ
แม้แต่เผยเฉียนก็ยังรู้สึกว่าสีหน้าและคำพูดของอาจารย์ในเวลานั้นไม่ใกล้เคียงกับคำว่าจริงใจเลยแม้แต่น้อย
เผยเฉียนยังรู้สึกอีกว่าท่าทางที่แทบอยากจะใช้ความตายมาแสดงคำขอบคุณที่ไม่ถูกลงโทษของพ่อครัวเฒ่า อยู่ไกลเกินกว่าความเป็นธรรมชาติดุจน้ำมาคลองสำเร็จของตนไกลโขนัก
คำพูดคือเสียงจากในใจ ต้องออกมาจากจิตใจสิถึงจะถูก เผยเฉียนรู้สึกว่าพ่อครัวเฒ่าก็ดี โจวเฝยก็ช่าง ยามที่พูดคุยกับอาจารย์ พวกเขาล้วนไม่มีฝีมือสักเท่าไร
พวกแขกที่มาร่วมงานพิธีและนำของขวัญมาร่วมอวยพรพากันออกไปจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว ตู้เหวินซือและผังหลันซีแห่งสำนักพีหมาที่เป็นผู้ถวายงานได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วก็พากันโดยสารเรือข้ามฟากบ้านตัวเองกลับชายหาดโครงกระดูกไปแล้ว
เฉินผิงอันมอบเทียบตัวอักษรแบบหวัดสองเทียบให้กับผังหลันซี คือเทียบที่ในอดีตเขาใช้เหล้าหมักตระกูลเซียนหลายไหซื้อมาจากเซี่ยนเหว่ยหนุ่มคนหนึ่งของอำเภอเล็กๆ ในแคว้นเหมยโย่ว ให้ผังหลันซีนำไปมอบต่อให้ท่านปู่ทวดของเขา
คิดไม่ถึงว่าตู้เหวินซือที่เห็นแล้วจะรู้สึกชื่นชอบ จึงขอไปเทียบหนึ่ง
เฉินผิงอันตะลึงค้างอยู่กับที่ จากนั้นก็ส่งสายตาให้ผังหลันซี เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เฉินผิงอันจึงได้แต่ไปเอาเทียบตัวอักษรมาอีกแผ่น ตู้เหวินซือกระชากเทียบตัวอักษรออกไปจากมือของเจ้าขุนเขาหนุ่มภูเขาลั่วพั่วอย่างแรง ยิ้มบางๆ เอ่ยประโยคหนึ่งว่า เจ้าขุนเขาช่างใจกว้าง
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบรับ ไม่เอ่ยอะไร
หลูป๋ายเซี่ยงเองก็พาคู่พี่น้องหยวนไหลหยวนเป่ากลับไปที่ชายแดนราชวงศ์จูอิ๋งเดิมแล้ว
เฉินผิงอันมอบเสื้อเกราะสำนักการทหารที่ศาลซานหลางของอุตรกุรุทวีปสร้างขึ้นอย่างประณีตให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์สองคนนี้ไปคนละตัว
จ้งชิวเริ่มพาเฉาฉิงหล่างออกเดินทางไปทั่วทิศอยู่ในพื้นที่มงคลรากบัว หลังจากเดินทางเสร็จก็จะหวนกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว แล้วค่อยออกท่องแจกันสมบัติทวีปต่อ
ตอนที่มาส่งเฉาฉิงหล่างออกเดินทาง นอกจากจะมอบชุดคลุมอาคมหญ้าเขียวที่เผาผลาญเงินเทพเซียนจำนวนมากจนสามารถซ่อมแซมกลับคืนมาได้เป็นเหมือนเดิมให้เขาแล้ว เฉินผิงอันยังมอบแผ่นไม้ไผ่จำนวนมากที่ตัวเองแกะสลักมาตลอดทาง รวมถึงประโยคหนึ่งแก่เฉาฉิงหล่างด้วย
“เรียนรู้หลักการเหตุผลจากในตำรา เรียนรู้การวางตัวอยู่ในสังคมจากนอกตำรา”
นอกเรือนไม้ไผ่ ศิษย์ประสานมือคารวะบอกลาอาจารย์ อาจารย์ประสานมือตอบกลับลูกศิษย์
