กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 572.1 เฉินผิงอันแห่งใต้หล้าไพศาลมาพบคน
[ภาค 9 ดวงจันทร์บนฟ้า] บทที่ 572.1 เฉินผิงอันแห่งใต้หล้าไพศาลมาพบคน
เต่าทะเลภูเขาของเรือข้ามทวีปตระกูลซุนแห่งนครมังกรเฒ่า ตรงกระดองกว้างใหญ่ดุจขุนเขาของมันมีสิ่งปลูกสร้างจำนวนมาก หากไม่นับรวมวัตถุสิ่งของ ก็ยังสามารถรองรับคนได้มากถึงสองพันสี่ร้อยกว่าคน
หันกลับมามองเรือมังกรของภูเขาลั่วพั่ว กลับไม่อาจทัดเทียมได้แล้ว
เต่าทะเลภูเขากับเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านมีส่วนหนึ่งที่คล้ายคลึงกันอย่างมหัศจรรย์ นั่นคือโดยทั่วไปแล้วจะออกทะเลข้ามทวีป เพียงแต่ว่าเกาะกุ้ยฮว่านั้นเหนือกว่าที่ต้นกุ้ยบรรพบุรุษต้นนั้น หากค่ายกลภูเขาสายน้ำถูกเปิดขึ้นมา จะสามารถต้านทานภัยธรรมชาติมากมายบนท้องทะเลได้ ต่อให้บนมหาสมุทรของเจ้าจะมีคลื่นยักษ์สูงเทียมฟ้าโถมตัว เกาะกุ้ยฮวาก็ยังมั่นคงดุจหินผา ทว่าเต่าทะเลภูเขากลับไม่มีข้อได้เปรียบที่เกิดจากสภาพแวดล้อมอันดีเยี่ยมเฉกเช่นเกาะกุ้ยฮวา แต่ค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาที่ด้อยกว่าของเกาะกุ้ยฮวามากนั้นกลับมากพอจทำให้เรือข้ามฟากดิ่งลงน้ำหลบเลี่ยงกระแสคลื่นมาได้ บวกกับที่เดิมทีตัวของเต่าทะเลภูเขาที่ก็มีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอยู่แล้ว เป็นเหตุให้เมืองเล็กบนกระดองของมันเหมือนเมืองบาดาลใต้น้ำ ผู้โดยสารที่อยู่ที่นี่จึงปลอดภัยดี นี่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของคำกล่าวที่บอกว่าผู้ฝึกตนอาศัยวิชาคาถาตระกูลเซียนมา ‘เอาชนะสวรรค์’
เรือข้ามทวีปทั้งหมดบนโลกที่มีมูลค่าควรเมือง นอกจากตัวของเรือข้ามฟากเองแล้ว เส้นทางทุกเส้นที่ผู้ฝึกตนแต่ละรุ่นของสำนักหนึ่งบุกเบิกมาด้วยความยากลำบากก็มีมูลค่าเท่าทองหมื่นชั่งเช่นกัน เส้นทางที่เกาะกุ้ยฮวาสามารถผ่านไปได้ ก็ยกตัวอย่างเช่นร่องเจียวหลงที่คนแจวเรือของตระกูลฟ่านจำเป็นต้องถ่อเรือออกไปโปรยข้าวเพื่อเป็นการแสดงความเคารพแด่ ‘ภูเขา’ แต่เต่าทะเลภูเขากลับไม่สามารถผ่านมาได้อย่างปลอดภัย ต่อให้จะแค่ผ่านทางไปไกลๆ ก็ไม่มีทางกล้า หากเจียวหลงผอมแห้งเหนื่อยล้าหลายตนที่เดินทางไปกลับระหว่างทักษิณาตยทวีปเพื่อคอยโปรยฝนซึ่งยังมีสันดานเดิมของเผ่าพันธ์เจียวหลงเห็นเต่าทะเลภูเขาเข้า จะต้องเกิดปัญหาแทรกซ้อน เป็นการชักนำหายนะมาสู่ตัวอย่างแน่นอน แต่ก็หลักการเดียวกัน เต่าทะเลภูเขาเองก็สามารถใช้การหลบน้ำหลีกเลี่ยงสถานที่อันตรายได้มากมาย หรือไม่ก็อาศัยความสัมพันธ์ควันธูปที่สะสมมาร้อยปีพันปีจึงสามารถข้ามผ่านน่านน้ำของปีศาจใหญ่ไปได้ แต่เกาะกุ้ยฮวากลับได้แต่หยุดชะงักไม่อาจเดินหน้าต่อ
