กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 582.3 ในตรอกเก่าโทรมยังมีโรงเรียน
หนิงเหยายืนอยู่ข้างโต๊ะคิดเงิน ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ แทะเมล็ดแตงไปด้วย
ดังนั้นถึงท้ายที่สุด เตี๋ยจ้างก็เอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “เฉินผิงอัน พวกเราแบ่งกันสามต่อเจ็ดดีกว่า เจ้าเจ็ดข้าสามก็พอ”
เฉินผิงอันกำลังจะพยักหน้าตอบตกลง
ผลกลับถูกข้อศอกจากหนิงเหยาถองทันที เฉินผิงอันจึงรีบยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องๆ ห้าต่อห้านั่นแหละ ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ทำการค้าต้องมีความจริงใจกันบ้าง”
เฉินผิงอันเบี่ยงตัวหันข้าง ส่งสายตาให้เตี๋ยจ้าง ข้ามีความจริงใจ แม่นางเตี๋ยจ้างเจ้าเองก็น่าจะมีความจริงใจหน่อยไหม ไม่สู้ต่างคนต่างถอยคนละก้าว แบ่งกันสี่ต่อหกส่วน
เตี๋ยจ้างพยักหน้ารับ จากนั้นก็พูดกับหนิงเหยาด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “หนิงเหยา เฉินผิงอันแอบยักคิ้วหลิ่วตาให้ข้า ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร”
เฉินผิงอันโดนถองอีกรอบ เขาแยกเขี้ยวหันไปยกนิ้วโป้งให้เตี๋ยจ้าง “แม่นางเตี๋ยจ้างทำการค้า นับว่ามีไหวพริบเฉียบไว”
แล้วก็พูดคุยเรื่องรายละเอียดกันอีกหลายเรื่อง
เตี๋ยจ้างจดจำไว้ทีละเรื่อง
เฉินผิงอันและหนิงเหยาออกมาจากร้านขายของเบ็ดเตล็ดเล็กๆ นั่น เดินอยู่บนขอบของถนนใหญ่ เฉินผิงอันที่เดินผ่านร้านเหล้าเหลาสุราพวกนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า “วันหน้าล้วนจะกลายเป็นศัตรูร่วมอาชีพแล้ว”
หนิงเหยาเอ่ยเบาๆ “ขอบคุณนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำอยู่แล้ว”
หนิงเหยาลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “เตี๋ยจ้างชอบวิญญูชนของสถานศึกษาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคนหนึ่ง เจ้าช่วยคลายปมในใจให้นางหน่อยได้ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เรื่องบางอย่างสามารถช่วยได้ แต่เรื่องแบบนี้ ทำไม่ได้จริงๆ”
หนิงเหยาเอาสองมือไพล่หลัง ก่อนจะเอ่ยชื่นชมอย่างเนิบช้าว่า “เจ้าเข้าใจเรื่องงความรักระหว่างชายหญิงดีไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าจะเข้าใจกับผายลมอะไร!”
……
