กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 587.3 ดื่มเรื่องโสมมในโลกมนุษย์ให้หมดสิ้น
เฉินผิงอันมาที่ร้านเพียงลำพังเพราะจะมาคิดบัญชีกับเตี๋ยจ้างพอดี แต่ถูกเฉินซานชิวขยิบตาเรียกให้ไปช่วยคลี่คลายสถานการณ์ เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย สำหรับฟ่านต้าเช่อกับอวี๋เชี่ยนั้น เขาแค่เคยเจอมาสองครั้ง ไม่เคยได้พูดคุยอะไรกัน แล้วตอนนี้จะให้คุยอะไรได้ ดังนั้นพอนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวข้างกายเฉินซานชิวจึงทำเพียงแค่หยิบเหล้ามาสองไห เปิดออกเองหนึ่งไหแล้วดื่มเหล้าเงียบๆ เท่านั้น ฟ่านต้าเช่อดื่มไปเยอะแล้ว เอาแต่เสียใจอยู่กับตัวเอง ดวงตาที่หรี่ปรือกลบไปด้วยน้ำตา มองดูแล้วคงจะเสียใจอย่างสุดแสนจริงๆ
ที่น่าสงสารที่สุดก็คือ ดื่มเหล้าไปมากมายขนาดนั้น แต่กลับยังไม่เมาตาย แล้วก็ยังลืมทุกข์ไม่ได้
ช่วยไม่ได้ บางครั้งการดื่มเหล้าดับทุกข์กลับมีแต่จะยิ่งเป็นการสาดเกลือลงบนบาดแผล ยิ่งหัวใจเจ็บปวดเท่าไรก็ยิ่งยากจะดื่มมากเท่านั้น หวังให้ใจตายด้าน เจ็บปวดตายกันไปข้าง
เฉินซานชิวก็ไม่ได้ต้องการให้เฉินผิงอันพูดอะไร ก็แค่ลากคนมาดื่มเหล้าด้วยกันเพิ่มอีกคนเท่านั้น
เฉินผิงอันฟังไปฟังมาก็พอจะเข้าใจได้บ้างแล้ว เพียงแต่ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายตื้นเขิน เฉินผิงอันจึงไม่ยินดีจะเปิดปากพูดอะไร
สามารถทำให้ฟ่านต้าเช่อเจ็บปวดปานจะขาดใจเช่นนี้ได้ ต่อให้ดื่มเหล้าไปมากมายขนาดนี้ก็ยังตัดใจพูดถึงอวี๋เชี่ยผู้นั้นแรงๆ สักคำไม่ลง เฉินผิงอันเคยลองสังเกตอีกฝ่าย คือสตรีคนหนึ่งที่ดื่มเหล้าแต่ไม่เคยเมา บุคลิกดีมาก แม้ว่าจะมีชาติกำเนิดไม่ค่อยดี แต่กลับมีกลิ่นอายของตำราอย่างที่หาได้ยากจากตัวของสตรีในกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วก็มีความใจกว้างผึ่งผายอยู่หลายส่วน การที่เฉินผิงอันเคยลอบสังเกตนางก็เพราะตอนนั้นนางมีการกระทำหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันจำได้แม่นยำ ตอนนั้นพวกเฉินซานชิว ฟ่านต้าเช่อนั่งล้อมอยู่บนโต๊ะเหล้าตัวเดียวกัน บังเอิญเจอกับเซียนกระบี่ท่านหนึ่งที่อวี๋เชี่ยรู้จัก นางจึงลุกขึ้นไปดื่มคารวะอีกฝ่าย ตอนนั้นอวี๋เชี่ยยื่นมือไปกุมมือของเซียนกระบี่อย่างเป็นธรรมชาติ อันที่จริงท่าทางนั้นอยู่ในขอบเขตที่พอเหมาะพอควร ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังไม่รู้สึกว่าเสียมารยาทอะไร และบุรุษที่เป็นเซียนกระบี่ผู้นั้นก็ไม่ได้คิดอะไรไปไกล แต่เฉินผิงอันกลับจดจำได้อย่างชัดเจน เพราะบนโต๊ะเหล้าน้อยใหญ่ของใต้หล้าไพศาล เฉินผิงอันก็เคยเจอสตรีที่มีลักษณะทำนองเดียวกันนี้มาก่อน บุคลิกสุภาพสง่างาม ท่วงท่าเยือกเย็นสุขุม ทำให้บุรุษชื่นชมได้เป็นอย่างดี ภาพเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ ไม่ได้บอกว่าอวี๋เชี่ยเป็นหญิงกากีอะไร ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เพราะนั่นก็คือการรู้จักวางตัวเข้าสังคมที่มีการกะน้ำหนักความเหมาะสมได้อย่างดีเยี่ยม