สุยโย่วเปียนลงจากเขาไปมุ่งหน้าไปยังสำนักเจินจิ้งทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว ต่อให้เจียงซ่างเจินเจ้าสำนักที่ใช้สถานะของผู้ฝึกตนอิสระโจวเฝยจะอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบสุยโย่วเปียนกลับไม่เคยคุยอะไรกับเขา เกี่ยวกับบุญคุณความแค้นเป็นตายกับสำนักกุยหยก สุยโย่วเปียนไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ก่อนหน้านี้ที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ทุกวันนางจะเก็บตัวเงียบ มีเพียงครั้งเดียวที่ออกมาข้างนอกก็คือออกมาเดินเล่นไปรอบๆ ภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่วอย่างภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาหวงหู อารมณ์ถึงได้ดีขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่านางได้เลือกสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งและมีแผนการบางอย่างแล้ว
เดิมทีเฉินผิงอันยังอยากถามว่ากระบี่ชือซินเล่มนั้นอยู่ที่ไหน ถูกทำลายไปโดยไม่ทันระวังระหว่างที่เข่นฆ่ากับผู้อื่น หรือว่าถูกแย่งชิงไปแล้ว จะดีจะชั่วก็ควรจะบอกกล่าวแก่เขาสักหน่อยไม่ใช่หรือ?
น่าเสียดายที่ตัวสุยโย่วเปียนเองไม่เปิดปาก เฉินผิงอันเองจึงไม่กล้าถาม
เว่ยเซี่ยนพาเผยเฉียนไปที่พื้นที่มงคลรากบัว บอกว่าต้องการให้เผยเฉียนรู้ว่า ในบ้านของเขาเว่ยเซี่ยนมีไม้คานทองจริงหรือไม่
เผยเฉียนจึงถามฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้ว่า หากไปถึงวังหลวงแล้ว ในบ้านเจ้าไม่มีไม้คานทองจะทำอย่างไร เว่ยเซี่ยนจึงบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็จะมอบให้เจ้าต้นหนึ่ง ตอนนั้นเผยเฉียนเบิกตากว้าง ยกมือสองข้างขึ้นชูนิ้วโป้ง เยี่ยมไปเลย เหล่าเว่ยไม่เสียแรงที่ทุกวันนี้เจ้าคือขุนนางใหญ่ตำแหน่งอู่ซวนหลางแล้ว ใจป้ำยิ่งนัก ไม่สู้เอาอย่างนี้ดีไหม ไม่ว่าจะเดิมพันแพ้หรือชนะ เจ้าก็มอบไม้คานทองให้ข้าต้นหนึ่งเป็นอย่างไร เว่ยเซี่ยนเอาแต่หัวเราะหึหึ
ในฐานะเจ้าสำนักของสำนักเจินจิ้ง เดิมทีควรเป็นคนที่งานยุ่งมากที่สุด ทว่าเจียงซ่างเจินกลับทำหน้าหนาไม่ยอมไปจากภูเขาลั่วพั่ว ยังเลือกเรือนหลังหนึ่งตรงกลางภูเขาหลักไปเป็นของตัวเองด้วย จูเหลี่ยนบอกว่าตอนนี้ยังไม่มีเรือนว่าง ทุกเรือนล้วนมีเจ้าของอยู่แล้ว หากไม่ได้จริงๆ เขาก็จะแข็งใจสร้างเรือนที่พักให้กับผู้ถวายงานโจวโดยเฉพาะหนึ่งหลัง เจียงซ่างเจินจึงเสนอความเห็นว่าถ้าอย่างนั้นก็สร้างเรือนตระกูลเซียนหลายๆ หลังไปเลย ถึงอย่างไรภูเขาลั่วพั่วนั้นอย่างอื่นมีไม่มาก ที่มากก็คือพื้นที่ว่างเปล่า ไม่เพียงแต่กึ่งกลางยอดเขาหลักเท่านั้น ภูเขาด้านหลังยอดเขาหลักที่ว่างโล่งก็ควรสร้างไปพร้อมกันด้วย ภูเขาทั้งหมดที่อยู่ในนามของภูเขาหลักก็อย่าให้ปล่อยว่างไว้ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด เขาโจวเฝยจะเป็นคนควักกระเป๋าจ่ายให้เอง จูเหลี่ยนถูมือยิ้มเอ่ยว่าแบบนี้มันไม่เหมาะมากๆ เลยนะ เจียงซ่างเจินโบกมือ มอบเงินฝนธัญพืชกองโตให้จูเหลี่ยนโดยตรง บอกว่านี่ก็คือหน้าที่ของผู้ถวายงาน เหมาะสมที่สุดแล้ว
สองมือของจูเหลี่ยนกอบประคองเงินฝนธัญพืช นับอย่างละเอียด บอกว่าสิบห้าเหรียญเป็นเลขคี่ ไม่สู้คืนให้ผู้ถวายงานโจวเหรียญหนึ่งดีหรือไม่?
