กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 575.1 ออกจากบ้านก็ต้องต่อยตีสักรอบสองรอบ
เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดเสร็จแล้วก็ลังเลอยู่พักใหญ่ แต่ก็ยังคงออกจากเรือน เดินกลับไปที่ศาลาริมหน้าผาแท่นสังหารมังกร เขายืนกุมหมัด จงใจปล่อยปณิธานหมัดในร่างออกไป
หญิงชราเดินกะเผลกขึ้นมาบนภูเขาลูกเล็กที่ทำให้คนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่น้ำลายสออยากครอบครองแห่งนี้ พอมาถึงแล้วก็ยิ้มถามว่า “คุณชายเฉินมีเรื่องจะถามหรือ?”
เฉินผิงอันพูดอย่างละอายใจว่า “แม้ว่าจะเพิ่งมาถึง แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่อดไม่ไหว จึงได้แต่รบกวนการพักผ่อนของป๋ายหมัวมัวแล้ว”
หญิงชราพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน คุณชายเฉินไม่ต้องเกรงใจ เดิมทีในใจของหญิงแก่อย่างข้าปลาบปลื้ม แต่หากเกรงใจกันเกินไปก็จะไม่ใคร่ชอบใจแล้ว”
หลังจากที่หญิงชรานั่งลง เฉินผิงอันถึงได้นั่งตัวตรงอย่างสำรวม ถามเสียงเบาว่า “หลังจากที่ผู้อาวุโสทั้งสองท่านจากโลกนี้ไป จวนหนิงเงียบสงบเช่นนี้ แล้วทางฝ่ายของจวนเหยาล่ะ?”
หญิงชราเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเนิบช้าว่า “นี่จะเกี่ยวพันไปถึงเรื่องในอดีตเรื่องหนึ่ง ปีนั้นฮูหยินดึงดันจะแต่งเข้าตระกูลหนิงที่ตกอับ คนทั้งตระกูลเหยาล้วนไม่เห็นด้วย ปีนั้นนายท่านขอบเขตไม่สูง แล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะสามารถกลายเป็นเซียนกระบี่ได้ในรวดเดียว หากมีเพียงแค่เท่านี้ ตระกูลเหยาก็คงไม่ถึงขั้นปั้นปึ่งกับนายท่าน ยืนกรานจะขัดขวางไม่ให้ฮูหยินแต่งงานกับบุรุษที่ไม่ได้ดิบได้ดีให้จงได้ ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าปีนั้นตระกูลเหยาได้เชิญให้อริยะลัทธิเต๋าที่เฝ้าพิทักษ์อยู่บนหัวกำแพงเมืองช่วยทำนายดวงชะตาแปดอักษรของนายท่านและฮูหยิน ผลที่ออกมาไม่ค่อยดี เพราะฉะนั้นต่อให้ปีนั้นจวนหนิงจะต้องการมอบแท่นสังหารมังกรแห่งนี้ให้เป็นสินสอด คนในบ้านฮูหยินก็ยังไม่ตอบรับ ตอนที่ฮูหยินออกเรือนก็ไม่มีหน้ามีตาใดๆ แม้ว่าปากนายท่านจะไม่พูด แต่อันที่จริงตลอดหลายปีมานี้กลับรู้สึกผิดต่อฮูหยินมาโดยตลอด มักจะรู้สึกว่าตัวเองติดค้างนาง ต่อให้ภายหลังนายท่านจะเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน ทางฝั่งของตระกูลเหยาก็ยังไม่ยินดียินร้าย ช่วยไม่ได้ ในใจมีหนามแหลมตำอยู่ นายท่านจะยังทำอย่างไรได้อีก ก็ได้แต่ละอายใจอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่านายท่านจะพูดเกลี้ยกล่อมอย่างไรฮูหยินก็ไม่ค่อยกลับไปบ้านเดิม จำนวนครั้งที่ไปมีน้อยจนนับนิ้วได้ ไปแล้วก็แค่ไปพูดคุยเรื่องที่เป็นการเป็นงานเท่านั้น ทั้งๆ ที่อยู่ห่างกันแค่สองถนน แต่กลับไม่เคยไปมาหาสู่กันยิ่งกว่าคนเป็นศัตรูกันเสียอีก จนกระทั่งภายหลังจวนหนิงมีคุณหนูของพวกเรา ความสัมพันธ์ของสองบ้านถึงได้ดีขึ้น น่าเสียดายที่ภายหลังทั้งนายท่านและฮูหยินต่างก็จากไปแล้ว ทางฝั่งของตระกูลเหยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านตาท่านยายของคุณหนู ความรู้สึกที่พวกเขามีต่อคุณหนูซับซ้อนอย่างมาก