กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 588.2 เฉินชิงตูเจ้าไสหัวไปให้ไกลๆ ข้าหน่อย
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น “หากมีวันใดที่เจ้าและวิญญูชนผู้นั้นต่างฝ่ายต่างชอบกันขึ้นมาจริงๆ และตอนนั้นแม่นางเตี๋ยจ้างก็เป็นเซียนกระบี่แล้ว หากต้องการจะไปเยือนใต้หล้าไพศาลดูสักครั้ง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเรียกข้ากับหนิงเหยาไปด้วยนะ ข้าจะช่วยป้องกันบัณฑิตบางคนที่เอาความรู้ในตำราไปใช้บนตัวสุนัขหมด ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิท เพื่อนร่วมชั้นเรียน ผู้อาวุโสในตระกูล หรืออาจารย์ของสำนักศึกษาสถานศึกษาที่อยู่ข้างกายวิญญูชนผู้นั้น หากพูดคุยได้ง่ายก็ย่อมดีที่สุด ข้าเองก็เชื่อว่าข้างกายเขาจะมีคนดีอยู่มากกว่า ก็คนแบบเดียวกันมักจะคบคนแบบเดียวกันนี่นะ เพียงแต่ว่าคงต้องมีปลาที่เล็ดรอดตาข่ายออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แค่คนพวกนี้ขยับก้นข้าก็รู้แล้วว่าพวกเขาจะถ่ายหลักการอริยะปราชญ์ข้อไหนออกมาให้คนสะอิดสะเอียนเล่น เรื่องทะเลาะกับคนอื่นนี้ จะดีจะชั่วข้าก็เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ จึงได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้ที่แท้จริงมาบ้าง เพื่อนคืออะไร ก็คือถ้อยคำที่ไม่น่าฟัง ถ้อยคำที่เป็นดั่งการสาดน้ำเย็นใส่หน้า อะไรที่ควรพูดก็ต้องพูด แต่เรื่องบางอย่างที่ทำได้ยากก็ยังต้องทำ ประโยคสุดท้ายนี่ข้าชมตัวเอง มา ชนแก้ว!”
เตี๋ยจ้างยิ้มกว้างอย่างที่หาได้ยาก มือหนึ่งของนางถือชามเตรียมจะดื่ม แต่แล้วจู่ๆ สีหน้าก็พลันหม่นหมอง ชำเลืองตามองไหล่ข้างหนึ่งของตน
เฉินผิงอันกล่าว “หากชอบจริงๆ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย ไม่ชอบ ต่อให้เจ้ามีแขนเพิ่มมาอีกสองข้างก็ไม่มีประโยชน์”
เตี๋ยจ้างหัวเราะอย่างฉุนๆ “คนคนหนึ่งมีแขนเพิ่มมาแขนหนึ่งเป็นเรื่องดีงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็จริงนะ ข้าคนนี้ ข้อเสียก็คือไม่ค่อยถนัดเรื่องการใช้เหตุผลนี่แหละ”
อารมณ์ของเตี๋ยจ้างกลับมาดีดังเดิม กำลังจะชนถ้วยกับเฉินผิงอัน เฉินผิงอันกลับเอ่ยประโยคที่เป็นการทำลายบรรยากาศว่า “แต่ว่าตอนนี้เจ้ากับวิญญูชนของเจ้าคนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลยสักนิด อย่าคิดเร็วไปแล้วก็คิดในแง่ดีเกินไป ไม่อย่างนั้นอนาคตเจ้าต้องเสียใจแน่นอน ถึงเวลานั้นร้านเล็กๆ นี่จะได้เงินค่าเหล้าจากเจ้ามากสุด เถ้าแก่รองพ่วงสหายอย่างข้าคงรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไร”
เตี๋ยจ้างหน้าดำทะมึน
เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “คำพูดซื่อสัตย์ไม่น่าฟัง ยากจะเป็นเพื่อนกันได้”
เตี๋ยจ้างพลันยิ้มกล่าวว่า “เรื่องที่ดีที่สุดและเรื่องที่เลวร้ายที่สุด เจ้าล้วนพูดหมดแล้ว ขอบใจนะ”
เตี๋ยจ้างหยิบไหเหล้าขึ้น แต่กลับค้นพบว่าเหลือเหล้าพอแค่ชามเดียวเท่านั้น
เฉินผิงอันโบกมือ “ข้าไม่ดื่มแล้ว หนิงเหยาควบคุมค่อนข้างเข้มงวด”
เตี๋ยจ้างเองก็ไม่เกรงใจ รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งชามแล้วเริ่มดื่มช้าๆ