ตระกูลใหญ่หลายตระกูลในนครมังกรเฒ่าที่ได้ครอบครองเรือข้ามทวีป ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนาน ผู้ฝึกตนที่ตายอยู่บนเส้นทางการบุกเบิกหรือไม่ก็ระหว่างการทำให้เส้นทางมั่นคง มีอยู่ไม่น้อย
วันนี้บนทะเลมีคลื่นมรสุมลมแรง เต่าทะเลภูเขาจึงค่อยๆ จมตัวลงสู่เบื้องล่าง หากไม่เป็นเพราะริมขอบเขตกระดองเต่ายักษ์มีริ้วคลื่นของค่ายกลกระเพื่อมแผ่ออกมาเป็นวงๆ ปกคลุมฟ้าดินขนาดเล็กที่เงียบสงบแห่งนี้เอาไว้ ก็แทบจะไม่มีความแตกต่างใดๆ จากตอนที่มันอยู่ผิวมหาสมุทร สิ่งปลูกสร้างน้อยใหญ่และต้นไม้ดอกไม้บนเรือข้ามฟากแทบจะไม่ได้รับการรบกวนจากน้ำทะเล
ตอนนี้เฉินผิงอันคือแขกผู้มีเกียรติที่ละทิ้งอคติความขัดแย้งที่มีต่อกันในอดีตของตระกูลซุน แล้วก็ยิ่งเป็นพันธมิตรที่เริ่มจะทำการค้าขายที่ยาวนานต่อกัน แน่นอนว่าซุนเจียซู่ย่อมจัดให้เฉินผิงอันได้เข้าพักในจวนตระกูลเซียนชั้นสูงแห่งหนึ่ง ขนาดไม่ใหญ่ แต่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น การค้าข้ามทวีปภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ตระกูลซุนยอมที่จะปล่อยให้เรือนแห่งนี้ว่างเปล่าก็ยังไม่ยอมยกมันให้ผู้ฝึกตนใหญ่มาเข้าพัก สาเหตุหนึ่งในนั้นมีที่มาที่ไป เพราะเรือนหลังเล็กที่มีชื่อว่า ‘ซูลู่’ (หีบไม้ไผ่ที่เอาไว้ใช้เก็บตำรา) นี้อยู่ห่างจากโอสถเต่าของเต่าทะเลภูเขาที่ถูกหล่อหลอมมานานเกือบหมื่นปีมากที่สุด จึงเป็นเหตุโชคชะตาน้ำตามธรรมชาติเข้มข้น ปราณวิญญาณบริสุทธิ์ที่สุด หากผู้ฝึกตนดึงดูดเอาไป ก็จะเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลสำเร็จเป็นเท่าตัว แต่หากมีผู้ฝึกตนใหญ่ที่ผูกปมแค้นกับตระกูลซุนคิดร้าย ย่อมต้องสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับเต่าทะเลภูเขาอย่างแน่นอน และหากสูญเสียเรือข้ามทวีปลำนี้ไป ตำแหน่งฐานะของตระกูลซุนในนครมังกรเฒ่าย่อมดิ่งฮวบลงเหวอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เฉินผิงอันขึ้นเรือมา ทุกวันเขาก็ยังคงใช้เวลาหกชั่วยามในการฝึกตนหลอมลมปราณ ปราณวิญญาณที่สะสมอยู่ในจวนน้ำ ศาลภูเขาและเรือนไม้สามแห่งถูกเขาจัดระเบียบอย่างละเอียดมาพอสมควร และค่อยๆ หล่อหลอมจนสำเร็จแล้ว หลักๆ ก็คือการหลอมกลางให้กับอิฐเขียวของอารามเต๋าทั้งสามสิบหกก้อน โชคชะตาเป็นเส้นๆ กลุ่มๆ ที่อยู่ในนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปณิธานเต๋าส่วนนั้นได้เริ่มค่อยๆ มีการพัฒนาไปอย่างเชื่องช้า โชคดีที่ตอนอยู่บนยอดเขาสิงโต ทั้งการฝึกตนและวิถีวรยุทธของเฉินผิงอันต่างก็ฝ่าทะลุขอบเขตไปพร้อมกัน หลังจากเลื่อนเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่ วันเวลาทั้งหมดในการหล่อหลอมอิฐเขียวสามสิบหกก้อนให้สมบูรณ์จึงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้สามเท่า
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง ด้านหน้าวางกระดานหมากไว้กระดานหนึ่งพร้อมกับโถเก็บเม็ดหมาก ล้วนเป็นของที่เฉินผิงอันพกไว้ติดกาย โดยเอาเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อที่ค่อนข้างจะโล่งว่าง
เฉินผิงอันออกเดินทางไกลครั้งนี้ เขาไม่ได้พกสิ่งของมาด้วยมากนัก นอกจากสวมชุดสีเขียวสะพายเจี้ยนเซียน กระบี่บินชูอีสืออู่ที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันมานานหลายปีแล้ว ก็พกมาแค่ชุดคลุมอาคมจินหลี่หนึ่งตัว เสื้อคลุมอาคมเถาเถี่ยร้อยตาตัวนั้นมอบให้โจวหมี่ลี่ไปแล้ว ก็นางคือแม่นางน้อยชุดดำนี่นะ ก็ควรจะสวมชุดที่น่ามองและสอดคล้องกับสภาพการณ์ของตัวเองสักหน่อย ส่วนชุดคลุมอาคมเกล็ดหิมะที่แย่งชิงมาจากผีสาวนครฟูนี่ก็มอบให้สือโหรวไป
เกี่ยวกับชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนี้ เฉินผิงอันมีแผนการใหม่อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือคงได้แต่ต้องทำผิดต่อหลิวเสี้ยนหยางแล้ว เขาส่งจดหมายฉบับหนึ่งข้ามทวีปไปยังสกุลเฉินผู้รอบรู้ แต่จดหมายตอบกลับกลับส่งมาที่นครมังกรเฒ่า ตอนนั้นฟ่านเอ้อร์นำจดหมายขึ้นเรือข้ามฟากของสำนักพีหมามาด้วยตัวเอง ในจดหมายหลิวเสี้ยนหยางบอกว่าคำว่าเห็นสตรีดีกว่าสหายก็เป็นเช่นนี้เอง แต่ระหว่างคนทั้งสอง ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องเกรงใจใคร เฉินผิงอันไม่มีคุณธรรม หลิวเสี้ยนหยางเองก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน ในจดหมายเขาบอกมาตามตรงว่าให้เฉินผิงอันหาของที่ระดับขั้นไม่แย่กว่าชุดคลุมอาคมจินหลี่มาแลกเปลี่ยน ไม่อย่างนั้นจะไม่จบเรื่องนี้ง่ายๆ แน่ เมื่อเจอหน้ากัน เฉินผิงอันต้องยืนนิ่งๆ ห้ามขยับ ให้เขาใช้กระบวนท่าลิงขโมยลูกท้อ งมจันทร์ใต้ทะเลกับเขาหลายๆ ที ช่วงท้ายของจดหมาย บอกให้เฉินผิงอันนำคำพูดไปบอกน้องสะใภ้ของเขาหลิวเสี้ยนหยางว่า รีบมีลูกเร็วๆ
เฉินผิงอันจึงได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น คำพูดแบบนี้เขาพูดได้หรือ? รนหาที่ตายหรือไร?