เรือนหลังเล็กที่ซ่อนอยู่ในตรอกเก่าโทรมของเตี๋ยจ้าง มีถังเหล้าใบใหญ่จำนวนมากเก็บตุนเอาไว้จนเต็ม เงินทุนของนางไม่พอ อันที่จริงเฉินผิงอันยังมีเงินส่วนตัวอยู่อีกสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช แต่เขาก็ไม่อาจควักเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมาซื้อของอย่างโง่งมเช่นนี้ได้ เพราะง่ายที่จะถูกคนโก่งราคาให้สูงลิบลิ่ว เขาจึงขอเงินเกล็ดหิมะที่เป็นเงินเศษส่วนหนึ่งมาจากหนิงเหยา ร้านเหล้าที่สามารถซื้อเหล้าราคาถูกได้ เฉินผิงอันกับเตี๋ยจ้างล้วนไปเยือนมาแล้วจนทั่ว ปริมาณการขายเหล้าบนถนนของนครกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ไม่ได้ดีมากนัก นี่ก็คือความประหลาดอย่างหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ที่ซื้อเหล้าดื่มได้ มักจะไม่ยินดีดื่มเหล้าพวกนี้ เว้นเสียจากพวกผู้ฝึกกระบี่ผีขี้เหล้าที่ติดหนี้มากมายและยังใช้หนี้ค่าเหล้าได้ไม่หมดที่ถึงจะกลั้นใจดื่มพวกมัน ส่วนเหล้าหมักตระกูลเซียนของแท้แน่นอนที่ขายอยู่ในเหลาสุราน้อยใหญ่ ราคาก็ราวกับกระบี่บินเลยจริงๆ มักจะสูงกว่าที่ภูเขาห้อยหัวซึ่งอยู่ห่างเพียงหนึ่งประตูกั้นเสมอ ขนาดเซียนกระบี่ก็ยังรู้สึกเสียดาย และตอนนี้ทางภูเขาห้อยหัวก็มีการห้ามเข้าออกกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเข้มงวด ชีวิตของพวกเขาจึงยิ่งยากลำบากมากกว่าเดิม
เฉินผิงอันค้อมตัวไปเปิดเหล้าถังหนึ่งออก แมลงสุราตัวนั้นถูกแช่อยู่ด้านใน มันแหวกว่ายอย่างสบายอุราราวกับปลาตัวน้อย ท่าทางเมามาย ดูแล้วมีความสุขอย่างมาก
เหล้าทุกถังล้วนต้องแช่แมลงสุราไว้สามวันถึงจะถือว่าเป็นเหล้าหมัก ด้านในใส่กิ่งไผ่หนึ่งกิ่งและใบไผ่ไว้หลายใบ ไม่ได้ตั้งชื่อว่าใบไผ่เขียวอย่างที่เตี๋ยจ้างเสนอมาตอนแรก หรือเหล้ากิ่งไผ่ที่หนิงเหยาเป็นคนเสนอ แต่เฉินผิงอันตั้งชื่อให้เองเป็นข้อสรุปว่าเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ (ทะเลไผ่) อีกชื่อหนึ่งคือเหล้าภูเขาชิงเสิน
ต่อให้เป็นเตี๋ยจ้างที่เคยชินกับการหาเงินสุจริตไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจก็ยังตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
ตอนนั้นเฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงหวังดีบอกว่า กิ่งไผ่และใบไผ่ของตนเหล่านี้มาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ ส่วนเรื่องที่ว่าจะมาจากภูเขาชิงเสินหรือไม่ วันหน้าหากมีโอกาสข้าจะลองถามดู หากไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นวันหน้าที่เอาเหล้าออกขายก็ไม่ต้องพูดถึง ‘อีกชื่อ’ ก็แล้วกัน
นอกจากจะเตรียมเปิดร้านเหล้าขายเหล้าหาเงินแล้ว
ทุกวันเฉินผิงอันที่อยู่ในจวนหนิงยังจะต้องฝึกลมปราณหกชั่วยามอย่างไม่มีขาด บางครั้งก็ยาวไปถึงเจ็ดแปดชั่วยาม
หนิงเหยายกศาลาหน้าผาสังหารมังกรให้เขา ส่วนใหญ่แล้วนางจะไปฝึกกระบี่อยู่ที่ลานฝึกยุทธที่เป็นฟ้าดินขนาดเล็กเมล็ดงามากกว่า
ยามที่เฉินผิงอันหยุดพักก็จะเอาเจี้ยนเซียนไปนั่งยองอยู่ที่ตีนเขาลูกเล็ก ลับคมกระบี่อย่างตั้งใจ
