กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 589.2 วิชากระบี่ในใต้หล้ามาจากฟากฟ้า
เฉินชิงตูยื่นมือออกมาจับกลุ่มแสงที่อยู่ตรงปลายกระบี่ เอ่ยว่า “มากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์พวกนี้ ผู้อาวุโสสามารถเอาไปได้ทั้งหมดเลย ถือเป็นการชดใช้ที่ผู้น้อยถ่วงเวลาการขัดเกลาคมกระบี่ของผู้อาวุโสให้ล่าช้า หากมากกว่านี้อีก ข้าก็ไม่ถือสา เพียงกลัวก็แต่ว่าหลังจบเรื่องเฉินผิงอันรู้เข้าจะรู้สึกไม่ดี”
นางขมวดคิ้ว เก็บกระบี่ยาวลงไป แสงสว่างกลุ่มนั้นหายวับเข้าไปในปลายกระบี่แล้วไหลวนไปอยู่บนตัวกระบี่อย่างเชื่องช้า นางกลับมาอยู่ในท่ากุมด้ามกระบี่อีกครั้ง เฉินชิงตูหันหน้าไปมอง ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้เมื่อผู้อาวุโสหันมามองโลกมนุษย์อีกครั้ง ท่านมีความรู้สึกเช่นไร?”
นางหัวเราะเสียงเย็น “เล็กเกินไป”
เฉินชิงตูพยักหน้ารับ “ก็จริง ดวงดาวและดวงตะวันจันทราในอดีต เมื่ออยู่ภายใต้แสงกระบี่ของผู้อาวุโสก็ยังหม่นหมองไร้สีสัน หรือควรจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่า คนที่สร้างธารดวงดาวพร่างพราวในทุกวันนี้ขึ้นมาก็คือบุคคลอย่างพวกท่านผู้อาวุโส”
ดวงดาวนับหมื่นบนท้องฟ้า ล้วนเป็นซากโครงกระดูกที่ล่องลอย
เฉินชิงตูลุกขึ้นยืน เรือนกายงองุ้มราวกับว่าไม่อาจแบกรับภาระหนักได้ หมื่นปีที่ผ่านมานี้เขาไม่เคยยืดหลังตั้งตรงอย่างแท้จริงมาก่อน
ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าทั้งหลาย นอกจากเซียนกระบี่ใหญ่จำนวนน้อยนิดในโลกมนุษย์แล้ว ทุกคนล้วนไม่เคยมีใครรู้ว่าหากย้อนกลับขึ้นไปหาจุดกำเนิด เวทกระบี่บนโลกนี้ล้วนมาจากฟากฟ้า
ต่อจากนั้นมาถึงจะเป็นวิชาอภินิหารนับพันนับหมื่นอย่างที่ถูกกระบี่ยาวซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากโลกมนุษย์ฟันผ่าให้ร่วงลงมาสู่โลกพร้อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละฝ่าย ถูกมดตัวน้อยบนพื้นดินในโลกที่เดิมทีมีชีวิตอย่างทุกข์ทรมานยากลำบากเก็บเอามาทีละอย่าง จากนั้นถึงได้มีการฝึกตนเพื่อเดินสู่ที่สูง กลายเป็นเซียนบนภูเขา
จากหุ่นเชิดที่เป็นเพียงแค่ต้นกำเนิดของควันธูป จากสัตว์เดรัจฉานที่ถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายเลี้ยงเอาไว้ พลันแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นเจ้าของใต้หล้า นั่นคือช่วงเวลาที่ยาวนานและเต็มไปด้วยความลำบากทุกข์ทรมานช่วงหนึ่ง
เฉินชิงตูก็คือหนึ่งในคนแรกๆ ของโลกมนุษย์ที่เรียนวิชากระบี่ คือผู้ฝึกกระบี่เปิดขุนเขาที่มีวัยวุฒิสูงที่สุด สุดท้ายจึงสามารถร่วมมือกันบุกเบิกเปิดม่านฟ้า การที่กระบี่คือกระบี่ อีกทั้งเหตุใดถึงมีเพียงพลังพิฆาตของผู้ฝึกกระบี่ที่รุนแรงที่สุด ยิ่งใหญ่เหนือฟ้าดิน ก็คือเหตุผลข้อนี้