การเดินทางครั้งนี้ของเฉินผิงอัน เขาพกวัตถุจื่อชื่อสองชิ้นอย่างแผ่นป้ายหยกขาว แผ่นไม้ของลัทธิเต๋ามาด้วย ชิ้นหนึ่งเป็นเจิ้งต้าเฟิงที่ใช้หนี้มาตอนอยู่ในร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า อีกชิ้นหนึ่งคืออาศัยการขนย้ายฝ้าเพดานขนาดใหญ่ยักษ์ชิ้นนั้น และอาศัยความสามารถของตัวเองช่วงชิงมาด้วยความยากลำบาก
อาชีพอย่างร้านผ้าห่อบุญนี้ แน่นอนว่าเดินไปถึงที่ไหนก็ทำไปถึงที่นั่น
เมื่อปีก่อนตอนที่อยู่ในจวนเซียนอารามเต๋าก็เพราะเสียเปรียบในข้อที่ว่าบนร่างของตนมีวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อไม่มากพอ ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันก็คง ขนเอาอิฐเขียวของอารามเต๋ามาจนเกลี้ยงหมดแล้ว หากเหลือไว้สักแผ่นหนึ่งก็ถือว่าเขาเฉินผิงอันที่เป็นร้านผ้าห่อบุญยังมีฝีมือไม่ชำนาญพอ
เงินเทพเซียนพกมาแค่เงินฝนธัญพืชสามสิบเหรียญ ครั้งนี้ไปถึงภูเขาห้อยหัว เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่ไปเยือนเรือนหลิงจือ อย่างน้อยที่สุดครั้งนี้เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วของเราท่านนี้ก็สามารถชมสมบัติต่างๆ ได้อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าหากมองนานอีกนิดก็จะต้องถูกคนไล่ออกไปอีก ของที่วางขายอยู่ในเรือนหลิงจือมีระดับขั้นดีเยี่ยมจริงๆ น่าเสียดายที่ราคาก็ทำให้คนมองปวดใจมากด้วย
หลังจากที่ศาลบรรพจารย์สร้างเสร็จ เฉินผิงอันก็เอาเงินเทพเซียนทั้งหมดจากการที่ตนสะสมอย่างมานะอดทนตลอดหลายปีของการเป็นผ้าห่อบุญส่วนที่เหลือออกมามอบให้กับเฉินหรูชูที่รับหน้าที่นับจำนวน แจกบันทึกและแจกจ่ายทรัพย์สินของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่ว คิดไม่ถึงว่าก่อนที่เฉินผิงอันจะจากมา ขณะที่เขาคิดจะเอาเงินออกมา เฉินหรูชูที่ยืนอยู่ข้างจูเหลี่ยนกลับมีสีหน้าละอายใจ ตอนนั้นเฉินผิงอันก็รู้แล้วว่าท่าไม่ดี แล้วก็จริงดังคาด จูเหลี่ยนเอาแค่ถุงเงินฟีบแบนใบหนึ่งมาให้เขา ด้านในบรรจุเงินฝนธัญพืชอยู่แค่สิบเหรียญ บอกว่าเงินเหล่านี้ก็คือเงินทั้งหมดที่เหลืออยู่จากการที่ภูเขาลั่วพั่วเก็บรวบรวมมาให้ อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นเงินเหลือด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วต้องใช้เงินกับทุกเรื่อง แต่เป็นเพราะเจ้าขุนเขาต้องออกเดินทางไกล ภูเขาลั่วพั่วจึงได้แต่แข็งใจตบหน้าตัวเองให้เป็นคนอ้วน หลีกเลี่ยงไม่ให้คนดูถูกภูเขาลั่วพั่ว หากมากกว่านี้ ก็ไม่มีแล้วจริงๆ
จากนั้นจูเหลี่ยนก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่แสดงความเข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดีว่า หากนายน้อยรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ เขาจูเหลี่ยนก็มีวิธี จะเอาเงินฝนธัญพืชนี้มาหักเป็นเงินร้อนน้อย ถุงเงินก็จะได้ตุงแน่น
ตอนนั้นเฉินผิงอันถือถุงเงินใบนั้นเอาไว้ด้วยความรู้สึกเหมือนคนที่ยกหินทุ่มเท้าตัวเอง
เจ้าจูเหลี่ยนตัวดี แม้แต่ข้าก็ยังถูกเจ้าขุดหลุมฝังด้วยหรือ?
