กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 575.4 ออกจากบ้านก็ต้องต่อยตีสักรอบสองรอบ
ดูเหมือนว่าเมื่อมีอาเหลียงอยู่ กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตายก็จะครึกครื้นขึ้นมา
น่าเสียดายที่บุรุษผู้นั้นไม่เพียงแต่ไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังออกไปจากใต้หล้าไพศาลด้วย
ได้ยินมาว่ายังได้แลกหมัดกับเต๋าเหล่าเอ้อร์ของใต้หล้ามืดสลัวคนละหมัด
ส่วนเรื่องที่ว่าบ้านไหนมีสตรีคนใดชื่นชอบอาเหลียงบ้าง อันที่จริงล้วนไม่นับเป็นอะไรได้ เพราะทุกคนมองว่าเป็นเรื่องสนุกสนานเรื่องหนึ่งมากกว่า
แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าใครก็ล้วนเข้าใจดีว่า อาเหลียงไม่มีทางชื่นชอบใคร อีกทั้งอาเหลียงมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แค่ไม่กี่ปี แทบทุกคนก็ล้วนรู้ว่า บุรุษที่ชื่อว่าอาเหลียง บุรุษที่ชอบไปนั่งดื่มเหล้าเพียงลำพังบนหัวกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้น สักวันหนึ่งจะต้องไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เงียบๆ ดังนั้นในเรื่องของการชอบอาเหลียงนี้ จึงเป็นเรื่องสนุกที่แม่นางหลายคนเอามาใช้แก้เบื่อเท่านั้น บางคนที่ใจกล้าหน่อย พอเห็นอาเหลียงนั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างทางยังจงใจหยอกล้อเขา พูดจาด้วยถ้อยคำที่เผ็ดร้อนยิ่งกว่ารสชาติกับแกล้มบนโต๊ะเสียอีก และบุรุษคนนั้นก็จะแสร้งทำท่าเขินอาย แสร้งพูดจาจริงจังบอกว่าข้าอาเหลียงได้รับความรักความเมตตาจากพวกเจ้าแล้วรู้สึกมโนธรรมในใจไม่สงบอย่างไรบ้าง รบกวนวันหน้าแม่นางอย่าเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ใจข้าอาเหลียงไม่สงบอีกเลย
เฉินซานชิวรอจนประตูจวนต่งปิดลงถึงได้เดินจากไปช้าๆ
อันที่จริงแม่นางที่ตัวเองชอบไม่ชอบตัวเอง เฉินซานชิวไม่ได้รู้สึกเสียใจมากนัก
เพราะเฉินซานชิวรู้สึกว่าคำพูดที่อาเหลียงพูดกับตนบนโต๊ะเหล้าในปีนั้นก่อนที่อาเหลียงจะจากไป ถูกต้องอย่างยิ่ง
แม่นางคนหนึ่งไม่ชอบเจ้า นั่นต้องเป็นเพราะว่าเจ้ายังไม่ดีพอ รอจนวันใดที่เจ้ารู้สึกว่าตัวเองดีพอแล้ว บางทีแม่นางคนนั้นอาจจะแต่งงานไปแล้ว แม้แต่ลูกของนางก็อาจจะออกมาดื่มเหล้านอกบ้านแล้ว พอพบเจอเจ้าเฉินซานชิวบนถนนก็เรียกเจ้าคำหนึ่งท่านอาเฉิน ถึงเวลานั้นเจ้าก็ไม่ต้องเสียใจ เป็นบุพเพวาสนาที่ผิด ไม่ใช่ว่าเจ้าชอบคนผิด จำไว้ว่าหลังจากที่แม่นางคนนั้นแต่งงานไปแล้ว ก็อย่าไปตอแยนางอีก เก็บความชื่นชอบนั้นไว้ในใจ ซ่อนมันไว้ในสุรา ทุกครั้งที่ดื่มเหล้า ก็จงหวังให้นางได้มีชีวิตในอนาคตที่ดี อย่าได้เอาแต่คิดว่าเมื่อนางมีชีวิตที่ไม่ดีก็จะเปลี่ยนใจหันมาชอบเจ้า นั่นต่างหากจึงจะเป็นบุรุษคนหนึ่งที่ชื่นชอบแม่นางคนหนึ่งอย่างแท้จริง