บางครั้งพวกเจ้าอ้วนเยี่ยน ต่งถ่านดำก็จะมานั่งเล่นที่นี่ เจ้าอ้วนเยี่ยนคว้าโอกาสนี้ขอให้เฉินผิงอันช่วยดูวิชาหมัดบ้าคลั่งชุดนั้นของเขา แล้วสอบถามว่าตนคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธที่ถูกการฝึกกระบี่ถ่วงรั้งเอาไว้หรือไม่ แน่นอนว่าเฉินผิงอันต้องพยักหน้ารับบอกว่าใช่ เหตุผลที่พูดออกมาในแต่ละครั้งยังไม่เคยซ้ำรูปแบบกัน ขนาดเฉินซานชิวยังรู้สึกว่าชวนให้คนรับไม่ไหวยิ่งกว่าวิชาหมัดของเจ้าอ้วนเยี่ยนเสียอีก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ต่งถ่านดำทนไม่ไหวจริงๆ มองเจ้าอ้วนเยี่ยนที่แสดงท่าหมัดชวนให้คนสะอิดสะเอียนบนลานประลองยุทธแล้วก็ถามเฉินผิงอันว่า เจ้าพูดจริงหรือ หรือว่าเยี่ยนจั๋วคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธจริงๆ? เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่าแน่นอนว่าไม่ใช่ ต่งถ่านดำถึงได้พอจะสบายใจขึ้นหน่อย เฉินซานชิวได้ยินแล้วก็ถอนหายใจยาวเหยียด กุมขมับ ทิ้งตัวนอนหงายหลังอยู่บนม้านั่งตัวยาว
ช่วงเวลาระหว่างนี้จะต้องมีแม่นางน้อยที่เอาขนมใส่ชายแขนเสื้อไว้จนเต็มมาโหวกเหวกว่าจะกราบอาจารย์เรียนวิชาที่หน้าประตูจวนหนิงแทบทุกวัน
มีครั้งหนึ่งถูกหนิงเหยาลากเข้ามาในจวนแล้วซ้อมไปรอบหนึ่ง นางก็หยุดไปวันหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะผ่านไปวันเดียว แม่นางน้อยก็กลับมาอีก เพียงแต่ว่าครั้งนี้ฉลาดแล้ว ตะโกนเสร็จก็เผ่นหนีไป วันหนึ่งวิ่งกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทำอยู่แล้ว จากนั้นก็ถูกหนิงเหยามาดักรอ ดึงหูนางลากเข้ามาในจวนอีกครั้ง ให้แม่นางน้อยได้ชมเจ้าอ้วนเยี่ยนที่กำลังแสดงวิชาหมัดอยู่บนลานประลองยุทธ แล้วบอกว่านี่ก็คือวิชาหมัดที่เฉินผิงอันถ่ายทอดให้ ยังจะเรียนอยู่ไหม?
แม่นางน้อยน้ำตาคลอเบ้า ริมฝีปากสั่นระริก บอกว่าต่อให้เป็นอย่างนี้ก็ยังต้องเรียนหมัดอยู่ดีนะ
แม่นางน้อยเช็ดน้ำตาเงียบๆ สะอึกสะอื้นพูดว่าที่แท้นี่ก็คือเหตุผลที่ท่านแม่บอก คนที่ทนความลำบากได้ถึงจะเป็นคนเหนือคน
หนิงเหยาจนปัญญา จึงบอกให้เฉินผิงอันจัดการเอง ตอนนั้นเฉินผิงอันกำลังปรึกษาเรื่องใหญ่อันดับหนึ่งอยู่กับป๋ายหมัวมัวและท่านปู่น่าหลัน หนิงเหยาเองก็ไม่ได้บอกว่ามีเรื่องอะไร เฉินผิงอันที่มึนงงจึงได้แต่เดินตามนางไปที่ลานฝึกยุทธ ผลคือไปถึงก็เห็นแม่นางน้อยที่พอเห็นหน้าเขาก็คุกเข่าโขกหัวคำนับทันที
ไม่ใช่คนแปลกหน้า เพราะการต่อสู้ทั้งสี่ครั้งบนถนนใหญ่ แม่นางน้อยเป็นคนที่ส่งเสียงดังที่สุดคนหนึ่ง เขาไม่อยากจะสังเกตเห็นก็ยังยาก
เฉินผิงอันไม่สะดวกจะไปประคองแม่นางน้อยให้ลุกขึ้น จึงรีบขยับเท้าเบี่ยงตัวหลบ กล่าวอย่างจนใจว่า “อย่าเพิ่งโขกหัว เจ้าชื่ออะไร?”
แม่นางน้อยรีบลุกขึ้น พูดเสียงดังว่า “กวอจู๋จิ่ว!”