ไม่เจอหน้านางก็ให้กังวลใจ แต่พอเจอกันแล้วกลับต้องกลัดกลุ้มใจ อย่าเห็นว่าหน้าตาของคุณหนูไม่ค่อยเหมือนฮูหยิน แต่คิ้วตานั่นกลับถอดแบบราวกับโขลกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ในเรื่องของการแต่งงานระหว่างนายท่านและฮูหยิน บอกตามตรง แม้แต่ข้าที่เป็นบ่าวรับใช้จากตระกูลเหยาก็ยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจ แต่พอมาเป็นเรื่องของคุณหนู กลับจะตำหนิตระกูลเหยาไม่ได้ เพราะอะไรที่สามารถทำได้ ตระกูลเหยาก็ทำหมดแล้ว ก็แค่พวกผู้เฒ่าผู้แก่ไม่ค่อยถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบอย่างที่พวกผู้อาวุโสในตระกูลทั่วไปทำกันก็เท่านั้น คุณชายเฉิน นี่ก็คือเรื่องราวในอดีตของจวนหนิงกับตระกูลเหยา อันที่จริงก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ควรค่าแก่การเอามาเล่า แล้ว แท้จริงแล้วคนตระกูลเหยาล้วนเป็นคนมีคุณธรรม ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางอบรมสั่งสอนสตรีที่มหัศจรรย์อย่างฮูหยินออกมาได้”
เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจเงียบๆ
หญิงชรากล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ปีนั้นพอมีคุณหนู นายท่านก็เกือบจะตั้งชื่อให้คุณหนูว่าเหยาหนิง บอกว่าฟังแล้วน่าชื่นชอบมากกว่า ความหมายก็ดียิ่งกว่า แต่ฮูหยินไม่ตกลง คนสองคนที่ไม่เคยทะเลาะกันกลับต้องมามึนตึงกันเพราะเรื่องนี้ ภายหลังคุณหนูต้องจับของเสี่ยงทาย นายท่านจึงคิดหาวิธีด้วยกันนำของมาสองอย่าง อย่างแรกเป็นมีดทับกระโปรงที่งดงามมากเล่มหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเป็นแท่นสังหารมังกรก้อนเล็ก ชิ้นแรกเป็นหนึ่งในสินเจ้าสาวของฮูหยิน นายท่านบอกว่าหากบุตรสาวเลือกจับมีดเล่มนั้น นางก็ต้องแซ่เหยา ผลกลับกลายเป็นว่าคุณหนูมองซ้ายมองขวา ของชิ้นแรกที่จับกลับเป็นแท่นสังหารมังกรที่หนักมากก้อนนั้น ซึ่งก็คือก้อนที่ภายหลังมอบให้คุณชายเฉิน ตอนนั้นฮูหยินหัวเราะอย่างอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ”
หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจเล็กน้อย “ฮูหยินไม่ชอบยิ้มมาตั้งแต่เด็ก ทั้งชีวิตก็ยิ้มและหัวเราะไม่มาก มุมปากตวัดขึ้นเล็กน้อยหรือแยกเขี้ยวก็คงจะถือว่าเป็นรอยยิ้มได้แล้ว กลับกลายเป็นนายท่านที่ฐานะทางครอบครัวสู้ตระกูลเหยาไม่ได้จึงรู้ความมาตั้งแต่ยังเล็ก ประคับประคองจวนเหยาที่ตกอับมาเพียงลำพัง แล้วยังพิทักษ์หน้าผาสังหารมังกรไว้อย่างสุดชีวิต กิจการครอบครัวไม่เล็ก แต่ตบะในปีนั้นกลับตามไม่ทัน ตอนที่นายท่านยังหนุ่มต้องเจอกับความยากลำบากมาไม่น้อย กลับกลายเป็นว่าไม่ว่าเห็นใครก็จะมีรอยยิ้มอบอุ่น ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างมีมารยาทเสมอ เพราะฉะนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าคุณหนูเหมือนทั้งนายท่าน แล้วก็เหมือนทั้งนายหญิง เหมือนพวกเขาทั้งคู่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “คราวก่อนข้าเคยพบกับผู้อาวุโสหนิงและเหยาฮูหยินครั้งหนึ่งที่ภูเขาห้อยหัว”
หญิงชรายิ้มกล่าว “แค่ครั้งเดียวหรือ?”
