กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 588.1 เฉินชิงตูเจ้าไสหัวไปให้ไกลๆ ข้าหน่อย
เฉินผิงอันดื่มเหล้า มองเถ้าแก่ใหญ่ที่ง่วนทำงานแล้วก็รู้สึกว่ามโนธรรมในใจมิอาจสงบลงได้ จึงแกว่งกาเหล้า ยังเหลืออีกประมาณสองชาม ชามขาวใบใหญ่ของที่ร้าน อันที่จริงไม่ถือว่าใหญ่นัก
เฉินผิงอันจึงกวักมือเรียกเตี๋ยจ้างให้มาดื่มเหล้าด้วยกัน หลังจากเตี๋ยจ้างนั่นลงแล้ว เฉินผิงอันก็ช่วยรินเหล้าให้หนึ่งชาม ยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่ค่อยได้มาที่ร้านบ่อยๆ วันนี้อาศัยโอกาสนี้มาพูดคุยเรื่องบางอย่างกับเจ้าสักหน่อย ฟ่านต้าเช่อเป็นเพียงแค่เพื่อนของเพื่อน อีกทั้งสิ่งที่เขาซึ่งนั่งบนโต๊ะเหล้าวันนี้อยากได้ยินอย่างแท้จริง อันที่จริงก็ไม่ใช่หลักการเหตุผลอะไร เพียงแค่ในใจมีความอัดอั้นมากเกินไป จึงต้องหาทางระบายออก แล้วก็เพราะว่าพวกเฉินซานชิวคือเพื่อนของฟ่านต้าเช่อ จึงกลับกลายเป็นว่าไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากเช่นไร สุราบางอย่าง เก็บฝังไว้นานแล้ว อยู่ดีๆ เอามาเปิดออก กลิ่นเหล้าหมักเก่าแก่อาจทำให้คนเมามายตายได้ การเข่นฆ่าทางทิศใต้ในครั้งถัดไป โอกาสที่ฟ่านต้าเช่อจะตายมีสูงมาก คงเพราะรู้สึกว่ามีเพียงทำเช่นนี้ถึงจะมีชีวิตอยู่ในหัวใจของนางได้ตลอดไป แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้า ข้ามักจะคิดไปในทางเลวร้ายเสมอ แต่อยู่ดีๆ ต้องมาโดนฟ่านต้าเช่อด่าเช่นนี้ แล้วยังขว้างชามของร้านแตกไปใบหนึ่ง บัญชีนี้เดี๋ยวข้าค่อยไปคิดเอาจากเฉินซานชิว เตี๋ยจ้าง เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนหนิงเหยา ยังเป็นเพื่อนของข้าด้วย ดังนั้นคำพูดของข้าต่อจากนี้ ก็จะพูดตรงๆ โดยไม่กังวลถึงสิ่งใดให้มากนัก”
เตี๋ยจ้างเอ่ยหยอกล้อ “วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่ฟ่านต้าเช่อ ไม่มีทางเมาแล้วอาละวาดขว้างชามเหล้าอะไรหรอก ตัดใจขว้างทิ้งไม่ลงจริงๆ”
เฉินผิงอันถามเข้าประเด็นทันที “เจ้ามีความรู้สึกอย่างไรต่อเซียนกระบี่? เห็นพวกเขาออกกระบี่อยู่ไกลๆ หรือยามที่พวกเขามาดื่มเหล้าที่นี่ใกล้ๆ เป็นความรู้สึกแบบใด?”