เพียงแต่ว่าช่วงหลังของสงครามใหญ่ที่ต่อสู้กันจนฟ้าถล่มแผ่นดินทลายครั้งนั้น ภายในของเผ่ามนุษย์เกิดความแตกแยก ผู้ฝึกกระบี่กลายมาเป็นนักโทษอาญา ถูกเนรเทศมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ เผ่าปีศาจถูกขับไล่ให้ไปอยู่ดินแดนกันดารเปลี่ยวร้าง ใต้หล้าไพศาลมีศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางที่สร้างหอพิทักษ์เมืองขึ้นมาเก้าแห่ง ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน นักพรตน้อยขี่วัวสีดำเดินทางไกลไปยังใต้หล้ามืดสลัว สร้างรากฐานของป๋ายอวี้จิง ศาสดาพุทธมีดอกบัวเบ่งบานรองรับใต้ฝ่าเท้า แสงแห่งพระธรรมสาดส่องไปทั่วปฐพี
การสูญพันธ์ของเจียวหลงเมื่อแปดพันปีก่อน เมื่อเทียบกับเรื่องนี้จะนับเป็นอะไรได้
เฉินชิงตูถามเสียงเบา “เหตุใดผู้อาวุโสถึงยินดีเลือกเด็กคนนั้น?”
นางเอ่ยว่า “ฉีจิ้งชุนบอกว่าหมื่นหนึ่งของคนบางคนก็คือหนึ่งหมื่น อยากให้ข้าลองดู”
เฉินชิงตูถามอีก “ต้องผิดหวังอีกครั้งหรือไม่?”
นางยกกระบี่ขึ้นง่ายๆ แล้วจ้วงแทงกระบี่ออกไป
กระบี่แทงทะลุศีรษะของเฉินชิงตู แสงสีทองไหลรินออกมาจากตัวของกระบี่ ราวกับทางช้างเผือกเส้นเล็กๆ ที่ห้อยแขวนอยู่ในโลกมนุษย์
เฉินชิงตูยังคงไม่ขยับ เพียงแค่เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “นิสัยของผู้อาวุโสยังคงไม่ค่อยดีเท่าไรจริงๆ”
นางเอ่ย “นี่ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว”
เฉินชิงตูขยับเท้าเดินเบี่ยงออกไปสองสามก้าวหลบกระบี่เล่มนั้นมา ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเหตุใดตอนนั้นผู้อาวุโสถึงต้องใช้กระบี่ฟันผ่าภูเขาห้อยหัว?”
หากไม่เป็นเพราะหย่าเซิ่งลงมือขัดขวางด้วยตัวเอง อีกทั้งยังเผยตัวในสถานที่ที่อยู่นอกศาลบุ๋นอย่างหาได้ยาก คาดว่าตอนนี้ภูเขาห้อยหัวก็คงพังถล่มไปแล้ว
นางเอ่ย “ตอนนั้นนายท่านหมดสติ ข้าสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง”
เฉินชิงตูกล่าวอย่างจนใจ “ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเจ้านายของผู้อาวุโสจะเป็นเฉินผิงอัน เพียงแต่ว่าลองมาคิดดูอีกครั้งก็เหมือนว่าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น กลับกลายเป็นว่าไม่ถูกต้อง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถูกต้อง หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ใครกันแน่ที่เป็นเจ้านายก็คงบอกได้ยากแล้วจริงๆ”
เฉินชิงตูพลันหัวเราะ “หมากตัวสุดท้ายที่ฉีจิ้งชุนวางลงนี้ จะเป็นฝีมือของเทพเซียนแบบใดกันแน่นะ”
นางเอื้อมมือคว้าง่ายๆ แสงสีทองในตัวกระบี่ก็ถูกกระชากออกมา กลับมารวมตัวกันเป็นกลุ่มแสงที่สว่างพร่างพราวอีกครั้ง ถูกนางกุมไว้ในฝ่ามือแล้วบีบแตกอย่างง่ายดาย นางหัวเราะเสียงหยันเอ่ยว่า “มอบปณิธานกระบี่ให้? เจ้าเฉินชิงตูเนี่ยนะ?”
เฉินชิงตูพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด
นางประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าจะเอามาเอง”
ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนมีแสงสีทองเป็นจุดๆ ผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า
เฉินชิงตูหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แล้วจึงถอนหายใจ คิดจะขวางก็ขวางไม่อยู่จริงๆ เพราะค่าตอบแทนสูงเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาเองก็ไม่แน่ใจในนิสัยของอีกฝ่ายในทุกวันนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ใช้ท่าไม้ตายแล้ว
ดังนั้นคนหนุ่มชุดเขียวที่กำลังสลายกลิ่นเหล้าอยู่บนทางเดินและกำลังจะเดินไปถึงจวนหนิงจึงเดินเซมาโผล่อยู่บนหัวกำแพงเมือง ปรากฏตัวอยู่ข้างกายสตรีร่างสูงใหญ่
ใบหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความสงสัย ตกตะลึงระคนประหลาดใจ เอ่ยเรียกเบาๆ ว่า “พี่สาวเทพเซียน?”
สตรีร่างสูงใหญ่โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งสลายแสงสีทองไปสิ้น กระบี่ยาวในมือก็หายวับไป นางหันตัวกลับมาคลี่ยิ้ม จากนั้นก็โอบกอดเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันรู้สึกทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย เขากางสองแขนออกกว้าง หันหน้าไปมองเฉินชิงตูด้วยสีหน้าไร้เดียงสา ผลกลับถูกนางกดศีรษะให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง
เฉินชิงตูหลับตาลง จากนั้นก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ตนไม่ได้ตาฝาดจริงๆ ด้วย
ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ท่านนี้ยกมือมานวดคลึงจุดไท่หยางของตัวเอง ก่อนหน้านี้โดนไปหนึ่งกระบี่จะไม่เจ็บได้หรือ?
เฉินผิงอันใบหน้าแดงก่ำ ยังดีที่นางปล่อยมือแล้ว นางค้อมเอวก้มหน้าลงน้อยๆ ประสานสายตากับเขานิ่ง แล้วนางก็ยิ้มตาหยี พูดเสียงอ่อนโยนว่า “นายท่านสูงขึ้นอีกแล้วนะ”
เห็นว่านางทำท่าจะกางสองแขนออกอีกครั้ง เฉินผิงอันก็รีบยื่นมือไปกดสองแขนของนางลงเบาๆ ยิ้มเจื่อนอธิบายว่า “หากหนิงเหยามาเห็นเข้า ข้าตายแน่”
นางทำสีหน้าเจ็บปวด ยื่นมือมากดตรงหัวใจตัวเองเอาไว้ “ไม่กลัวว่าข้าจะเสียใจตายไปก่อนบ้างหรือ?”
ในดวงตาของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยประกายแสงแปลกตา เขาคลี่ยิ้มกว้างสดใส หันหน้าไปมองม่านฟ้า ชูแขนขึ้นสูงแล้วชี้ไปยังดวงจันทร์ทั้งสามดวง ถามว่า “พี่สาวเทพเซียน ข้าได้ยินมาว่าหากใต้หล้าแห่งนี้ขาดดวงจันทร์ไปสองดวงก็ยังไม่เป็นไร เพราะสี่ฤดูกาลก็จะยังคงหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนไปดังเดิม สรรพสิ่งยังคงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามปกติ ถ้าอย่างนั้นจะเป็นไปได้ไหมที่สักวันหนึ่งพวกเราจะฟันดวงจันทร์ดวงหนึ่งให้ร่วงลงมาแล้วเอากลับบ้านไป? ยกตัวอย่างเช่นพวกเราสามารถแอบเอาไปไว้ในพื้นที่มงคลรากบัวบ้านของพวกเรา”
นางแหงนหน้าขึ้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วันนี้ไม่ได้ วันหน้าไม่ยาก”
เฉินชิงตูยืนอยู่ด้านข้างด้วยความรู้สึกว่า มารดามันเถอะ ข้าอึดอัดจะตายห่าอยู่แล้ว
นางชำเลืองตามองเฉินชิงตู
เฉินชิงตูจึงเดินจากมา