หากมีลูกค้าตะโกนบอกให้เติมเหล้า เตี๋ยจ้างก็จะให้พวกเขาหยิบเหล้าและจานกับแกล้มด้วยตัวเอง พวกลูกค้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีก็ดีอย่างนี้ ไปๆ มาๆ ก็ไม่ต้องเกรงใจกันมากเกินไปนัก
แรกเริ่มเตี๋ยจ้างยังกังวลว่าตัวเองจะรับรองแขกได้ไม่ดีพอ ทุกเรื่องจึงต้องลงมือลงแรงทำด้วยตัวเอง และมีครั้งหนึ่งที่เห็นว่าเฉินผิงอันทำเช่นนี้ เขาหยอกเย้าด่ากับลูกค้าขำๆ ยังถึงขั้นบอกให้ลูกค้าช่วยหยิบจานกับแกล้มให้ ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครรู้สึกว่าไม่เหมาะสมเลยสักนิด เตี๋ยจ้างถึงได้ลองทำเลียนแบบเขาดูบ้าง
เตี๋ยจ้างมองเฉินผิงอัน พบว่าเขากำลังมองไปยังมุมเลี้ยวของตรอก เมื่อก่อนทุกครั้งเฉินผิงอันจะไปนั่งเป็นนักเล่านิทานอยู่ตรงนั้นนานมาก มีเพียงวันนี้และครั้งนี้เท่านั้นที่พวกเด็กๆ ไม่มานั่งล้อมวงอยู่รอบม้านั่งตัวเล็กอีกแล้ว
เตี๋ยจ้างรู้ดีว่า แท้จริงแล้วในใจเฉินผิงอันรู้สึกผิดหวัง
เพียงแต่เตี๋ยจ้างก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงให้ความสำคัญกับเรื่องแบบนี้นัก หรือว่าเป็นเพราะเขาคือคนที่เดินออกมาจากตรอกเก่าโทรมของเมืองเล็กในสถานที่ที่เรียกว่าถ้ำสวรรค์หลีจู ต่อให้ตอนนี้เขาจะกลายเป็นเทพเซียนในสายตาของคนอื่นแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกคนที่เกิดและเติบโตมาในตรอกอยู่ดี? ทว่าผู้ฝึกกระบี่แต่ละยุคสมัยในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ขอแค่เกิดและเติบโตมาในตรอก ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด แม้แต่ตัวนางเตี๋ยจ้างเอง ขนาดยามที่ฝันก็ยังอยากจะไปเป็นเพื่อนบ้านของพวกแซ่ตระกูลใหญ่ๆ ไม่ต้องกลับมาอยู่ในสถานที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเสียงไก่ขันหมาเห่าอีกแล้ว
บอกว่าตัวเองจะไม่ดื่มเหล้าแล้ว แต่พอเห็นเตี๋ยจ้างดื่มเหล้าอย่างสบายอารมณ์ เฉินผิงอันก็ชำเลืองตามองเหล้าไหที่กะว่าจะเอาไปมอบให้ผู้อาวุโสน่าหลัน ความคิดในหัวตีกันอยู่พักหนึ่ง เตี๋ยจ้างก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น อย่าว่าแต่พวกลูกค้าที่คิดว่าการเอาเปรียบเถ้าแก่รองอย่างเขาเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องยากเลย นางที่เป็นเถ้าแก่ใหญ่ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
และในขณะที่เตี๋ยจ้างคิดว่าวันนี้เฉินผิงอันต้องควักเงินจ่ายค่าเหล้าอย่างแน่นอนนั้นเอง เฉินผิงอันก็คิดหาวิธีแก้ปัญหาได้ เขาลุกขึ้น หยิบถ้วยเหล้า เดินตุปัดตุเป๋ไปยังโต๊ะเหล้าแห่งอื่น ทักทายปราศรัยกับผู้ฝึกกระบี่โต๊ะนั้น ไม่เพียงแต่ได้เหล้าถ้วยหนึ่งมาดื่มเปล่าๆ ตอนที่กลับมานั่งข้างกายเตี๋ยจ้าง ในชามเหล้ายังมีเหล้าเพิ่มมาอีกเกินครึ่งชาม ตอนที่นั่งลง เฉินผิงอันพูดอย่างสะท้อนใจว่า “กระตือรือร้นเกินไปแล้ว ขวางไม่อยู่ คิดจะไม่ดื่มก็ยังยาก”
เตี๋ยจ้างกล่าวอย่างจนใจว่า “เฉินผิงอัน อันที่จริงเจ้าคือลูกศิษย์สำนักการค้าที่ฝึกตนจนประสบความสำเร็จใช่ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใต้หล้านี้มีคนสัญจรไปมาขวักไขว่ ใครบ้างที่ไม่ใช่คนค้าขาย?”