จากนั้นก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีความเคลื่อนไหวอย่างไร
เจียงซ่างเจินมีสีหน้าละอายใจ บอกว่าควรจะผสมให้ครบคำว่าเรื่องดีมาเป็นคู่จริงๆ นั่นแหละ แล้วจึงมอบเงินฝนธัญพืชให้อีกสามเหรียญ
จูเหลี่ยนรับเงินมาแล้วเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง พูดอย่างสะท้อนใจว่าภูเขาลั่วพั่วมีคนที่ใจกว้างทำอะไรได้ตามใจปรารถนาเช่นผู้ถวายงานโจวนี้ นับว่าหาได้ยากอย่างถึงที่สุด
หมู่นี้ชุยตงซานมัวยุ่งอยู่กับการสร้างวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะและค่ายกลใหญ่ภูเขาสายน้ำให้กับพวกภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาหวงหู ยกตัวอย่างเช่นข้องราชามังกรคู่นั้นที่เฉินผิงอันได้มาจากอุตรกุรุทวีป หลังจากถูกฮว่อหลงเจินเหรินซ่อมแซมจนเหมือนใหม่แล้วก็สามารถเอามาวางไว้ที่ภูเขาหวงหูได้โดยตรง เฉินผิงอันเอาข้องราชามังกรมอบให้กับเฉินหลิงจวินและเฉินหรูชู ให้พวกเขาทำการหล่อหลอมกันเอง แต่ตอนแรกเฉินหลิงจวินไม่ยอมรับเอาไว้ เพราะหวังว่าเฉินผิงอันจะนำไปมอบให้กับงูดำภูเขาฉีตุนที่ใกล้จะได้จำแลงร่างกลายเป็นมนุษย์ตนนั้นมากกว่า เพราะสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว เฉินหลิงจวินยังคงกังวลว่าการเดินลงลำน้ำจี้ตู๋จะเกิดช่องโหว่ หากสูญเสียข้องราชามังกรหนึ่งในนั้นไปก็จะชักนำให้โชคชะตาภูเขาสายน้ำของภูเขาหวงหูได้รับความเสียหายไปด้วย อานุภาพของค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาหวงหูที่สร้างขึ้นโอบล้อมข้องราชามังกรทั้งสองใบนี้ก็จะลดฮวบลงมาด้วย
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบตกลง เขาบอกกับเฉินหลิงจวินว่าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้ แค่หลอมมันเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตอย่างวางใจก็พอ วันหน้าเมื่อเดินลงน้ำสำเร็จก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถหวนกลับคืนมาหล่อเลี้ยงภูเขาหวงหูได้เสียหน่อย
เฉินหลิงจวินยังคงอิดออด เฉินผิงอันจึงได้แต่บอกว่าข้องราชามังกรเป็นสมบัติหนักบนภูเขาที่ล้ำค่าขนาดนี้ ให้เจ้า ข้าตัดใจได้ แต่ให้คนอื่น ข้าเสียดายมาก
เฉินหลิงจวินถึงได้ยอมรับไว้ ตอนที่เดินจากมา ฝีเท้าออกจะล่องลอยเล็กน้อย
วันนี้ตรงริมหน้าผาของเรือนไม้ไผ่ เฉินผิงอันนั่งดื่มเหล้าอยู่ตรงข้ามกับเจียงซ่างเจินที่กำลังจะลงจากภูเขาไป
แน่นอนว่าต้องดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนที่เจียงซ่างเจินหิ้วมา