ยังไม่ต้องพูดว่าเฉินผิงอันรับได้หรือไม่ แต่โดยรวมแล้วก็คือพอจะเข้าใจได้ ชีวิตคนมีจุดใดบ้างที่ไม่ได้อยู่บนเส้นทางของการฝึกตน ต่างคนก็ต่างต้องมีวิธีในการหยัดยืนเอาชีวิตรอด
การกระทำและคำพูดมากมาย ความพยายามในเวลาปกติที่คนอื่นไม่เห็นอยู่ในสายตา ก็คือยันต์คุ้มกันกายแต่ละแผ่นที่คนบางคนแลกเปลี่ยนมาให้ตัวเองเงียบๆ แต่เห็นได้ชัดว่าฟ่านต้าเช่อไม่เข้าใจ ถึงขั้นยังไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจ คงเป็นเพราะในใจของเขา สตรีที่ตัวเองรักก็คือคนที่รู้กาลเทศะอยู่แล้ว
สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ฟ่านต้าเช่อชอบอีกฝ่ายมากเกินไป และยังเป็นความชอบแบบสุดจิตสุดใจอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเข้าใจความชื่นชอบ รวมไปถึงการใช้ชีวิตที่ยากลำบากของอีกฝ่ายอย่างแท้จริงเสมอไป
อีกทั้งฟังจากคำพูดของฟ่านต้าเช่อ หลังจากได้ยินอวี๋เชี่ยบอกว่าต้องการแยกทางกับตน เขาก็สับสนมึนงงไปอย่างสิ้นเชิง ถามนางว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือไม่ เขาสามารถแก้ไขได้
แต่อวี๋เชี่ยกลับยืนกรานหนักแน่น บอกแค่ว่าทั้งสองฝ่ายไม่เหมาะสมกัน ดังนั้นท่ามกลางคำพูดมากมายของฟ่านต้าเช่อที่เมามายในวันนี้ จึงมีประโยคหนึ่งที่บอกว่า ทำไมถึงจะไม่เหมาะสมกันเล่า ทำไมเดินมาถึงวันนี้ถึงเพิ่งจะค้นพบว่าไม่เหมาะสมกัน?
ฟ่านต้าเช่อพลันตะโกนขึ้นมาว่า “เฉินผิงอัน เจ้าห้ามรู้สึกว่าอวี๋เชี่ยเป็นผู้หญิงไม่ดี ห้ามคิดแบบนี้เด็ดขาด!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง!”
ฟ่านต้าเช่อชูถ้วยเหล้าขึ้น ดื่มเหล้าไปครึ่งถ้วย เพราะว่าเหล้าอีกครึ่งหนึ่งล้วนหกออกหมด มองเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ข้างกายเฉินซานชิว ทว่าแท้จริงแล้วสายตากลับไร้แวว เขาถามเสียงสั่นว่า “เจ้าลองบอกหน่อยสิ ข้าผิดตรงไหน? ทำไมนางอวี๋เชี่ยนึกจะบอกว่าแต่งงานก็แต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว? เรื่องของความรักนี้ คนดีมักจะต้องเสียเปรียบอยู่เสมอเลยหรือ? เพราะว่าเจ้าตะพาบผู้นั้นพูดคำหวานได้เก่งกว่า เอาใจสตรีได้เก่งกว่าหรือ? ข้าควักใจมามอบให้นางอวี๋เชี่ย เหตุใดถึงกลายเป็นแย่ไปได้? ครอบครัวข้าควบคุมเข้มงวด เงินเทพเซียนมีไม่มาก แต่ขอแค่เป็นของที่นางชอบ ต่อให้เงินข้าไม่พอ แต่มีครั้งใดบ้างที่ข้าไม่ยืมเงินซานชิวเพื่อเอามาซื้อให้นาง?”