เตี๋ยจ้างคิดแล้วก็ตอบว่า “เคารพ”
เตี๋ยจ้างลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสริมว่า “อันที่จริงคือกลัว ตอนเด็กๆ เคยเจอกับความยากลำบากจากพวกผู้ฝึกกระบี่ชั้นล่าง สรุปก็คืออนาถอย่างมาก ตอนนั้นในสายตาของข้า พวกเขาก็คือบุคลที่เป็นดั่งเทพเซียนแล้ว เล่าไปแล้วก็ไม่กลัวว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะหรอก ตอนเด็กทุกครั้งที่เจอกับพวกเขาบนถนน ข้าก็จะตัวสั่น หน้าซีดขาวอย่างห้ามไม่ได้ พอได้รู้จักกับอาเหลียงถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย แน่นอนว่าข้าอยากเป็นเซียนกระบี่ แต่หากต้องตายอยู่บนเส้นทางของการได้เป็นเซียนกระบี่ ข้าก็ไม่เสียใจภายหลัง เจ้าวางใจเถอะ เป็นก่อกำเนิด แล้วค่อยเป็นเซียนกระบี่ ทุกขอบเขตข้าล้วนมีเรื่องที่ต้องทำซึ่งคิดเอาไว้ล่วงหน้านานแล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องที่อย่างน้อยก็ซื้อเรือนหลังใหญ่ได้หลังหนึ่ง สามารถทำสำเร็จล่วงหน้าได้หลายปี ก็ต้องดื่มคารวะเจ้าแล้ว”
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น ต่างคนต่างดื่มกันไป จากนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า “ตกลง ข้าคิดว่าปัญหาไม่ใหญ่นัก เคารพเลื่อมใสผู้ที่แข็งแกร่ง และยังใจกว้างกับผู้อ่อนแอ ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าเจ้าเดินอยู่บนทางสายกลาง ไม่เพียงแต่ข้ากับหนิงเหยา อันที่จริงพวกเฉินซานชิวก็เป็นกังวลอยู่เหมือนกัน ในศึกใหญ่แต่ละครั้งเจ้าทุ่มสุดชีวิตเกินไป ไม่เสียดายชีวิตเกินไป ในอดีตเจ้าอ้วนเยี่ยนเคยมีเรื่องผิดใจกับเจ้า ก็เลยไม่กล้าพูดมาก ส่วนคนอื่นๆ ก็กลัวว่าจะพูดมากเกินไป ในข้อนี้ก็เหมือนสถานการณ์ระหว่างเฉินซานชิวกับฟ่านต้าเช่อนั่นแหละ แต่บอกตามตรง อย่าได้ดูเบาความเป็นความตายมากนัก หากไม่ต้องตายได้ ก็อย่าตายเด็ดขาด ช่างเถอะ เรื่องแบบนี้ไม่อาจกำหนดได้ด้วยตัวเอง ตัวข้าเองก็เคยผ่านมาก่อน จึงไม่มีคุณสมบัติให้พูดอะไรมากนัก ถึงอย่างไรคราวหน้าที่ออกไปจากหัวกำแพง ข้าก็จะทำเหมือนพวกเจ้าอ้วนเยี่ยนที่จะพยายามจ้องมองท้ายทอยของเจ้าให้มาก มา มาดื่มคารวะให้กับท้ายทอยของเถ้าแก่ใหญ่เราหน่อย”
เตี๋ยจ้างยกชามเหล้ามาชนกระทบกับชามของเฉินผิงอันเบาๆ แล้วก็กระดกเหล้าขึ้นดื่ม
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คำถามต่อไปนี้อาจจะค่อนข้างกวนโอ้ยไปสักหน่อย ตกลงกันไว้ก่อน เจ้าต้องรับปากกับข้ามาก่อนว่า หลังจากข้าพูดจบแล้ว ข้าจะยังได้เป็นเถ้าแก่รองของร้าน พวกเราจะยังเป็นเพื่อนกัน”
เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “ลองพูดมาก่อน รับปากอะไรกัน ไม่มีประโยชน์หรอก ยามที่สตรีเปลี่ยนใจ เร็วได้ยิ่งกว่ายามที่บุรุษอย่างพวกเจ้าดื่มเหล้าเสียอีก”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย ถามว่า “วิญญูชนลัทธิขงจื๊อคนที่เอากระบี่ยาวฮ่าวหรันชี่ไป เจ้าชอบแค่ที่นิสัยใจคอของเขา หรือชอบตัวตนนักปราชญ์ของเขาในเวลานั้น? เคยคิดหรือไม่ว่าสักวันหนึ่งเขาจะพาตนออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไปยังภูเขาห้อยหัวและใต้หล้าไพศาล?”