เฉินผิงอันมึนงงไม่เข้าใจ
แต่หญิงชรากลับไม่ได้เปิดเผยความลับ นางเปลี่ยนหัวข้อพูดว่า “ฟังหญิงแก่อย่างข้าพร่ำพูดเรื่องในอดีตมานาน เกือบลืมเรื่องที่คุณชายเฉินจะถามไปแล้ว คุณชายเฉินเชิญท่านพูดต่อได้เลย”
เฉินผิงอันจึงเอ่ยเนิบช้าว่า “แม่นางหนิงสามารถดูแลตัวเองได้ ยามอยู่บ้านเกิดของตัวเองเป็นเช่นนี้ ปีนั้นตอนที่เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้าไพศาลก็เป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นข้าจึงกังวลว่าข้ามาที่นี่จะไม่เพียงแต่ช่วยเหลืออะไรนางไม่ได้ กลับกลายเป็นว่ายังทำให้แม่นางหนิงเสียสมาธิ แล้วจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันตามมา ดังนั้นจึงได้แต่รบกวนป๋ายหมัวมัวและท่านปู่น่าหลันให้ช่วยระมัดระวังเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนกุมหมัดแสดงการขอบคุณ พูดอย่างจริงใจว่า “หากมีนักฆ่าที่อาจจะทำร้ายป๋ายหมัวมัวปรากฏตัวอีก ข้าเฉินผิงอันไม่กลัวตาย เพียงแต่กลัวว่าตายไปแล้วก็ยังปกป้องหนิงเหยาไม่ได้”
ดูเหมือนหญิงชราจะประหลาดใจเล็กน้อย นางอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วจึงยิ้มเอ่ยว่า “พูดจาตรงไปตรงมา ดีมาก นี่ต่างหากจึงจะสมกับคำกล่าวที่ว่าคนบ้านเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน ตัวเองขายหน้าได้ แต่ก็ต้องคิดเผื่อคุณหนูให้มาก นี่ต่างหากจึงจะเป็นความใจกว้างที่ว่าที่ท่านเขยสมควรมี ข้อนี้เหมือนนายท่านของพวกเรา เหมือนมากจริงๆ”
หญิงชราที่ผมขาวเต็มศีรษะก้มหน้าลงซับหัวตาเบาๆ
เฉินผิงอันกำสองมือเป็นหมัดวางแนบติดกับหัวเข่า พูดเสียงสั่นว่า “ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว นอกจากได้แต่คิดนู่นคิดนี่ไปวันๆ ข้าได้ทำอะไรที่แท้จริงเพื่อหนิงเหยาบ้าง?”
แล้วจู่ๆ ด้านนอกศาลาก็มีเสียงแหบพร่าของผู้เฒ่าดังขึ้นมา “พูดจาเหลวไหล!”