เตี๋ยจ้างชำเลืองตามองเฉินผิงอันที่ดื่มเหล้า “เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ได้บอกว่าหนิงเหยาควบคุมอย่างเข้มงวดหรอกหรือ?”
วันนี้เฉินผิงอันดื่มไปไม่น้อย เขาหัวเราะร่าตอบว่า “ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่อย่างข้า เป็นอย่างเสียเปล่างั้นหรือ? แค่สะบัดปราณวิญญาณทีเดียว กลิ่นเหล้าก็กระจายหายไปทั่วทิศ สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน”
เตี๋ยจ้างเองก็หัวเราะร่า แต่ในใจตัดสินใจไว้แล้วว่าจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องหนิงเหยา
เฉินผิงอันมองไปยังถนนใหญ่เส้นนั้น กิจการของร้านเหล้าน้อยใหญ่ไม่รุ่งเรืองเท่าไรเลยจริงๆ
ตอนนั้นแต่ละคนที่มาร่วมวงดูเรื่องสนุกของตนแผดเสียงโห่ตะโกนกันสุดฤทธิ์ ทีนี้คงหยุดได้แล้วสินะ? ร้านผ้าห่อบุญอย่างตนยังไม่ได้แสดงฝีมือเต็มสิบส่วนเลยด้วยซ้ำ
เตี๋ยจ้างดื่มเหล้าไปแล้วก็ไปทักทายรับรองลูกค้า ถึงอย่างไรหนังหน้าของนางก็ยังไม่หนาเท่าเถ้าแก่รอง
เหล้าเกินครึ่งของชามใบใหญ่นั้น เฉินผิงอันดื่มช้ามากเป็นพิเศษ
เตี๋ยจ้างจึงหยิบตะเกียบหนึ่งคู่และผักดองหนึ่งจานมาให้เขาเสียเลย
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ รับมือกับเหล้าและกับแกล้มนั้นช้าๆ
ลูกค้าทยอยเข้าร้านมาเรื่อยๆ เฉินผิงอันจึงยกโต๊ะให้ ตัวเองไปนั่งยองอยู่ข้างทาง แน่นอนว่ายังไม่ลืมว่าไม่ควรเปิดผนึกดินเหล้าไหนั้น
เตี๋ยจ้างชำเลืองตามองชามที่เหล้าเหลือติดแค่ก้นถ้วย แต่เฉินผิงอันก็ยังดื่มไม่หมดเสียทีแล้วยิ้มเอ่ยอย่างฉุนๆ ว่า “อยากให้ข้าเลี้ยงเหล้าเจ้าก็พูดมาตรงๆ ได้ไหม?”