เฉินผิงอันพยักหน้า ยกมือซ้ายขึ้น ทำท่านับนิ้วคำนวณ แล้วก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ ไม่บังเอิญเลย ชื่อไม่สอดคล้อง ตอนนี้ยังไม่อาจรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ได้ วันหน้าไว้ค่อยว่ากัน”
กวอจู๋จิ่วพูดด้วยสีหน้าจริงใจ “อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปบอกให้พ่อแม่ข้าเปลี่ยนชื่อให้? ข้าเองก็รู้สึกว่าชื่อนี้ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไร ทนมานานหลายปีแล้วเหมือนกัน”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้ ข้ารับศิษย์ต้องดูที่บุพเพวาสนา ครั้งแรกต้องดูที่ชื่อก่อน หากไม่ได้ก็ต้องให้ผ่านไปอีกสามปี ครั้งที่สองดูที่ชื่อและเวลา ถึงตอนนั้นเจ้าก็ยังมีโอกาส”
กวอจู๋จิ่วขุ่นเคืองอย่างยิ่ง นางกระทืบเท้าหนักๆ แล้วก็วิ่งจากไป โวยวายว่าจะไปเปิดปฏิทินเหลืองเลือกวันเวลาฤกษ์งามยามดีให้กับตัวเองในอีกสามปีให้หลัง
เยี่ยนจั๋วและเฉินซานชิวยืนอึ้งอยู่ด้านข้าง อีกนิดเดียวตาของพวกเขาก็จะถลนออกมานอกเบ้าแล้ว
เจ้าตัวประหลาดน้อยกวอจู๋จิ่วผู้นี้ นับแต่เด็กมาก็สมองไม่ค่อยสมประดี จะบอกว่าโง่ แน่นอนว่าไม่ใช่ เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ถูกตระกูลกวอขนานนามให้เป็นเสาหลักในอนาคต จะบอกว่าฉลาด ก็ยิ่งไม่ได้ แม่นางน้อยสร้างเรื่องตลกไว้มากมายนัก เรียกได้ว่าเป็นความร่าเริงแจ่มใสของถนนแถบที่อยู่ของพวกเฉินซานชิวอยู่อาศัย ตอนเด็กนางจะชอบเอาผ้าห่มมาห่มไว้บนร่างแล้ววิ่งเที่ยวไปเรื่อยเปื่อยเป็นที่สุด เดินเข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้ ไม่เคยเดินผ่านประตูใหญ่ แต่จะไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ตามหัวกำแพงและหลังคาบ้าน หากไม่เป็นเพราะถูกต่งปู้เต๋อตีบ่อยเข้า กว่าจะรู้จักจำได้ไม่ได้ใช่เรื่องง่าย คาดว่าป่านนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนี้ และยังมีข่าวลือบอกว่า อันที่จริงใต้เท้าอิ่นกวานเลือกคนสองคน นอกจากผังหยวนจี้แล้วก็คือกวอจู๋จิ่ว
เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน “แบบนี้ก็ได้หรือ?”
เฉินซานชิวยิ้มเฝื่อน “ได้หรือไม่ได้ คาดว่ายังต้องดูว่าพรุ่งนี้กวอจู๋จิ่วจะยังมาอีกหรือไม่”
เฉินผิงอันมองหนิงเหยา
หนิงเหยาเอ่ย “บอกได้ยาก”
เฉินผิงอันเองก็ไม่คิดอะไรมาก ไปคุยธุระสำคัญกับผู้อาวุโสทั้งสองท่านต่ออีกครั้ง
เกี่ยวกับเรื่องที่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่จะไปเป็นพ่อสื่อสู่ขอด้วยตัวเองที่ตระกูลเหยา แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่มีทางไปเร่งรัดเขา
ในห้องของเฉินผิงอัน ป๋ายหมัวมัวยิ้มถาม “มีเรื่องอะไรหรือ?”
เฉินผิงอันจึงยิ้มตอบ “ก็แม่นางน้อยกวอจู๋จิ่วนั่นแหละ อยากจะกราบอาจารย์ขอเรียนวิชา ถูกข้าแต่งเรื่องหลอกกลับไปแล้ว”
น่าหลันเย่สิงเอ่ยสัพยอก “มีลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อเพิ่มมาอีกคนเปล่าๆ อันที่จริงก็ไม่เลวนะ”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเฝื่อน “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะทำเป็นเล่นไม่ได้”
ป๋ายหมัวมัวเอ่ย “ตระกูลกวอกับจวนหนิงของพวกเราสนิทกันมาหลายรุ่น ไม่เคยตัดขาดความสัมพันธ์กันมาก่อน”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง สายตาที่มองป๋ายหมัวมัวแฝงไว้ด้วยแววสอบถาม