ก็คือผู้ดูแลเฒ่าที่เฝ้าประตูใหญ่ของจวนหนิงมาตลอดชีวิตผู้นั้น
เฉินผิงอันเงยหน้ามองผู้เฒ่าที่เดินขึ้นบันไดมาโดยไม่เอ่ยคำใด
ผู้เฒ่านั่งลงในศาลา “สัญญาสิบปี ได้รักษาสัญญาหรือไม่? หลังจากนี้ร้อยปีพันปี ขอแค่มีชีวิตอยู่หนึ่งวัน ยามที่เจอเรื่องไม่เป็นธรรมจะยินดีมีหมัดออกหมัด มีกระบี่ออกกระบี่เพื่อคุณหนูของข้าหรือไม่?! หากถามใจตัวเองแล้วเจ้าเฉินผิงอันกล้าพูดว่ายินดี ถ้าอย่างนั้นยังต้องละอายใจอะไรอีก? หรือวันๆ แค่คลอเคลียแนบชิดกันก็ถือเป็นความชอบที่แท้จริงแล้ว? ปีนั้นข้าก็บอกกับนายท่านแล้วว่าควรจะรั้งเจ้าให้อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ฝึกปรือฝีมือไปช้าๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรต้องขัดเกลาให้เกิดกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตขึ้นมาก่อนถึงจะได้ ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แล้วจะเป็นเซียนกระบี่ได้อย่างไร…”
ไม่รอให้ผู้เฒ่าพูดจบ หญิงชราก็ต่อยลงบนไหล่ของผู้เฒ่า นางกดเสียงต่ำ ทว่าน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความเดือดดาล “เสียงดังโวยวายทำไมกัน ต้องให้คุณหนูได้ยินเจ้าถึงจะพอใจอย่างนั้นหรือ? ทำไม อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรา ใครเสียงดังสุด คำพูดของคนนั้นก็ได้ผลสุดงั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่วิ่งไปแหกปากอยู่บนหัวกำแพงเลยเล่า? หา? ตอนที่เจ้าอายุยี่สิบกว่าๆ มีความสามารถแค่ไหน ในใจตัวเองยังไม่รู้อีกหรือ เมื่อครู่นี้ข้าแค่ปล่อยหมัดเบาๆ ทีเดียว เจ้าก็เกือบจะปลิวไปไกลเจ็ดแปดจั้งลงไปกลิ้งชักดิ้นชักงออยู่กับพื้นแล้ว เจ้าตะพาบเฒ่า รีบหุบปากแล้วไสหัวไปไกลๆ เลย…”
พลังอำนาจความดุดันของผู้เฒ่าพลันหายวับไปอย่างสิ้นเชิง กลับกลายมาเป็นผู้เฒ่าแก่หง่อมที่ดวงตาพร่ามัว เดินโขยกเขยกอีกครั้ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นนวดไหล่ตัวเองเงียบๆ
ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองไร้เหตุผล แต่เป็นเพราะรู้ดีว่าใช้เหตุผลกับสตรีที่กำลังโมโหก็คือการรนหาเรื่องถูกด่าดีๆ นี่เอง ต่อให้เซียนกระบี่มีกระบี่แห่งชะตาชีวิตร้อยเล่มก็ยังช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วยิ้มกล่าวว่า “ป๋ายหมัวมัว มีคำถามอีกหนึ่งข้อที่อยากถาม”
หญิงชรารีบหยุดเสียงก่นด่า กลับคืนมามีสีหน้าเมตตาในเสี้ยววินาที เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายเฉินถามมาได้เลย คนแก่ๆ อย่างพวกเรา สิ่งที่ไม่มีค่ามากที่สุดก็คือเวลา โดยเฉพาะผู้ฝึกกระบี่ที่ไร้ค่าอย่างน่าหลันสิงเย่ผู้นี้ ใครพูดเรื่องการฝึกตนกับเขา เขาก็โมโหคนนั้น”
เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าเคยชินกับคำพูดเหน็บแนมเสียดสีของป๋ายเลี่ยนซวงแล้ว คำพูดทิ่มแทงใจคนถึงขนาดนี้ เขากลับเห็นเป็นเรื่องปกติ ไม่ขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อย แม้แต่จะแสร้งทำท่าโกรธเคืองยังคร้านจะทำด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าหาก ผู้น้อยแค่พูดถึงสมมติฐานที่ไม่ดีที่สุดนั้น หากไม่อาจรักษากำแพงเมืองปราณกระบี่ไว้ได้ จวนหนิงจะทำอย่างไร?”
