กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 575.2 ออกจากบ้านก็ต้องต่อยตีสักรอบสองรอบ
แต่การทะเลาะต่อยตีกันของเด็กรุ่นหลังครั้งนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดริ้วคลื่นอะไรมากมายในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพราะถึงอย่างไรตอนนั้นขอบเขตวิถีวรยุทธของเฉาสือก็ยังต่ำ
เรื่องที่ทำให้เหล่าเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ตกตะลึงได้อย่างแท้จริงก็คือการไหลเวียนของปณิธานหมัดที่ทอดยาวเป็นสายของเฉาสือขณะที่เขาเดินปล่อยหมัดกลับไปกลับมาบนหัวกำแพงทุกวันหลังจากที่มาสร้างกระท่อมพักอยู่บนนั้น
ทว่าตอนนี้เฉินผิงอันกลับมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง จากนั้นก็เดินเข้ามาในจวนหนิงภายใต้สายตาจับจ้องของคนมากมาย แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้า แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเรื่องยุ่งยากที่ไม่เล็กไม่ใหญ่เรื่องหนึ่ง
อีกทั้งเฉินผิงอันยังมาพักอยู่ในจวนหนิง แล้วความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณหนูของตนก็แทบจะชัดเจนมากพออยู่แล้ว น่าหลันเย่สิงจึงยากที่จะวางใจได้อย่างแท้จริง
หากออกจากบ้านไป ด้วยนิสัยของเจ้าพวกบื้อที่คอยจับจ้องอยู่ด้านนอกนั้น ทั้งสองฝ่ายต้องเกิดความขัดแย้งกันอย่างแน่นอน เฉินผิงอันเลือกจะยอมให้ ก็ได้เหมือนกัน แต่นั่นก็ต้องถูกคนนอกดูแคลน กลายเป็นตัวตลกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากเลือกตาต่อตาฟันต่อฟัน ต่อให้จะผ่านสองด่านแรกมาได้ คนที่ออกกระบี่ในด่านที่สามย่อมไม่ง่ายดายแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีมาตรฐานเท่าเทียมกับพวกเยี่ยนจั๋ว เฉินซานชิว หรืออาจจะเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองอายุน้อยที่เก่งกาจกว่าด้วยซ้ำ อีกทั้งอายุจะยังต่ำกว่าสามสิบปีด้วย อย่างมากที่สุดก็ไม่มีทางเกินสามสิบปีห้า คนผู้นั้นถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่มีประสบการณ์การเข่นฆ่าสูงอย่างถึงที่สุด ยกตัวอย่างเช่นเจ้าลูกกระต่ายตระกูลฉีที่ยโสโอหัง นับตั้งแต่เด็กก็ไม่เคยเห็นหัวใครผู้นั้น
น่าหลันเย่สิงชำเลืองตามองหญิงชราที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง
ป๋ายเลี่ยนซวงคือคนที่ได้ครอบครองโชคชะตาบู๊ยิ่งใหญ่ เพียงแต่ว่ามีนิสัยดื้อดึงดัน จงรักภักดีกับฮูหยินและตระกูลเหยามาตลอดชีวิต ไม่อย่างนั้นด้วยตบะวิถีวรยุทธของนาง หากรีบเปลี่ยนตระกูลตั้งแต่เนิ่นๆ ก็คงได้กลายเป็น ‘ป๋ายฮูหยิน’ ของตระกูลชั้นสูงไปแล้ว แต่นี่กลับกลายเป็นว่าค่อยๆ เปลี่ยนจากแม่นางน้อยที่หน้าตางดงาม เดินทีละก้าวจนกลายมาเป็นสาวเทื้อที่ชอบทำหน้าบูดบึ้งทั้งวัน แล้วก็ค่อยกลายมาเป็นหญิงชราที่เส้นผมขาวโพลน