ฟ่านต้าเช่อหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “เฉินผิงอันเจ้าเป็นคนนอก คนที่อยู่นอกสถานการณ์ย่อมมองเห็นชัดเจนกว่า เจ้าลองบอกหน่อยสิว่าข้าผิดตรงไหนกันแน่?”
เฉินผิงอันถาม “นางรู้หรือไม่ว่าเจ้ายืมเงินจากเฉินซานชิว?”
ฟ่านต้าเช่ออึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “มารดาเถอะ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านางรู้หรือไม่! หากข้ารู้ เวลานี้อวี๋เชี่ยก็คงนั่งอยู่ข้างกายข้าแล้ว แล้วรู้หรือไม่รู้จะเกี่ยวอะไรกันด้วย อวี๋เชี่ยควรจะนั่งอยู่ตรงนี้ ดื่มเหล้าร่วมกับข้า ดื่มเหล้ากับข้า…”
กล่าวมาถึงช่วงสุดท้าย น้ำเสียงก็แผ่วเบา คนหนุ่มมีเพียงความเสียใจเท่านั้น
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก วางถ้วยเหล้าลง ถามเสียงเบาว่า “นางรู้หรือไม่รู้ ไม่มีเกี่ยวเลยจริงๆ หรือ?”
ฟ่านต้าเช่อพลันแผดเสียงดังลั่น “เฉินผิงอัน เจ้าอย่ามาพูดจาเหน็บแนมเสียดสีผู้อื่น ทำตัวเป็นคนยืนพูดไม่ปวดเอว เจ้าชอบหนิงเหยา หนิงเหยาก็ชอบเจ้า พวกเจ้าล้วนเป็นคนในกลุ่มเทพเซียน พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่ารสชาติชีวิตคนธรรมดาเป็นเช่นไร!”
เฉินซานชิวเตรียมจะเปิดปากเตือนฟ่านต้าเช่อให้พูดจาหยาบคายให้น้อยลงหน่อย แต่กลับถูกเฉินผิงอันยื่นมือมากดแขนเบาๆ เขาส่ายหน้าบอกเป็นนัยแก่เฉินซานชิวว่าไม่เป็นไร
และเฉินผิงอันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่ดื่มเหล้าไปเงียบๆ
แต่ดูเหมือนว่าในที่สุดฟ่านต้าเช่อก็หาวิธีคลายความทุกข์ได้ จึงเริ่มหันมาเล่นงานเฉินผิงอันแทนด้วยการพูดคำหยาบมากมาย ยังดีที่แค่เกี่ยวกับความรักชายหญิงเท่านั้น
เฉินซานชิวหน้าเขียว แม้แต่เตี๋ยจ้างก็ยังขมวดคิ้ว คิดว่าควรจะปล่อยหมัดต่อยให้อีกฝ่ายหมดสติไปเลยดีหรือไม่
เฉินผิงอันสีหน้านิ่งสงบอยู่ตลอดเวลา รอจนฟ่านต้าเช่อพูดถ้อยคำที่มาจากความโมโหซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าไร้เหตุผลจบก็แผดเสียงร้องไห้โฮ
เฉินผิงอันถึงได้เอ่ยว่า “ตัวเองทำได้ไม่ดีพอ รั้งคนเขาไว้ไม่ได้ ก็อย่าได้หาข้ออ้างให้ตัวเอง โทษว่าตัวเองเป็นคนดี รู้สึกว่าการชอบสตรีคนหนึ่งอย่างหมดใจก็เป็นเรื่องผิด อย่าอ้างว่าตัวเองปากไม่หวานพูดจาไม่น่าฟังเหมือนคนอื่น สายตาตัวเองไม่ได้เรื่องก็ต้องยอมรับแต่โดยดี หลายคนๆ เวลาชอบใคร นอกจากจะชอบอีกฝ่ายแล้ว อันที่จริงก็เป็นการชอบตัวเองด้วย หลงใหลเคลิบเคลิ้มอยู่กับความรู้สึกนั้น รักจะเป็นจะตาย ร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลก็แค่ทำให้ตัวเองดูเท่านั้น แม้แต่คนที่ตัวเองตาบอดไปชอบ หรือไม่ก็เสี่ยงดวงไปชอบคิดอย่างไรกันแน่ แม้แต่เรื่องที่ว่าอีกฝ่ายมีค่าพอให้ตัวเองทุ่มเทขนาดนี้หรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย ถึงอย่างไรก็ต้องให้ตัวเองรู้สึกซาบซึ้งใจก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ฟ่านต้าเช่อตบโต๊ะดังลั่น “เจ้าหุบปาก!”
เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “พอเกิดเรื่องแล้วเสียใจก็มาดื่มเหล้า แล้วค่อยหาข้ออ้างให้ตัวเองอีกสักสองสามข้อ อย่างเช่นว่าความจริงใจของคนดีไม่มีค่าแม้แต่เหรียญทองแดงเดียวอะไรนั่น เจ้าฟ่านต้าเช่อโชคไม่ดีที่ยังพอมีฐานะอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นข้ออ้างคงมากกว่านี้ แล้วก็จะยิ่งกลัดกลุ้มมากกว่านี้ ราวกับว่าการที่รั้งสตรีคนหนึ่งไว้ไม่ได้ก็คือหายนะที่เกิดจากเงิน ส่วนข้อที่ว่าท่ามกลางความรักของชายหญิงครั้งนี้จะสามารถรับผิดชอบต่อตัวเองก่อน แล้วถึงจะสามารถรับผิดชอบต่อสตรีได้อย่างแท้จริงหรือไม่ จำเป็นต้องคิดด้วยหรือ? ข้าว่าไม่จำเป็นหรอก ข้าผู้อาวุโสเสียใจจะตายอยู่แล้ว ยังจะต้องคิดว่าตัวเองเคยทำผิดอะไรด้วยหรือ แล้วแบบนั้นจะทำให้ตัวเองซาบซึ้งใจได้อย่างไร?”
ฟ่านต้าเช่อโงนเงนลุกขึ้นยืน ใบหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย “เจ้าคนแซ่เฉิน มาสู้กันสักทีดีไหม?!”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่สู้ล่ะ ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นเพื่อนของเฉินซานชิว ถึงได้พูดประโยคที่ไม่น่าฟังมากหน่อย”
เฉินผิงอันกระดกดื่มเหล้าในถ้วยจนหมดในรวดเดียว แล้วก็รินอีกชาม จากนั้นก็ดื่มจนหมด “พูดมากไป เจ้าก็ถือเสียว่าข้าเมาก็แล้วกัน ข้าขอโทษเจ้าตรงนี้”
ฟ่านต้าเช่อหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ข้ารับคำขอโทษจากเจ้าเฉินผิงอันไม่ไหวหรอก!”
อันที่จริงเพื่อนสองคนของฟ่านต้าเช่อก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจในตัวเฉินผิงอัน
มีใครเขาเกลี้ยกล่อมคนอื่นแบบเจ้าบ้าง? นี่ไม่ใช่การราดน้ำมันลงบนกองเพลิงหรอกหรือ?
ฟ่านต้าเช่อจ้องเฉินผิงอันเขม็ง “เจ้าเคยผ่านประสบการณ์เรื่องอะไรมาสักเท่าไรเชียว คู่ควรจะพูดถึงหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่พวกนี้ด้วยหรือ?”
เฉินซานชิวพูดกับฟ่านต้าเช่อ “พอได้แล้ว! เมาแล้วอย่าคลุ้มคลั่ง!”