หญิงชราหันมาสบตากับชายชรา
“เรื่องนี้ เป็นเพียงแค่หมื่นหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้เท่านั้น”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “เพราะฉะนั้นผู้น้อยจึงจะมาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนหนิงเหยาก่อน ครั้งถัดไปที่เผ่าปีศาจโจมตีเมือง ข้าจะลงจากเมืองไปเข่นฆ่าพวกมัน จะไปสัมผัสกับฝีมือของเผ่าปีศาจด้วยตัวเอง ป๋ายหมัวมัว ท่านปู่น่าหลัน พวกท่านโปรดวางใจ บางทีผู้น้อยอาจจะมีฝีมือสังหารศัตรูที่ธรรมดา แต่ความสามารถในการดูแลตัวเองนั้นกลับยังพอมีอยู่บ้าง จะไม่ทำเรื่องที่เป็นการวาดงูเติมขาเด็ดขาด ข้าจะอยู่ข้างกายหนิงเหยา ถือเสียว่าให้นางมีคนดูแลเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน”
หญิงชรากล่าวอย่างเป็นกังวล “ไม่ใช่ว่าดูถูกคุณชายเฉิน แต่เป็นเพราะบนสนามรบทางใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเรื่องไม่คาดฝันมากเกินไปจริงๆ แตกต่างจากการเข่นฆ่าในใต้หล้าไพศาลอย่างสิ้นเชิง พูดถึงแค่เรื่องเดียว นอกจากการต่อยตีต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ ในยุทธภพและในสนามรบแล้ว คุณชายเฉินเคยตกอยู่ในสภาพที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง สี่ทิศล้วนมีแต่ศัตรูหรือไม่? ที่บ้านเกิดของพวกเรานี้ ขอแค่ออกจากหัวเมืองไปยังทิศใต้ หากไม่ระวังแม้เพียงนิด ก็ต้องมีจุดจบที่เจอกับศัตรูนับร้อยนับพันกรูกันเข้ามาหา”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ป๋ายหมัวมัวออมมือมากเกินไป เกรงใจกันเกินไป ไม่สู้ใช้ขอบเขตสูงสุดของเดินทางไกลมาชี้แนะวิชาหมัดให้ผู้น้อยตั้งแต่ต้นจนจบ”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ช่างเป็นคำว่า ‘เกรงใจกันเกินไป’ ที่ดีนัก”
หญิงชราไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง หมัดหนึ่งถูกปล่อยออกมา ผู้เฒ่าเอียงศีรษะหลบหมัดนั้นได้พอดี
หญิงชราลุกขึ้นยืน “คุณชายเฉิน ถ้าอย่างนั้นหญิงแก่อย่างข้าก็คงต้องล่วงเกินแล้ว ต่อให้หลังจบเรื่องคุณหนูจะตำหนิ ก็ต้องเอาเรี่ยวแรงออกมารับรองแขกให้มากขึ้นอีกหน่อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เรือนกายเอนไปด้านหลังเล็กน้อย ชุดเขียวพลิ้วไหวไปอยู่นอกศาลา ตอนที่พลิ้วกายลงบนพื้น มือทั้งสองข้างก็ม้วนชายแขนเสื้อขึ้นเรียบร้อยพร้อมตั้งท่าหมัดเตรียมรอ “ป๋ายหมัวมัว ครั้งนี้ผู้น้อยก็จะออกแรงเต็มที่แล้วเหมือนกัน”
ถึงอย่างไรหญิงชราก็เป็นปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ พลังอำนาจทั่วร่างของนางพลันแปรเปลี่ยน นางไม่ได้รีบร้อนออกมาจากศาลา ปลายเท้าเสียดสีกับพื้นเบาๆ ตามจิตใต้สำนึก พูดกลั้วยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูว่าคุณชายเฉินมีโอกาสออกหมัดหรือไม่”
ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน มองคนหนุ่มที่อยู่บนลานประลองยุทธเบื้องล่างแล้วแอบพยักหน้ากับตัวเองเงียบๆ ผู้ฝึกยุทธที่เกิดและเติบโตมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ ถือเป็นบุคคลที่ค่อนข้างหาได้ยาก
เจ้าเด็กนี่แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ได้มีดีแต่ท่า นี่คือจุดที่หาได้ยากอย่างยิ่ง คนหนุ่มในใต้หล้านี้ที่มีคุณสมบัติดี ขอแค่โชคไม่แย่เกินไปนัก หากพูดถึงแค่ขอบเขต มีขอบเขตเท่านี้ก็ถือว่าน่าตกใจมากแล้ว
ประเด็นสำคัญก็คือต้องดูว่าขอบเขตนี้แน่นหนาพอหรือไม่ ในประวัติศาสตร์ผู้ฝึกกระบี่มีพรสวรรค์ที่มาอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วตกอับก็มีมากมายนับไม่ถ้วน เกินครึ่งยังเป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดตามคำกล่าวของอุตรกุรุทวีปด้วยซ้ำ แต่ละคนมีปณิธานสูงส่งยาวไกล สายตามองสูงไม่เห็นหัวใคร รอจนกระทั่งมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังไม่ทันขึ้นไปบนหัวกำแพงก็ถูกซ้อมอยู่ในนครจนไม่เหลือนิสัยร้ายๆ เจ้าอารมณ์อยู่อีกแล้ว กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้จงใจรังแกคนต่างถิ่น เพราะมีกฎข้อหนึ่งที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรบอกไว้ว่า ได้แต่ให้ขอบเขตเท่ากันต่อสู้กันเท่านั้น คนหนุ่มต่างถิ่นที่เอาชนะคนคนหนึ่งได้ บางทีอาจมีส่วนของความบังเอิญและความโชคดี อันที่จริงนี่ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่หากเอาชนะได้สองคน แน่นอนว่าถือว่าพอจะมีความสามารถที่แท้จริงอยู่บ้าง แต่หากสามารถเอาชนะคนที่สามได้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงจะยอมรับว่าเจ้าก็คือผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริง
ในอดีตเฉาสือผู้ฝึกยุทธหนุ่มคนนั้นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเหมือนกัน ผลกลับกลายเป็นว่าคนหนุ่มชุดขาวใช้แค่มือเดียวก็สามารถผ่านด่านติดกันได้ถึงสามด่าน
แต่นี่ก็มีส่วนที่ว่าผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มพวกนั้นไม่ใช่ฝ่ายได้เปรียบเป็นสาเหตุด้วย เพราะอย่างมากสุดก็จะเลือกแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิตให้มาออกรบ อีกอย่างเจ้าเด็กบื้อพวกนั้นก็มักจะเป็นพวกที่ยังไม่เคยไปเยือนสนามรบนอกกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน ได้แต่อาศัยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งพุ่งเข้าชนปะทะไปมั่วซั่ว ตอนนั้นมีเพียงคนที่สามที่ประมือกับเฉาสือเท่านั้นที่ถึงจะเป็นผู้มีพรสวรรค์วิถีกระบี่ที่แท้จริง อีกทั้งยังเคยเข้าร่วมสงครามอันโหดร้ายทางทิศใต้ของหัวกำแพงเมืองมานานแล้ว เพียงแต่ว่าก็ยังคงพ่ายแพ้ให้แก่เฉาสือที่ใช้มือเดียวรับมือกับคู่ต่อสู้อยู่ดี