จูเหลี่ยนขุดหลุมฝังเจียงซ่างเจิน ขุดหลุมฝังเว่ยป้อ ไม่ว่าใครเขาก็เล่นงานหมด คนที่ขุดหลุมไม่ได้ ต่อให้ต้องขุดตลอดคืนเขาก็จะต้องฝังหลุมไว้บนหลุมอีกทีให้จงได้ ถึงขั้นที่ว่าต่อหน้าต่อตาคนอื่น จูเหลียนก็ยังทำได้อย่างหน้าไม่อาย เมื่อก่อนเฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอจูเหลี่ยนขุดหลุมฝังเจ้าขุนเขาอย่างตัวเขาเองบ้าง เขาก็รู้ซึ้งถึงรสชาติของมันแล้ว
คิดไม่ถึงว่าเฉินหรูชูจะแอบยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว
เฉินผิงอันเข้าใจได้ทันที รีบต่อรองราคาให้เป็นเงินฝนธัญพืชห้าสิบเหรียญ บอกว่าเรือนหลิงจือของภูเขาห้อยหัวมีสมบัติมากมาย นั่นน่ะเรียกว่าของดีราคาถูกอย่างแท้จริง ขอแค่ตนกลับมาถึงแจกันสมบัติทวีป แล้วขายต่อให้กับร้านผ้าห่อบุญที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว ก็จะต้องได้เงินฝนธัญพืชมาเพิ่มอีกหลายเหรียญอย่างแน่นอน สุดท้ายคนหนึ่งก็บอกว่าจะหาเงินมาให้ภูเขาลั่วพั่ว อีกคนหนึ่งตบอกชกตัวร่ำร้องว่ายากจน ต่างคนต่างหั่นราคากันไปมา เฉินผิงอันถึงได้เงินฝนธัญพืชสามสิบเหรียญนี้มาครอง
ตอนนั้นที่อยู่บนภูเขาหนิวเจี่ยว หลังจากเฉินผิงอันนั่งเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาจากมาแล้ว
จูเหลี่ยนก็ยื่นมือมาลูบหัวเฉินหรูชู ยิ้มกล่าวว่า “หน่วนซู่เอ๋ย เจ้าสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่เลยทีเดียว”
คนบนภูเขาลั่วพั่วยังคงชอบเรียกเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูว่าหน่วนซู่กันมากกว่า ชุยเฉิงเป็นเช่นนี้ สามพี่น้องสหายสนิทอย่างจูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงและเว่ยป้อก็เป็นเช่นนี้
เฉินหรูชูมึนงงไม่เข้าใจ
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “อันที่จริงภูเขาลั่วพั่วของพวกเรายังมีเงินฝนธัญพืชเหลืออีกยี่สิบเหรียญ ต่อให้เอาไปทั้งหมดก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อภูเขาลั่วพั่ว เพียงแต่ว่าบนบัญชีอักษรดำกระดาษขาวจะมองไม่ค่อยออก ตอนนี้เจ้าดูแลเรื่องเงิน วันหน้าสามารถเรียนรู้ให้มากๆ นายน้อยของพวกเราเคยเป็นนักบัญชีมาก่อน แถมยังติดใจมากด้วย”
เฉินหรูชูถาม “ทำไมถึงไม่ให้นายท่านไปทั้งหมด?”