สีหน้าของฟ่านต้าเช่อเปลี่ยวเหงา เดินเซไปทีหนึ่ง กว่าจะคว้าโต๊ะไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พูดเสียงสะอื้นว่า “ซานชิว”
เฉินซานชิวถอนหายใจ ลุกขึ้นยืน “พอเถอะ คิดเงินกันเถอะ”
เฉินผิงอันมองเฉินซานชิวอย่างขออภัย เฉินซานชิวยิ้มพลางพยักหน้าให้
เฉินผิงอันลุกเดินออกมาจากโต๊ะ เดินไปหาเตี๋ยจ้าง
ฟ่านต้าเช่อพลันคว้าถ้วยเหล้าขว้างไปข้างกายเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันชะลอฝีเท้า แต่ไม่ได้หมุนตัวกลับ เฉินซานชิวเดินอ้อมโต๊ะออกมารั้งตัวฟ่านต้าเช่อเอาไว้ คำรามอย่างเดือดดาลว่า “ฟ่านต้าเช่อ! เจ้าดื่มเหล้าจนสมองไม่เหลือแล้วหรือไร!”
เตี๋ยจ้างทำท่าจะลงมือ เฉินผิงอันที่หันหลังให้โต๊ะส่ายหน้าให้นาง
ไม่ว่าจะเป็นความเสียใจที่มีหรือไม่มีเหตุผล ความเสียใจของคนคนหนึ่งในช่วงเวลาที่อารมณ์ดำดิ่งมักจะดำรงอยู่ยาวนานเสมอ
ฟ่านต้าเช่อดิ้นรนจะสลัดให้หลุด ตะโกนใส่แผ่นหลังคนชุดเขียวว่า “เฉินผิงอัน! เจ้าจะนับเป็นผายลมอะไรได้ เจ้าไม่เข้าใจอวี๋เชี่ยเลยสักนิด เจ้ากล้าพูดถึงนางแบบนี้ ข้าไม่จบกับเจ้าง่ายๆ แน่!”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา เอ่ยว่า “รอให้เจ้าสร่างเมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ฟ่านต้าเช่อไม่ทันระวังศอกเข้าที่หน้าอกของเฉินซานชิว สะบัดตัวหลุดออกมาได้ สองมือของเขากำเป็นหมัด ดวงตาแดงก่ำ หอบหายใจเสียงดัง “เจ้าว่าข้าได้ แต่ห้ามว่าอวี๋เชี่ยแม้แต่ครึ่งคำ แค่ครึ่งคำก็ไม่ได้!”
เฉินผิงอันหันหน้ามาเอ่ยว่า “ข้าพูดกับเจ้าด้วยจิตใจที่สงบเป็นกลาง นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าฟ่านต้าเช่อทำถูกมากแค่ไหน ก็แค่ข้าได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากทางบ้านเท่านั้น”
เตี๋ยจ้างมองแผ่นหลังของเฉินผิงอัน
นาทีนี้นางรู้สึกเคารพกริ่งเกรงเขาเล็กน้อย เหมือนกับเวลาปกติที่นางได้เห็นพวกเซียนกระบี่ที่สูงส่งเกินใครเหล่านั้น
อาเหลียงมักจะพูดบ่อยๆ ว่า พวกผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่วางบารมีไว้บนใบหน้า ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว คนที่ต้องเคารพยำเกรงอย่างแท้จริง กลับกลายพวกที่เวลาปกติพูดคุยได้ง่าย
เพราะคำว่ามุมแหลมคมของนิสัย ไม่ใช่หินก้อนเล็กที่หล่นเข้าไปในรองเท้าแล้วคอยทิ่มตำเท้าให้ทุกคนรู้สึกเจ็บยามก้าวเดินอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นหินไข่ห่านที่อยู่ในลำธาร มองดูเหมือนว่าใครจะคว้าจับมาอย่างไรก็ได้ แต่หากเอามากัดจริงๆ กลับจะทำให้คนฟันหักเอาได้
เฉินซานชิวเองก็โมโหอย่างหนัก ผลักเข้าที่ไหล่ของฟ่านต้าเช่อจนฝ่ายหลังเซไปด้านหน้าหลายก้าว “ไป ไปตีกับเขา ตีให้เต็มที่ ไปตีเองเลย! หากตายหรือพิการ ข้าก็จะคิดเสียว่าดวงซวยที่เห็นเจ้าเป็นเพื่อนรัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังจะแบกเจ้ากลับบ้านด้วยตัวเอง!”