อันที่จริงน่าหลันเย่สิงที่อายุมากกว่าและมีความอาวุโสมากกว่าล้วนเห็นอยู่ในสายตามาโดยตลอด
ความรู้สึกที่มากกว่านั้นก็คือเสียดายแทนนาง
เพราะฉะนั้นการถกเถียงกันเล็กๆ น้อยๆ ในหลายๆ ครั้ง เขาจึงยอมให้นางอยู่เสมอ
ไม่อย่างนั้นแท่นสังหารมังกรของจวนหนิงใต้ฝ่าเท้านี้ ก่อนหน้าที่นายท่านจะเติบโต ไม่ว่าทำอย่างไรก็คงรักษาไว้ไม่อยู่
หญิงชราดีดปลายเท้าพลิ้วกายออกไปนอกศาลาบนยอดเขาลูกเล็ก แล้วค่อยๆ ชะลอความเร็วลง แต่ทันใดนั้นนางก็พลันร่วงลงพื้นอย่างรวดเร็ว พื้นดินสั่นสะเทือน แล้วร่างของหญิงชราก็กลายเป็นควันเขียวกลุ่มหนึ่ง
ผู้เฒ่าหรี่ตาลง มองประเมินสถานการณ์การต่อสู้อย่างตั้งใจ
เห็นการประมือกันระหว่างผู้ฝึกกระบี่มาจนชินแล้ว การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งป๋ายเลี่ยงซวงเป็นคนออกหมัด โอกาสแบบนี้มีไม่บ่อยจริงๆ
ต่างฝ่ายต่างแลกหนึ่งหมัดหนึ่งเท้าใส่กัน
ชุดเขียวไถลถอยกรูดออกไป ข้อศอกแตะกับกำแพงด้านหลังเบาๆ จากนั้นก็เดินหน้ามาช้าๆ
ยายแก่ป๋ายก็โดนเจ้าเด็กนั่นเตะเหมือนกันหรือ? แม้ว่าจะไม่หนักมาก แล้วก็ถูกป๋ายเลี่ยนซวงใช้พายุลมกรดที่เปี่ยมล้นกระเทือนพละกำลังที่เหลืออยู่ให้สลายไปอย่างง่ายดาย ทว่าหนึ่งเท้าเตะโดนหรือไม่โดน นั่นก็คือความต่างราวฟ้ากับเหว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดที่มีความหมายชวนให้ขบคิดนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าเฉินผิงอันออกหมัดโดยมีความเร็วเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลขั้นสูงสุด แต่เป็นเพราะเขาสามารถเดาจุดที่เท้าของป๋ายเลี่ยนซวงจะร่วงลงและเส้นทางการออกหมัดของนางได้อย่างแม่นยำ
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เจ้าตัวดี ไม่เกรงใจป๋ายหมัวมัวของเจ้าเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันชะลอฝีเท้า แต่กลับไม่ได้เดินตรงไปข้างหน้า เขาขยับเบี่ยงไปด้านข้างเล็กน้อย ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ก็แค่ป๋ายหมัวมัวประมาทเท่านั้น”
ป๋ายเลี่ยนซวงเกิดปณิธานในการต่อสู้อย่างที่หาได้ยาก ก่อนหน้านี้ตอนที่หยั่งเชิงอยู่ในระเบียง บวกกับหมัดเมื่อครู่นี้ ถึงอย่างไรนางก็ยังมองเฉินผิงอันเป็นว่าที่ท่านเขยอย่างเรียบง่ายเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าตั้งใจออกหมัดอย่างจริงจัง
ไม่เสียแรงที่เป็นเด็กรุ่นหลังบนเส้นทางการเรียนวรยุทธที่เคยกินหมัดสามหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบมาก่อน
หญิงชราเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก้าวย่างนั้นเล็กแคบอย่างถึงที่สุด มือทั้งสองตั้งท่าหมัด แม้จะเป็นกระบวนท่าเล็กๆ แต่กลับมีภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่ มีปณิธานหมัดยิ่งใหญ่ นางยิ้มถามว่า “เฉินผิงอัน กล้าเป็นฝ่ายขยับเข้ามาต่อสู้ประชิดตัวเพื่อออกหมัดหรือไม่?”