และพอเฉินซานชิวนึกถึงคำพูดประโยคนี้อีกครั้ง เขาจึงไม่ได้กลับบ้าน แต่ไปที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ดื่มจนเมามายแล้วก็ด่าอาเหลียงเสียงดังว่า อาเหลียงเจ้าก็พูดง่ายน่ะสิ ข้าผู้อาวุโสยอมที่จะไม่ต้องได้ยินคำพูดผายลมสุนัขพวกนี้เสียดีกว่า ถ้าอย่างนั้นก็จะได้สามารถทำตัวหน้าหนา ไปชอบนางโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใดได้ อาเหลียงเจ้าคืนเงินค่าเหล้ามาให้ข้าแล้วเอาคำพูดพวกนี้กลับคืนไป…
คนของร้านเหล้าเห็นจนชินตาเสียแล้ว นายน้อยตระกูลเฉินเมาคลุ้มคลั่งอีกแล้ว ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรทุกครั้งก็สามารถเดินโซซัดโซเซกลับไปถึงบ้านของตัวเองได้
ระหว่างทางที่กลับไป คุณชายคนหนึ่งคอยเอาหัวกระแทกกำแพงดังปึงๆๆ โหวกเหวกให้เปิดประตูไปตลอดทาง
บนถนนใหญ่ก็ไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจมากนัก
เพราะทุกสามวันห้าวัน นายน้อยใหญ่เฉินจะต้องแสดงฉากนี้สักครั้งหนึ่งอยู่แล้ว
ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นหลังจากที่เพื่อนรักอย่างเสี่ยวชวีชวีตายไป
ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์กระบี่ผู้ติดตามท่านแรกที่ตายไปเพราะเขาเฉินซานชิว
ยกตัวอย่างเช่นภายหลังมีผู้อาวุโสตระกูลเฉินรบตายอยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
หรือยกตัวอย่างเช่นคืนนี้ที่คิดถึงแม่นางตระกูลต่งที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด แต่กลับเหมือนอยู่ห่างไกลไปสุดขอบฟ้ามากๆ
ทุกครั้งที่เฉินซานชิวสร่างเมาจะต้องพูดว่า ตนก็เหมือนกับอาเหลียงที่ก็แค่เกิดมาชอบดื่มเหล้าเท่านั้น
เพราะว่ามีคนบางคน เกิดมาแล้วก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องคบค้าสมาคมกับสุราไปตลอดชีวิต นี่ก็คือบุพเพวาสนา
……
กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไม่มีสงครามให้รบ ขอแค่เป็นคนหนุ่มสาวที่รู้สึกเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำก็มักจะชอบหาเรื่องต่อสู้ต่อยตีกันอยู่เสมอ
เรื่องของการนัดต่อสู้ก็เป็นเรื่องปกติอย่างมาก มีทั้งสู้กันตัวต่อตัว หรือต่อยตีกันเป็นกลุ่มก็มีให้เห็นไม่น้อย แต่ก็มีขีดจำกัดที่ว่าห้ามทำลายรากฐานการฝึกตนของอีกฝ่าย นอกจากนี้แล้ว อาการบาดเจ็บภายนอก เลือดไหลนองอะไรนั่น ต่อให้เป็นสตรีตระกูลต่งที่ขึ้นชื่อว่ารักและหวงแหนบุตรชายเป็นที่สุดเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองก็ยังไม่พูดอะไรมาก อย่างมากนางที่อยู่ในบ้านก็แค่บ่นต่งฮว่าฝูผู้เป็นบุตรชายว่า ข้างนอกไม่มีอะไรน่าสนุก ในบ้านมีเงินมาก ไม่ว่าอะไรก็ซื้อกลับมาบ้านได้ ลูกชายเจ้าเล่นอยู่คนเดียวก็ได้
เช้าตรู่ของวันนี้
พวกเยี่ยนจั๋วพากันมาถึงด้านนอกประตูใหญ่ของจวนหนิงโดยไม่ได้นัดหมาย