เจียงซ่างเจินถามว่า “จะแบ่งผลกำไรหนึ่งจุดห้าในพื้นที่มงคลรากบัวให้สำนักเจินจิ้งของข้าจริงๆ หรือ? แล้วยังเป็นแบบยาวนานตลอดไปด้วย?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่สำนักเจินจิ้ง แล้วก็ไม่ใช่สำนักกุยหยก แต่เป็นให้กับเจ้าประมุขสกุลเจียง หรือควรจะเรียกว่าผู้ถวายงานโจวเฝย”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะนั่งรอนอนรอรับเงินก็แล้วกัน พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ให้กลัดกลุ้มแล้ว”
ผลประโยชน์ที่มาส่งให้ถึงประตูบ้าน เจียงซ่างเจินไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธจริงๆ
ก็เหมือนกับสมบัติเงินทองที่เจียงซ่างเจินมอบให้กับภูเขาลั่วพั่ว จูเหลี่ยนเองก็รับไว้อย่างมือไม้ไม่อ่อนเลยแม้แต่น้อย
ดีมาก็ดีกลับแล้วกัน
แรกเริ่มสุดเจียงซ่างเจินเปิดปากบอกกับภูเขาลั่วพั่วว่าต้องการส่วนแบ่งจากพื้นที่มงคลสองส่วนไปตลอดกาล สำนักเจินจิ้งยินดีจะให้ภูเขาลั่วพั่วยืมเงินสามก้อน ก้อนแรกคือเงินฝนธัญพืชหนึ่งพันเหรียญ เอาไว้ใช้ช่วยให้พื้นที่มงคลรากบัวเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลาง หลังจากนั้นยังจะเอาเงินออกมาอีกสองพันเหรียญ เพื่อใช้สร้างความมั่นคงให้กับโชคชะตาภูเขาสายน้ำของพื้นที่มงคลรากบัว เพิ่มการไหลเวียนของปราณวิญญาณให้มากขึ้น หลังจากกลายเป็นพื้นที่มงคลระดับสูงแล้ว เจียงซ่างเจินยังจะมอบเงินฝนธัญพืชให้อีกสามพันเหรียญ เงินเทพเซียนสามก้อนล้วนไม่มีดอกเบี้ย ภูเขาลั่วพั่วจะต้องชำระหนี้ภายในระยะเวลาหนึ่งร้อยปี ห้าร้อยปีและหนึ่งพันปี ไม่อย่างนั้นสำนักเจินจิ้งก็จะคิดดอกเบี้ยสูงแล้ว ภูเขาลั่วพั่วสามารถเอาภูเขามาขายแทนเงินให้สำนักเจินจิ้งได้ หากไม่ยินดีจะยกพื้นที่ให้ เอาตัวคนมาใช้หนี้แทนก็ได้เหมือนกัน
นี่ก็คือการพูดจาภาษาการค้าของแท้แน่นอน
สำหรับเจียงซ่างเจินแล้ว ข้าเงินเยอะ มอบเงินทองทรัพย์สินให้คนอื่นคือเรื่องหนึ่ง แต่ควรจะหาเงินอย่างไรกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องมีกฎเกณฑ์
ระหว่างนี้นอกจากเจียงซ่างเจินจะยกเกาะหกแห่งของทะเลสาบซูเจี่ยนให้ภูเขาลั่วพั่วแล้ว ยังจะดึงกำลังคนจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งทวีปให้เข้ามาในพื้นที่มงคลรากบัว รับผิดชอบจัดการดูแลงานที่เป็นรูปธรรม ส่วนข้อที่ว่าลูกหลานสกุลเจียงที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่มงคลระดับกลางซึ่งเพิ่งจะเติบโตขึ้นมาใหม่แห่งนี้จะมีอำนาจมากเท่าไร ก็ต้องดูที่ว่าภูเขาลั่วพั่วยินดีให้หน้าพวกเขากี่มากน้อยแล้ว
แต่ตอนนั้นจูเหลี่ยนยังยืนกรานว่าภูเขาลั่วพั่วมอบส่วนแบ่งให้สำนักเจินจิ้งได้แค่ส่วนเดียวเท่านั้น