เฉินผิงอันก้าวหกก้าวตามท่าเดินนิ่ง ก้าวสุดท้ายที่กระทืบลงพื้น ปณิธานหมัดของทั้งร่างก็ไหลทะลักราวกับน้ำตก
หญิงชราบิดตัว ฝ่ามือข้างหนึ่งปัดหมัดของเฉินผิงอันทิ้ง ฝ่ามืออีกข้างผลักหน้าผากของเฉินผิงอัน มองดูเหมือนเป็นท่าทางที่เรียบง่ายสบายๆ แต่แท้จริงแล้วพละกำลังกลับหนักอึ้งเหมือนค้อนใหญ่ที่ถูกห่อด้วยผ้าฝ้ายเหวี่ยงตีลงบนระฆังอย่างแรง
ต่อให้เป็นน่าหลันเย่สิงก็ยังรู้สึกว่าหมัดนี้ไม่ถือว่าออมมือเลยจริงๆ
เฉินผิงอันถูกฝ่ามือนั้นตบให้ปลิวกระเด็นไป เพียงแต่ว่าปณิธานหมัดของเขาไม่เพียงแต่ไม่ขาดสะบั้นเพราะเหตุนี้ กลับกันยังยิ่งถูกหล่อหลอมได้อย่างหนาข้น ประหนึ่งน้ำลึกไร้เสียงที่ไหลเวียนวนไปทั่วร่างกาย
เขาพลิกตัวกลับกลางอากาศ เท้าข้างหนึ่งที่สัมผัสลงพื้นก่อนไถลออกไปเบาๆ หลายจั้ง อีกทั้งยังไม่ติดขัดใดๆ ขณะที่เท้าทั้งสองกำลังจะสัมผัสพื้น เขาก็ขยับเท้าในองศาเล็กๆ อยู่หลายครั้ง ไหล่จึงขยับเบาๆ ตามไปด้วย ชุดสีเขียวเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อม ช่วยตัดทอนพายุหมัดที่เหลืออยู่ในหมัดนั้นของหญิงชราไปอย่างที่มองไม่เห็น ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็ใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าในมือของตัวเองมาเลียนแบบปณิธานหมัดของป๋ายหมัวมัว ด้วยการขยับมือทั้งสองเข้ามาใกล้กันอีกเล็กน้อย พยายามที่จะทดลองทำให้ถึงขอบเขตที่เก็บปณิธานหมัดได้มากก็ปล่อยออกไปได้มาก
หญิงชราอดไม่ไหวยิ้มกล่าวว่า “คุณชายเฉิน เวลาอย่างนี้ยังจะขโมยเรียนท่าหมัด ไม่เห็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าที่ขอบเขตถดถอยอย่างข้าอยู่ในสายตาเลยสินะ?”
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อน “เป็นความเคยชินไปเสียแล้ว”
เฉินผิงอันเตรียมจะขยายโครงท่าหมัดฟื้นคืนท่ากระบวนเทพตีกลองสายฟ้ากลับมาอีกครั้ง
หญิงชรากลับอาศัยช่องว่างนี้พุ่งมาถึงอย่างว่องไว หมัดหนึ่งแนบติดหน้าท้อง อีกหมัดหนึ่งพุ่งออกไปเป็นเส้นตรง พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามอย่างยิ่ง
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันที่เดิมทีก็เฝ้าตอรอกระต่ายอยู่แล้วจะใช้หมัดแลกหมัด ใบหน้าของเขารับหมัดหนึ่งที่ทุบเข้ามาจังๆ แต่หมัดหนึ่งของเขาก็ต่อยเข้าที่หน้าผากของหญิงชราเต็มแรงเช่นกัน
เท้าทั้งคู่ของหญิงชราพลันหนักอึ้ง เรือนกายหยุดนิ่งไม่ขยับ เพียงแต่ว่าตรงหน้าผากกลับเริ่มเขียวและปูดนูนน้อยๆ
เฉินผิงอันยังคงเอาหลังพิงกำแพง เข่าสองข้างงอเล็กน้อย ท่าหมัดหนึ่งเปิดหนึ่งปิด ประหนึ่งเจียวหลงที่ขยับกระดูกสันหลัง สลายพายุหมัดของหญิงชราออกอีกครั้ง
ส่วนเลือดสดที่ไหลเป็นทางลงมาจากบนใบหน้า
ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่เขาไม่สนใจเลยจริงๆ เพราะมันกลับกลายเป็นว่าทำให้เขารู้สึกสงบสบายใจมากขึ้น
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “ป๋ายหมัวมัวใช้เรือนกายของขอบเขตเก้าปล่อยหมัดของขอบเขตเดินทางไกลขั้นสูงสุดกระมัง?”