เตี๋ยจ้างหน้าแดงเล็กน้อย กดเสียงต่ำพลางพยักหน้าเอ่ยว่า “ทั้งสองอย่าง ข้าชอบนิสัยใจคอ ชอบบุคลิกของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลิ่นอายตำราบนร่างของเขา ข้าชอบมากเป็นพิเศษ นักปราชญ์ของสำนักศึกษา! ร้ายกาจจะตายไป ตอนนี้ยังได้เป็นวิญญูชนแล้วด้วย แน่นอนว่าข้าต้องสนใจมากเป็นพิเศษ! อีกอย่างหลังจากที่ข้าได้รู้จักอาเหลียงแหละหนิงเหยา ก็อยากจะลองไปเยือนใต้หล้าไพศาลมานานแล้ว หากได้ไปพร้อมกับเขา นั่นก็ย่อมดีที่สุด!”
เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “คนเขาชอบหรือไม่ชอบเจ้าก็ยังบอกได้ยาก เจ้ากลับคิดไปไกลขนาดนี้แล้ว?”
เตี๋ยจ้างดื่มเหล้าอึกใหญ่ ใช้หลังมือเช็ดมุมปาก พูดด้วยสีหน้าแช่มชื้นว่า “แค่คิดก็ผิดด้วยหรือไง?!”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “จะเล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ฟังจากคนอื่นเล่ามา แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน เจ้าคิดเสียว่าฟังนักเล่านิทานคนหนึ่งเล่าเรื่องให้ฟังก็ได้ ฟังไปแล้ว อย่างน้อยก็สามารถหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดอย่างหนึ่ง ส่วนเรื่องที่เหลือ มีประโยชน์ไม่มาก ไม่เหมาะจะเอามาใช้กับเจ้าและวิญญูชนผู้นั้น”
นั่นคือเรื่องเล่าภูเขาสายน้ำเกี่ยวกับบัณฑิตผู้ลุ่มหลงในรักและผีสาวผู้สวมชุดเจ้าสาว
คนที่มีความรักลึกซึ้ง มักจะตามมาด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเสมอ และคำว่าลุ่มหลงในรักก็มักจะมาพร้อมกับคำว่าทรยศหักหลังเสมอ
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่หวังให้เตี๋ยจ้างกับวิญญูชนลัทธิขงจื๊อผู้นั้นมีจุดจบเช่นนี้ เฉินผิงอันหวังว่าคนมีรักในใต้หล้าทุกคนจะได้ครองรักกันจนแก่เฒ่า
เพียงแต่ว่าจะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต้องมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง ห้ามตาบอดหาคนผิดเด็ดขาด คำว่าตาบอดนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ว่าอีกฝ่ายมีค่าพอให้ชอบหรือไม่ ในความเป็นจริงแล้วถือว่าเกี่ยวข้องกับความเป็นตัวเองมากกว่า คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าคนที่ตัวเองชอบอย่างสุดจิตสุดใจ เหตุใดตอนแรกถึงชอบตน แล้วสุดท้ายเพราะอะไรถึงไม่ชอบตนอีกแล้ว