ป๋ายหมัวมัวพยักหน้ารับ “ถือว่าเป็นตระกูลเดียวที่เหลืออยู่แล้ว หลังจากนายท่านจากไป คนทั้งตระกูลกวอก็พากันมาเซ่นไหว้ที่จวนหนิง ภายหลังเรื่องของหน้าผาสังหารมังกร เจ้าประมุขตระกูลกวอยังเคยโต้เถียงกับเซียนกระบี่ตระกูลฉีต่อหน้า ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนเป็นแม่นางน้อยคนอื่นที่มาก่อเรื่องวุ่นวายอย่างนี้ คุณหนูของเราก็ไม่มีทางลากเข้าจวนมาถึงสองครั้ง แต่เรื่องรับเป็นศิษย์จะคิดเป็นจริงเป็นจังไม่ได้จริงๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ถ้าอย่างนั้นเรื่องของกวอจู๋จิ่วนี้ ข้าจะต้องตั้งใจใคร่ครวญดูสักหน่อย”
น่าหลันเย่สิงยิ้มกล่าว “เรื่องพวกนี้ไม่ต้องรีบร้อน พวกเรามาคุยกันเรื่องวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สี่ของคุณชายเฉินดีกว่า เมื่อสะพานแห่งความเป็นอมตะถูกสร้าง คุณชายเฉินถึงจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าอะไรคือคำว่าฝึกตน หลังจากนั้นมา ถึงจะเป็นเรื่องที่ว่า ไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดก็ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้อย่างถูไถ อย่าได้ดูแคลนคำว่า ‘ถูไถ’ นี้ ตัวเป็นผู้ฝึกลมปราณ แต่จะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ นั่นต่างหากถึงจะต่างกันราวฟ้ากับเหวมากที่สุด สาเหตุในเรื่องนี้ คุณชายเฉินสามารถถามเอาจากผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่เป็นการส่วนตัวได้”
……
ยามเช้าตรู่ของวันนี้ กำแพงเมืองปราณกระบี่มีร้านเหล้าที่ดูขัดสนร้านหนึ่งมาเปิดใหม่ เถ้าแก่ร้านคือผู้ฝึกตนกระบี่หญิงแขนเดียวที่อายุยังน้อย เตี๋ยจ้าง
ข้างกายยังมีคนหนุ่มชุดเขียวยืนอยู่ด้วย หลังจากจุดประทัดที่ดังหนวกหูอย่างถึงที่สุดด้วยตัวเองไปแล้ว เขาก็ยิ้มกว้าง กุมหมัดคารวะสี่ด้านแปดทิศ
หากไม่เป็นเพราะเตี๋ยจ้างคือเถ้าแก่ร้านเหล้าในนาม ไม่มีทางให้ถอยหลังกลับ ทุ่มเงินทุนทั้งหมดที่มีไปแล้ว อันที่จริงนางก็อยากเข้าไปอยู่ในร้านมาก ถือเสียว่าร้านเหล้าแห่งนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย
ด้านหน้าคนทั้งสองจัดเรียงโต๊ะไว้จนเต็ม
หนิงเหยาและพวกเยี่ยนจั๋วไปหลบอยู่ในร้านที่วางไหเหล้าและกาเหล้าน้อยใหญ่ไว้จนเต็ม ต่อให้เป็นคนหน้าหนาอย่างเจ้าอ้วนเยี่ยน อย่างต่งถ่านดำที่ไม่เคยรู้ว่าคำว่าหนังหน้าคืออะไร เวลานี้แต่ละคนก็ยังไม่มีหน้าจะเดินออกไปจริงๆ
บนถนนใหญ่ ผิวถนนเพิ่งจะถูกซ่อมแซมให้กลับมาราบเรียบใหม่ เหล่าเถ้าแก่และลูกจ้างร้านของร้านเหล้าเหลาสุราน้อยใหญ่พากันมายืนหน้าประตูร้านตัวเอง สบถด่าเสียงดังขรม
เพราะนอกประตูร้านที่ทรุดโทรมแห่งนั้นดันแขวนกลอนคู่ที่ว่ากันว่าผู้ฝึกยุทธหนุ่มคนนั้นจรดพู่กันเขียนด้วยตัวเอง
เซียนกระบี่ กระบี่สามฉื่อ กวาดมองรอบด้านล้วนว่างเปล่า ศัตรูอยู่ที่ใด วีรบุรุษช่างเปลี่ยวเหงา
ในถ้วยเหล้าสองตำลึง มาร่วมกำจัดความทุกข์นานหมื่นปีนี้ไปด้วยกัน เมื่อเมามายก็คือการพักผ่อน เงินนับเป็นอะไรได้
เจ้าตัวดี เจ้าเฉินผิงอันผู้ฝึกยุทธเต็มตัวตัวดี ขอร้องคนต่างถิ่นอย่างเจ้าอย่าได้หน้าหนาขนาดนี้จะได้ไหม!
นี่ยังไม่นับเป็นอะไร ได้ยินมาว่าในร้านเล็กๆ นั่นยังขายเหล้าที่เกี่ยวข้องกับภูเขาชิงเสิน ถ้ำสวรรค์จู๋ไห่อะไรด้วย!
เงินนับเป็นอะไร?
หากไม่นับเป็นอะไรได้จริงๆ มารดาเจ้าจะมาเปิดร้านหาเงินทำไมกัน