น่าหลันเย่สิงที่อยู่ในศาลากลั้นยิ้ม
หญิงชราเองก็หัวเราะเหมือนกัน ไม่ได้รู้สึกอับอายจนพานเป็นความโกรธ เพียงถามอย่างใคร่รู้ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าบอกข้ามาตามตรง นอกจากสามหมัดขอบเขตเก้าของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแล้ว เจ้ายังโดนปรมาจารย์ซ้อมมาอีกกี่มากน้อย?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เคยถูกผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบสองท่านป้อนหมัดมาก่อน ครั้งที่ใช้เวลาน้อยที่สุดก็คือประมาณหนึ่งเดือน ระหว่างนี้อีกฝ่ายป้อนหมัด ข้ากินหมัด ไม่เคยหยุดเลยสักครั้ง แล้วก็มีจุดจบที่ต้องนอนหายใจรวยริน ถูกคนลากไปแช่ในถังยาแทบทุกครั้ง”
น่าหลันเย่สิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
หญิงชราส่ายหน้า เก็บท่าหมัด “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องออกหมัดแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นที่ขบขันของทุกคน ดึกดื่นค่ำมืดขนาดนี้จะให้ไปเตรียมถังยามาไว้เพราะการประลองฝีมือกันก็คงไม่ใช่เรื่อง”
แม้ว่านางจะเคยเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ แต่กลับหยุดอยู่ที่ปราณโชติช่วง นี่ไม่เกี่ยวข้องกับว่าคุณสมบัติของนางดีเลว หรือผ่านการขัดเกลาประสบการณ์มากี่มากน้อย แต่เป็นเพราะผิดที่เกิดมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ จึงถูกสยบกำราบมาแต่กำเนิด โชคดีได้ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบก็ถือว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝันที่ใหญ่อย่างถึงที่สุดแล้ว หากจะบอกว่าผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าไพศาลล้วนไม่มีค่าในสายตาของคนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ถ้าอย่างนั้นนางก็เคยได้ยินอริยะท่านหนึ่งยิ้มกล่าวว่า ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวของใต้หล้าไพศาล เรียกได้ว่ามีเท้าเงินเท้าทอง เพราะผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบขั้นสูงสุดทุกคนล้วนมีรากฐานที่แข็งแกร่งราวขุนเขา
เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ป๋ายเลี่ยนซวงจึงไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรมากนัก ความไม่เพียงพอเพียงอย่างเดียวก็คือไม่เคยประมือกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบมาก่อน
อันที่จริงหลังจากเฉินผิงอันพูดประโยคนั้นออกมา เขาก็รู้สึกเสียใจภายหลังอยู่มาก จึงรีบพยักหน้าเอ่ยว่า “เพียงพอแล้ว ปณิธานหมัดและกระบวนท่าหมัดของป๋ายหมัวมัวมากพอจะทำให้ผู้น้อยได้รับผลประโยชน์มหาศาลแล้ว เป็นดั่งม้วนภาพวิถีวรยุทธใหม่เอี่ยมที่ผู้น้อยไม่เคยเล่าเรียนจากที่ไหนมาก่อน”
น่าหลันเย่สิงพยักหน้าเบาๆ
เป็นคนคนหนึ่งที่ตามีแวว แล้วก็เป็นคนที่รู้จักพูด
รอยยิ้มของหญิงชราค่อยๆ ผลิบาน
ทันใดนั้นเฉินผิงอันก็เบี่ยงตัวหลบ
หญิงชราหันหน้ามาคำรามอย่างเดือดดาล “เจ้าแก่หนังเหนียว มีใครเขาลอบโจมตีผู้อื่นอย่างเจ้าบ้าง?”