ก็เหมือนถามคำถามแรกสุดที่เฉินผิงอันถามฟ่านต้าเช่อ ความนัยในถ้อยคำนั้นก็หนีไม่พ้นว่า อวี๋เชี่ยรู้หรือไม่ว่าเจ้าฟ่านต้าเช่อยอมที่จะบากหน้าไปยืมเงินจากเพื่อน แต่ก็ต้องซื้อของที่นางถูกใจให้ได้ ความคิดเช่นนี้ของสตรี เจ้าฟ่านต้าเช่อมองเห็นหรือไม่ เห็นชัดเจนหรือไม่ แล้วก็ยังคงรับได้อยู่เช่นเดิม? หากรับได้ อีกทั้งยังสามารถรับมือกับกิ่งก้านสาขาที่จะแตกงอกออกไปจากเส้นสายนี้ได้เป็นอย่างดี นั่นก็ถือว่าเป็นความสามารถของเจ้าฟ่านต้าเช่อ
หากไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง เลอะๆ เลือนๆ มาตั้งแต่ต้นจนจบ ก็เห็นได้ชัดว่าฟ่านต้าเช่อจะไม่อับอายจนพานเป็นความโกรธเช่นนั้น ไม่ว่าฟ่านต้าเช่อจะรู้ดีมาตั้งแต่แรก หรือเพิ่งจะมารู้ตัวเอาภายหลัง ก็ล้วนชัดเจนอยู่แล้วว่า อวี๋เชี่ยรู้ว่าเขาต้องมายืมเงินจากเฉินซานชิว แต่อวี๋เชี่ยก็ยังเลือกจะให้ฟ่านต้าเช่อทุ่มเทเช่นนี้ นางเลือกที่จะรีดไถจากเจ้าต่อไป สรุปแล้วว่าฟ่านต้าเช่อรู้หรือไม่ แล้วข้อนี้ หมายความว่าอะไร? ไม่เลย ฟ่านต้าเช่อไม่รู้อะไรเลย บางทีฟ่านต้าเช่ออาจจะแค่รู้สึกได้ว่านางทำแบบนี้ไม่ถูก ไม่ได้ดีนัก แต่กลับไม่เคยรู้ว่าควรจะเผชิญหน้าหรือแก้ไขอย่างไร
ฟ่านต้าเช่อรู้แค่ว่า หลังจากแยกทางกัน ทั้งสองฝ่ายก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ายิ่งเดินก็จะยิ่งห่างกันไปไกล เขาดื่มเหล้าไปแล้ว ก็รู้สึกว่าตนเองแทบจะควักหัวใจออกมาให้สตรีผู้นั้นเห็นความจริงใจของตัวเองได้อยู่แล้ว
หากจะบอกว่าการที่ฟ่านต้าเช่อชื่นชอบผู้หญิงสักคนหนึ่งโดยที่ไม่เผื่อใจไว้เลยแบบนี้ มีอะไรผิด? แน่นอนว่าไม่ผิด บุรุษที่ควักใจให้สตรี พยายามทำทุกอย่างสุดความสามารถเพื่อนาง ยังจะผิดอีกหรือ? แต่หากสืบสาวลึกลงไป จะไม่มีความผิดเลยได้อย่างไร ชอบคนคนหนึ่งมากมายขนาดนี้ หรือไม่ควรรู้เลยว่าสรุปแล้วตัวเองกำลังชอบใครอยู่กันแน่?