เว่ยป้อซานจวินแห่งขุนเขาเหนือของแจกันสมบัติทวีปผู้ยิ่งใหญ่ ออกทั้งเงินออกทั้งแรง แล้วยังออกทั้งกำลังคน ยอมเป็นวัวเป็นม้า ก็ยังได้ส่วนแบ่งแค่ส่วนเดียว สำนักเจินจิ้งคิดจะเป็นสิงโตอ้าปากกว้าง ต่อให้เขาจูเหลี่ยนพยักหน้าตอบตกลง แต่นั่นก็จะเป็นการหมิ่นเกียรติซานจวินใหญ่เว่ย ใครบ้างที่ไม่รู้นิสัยที่ต่อให้ตายก็ต้องรักษาหน้าตาเอาไว้ก่อนของเว่ยป้อบ้าง หากเว่ยป้อต้องห่างเหินกับภูเขาลั่วพั่วเพราะสาเหตุนี้ ภูเขาลั่วพั่วก็จะได้ไม่คุ้มเสีย
เดิมทีเจียงซ่างเจินก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วว่าจะได้สองส่วน เส้นบรรทัดฐานของเขาก็คือการปันผลหนึ่งจุดห้าส่วนตลอดกาล หากจูเหลี่ยนยืนกรานว่าจะให้ผลตอบแทนแค่ส่วนเดียว นั่นก็น้อยเกินไปจริงๆ
อีกอย่างจูเหลี่ยนก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่จี้ใจเจียงซ่างเจิน อาณาเขตของพื้นที่มงคลรากบัวไม่ใหญ่ คนยี่สิบล้านคนที่จิตวิญญาณครบถ้วนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในแคว้นหนันเยวี่ยน บวกกับอีกสามพื้นที่อย่างแคว้นซงไล่ แคว้นเป่ยจิ้นและทุ่งหญ้ากว้างนอกด่าน แม้จะบอกว่าต่อให้รวมกับจิตวิญญาณของคนไว้แล้ว หมื่นเรื่องราวหมื่นสรรพสิ่งก็คล้ายว่าจะอยู่ในสภาวะที่เลื่อนลอยว่างเปล่า ถูกแบ่งออกเป็นคร่าวๆ ได้สี่ส่วน แต่เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ ขอแค่ภูเขาลั่วพั่วจัดการได้อย่างเหมาะสม หากจำนวนประชากรของพื้นที่มงคลทะลุห้าสิบล้านคน นั่นก็จะเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางหายากที่มีความพิเศษในด้านประชากร ในฐานะพื้นที่มงคลระดับสูงที่มีอยู่ไม่มาก สกุลเจียงสำนักกุยหยกคอยบริหารดูแลประชากรของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆามาหลายรุ่นหลายสมัย แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดเก้าสิบล้านคนไปได้ แน่นอนว่าสาเหตุหนึ่งในนั้นก็เป็นเพราะ ‘ความกำเริบเสิบสาน ระดมพลครั้งใหญ่’ ของเจียงซ่างเจินด้วย ในประวัติศาสตร์บอกว่ามีกลียุคเกิดขึ้นห้าครั้ง สรรพชีวิตที่มอดม้วยด้วยน้ำมือของเจียงซ่างเจินก็มีมากถึงสามครั้งแล้ว คนทั้งบนและล่างภูเขาที่ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วยไม่มีใครที่โชคดีรอดพ้นหายนะไปได้
และนี่ก็เป็นจุดที่น่าสนุกและน่าสนใจที่สุดของจูเหลี่ยน
พูดจาคล่องแคล่วน่าสนใจแต่ไร้แก่นสาร คำพูดเหลวไหลเรื่อยเปื่อยหาสาระไม่ได้
แต่มักจะชอบซ่อนแฝงประโยคสองประโยคที่มีน้ำหนักอย่างถึงที่สุดไว้ในถ้อยคำเป็นกระบุงโกยเหล่านั้นเสมอ