น่าหลันเย่สิงเพียงแค่มองเฉินผิงอัน ยิ้มกล่าวว่า “นี่ก็คือความเร็วของกระบี่บินที่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบของพวกเรามี หลบไม่พ้นก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าขอแค่มีความคิดที่จะเบี่ยงหลบก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ
ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอันไม่เคยมองเห็นกระบี่บินเล่มนั้นเลย
ผู้เฒ่าโบกมือ “คุณชายเฉินรีบพักผ่อนเถอะ”
แล้วร่างของผู้เฒ่าก็หายวับไปจากในศาลา
หญิงชราก็ขอตัวลาไปด้วย
แต่เฉินผิงอันกลับเอ่ยรั้งไว้ด้วยรอยยิ้ม “ขอคุยกับป๋ายหมัวหมัวอีกหน่อยได้หรือไม่”
หญิงชราคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า เดินเข้าไปในศาลาพร้อมกับเฉินผิงอัน เฉินผิงอันใช้หลังมือเช็ดคราบเลือดทิ้งนานแล้ว เขาถามเสียงเบาว่า “ป๋ายหมัวมัว ข้าขอดื่มเหล้าหน่อยได้ไหม?”
หญิงชรายิ้มกล่าว “มีอะไรไม่ได้กัน ดื่มได้ตามสบาย หากคุณหนูบ่น ข้าจะช่วยพูดให้เอง”
เฉินผิงอันจึงหยิบเหล้าหมักข้าวเหนียวออกมาหนึ่งกา หลังจากดื่มไปสองสามอึกแล้วก็วางกาเหล้าลง เล่าถึงเรื่องของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวในใต้หล้าไพศาล แน่นอนว่ายังพูดถึงประสบการณ์ในยุทธภพที่พื้นที่มงคลดอกบัวด้วย
บางครั้งก็ลุกขึ้นยืน วางเกาเหล้าลง ตั้งท่าหมัดกระบวนท่าหมัดที่แอบเรียนมาให้หญิงชราดูประกอบไปด้วย
ส่วนใหญ่หญิงชราจะแค่รับฟังคนหนุ่มที่มีชีวิตชีว่าผู้นี้พูดคุย นางมีรอยยิ้มบางๆ ประดับใบหน้าตลอดเวลา คอยพยักหน้ารับเบาๆ เป็นระยะ ไม่ได้พูดอะไรมาก
นิสัยของคนหนุ่มหนักแน่นสุขุม แต่ก็สดใสมีชีวิตชีวา
น่าหลันเย่สิงที่ยืนอยู่ท่ามกลางม่านราตรีห่างไปไกลมองภาพในศาลาแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สายตาของคุณหนูดีเหมือนฮูหยินในตอนนั้นเลย”
หนิงเหยาที่ยืนอยู่ด้านข้างตีหน้าเคร่ง แต่กลับปกปิดความชื่นมื่นเอาไว้ไม่อยู่ นางเอ่ยว่า “ไม่แน่ว่าอาจจะดีกว่าด้วย!”
……
การจากลาของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็หนีไม่พ้นความเป็นความตาย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่จากลากันไปไกลมากนัก
เมื่อวานตอนกลางวัน เจ้าของศีรษะทั้งหลายที่เรียงกันอยู่บนหัวกำแพงเหล่านั้น หลังออกมาจากจวนหนิงก็ต่างคนต่างกลับบ้านของตัวเองไป
เยี่ยนจั๋วเดินอาดๆ กลับมาที่จวนมลังเมลืองของตัวเอง กอดไหล่พูดคุยกับคนเฝ้าประตูอายุมากอยู่พักใหญ่ถึงได้เดินไปที่ห้องลับแห่งหนึ่งที่มีกลไกซับซ้อนของสำนักโม่ ทิ้งกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเอาไว้ ไปต่อสู้กับหุ่นเชิดสามตัวที่พลังการต่อสู้เทียบเท่าได้กับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองอยู่พักใหญ่ หรือความจริงควรจะพูดให้ถูกว่าถูกซ้อมอย่างอำมหิตอยู่พักใหญ่ แล้วถึงได้ไปสวาปามอาหาร ล้วนเป็นอาหารที่เป็นยาหายากซึ่งสำนักกสิกรรมและสำนักแพทย์ช่วยปรุงให้อย่างตั้งใจ สิ่งที่กินเข้าไปล้วนเป็นเงินเทพเซียนชามใหญ่ชามแล้วชามเล่า โชคดีที่ตระกูลเยี่ยนไม่เคยขาดแคลนเงินทอง