นางไม่เข้าใจจริงๆ คนผู้หนึ่งที่ตัดใจเอาอาวุธเซียนสองชิ้นมาเป็นสินสอดได้ลง เหตุใดถึงได้ขี้เหนียวถึงขั้นนี้
แต่ตอนที่หนิงเหยาเล่าเรื่องนี้ให้นางฟังเป็นการส่วนตัว ดวงหน้าของนางเบิกบานชวนให้คนหลงใหล ขนาดเตี๋ยจ้างที่เป็นสตรีเหมือนกันได้เห็นแล้วก็ยังเกือบจะหวั่นไหวไปด้วย
เฉินผิงอันส่ายหน้า เอ่ยว่า “เถ้าแก่ใหญ่ใส่ร้ายข้าแล้วจริงๆ”
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไปขอเหล้าอีกครึ่งถ้วยมาจากลูกค้าโต๊ะหนึ่ง ยังไม่ลืมชูชามขาวในมือให้เตี๋ยจ้างเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง
เตี๋ยจ้างทำงานง่วนอยู่นาน แต่ก็ยังเห็นว่าเจ้าหมอนั่นยังนั่งอยู่ที่เดิม
เตี๋ยจ้างจึงเดินไปหา อดไม่ไหวถามว่า “มีเรื่องในใจหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า เพียงแต่ว่าจากนั้นก็พยักหน้าอีก เขามองไปยังทิศไกลพลางเอ่ยว่า “มีเรื่องในใจ แต่ก็ล้วนเป็นเรื่องดี มักจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ โดยเฉพาะได้เห็นฟ่านต้าเช่อแล้วก็ยิ่งรู้สึกเช่นนี้”
คีบผักดองขึ้นมาหนึ่งคำ เฉินผิงอันเคี้ยวกับแกล้ม ดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วก็ยิ้มตาหยี
เตี๋ยจ้างหิ้วม้านั่งมานั่งอยู่ด้านข้าง
มีลูกค้ายิ้มเอ่ยว่า “เถ้าแก่รอง อย่าได้คิดไม่ซื่อกับแม่นางเตี๋ยจ้างของพวกเราล่ะ แต่.ต่อให้คิดจริงๆ ก็ไม่เป็นไร แค่เลี้ยงเหล้าข้าหนึ่งกา เอาแบบกาล่ะห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะน่ะ ถือเสียว่าเป็นค่าปิดปาก!”
เฉินผิงอันชูนิ้วกลางขึ้นสูง
เตี๋ยจ้างไม่ถือสาเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับคนในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ก็ไม่พิถีพิถันในเรื่องนี้จริงๆ ต่อให้เตี๋ยจ้างจะเป็นคนมีความคิดละเอียดอ่อนแค่ไหนก็ไม่รู้สึกอึดอัด เพราะหากอึดอัดขัดเขินจริงๆ นั่นต่างหากถึงจะแสดงว่าในใจคิดไม่ซื่อ
นอกจากนี้ เรื่องของการรู้หนักรู้เบา เตี๋ยจ้างก็ยังไม่เคยเห็นคนวัยเดียวกันคนไหนทำได้ดีกว่าเฉินผิงอัน
ความรู้สึกที่เฉินผิงอันมีต่อหนิงเหยา ไม่ว่าจะมิตรหรือศัตรู ขนาดคนตาบอดก็ยังมองเห็น เดินทางไกลเป็นหมื่นลี้มาจากใต้หล้าไพศาล อีกทั้งยังเป็นครั้งที่สองแล้ว และยังจะรอการเปิดฉากของสงครามใหญ่ครั้งถัดไป ต้องการออกจากหัวกำแพงเมืองไปพร้อมนาง สังหารศัตรูเคียงบ่าเคียงไหล่กับนาง บางทีอาจมีคนจงใจนินทาลับหลังด้วยคำพูดไม่น่าฟัง แต่ความจริงเป็นเช่นไร อันที่จริงคนส่วนใหญ่ล้วนรู้กันดี
วันนี้เฉินผิงอันดื่มเหล้าไปไม่น้อยเลยจริงๆ
“พวกเราปฏิบัติต่อคนอื่น ต่อเรื่องราว ต่อวิถีทางโลกใบนี้อย่างที่ไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย เข้าใจไปเองว่าทำถูกแล้ว ดังนั้นความสุขความทุกข์ การพบการพรากของทั้งตัวเองและของคนที่อยู่ข้างกาย จึงยากที่จะช่วยเหลือ ยากที่จะแก้ไข และยากที่จะปกป้องรักษาเอาไว้ได้”