ต่งฮว่าฝูที่ดำราวกับถ่านสีหน้าดำทะมึน เพราะบนถนนใหญ่มีคนที่จับกลุ่มกันมากลุ่มละสองสามคนมาร่วมวงดูความครึกครื้น ราวกับว่ารอให้มีคนเดินออกมาจากจวนหนิง
เฉินซานชิวสะบัดหัวไม่หยุด เมื่อวานดื่มมากไปหน่อย โชคดีที่เมื่อเช้าดื่มเหล้าถอนมาอีกรอบแล้ว ไม่อย่างนั้นเวลานี้จะยิ่งแย่กว่าเดิม
มีแค่เตี๋ยจ้างที่ไม่ได้มา
แม่นางคนนี้เปิดร้านหลังเล็กที่อยู่ห่างไปจากตรอกของบ้านตัวเองไม่ไกล ขายของจุกจิกที่ได้กำไรน้อยนิดเท่าหัวแมลงวัน
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เป็นเส้นขีดจำกัดของเตี๋ยจ้าง หลังจากได้รู้จักกับพวกหนิงเหยา นั่นก็คือสหายส่วนสหาย บนสนามรบสามารถแลกชีวิตตายแทนกันได้ แต่มีเงินก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า นางเตี๋ยจ้างไม่จำเป็นต้องติดหนี้บุญคุณใคร หรือเอาเปรียบใครกับเรื่องเล็กๆ ในการใช้ชีวิตอยู่ทุกวันเช่นนี้ เยี่ยนจั๋วเคยรู้สึกเสียใจมาก จึงพูดด้วยความเดือดดาลว่า อาเหลียงก็เคยช่วยเจ้าไว้มากไม่ใช่หรือ เจ้าถึงได้มีทรัพย์สินน้อยนิดและกิจการที่น่าสงสารอย่างทุกวันนี้ได้ เหตุใดพวกเราที่เป็นเพื่อนถึงไม่ใช่เพื่อนของเจ้าแล้วล่ะ? ข้าเยี่ยนจั๋วช่วยเหลือเจ้าเตี๋ยจ้าง อีกทั้งยังไม่มีความคิดจะดูแคลนเจ้าแม้แต่น้อย หรือการที่ข้าหวังให้เพื่อนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีก็ผิดด้วย?
ตอนนั้นเตี๋ยจ้างกัดริมฝีปาก ไม่ได้เอ่ยอะไร
จากนั้นเยี่ยนจั๋วก็ถูกหนิงเหยาเล่นงาน ต้องกุมหัววิ่งหนีอุตลุด เป็นระยะเวลายาวนานมากช่วงหนึ่งที่เยี่ยนจั๋วไม่ได้พูดกับเตี๋ยจ้าง แน่นอนว่าหนิงเหยาเองก็ไม่ได้พูดกับเยี่ยนจั๋วแม้แต่ครึ่งคำ ตอนนั้นก็เพราะว่าเรื่องนี้ ยามที่ทุกคนอยู่ด้วยกันถึงได้ไม่มีเรื่องให้พูดคุย
สุดท้ายมีวันหนึ่งเยี่ยนจั๋วเหมือนถูกผีเข้าสิงถึงได้ไปแอบนั่งยองอยู่ในมุมเลี้ยวของตรอก มองเด็กสาวที่มีเพียงแขนเดียวทำงานง่วนอยู่ในร้าน มองอยู่นานมากถึงคิดจนเข้าใจถึงเหตุผลของเรื่องครั้งนั้น
แต่เยี่ยนจั๋วหน้าบาง จึงไม่ได้เอ่ยขอโทษ ภายหลังมีอยู่วันหนึ่งกลับเป็นเตี๋ยจ้างที่พูดขอโทษเขาเสียเอง ทำเยี่ยนจั๋วมึนงงไปหมด จากนั้นก็โดนพวกเฉินซานชิวและต่งถ่านดำซ้อมอีกรอบ แต่หลังจากนั้นมาเขาก็กลับมาคืนดีกับเตี๋ยจ้างอีกครั้ง
คนทั้งสามเข้ามาในจวนหนิงก็ได้เจอกับหนิงเหยาและเฉินผิงอันที่กำลังเดินเล่นอยู่ด้วยกันพอดี
เยี่ยนจั๋วเอ่ยเสียงเบาว่า “เป็นอย่างไร ข้าทำนายล่วงหน้าได้แม่นยำเลยใช่ไหมล่ะ พอเห็นพวกเรา พวกเขาสองคนต้องไม่จับมือกันแน่นอน”
เฉินซานชิวเอ่ย “ก็ได้ๆๆ เหล้ามื้อถัดไป ข้าจะเป็นคนเลี้ยงเอง”
ต่งฮว่าฝูเอ่ย “กฎเดิม คนอื่นเป็นคนเลี้ยง ข้าจะดื่มแค่เหล้าคงโหวกับเหล้าฉงฮุ่ยเท่านั้น”
หนิงเหยาถาม “พวกเจ้าอยากดื่มเหล้ามากนักหรือ?”