เยี่ยนจั๋วกินดื่มอิ่มหนำแล้วก็บีบเนื้อใต้คางของตัวเองด้วยความกลัดกลุ้ม อาเหลียงเคยบอกว่าไม่ว่าอะไรตนก็ดีไปหมด อายุน้อยๆ ก็มีเงินมากขนาดนั้น ประเด็นสำคัญคือยังนิสัยดีอีกด้วย หน้าตาก็น่าเอ็นดูชวนให้คนชื่นชอบ เพราะฉะนั้นหากผอมอีกหน่อยก็จะยิ่งหล่อเหลาแล้ว สองคำว่าหล่อเหลานี้เรียกว่าเป็นถ้อยคำที่ถูกสร้างขึ้นมาราวกับวัดเอาจากตัวของเขาเยี่ยนจั๋วชัดๆ ตอนนั้นเยี่ยนจั๋วเกือบจะร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจ รู้สึกว่าใต้หล้านี้ก็มีแค่อาเหลียงเท่านั้นที่ใจดีที่สุด มองของมองคนได้เก่งที่สุด ส่วนอาเหลียงตอนนั้นก็มองประเมินถุงเงินหนาหนักที่เพิ่งจะได้มาอยู่ในมือด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า
ครั้งแรกที่เยี่ยนจั๋วออกจากหัวกำแพงไปพร้อมกับพวกหนิงเหยา ไปเข่นฆ่าอยู่ท่ามกลางกองกระดูกขาวโพลน เขาค้นพบว่าพวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพวกนั้น ต่อให้ขอบเขตจะสู้หุ่นเชิดกลไกในห้องลับบ้านตัวเองไม่ได้ แต่วิธีการที่ใช้กลับน่าเหลือเชื่อมากยิ่งกว่า ทำให้เขากลัวเข้าไปถึงกระดูกได้มากกว่า ดังนั้นครั้งนั้นอาจารย์กระบี่สองคนที่ทางตระกูลจัดหามาไว้ข้างกายเขาจึงต้องตายเพราะเขา กลับมาถึงบ้านที่อยู่ทางทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ พอเด็กหนุ่มเจ้าอ้วนน้อยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวได้ยินว่าวันหน้าไม่ต้องไปสังหารปีศาจแล้ว แม้แต่ที่หัวกำแพงเมืองก็ไม่ต้องไป ก็ทั้งเสียใจ แล้วก็ทั้งรู้สึกว่าดูเหมือนเป็นแบบนี้ถึงจะดีที่สุด แต่ภายหลังอาเหลียงมาที่บ้าน ไม่รู้ว่าพูดคุยอะไรกับพวกผู้ใหญ่ เขาเยี่ยนจั๋วถึงได้มีโอกาสอีกครั้ง ผลกลับกลายเป็นว่าพอเยี่ยนจั๋วขึ้นไปบนหัวกำแพงเมืองก็เริ่มขาอ่อนอีกครั้ง จิตแห่งกระบี่สั่นไหว กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอย่าว่าแต่จะพุ่งเข้าสังหารศัตรูอย่างเฉียบคมอะไรเลย แม้แต่จะควบคุมมันให้มั่นคงเขาก็ยังทำไม่ได้ ทว่าก่อนที่จะออกไปจากหัวกำแพง อาเหลียงได้มาหยุดอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มตัวอ้วนโดยเฉพาะ พูดกับเขาประโยคหนึ่งว่า ลงจากหัวกำแพงเมือง แค่ก้มหน้าก้มตาเข่นฆ่าไปก็พอ ไม่มีทางตายหรอก ข้าอาเหลียงไม่ช่วยเจ้าสังหารปีศาจ แต่ก็รับรองว่าเจ้าจะไม่มีทางตาย หากขนาดนี้แล้วยังไม่กล้าออกกระบี่สุดกำลัง วันหน้าก็ทำตัวเป็นนายน้อยผู้มีเงินอยู่ในบ้านไปแต่โดยดีเถอะ แต่เขาอาเหลียงจะไม่มีทางไปขอยืมเงินซื้อเหล้าจากเขาอีกแล้ว ยืมเงินจากคนขี้ขลาด ต่อให้เหล้าที่ซื้อมาแพงแค่ไหนก็ไม่มีรสชาติอะไรอยู่ดี