จูเหลี่ยนเอ่ย “นายน้อยไปภูเขาห้อยหัวครั้งนี้ ตลอดทางจะไม่มีทางมีค่าใช้จ่ายใดๆ พอไปถึงภูเขาห้อยหัวจริงๆ ไหนเลยจะมีอารมณ์ทำตัวเป็นร้านผ้าห่อบุญ ล้วนหลอกพวกเราทั้งนั้นแหละ หลอกผีน่ะสิ ที่มากกว่านั้นก็แค่อยากหาของดีๆ สักชิ้นที่เรือนหลิงจือ พยายามให้ดูแพงสักหน่อย ดูมีหน้ามีตาสักหน่อย จะได้เอาไปมอบให้สตรีในใจของตน แน่นอนว่าข้าไม่ได้ขี้เหนียวกับเงินฝนธัญพืชยี่สิบเหรียญนี้ ก็แค่ว่านายน้อยไม่ค่อยมีประสบการณ์ในเรื่องความรักชายหญิงสักเท่าไร หากสตรีชื่นชอบเจ้าจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีที่นายน้อยของเราชอบ แม้ว่าข้าจะไม่เคยพบหน้ามาก่อน แต่ข้ากล้าแน่ใจในเรื่องหนึ่งเลยว่า หากเอาแต่สนเรื่องราคาอย่างเดียว นางต้องรู้สึกว่าไร้รสนิยมมากอย่างแน่นอน”
เฉินหรูชูยิ่งสงสัย “แล้วทำไมท่านจูถึงยังต้องให้เงินฝนธัญพืชเพิ่มไปอีกยี่สิบเหรียญด้วย?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “มีประสบการณ์เรื่องความรักชายหญิงมากเกินไป จะเป็นเรื่องดีเสมอไปหรือ?”
เฉินหรูชูยังคงมึนงงไม่เข้าใจ
จูเหลี่ยนที่เรือนกายงองุ้มเอามือไพล่หลัง ลมเย็นๆ โชยมาปะทะใบหน้า เขาปล่อยให้ลมภูเขาพัดผ่านเส้นผมตรงจอนหู มองส่งเรือลำนั้นทะยานลมจากไปไกล แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ยามที่บุรุษเป็นหนุ่ม มักจะคิดว่าตัวเองมีอะไรก็จะมอบสิ่งนั้นให้สตรี นี่ไม่มีอะไรที่ไม่ดี ช่วงอายุที่ไม่เหมือนกัน ความรักที่ไม่เหมือนกัน ต่างก็มีความพิเศษเป็นของตัวเอง ไม่มีการแบ่งสูงต่ำหรือดีเลว ชีวิตคนไร้ความเสียดาย สมบูรณ์แบบมากเกินไป ทุกเรื่องไม่เคยทำผิดพลาด กลับกลายเป็นว่าจะไม่ดี เพราะยามที่คนแก่ตัวไปย่อมไม่มีเรื่องให้หวนคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลาได้”
จูเหลี่ยนดึงสายตากลับมา หันหน้ามามองพลางยื่นนิ้วก้อยออกมา “เกี่ยวก้อยกัน เจ้าห้ามเอาคำพูดพวกนี้ไปบอกเจ้าขุนเขาของพวกเรา ไม่อย่างนั้นด้วยความใจแคบของเจ้าขุนเขา ข้าต้องซวยแน่”
เฉินหรูชูเอาสองมือไปซ่อนไว้ด้านหลัง รู้สึกโมโหเล็กน้อย พูดตำหนิว่า “ท่านจู นายท่านของข้าไม่ได้ใจแคบสักหน่อย! ห้ามท่านพูดถึงนายท่านแบบนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะไปฟ้องเขาจริงๆ”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “คำว่าใจแคบของข้าไม่ได้เป็นคำความหมายเชิงลบอย่างที่คนบนโลกพูดกัน แต่หมายถึงว่าเขาจดจำเรื่องเล็กน้อยโลกที่ไม่ว่าใครก็ไม่ยินดีจะสนใจได้ ดีจะตายไป”
เฉินหรูชูค่อยๆ คลี่ยิ้ม แล้วถึงได้ยอมเกี่ยวก้อยกับจูเหลี่ยน