“อายุน้อย สามารถเรียนรู้ได้ พุ่งชนกำแพงทำผิดไปครั้งแล้วครั้งเล่า อันที่จริงไม่จำเป็นต้องกลัว หากทำผิดก็แก้ไขให้ถูกต้อง หากทำดีก็เปลี่ยนให้ดียิ่งกว่าเดิม ต้องกลัวอะไรกัน กลัวก็แต่ว่าจะเป็นอย่างฟ่านต้าเช่อที่ถูกสวรรค์เอาไม้ฟาดลงบนหลุมหัวใจ ถูกตีจนสับสนมึนงงไปหมด จากนั้นก็เริ่มโทษฟ้าโทษคน รู้หรือไม่ว่าเหตุใดฟ่านต้าเช่อถึงดึงดันจะให้ข้านั่งลงดื่มเหล้า อีกทั้งยังพูดกับข้าหลายคำ แต่ไม่ได้คิดจะพูดกับพวกเฉินซานชิว? เพราะส่วนลึกในใจของฟ่านต้าเช่อรู้ดีว่า ในอนาคตเขาไม่จำเป็นต้องมาที่ร้านเหล้าแห่งนี้อีกก็ได้ แต่เขาไม่อาจสูญเสียเพื่อนที่แท้จริงอย่างพวกเฉินซานชิวไปได้เด็ดขาด”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เตี๋ยจ้างก็ถามว่า “ความทรงจำที่เจ้ามีต่อฟ่านต้าเช่อคงย่ำแย่มากสินะ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ฟ่านต้าเช่อที่ชอบสตรีคนหนึ่งได้เช่นนี้ไม่มีทางทำให้คนรังเกียจได้ แล้วก็เพราะเหตุนี้ ข้าถึงได้ยินดีเป็นคนเลว ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้ากินอิ่มว่างงานก็เลยไม่รู้ควรว่าจะพูดอะไรถึงจะเหมาะกับกาลเทศะงั้นหรือ?”
“เคาะตีใจคนในจุดที่ละเอียดอ่อนที่สุด ไม่ใช่เรื่องที่ผ่อนคลายสักเท่าไร กลับมีแต่จะยิ่งทำให้คนไม่สบายใจมากเท่านั้น”
“แต่หากการที่แรกเริ่มไม่ผ่อนคลาย แล้วจะทำให้คนข้างกายมีชีวิตที่ดียิ่งกว่าเดิม มีชีวิตที่สงบสุขมากกว่าเดิมได้ อันที่จริงสุดท้ายแล้วก็ทำให้ตัวเองผ่อนคลายได้ด้วย ดังนั้นการที่มีความรับผิดชอบต่อตัวเองก่อนจึงสำคัญอย่างมาก ในเรื่องนี้ ความเคารพที่มีต่อศัตรูทุกคน ก็คือความรับผิดชอบที่มีต่อตัวเองอีกอย่างหนึ่ง”
เตี๋ยจ้างเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ปากกลับเอ่ยว่า “ก็ได้ๆ ข้าจะเลี้ยงเหล้าเจ้า!”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด วางตะเกียบไว้ข้างจานกับแกล้ม แล้วหิ้วไหเหล้าเดินจากมา
เฉินผิงอันเดินไปเดินมาก็พลันหันหน้าไปมองทางกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพียงแต่ว่าความรู้สึกประหลาดนั้นเกิดขึ้นแวบเดียวก็หายไป เขาจึงไม่ได้คิดอะไรมาก
……
เฉินชิงตูขมวดคิ้วแน่น เดินออกมาจากกระท่อมด้วยฝีเท้าเนิบช้า แล้วกระทืบเท้าหนักๆ
พละกำลังนั้นเหนือกว่าตอนก่อนหน้านี้ที่เหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่ามาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เสียอีก!
บนหัวกำแพงเมือง คนชุดขาวผู้หนึ่งร่างส่ายไหวไม่หยุดนิ่ง
คือสตรีผู้หนึ่งที่เรือนกายสูงใหญ่อย่างถึงที่สุด นางหันหลังให้ทางทิศเหนือ หันหน้าเข้าหาทิศใต้ ยื่นมือกุมด้ามกระบี่เอาไว้
เฉินชิงตูมองเรือนกายที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งของอีกฝ่าย รู้ดีว่าคงดำรงอยู่ได้ไม่นาน จึงถอนหายใจโล่งอก
เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่เฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงแห่งนี้มานานนับหมื่นปีกลับเผยสีหน้าคิดคำนึงถึงอย่างเข้มข้นออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาค่อยๆ เดินมาตรงมุมกำแพงตรงเท้าของนาง ถามอย่างประหลาดใจว่า “เจ้ามาได้อย่างไร?”
นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “มาพบนายท่านของข้า”
เฉินชิงตูอึ้งตะลึงอยู่นาน “ว่าไงนะ?!”
จากนั้นนางก็เอ่ยว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าไสหัวไปให้ไกลข้าหน่อย”