ฟ่านต้าเช่อพลันยืนนิ่ง เหมือนถูกลมพัดให้สมองแจ่มชัดคืนสติ บนหน้าผากมีเหงื่อผุดซึมออกมา
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันผู้นั้นจะยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจ ใครบ้างที่ไม่เคยเมาเหล้าอาละวาด แต่ก็อย่าลืมจ่ายเงินค่าเหล้าล่ะ”
เฉินซานชิวเสียใจจนไส้เขียว หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้แต่แรกก็คงไม่ปล่อยให้ฟ่านต้าเช่อเรียกให้เฉินผิงอันมาดื่มเหล้าด้วยกัน ตอนนี้ยังต้องลากเอาฟ่านต้าเช่อกลับบ้านไปด้วยกันอีก
หากหนิงเหยารู้เรื่องนี้ตนต้องจบเห่แน่ วันหน้ายังจะเข้าไปเป็นแขกในจวนหนิงได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง
เตี๋ยจ้างเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามว่า “เจ้าไม่โกรธหรือ?”
เฉินผิงอันนั่งยองลงบนพื้น เก็บเศษถ้วยพวกนั้นมา ยิ้มกล่าวว่า “โกรธแล้วอย่างไรเล่า หากเป็นแบบนี้ทุกครั้ง…”
เตี๋ยจ้างเองก็ทรุดตัวนั่งลง ช่วยเขาเก็บกวาดเศษซากเละเทะ แต่พอไม่ได้ยินประโยคหลังของอีกฝ่ายก็เลยหันหน้าไปมองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอแค่เจตนาเดิมของคนที่พูดไม่ได้เลวร้าย ใต้หล้านี้ก็ไม่มีถ้อยคำไม่น่าฟัง หากมีจริงๆ ก็เป็นเพราะตัวเราเองยังฝึกอบรมบ่มเพาะจิตใจได้ไม่ดีพอ”
เตี๋ยจ้างกลั้นยิ้ม “แล้วเจ้าคนที่ถูกต่อยตายด้วยหมัดเดียวก่อนหน้านี้ล่ะ?”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจังเต็มไปด้วยเหตุผล “ยังไม่พูดถึงเจตนาของคนผู้นั้นที่ชั่วร้าย ข้าเองก็ไม่ได้บอกนี่นาว่าอบรมฝึกฝนจิตใจได้ดีพอแล้ว”
เก็บเศษชิ้นส่วนถ้วยขาวบนพื้นไปแล้ว เฉินผิงอันก็ไปเก็บเศษซากบนโต๊ะต่อ นอกจากเหล้าที่เหลือเกินครึ่งไหซึ่งยังดื่มไม่หมดแล้ว เหล้าอีกไหหนึ่งที่ตัวเองหิ้วมาวางก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ถูกแกะผนึกดิน เพียงแต่พวกเฉินซานชิวได้คิดเงินรวมไปหมดแล้ว นับว่ายังมีคุณธรรมอยู่บ้าง
เฉินผิงอันอารมณ์ดีมาก เขารินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วย อีกไหหนึ่งที่เหลืออยู่นั้นคิดว่าจะเอากลับไปให้ผู้อาวุโสน่าหลันที่จวนหนิง
เตี๋ยจ้างเถ้าแก่ใหญ่ก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
เฉินผิงอันนั่งดื่มเหล้าอยู่บนโต๊ะเหล้าเพียงลำพัง ปีหนึ่งผ่านไป ปีใหม่อีกปีก็มาเยือน
เหนียนเหนียนสุ้ยสุ้ย สุ้ยสุ้ยเหนียนเหนียน สุ้ยสุ้ยผิงอัน ผิงผิงอันอัน (เป็นการเล่นคำพ้องเสียงอย่างหนึ่ง ประโยคแรกและประโยคสองหมายถึงทุกปีทุกเวลา/ตลอดไป ประโยคที่สามแปลว่าแตกเพื่อความปลอดภัย เป็นคำพูดแก้เคล็ดในช่วงวันปีใหม่ของจีน หากทำของแตกจะถือว่าเป็นลางไม่ดี จึงต้องพูดว่าแตกเพื่อความปลอดภัย คล้ายให้เป็นการฟาดเคราะห์อย่างหนึ่ง ประโยคสุดท้ายแปลว่าสงบสุขปลอดภัยตลอดไป)