ต่งฮว่าฝูที่เดินอยู่ตรงกลางสุดชี้ไปสองฝั่งข้างกายตัวเอง “พี่หญิงหนิง อันที่จริงข้าไม่อยากดื่มเหล้า เป็นพวกเขาที่ยืนกรานจะเลี้ยง จะขวางก็ขวางไม่อยู่”
เยี่ยนจั๋วกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “พี่น้องคนดี”
เฉินซานชิวพยักหน้ารับ “มีคุณธรรม”
ต่งฮว่าฝูกำลังจะเปิดโปงความลับเรื่องหนึ่ง แต่กลับถูกเยี่ยนจั๋วอุดปาก ถูกเฉินซานชิวลากคอกระชากไปด้านหลังเสียก่อน เฉินซานชิวยิ้มเอ่ยว่า “ไม่รบกวนทั้งสองคนแล้ว พวกเรากลับก่อนดีกว่า มีเรื่องอะไรก็เรียกหาพวกเราได้ตลอดเวลาเลยนะ”
หนิงเหยามองคนทั้งสามที่มาอย่างรีบร้อนแล้วก็จากไปอย่างรีบร้อน ก่อนขมวดคิ้วกล่าวว่า “เรื่องอะไรกัน?”
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะว่า “ต้องเป็นเพราะเฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋วลงเดิมพันกันว่าเมื่อคืนข้านอนที่ไหนแน่นอน”
หนิงเหยาถาม “พวกเขาอยากตายหรือไง?”
ตอนที่ถามคำถามข้อนี้ หนิงเหยาหันมาจ้องเฉินผิงอันเขม็ง
เฉินผิงอันยกมือเช็ดหน้าผาก “คงจะ…ใช่กระมัง”
หนิงเหยาเดินเล่นต่อไปอีกครั้ง ถามชวนคุยว่า “ในเมื่อเจ้าสามารถรับหมัดพวกนั้นของป๋ายหมัวมัวได้ ตอนนี้ไม่อยากออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้างหรือ? ถึงอย่างไรต่อให้สู้แพ้ก็ไม่แพ้จนน่าเกลียดเกินไปนัก”
เวลานี้สีหน้าของเฉินผิงอันกลับคืนมาเป็นปกติแล้ว เขาเอ่ยว่า “ถูกเจ้าชอบ ไม่ใช่เรื่องที่สามารถเอาออกไปโอ้อวดข้างนอกได้ตามใจ”
หนิงเหยาแค่นเสียงหึในลำคอหนึ่งที หมุนตัวแล้วเดินหนีไป
เฉินผิงอันก็หมุนตัวกลับตามนางไปด้วย จวนหนิงมีขนาดใหญ่ นี่เป็นเรื่องดี เดินเล่นครบไปแล้วรอบหนึ่ง กลับมาเดินอีกรอบหนึ่งก็ไม่มีร่องรอยอะไรเหลือไว้แล้ว
มุมหนึ่งของเรือน หญิงชราถือไม้กวาดอยู่ในมือ กำลังกวาดลานบ้าน ชำเลืองตามองตาเฒ่าที่เงี่ยหูฟังอยู่ห่างไปไม่ไกลแล้วพูดกลั้วหัวเราะปนฉุนว่า “ตาแก่หน้าไม่อาย อย่าทำตัวหน้าหนานักได้ไหม?”
ผู้เฒ่ากล่าว “กลางวันแสกๆ แบบนี้ เจ้าเด็กนั่นต้องไม่มีทางพูดจาหรือทำเรื่องอะไรที่เกินกว่าเหตุแน่นอน”
จากนั้นผู้เฒ่าก็จุ๊ปากเอ่ยชื่นชมว่า “เจ้าตัวดี ร้ายกาจจริงๆ”
คราวนี้เป็นทีของหญิงชราที่ต้องสงสัยใคร่รู้บ้างแล้ว นางอดไม่ไหวถามว่า “คุณหนูคุยอะไรกับคุณชายเฉินรึ?”