ก็เหมือนคนนอกอย่างเฉินผิงอันที่แค่เคยเห็นอวี๋เชี่ยอยู่ไกลๆ สองครั้ง แต่มองปราดเดียวเขาก็มองออกถึงจิตใจทะเยอทะยานของสตรีผู้นั้น และการแอบแบ่งชนชั้นเพื่อนของฟ่านต้าเช่อไว้อย่างลับๆ ของนาง ความทะเยอทะยานและปณิธานอันเปี่ยมล้นเช่นนั้นของนาง ไม่ใช่แค่ว่าฟ่านต้าเช่อเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ รับรองได้ว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องไม่มีปัญหาเรื่องการกินอยู่แล้วจะเพียงพอสำหรับนาง นางหวังว่าสักวันหนึ่ง ตัวเองจะสามารถอาศัยแค่ชื่ออวี๋เชี่ยของตนนี้ ทำให้คนมาเชื้อเชิญให้ไปนั่งร่ำสุราร่วมโต๊ะที่มีเซียนกระบี่นั่งกันอยู่เต็มไปหมด อีกทั้งยังไม่ได้นั่งในตำแหน่งท้ายๆ ด้วย หลังจากนั่งลงไปแล้วก็จะต้องมีคนเป็นฝ่ายดื่มคารวะนางอวี๋เชี่ย! นางอวี๋เชี่ยจะนั่งหลังตรงเอวตั้ง รอให้คนอื่นๆ มาดื่มคารวะ
เฉินผิงอันไม่ชอบสตรีเช่นนี้ แต่ไม่ได้ถึงขั้นรังเกียจ ก็แค่เข้าใจ สามารถเข้าใจได้ อีกทั้งยังเคารพการเลือกที่มากมายในเส้นทางชีวิตคนที่เป็นเช่นนี้
ฟ่านต้าเช่อเข้าใจหรือไม่? ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
วันนี้พลาดไปแล้ว ในอนาคตหากดวงดีก็อาจได้เจอกับคนที่ใช่ กลายมาเป็นคู่รักเทพเซียนที่วาสนาผูกพันต้องกัน แต่หากโชคไม่ดีก็ได้แต่ต้องคลาดกันไปอีกครั้ง
เตี๋ยจ้างฟังจุดจบของเรื่องเล่าแล้วก็ให้เดือดดาล นางถามว่า “บัณฑิตผู้นั้นอยากเป็นนักปราชญ์เป็นวิญญูชนของสำนักศึกษากวานหูก็แค่ให้เพื่อสามารถยกเกี้ยวแปดคนถามมาสู่ขอผีสาวสวมชุดเจ้าสาวตนนั้นได้อย่างถูกต้องเปิดเผยเท่านั้นเองหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่เคยเปลี่ยนใจ ดังนั้นบัณฑิตถึงได้ถูกบีบให้ต้องกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย เพียงแต่ว่าผีสาวสวมชุดแต่งงานเข้าใจมาโดยตลอดว่าอีกฝ่ายทรยศต่อความรักอันลึกซึ้งของตัวเอง”
เตี๋ยจ้างถึงกับดวงตาแดงก่ำ “เหตุใดจุดจบถึงได้เป็นเช่นนี้ล่ะ บัณฑิตที่เรียนอยู่ร่วมสำนักศึกษาของเขาก็ล้วนเป็นบัณฑิตเหมือนกันนี่นา แต่ทำไมถึงได้ใจดำอำมหิตเช่นนี้”
เฉินผิงอันกล่าว “บัณฑิตทำร้ายคนไม่เคยต้องใช้มีด การที่ข้าเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังก็เพราะต้องการให้เจ้าไตร่ตรองดูให้มาก เจ้าคิดดูนะ ใต้หล้าไพศาลใหญ่ขนาดนั้น มีบัณฑิตอยู่มากมายขนาดนั้น แต่ทุกคนจะเป็นดีที่ไม่ผิดต่อตำราอริยะปราชญ์ได้หรือ หากเป็นเช่นนี้จริง กำแพงเมืองปราณกระบี่จะมีสภาพอย่างทุกวันนี้ไหม?”
เตี๋ยจ้างเงยหน้าขึ้น ชำเลืองตามองเฉินผิงอันที่สวมชุดเขียวเสียบปิ่นปักผมด้วยสีหน้าปั้นยาก
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ข้าแค่พยายามจะทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้ให้ได้มากที่สุด ทุกเรื่องจะต้องคิดต้องไตร่ตรองให้มาก มองให้มาก คิดให้มาก ใคร่ครวญให้มาก ไม่ใช่ว่าเพื่อให้กลายเป็นอย่างพวกเขา ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เพื่ออย่าให้ชีวิตนี้ต้องกลายไปเป็นคนอย่างพวกเขาต่างหาก”