ผู้เฒ่ายังคิดจะอมพะนำต่อ แต่พอเห็นว่ายายแก่ทำท่าจะลงไม้ลงมือก็ได้แต่เอ่ยประโยคนั้นซ้ำอีกรอบ
หญิงชรายิ้มบางๆ พูดอย่างปลาบปลื้มว่า “ว่าที่ท่านเขยของพวกเราคือคนดี ร้ายกาจไม่ร้ายกาจอะไรกัน”
ผู้เฒ่ารู้สึกจนใจเล็กน้อย ยังทำท่าจะเงี่ยหูฟังบทสนทนาของฝั่งนั้นต่อ ผลกลับถูกหญิงชราเหวี่ยงไม้กวาดออกมาด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ เขาถึงได้ยอมหยุดอย่างขุ่นเคือง
อีกฝั่งหนึ่ง ได้ยินว่าเตี๋ยจ้างเปิดร้านขายของเบ็ดเตล็ด เฉินผิงอันก็รีบพูดทันทีว่า “นี่เป็นเรื่องดีนะ มีโอกาสข้าจะต้องคุยกับเตี๋ยจ้างสักหน่อย จะได้ร่วมมือกันทำการค้าได้”
หนิงเหยาส่ายหน้า “อย่าดีกว่า เตี๋ยจ้างเป็นคนอ่อนไหว รับเรื่องพวกนี้ไม่ได้มากที่สุด ปีนั้นเจ้าอ้วนเยี่ยนก็เกือบจะเลิกเป็นสหายกับเตี๋ยจ้างเพราะเรื่องนี้”
“เจ้าไม่ต้องเล่าอย่างละเอียด ข้าก็รู้แล้วว่าปัญหาของเยี่ยนจั๋วอยู่ตรงไหน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วางใจเถอะ ข้าเป็นใคร? ข้าคือเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่เดินออกมาจากตรอกหนีผิง เป็นร้านผ้าห่อบุญมาแล้วหลายปีเชียวนะ ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน รับรองว่าแม่นางเตี๋ยจ้างจะหาเงินที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินได้อย่างสบายใจ และข้าก็จะได้อาศัยร้านนั้นหาเงินที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจมาได้ด้วย”
หนิงเหยาชำเลืองตามองเขา จุ๊ปากหนึ่งที “เข้าใจความคิดของสตรีดีเพียงนี้เชียวรึ ไม่เสียแรงที่เคยออกท่องยุทธภพมาก่อน ข้าไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นนะ ก็แค่มีหนึ่งพูดหนึ่ง”
เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนหัวโตเท่ากระบุงในทันใด
หนิงเหยากลับหัวเราะเอ่ยว่า “ล้อเจ้าเล่นหรอกน่า หากเจ้าสามารถช่วยร้านของเตี๋ยจ้างได้บ้าง อีกทั้งยังไม่ทำให้นางคิดมาก ข้าก็จะดีใจมาก คนขี้งกอย่างเตี๋ยจ้างนี้ ตอนนี้ความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดของนางก็คืออาศัยความสามารถของตัวนางเองมาซื้อเรือนที่ใหญ่กว่าเดิม”
เฉินผิงอันเพิ่งจะโล่งใจได้
หนิงเหยาก็เอาสองมือไพล่หลัง สายตามองไปเบื้องหน้า ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ทำเรื่องที่ผิดมโนธรรม ไม่กลัวผีมาเคาะประตู จะร้อนตัวไปไย”
เฉินผิงอันมองใบหน้าด้านข้างของนาง แล้วพลันหยุดเท้า จากนั้นก็ทำท่าเหมือนเสือโหยกระโจนขย้ำลูกแกะ
หนิงเหยารีบเบี่ยงตัวหลบอย่างว่องไว สองข้างแก้มแดงปลั่ง หันหน้ามาพูดอย่างเขินอายปนกรุ่นโกรธว่า “เฉินผิงอัน! เจ้าทำตัวให้ดีๆ หน่อย!”
เฉินผิงอันรีบพูดเสียงเบาทันที “พูดเบาๆ หน่อยสิ”
ผลกลับกลายเป็นว่าดูเหมือนหนิงเหยาจะร้อนตัวยิ่งกว่าเฉินผิงอันเสียอีก นางรีบเม้มปากตัวเองแน่นทันที
รอจนหนิงเหยาคืนสติกลับมา
เฉินผิงอันก็วิ่งถอยหลังหนีไปแล้ว ตอนแรกหนิงเหยายังคิดอยากจะไล่ไปตีเฉินผิงอัน เพียงแต่ว่าจู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งวาบขึ้นมา ก็เลยยืนเหม่ออยู่อย่างนั้น
นางมองเฉินผิงอันที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
เหตุใดจู่ๆ ถึงได้รู้สึกว่าที่แท้เขาก็หน้าตาดีมากๆ กันนะ