เพียงแต่ว่าก่อนจะจากไป เฉินชิงตูพูดประโยคหนึ่งที่คล้ายไม่ใส่ใจว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่เอาไปฟ้องแม่หนูหนิงหรอก”
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับ ยิ้มพูดด้วยสายตากระจ่างใส “ข้าจะบอกนางด้วยตัวเอง”
นางยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ยังคงยิ้มตาหยี
เพียงแต่ว่าในทะเลสาบหัวใจของเฉินชิงตูกลับมีคำสามคำดังขึ้นมาราวกับอสนีกัมปนาท “ไปตายไกลๆ”
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลัง เดินจากไปช้าๆ
เฉินผิงอันเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ เดินเคียงบ่าไปกับวิญญาณกระบี่
สำหรับแม่น้ำแห่งกาลเวลา เฉินผิงอันคุ้นเคยจนคุ้นเคยไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ยามที่เดินอยู่ในนี้ เขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกทรมาน กลับกันยังเป็นเหมือนปลาได้น้ำ ความเจ็บปวดเล็กน้อยจากการที่จิตวิญญาณสั่นสะเทือนจะนับเป็นอะไรได้ หากไม่ใช่เพราะยังต้องรักษาหน้าตาเอาไว้บ้าง หากวิญญาณกระบี่ไม่เดินอยู่ข้างกาย เฉินผิงอันคงชักเท้าวิ่งตะบึงไปแล้ว เพราะถึงอย่างไรผลประโยชน์ที่ได้รับเมื่อร่างอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่หยุดนิ่งก็แทบจะเรียกได้ว่าได้แต่พบเจอแต่มิอาจได้มาครอบครอง
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “มาได้อย่างไร? อาจารย์ของข้าไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนมาหรือ?”
นางพยักหน้ารับ
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงกังวลว่าลูกศิษย์คนสุดท้ายอย่างตนจะอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างไม่เป็นสุข แน่นอนว่าซิ่วไฉเฒ่าก็เอ่ยกับนางอย่างตรงไปตรงมาว่า ตาแก่หนังเหนียวอย่างเฉินชิงตูผู้นี้ ไม่เห็นแก่หน้าเขาซิ่วไฉเฒ่าก็แล้วไปเถิด ทำไมแม้แต่หน้าตาของอาจารย์เฉินผิงอันก็ยังไม่ยอมเห็นอยู่ในสายตา แบบนี้มันสมควรแล้วหรือ? นี่ไม่ใช่ว่าไม่เห็นแม้แต่หน้าของลูกศิษย์เขา ของเจ้านายนางหรอกหรือ? ใครให้เฉินชิงตูยืมดีสุนัขถึงได้ใจกล้าเช่นนี้
เฉินผิงอันเอ่ย “เดิมทีนึกว่าต้องรออีกหลายสิบปีถึงจะได้พบกัน”
นางยิ้มกล่าว “เรื่องของการลับกระบี่ หน้าผาสังหารมังกรของศาลลมหิมะนั้นล้วนกินไปหมดแล้ว นายท่านโปรดวางใจ ข้ายังพอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง แรกเริ่มพอศาลลมหิมะค้นพบเบาะแสก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ผู้ฝึกตนที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นั่นไม่ว่าใครก็ไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม จากนั้นเด็กตัวเท่าก้นหน้าอ่อนเยาว์คนหนึ่งก็แอบไปที่ภูเขาหลงจี๋มารอบหนึ่ง ทำตัวมีมารยาทเป็นอย่างดี ข้าจึงไปพบเขา ถ่ายทอดวิชากระบี่หนึ่งบทให้แก่ศาลลมหิมะเป็นการตอบแทน อีกฝ่ายดีใจมาก เพราะถึงอย่างไรข้าก็ช่วยให้เขาฝ่าทะลุขอบเขต ต่อจากนี้ก็เป็นแถบของหร่วนฉง หร่วนฉงตอบตกลงแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ราชสำนักต้าหลีถึงได้เริ่มหาที่ตั้งสำนักแห่งใหม่ให้แก่สำนักกระบี่หลงเฉวียนแล้ว หร่วนฉงค่อนข้างฉลาด ไม่ได้มีข้อเรียกร้องอะไร พอข้าอารมณ์ดีก็เลยสอนวิชาหลอมกระบี่บทหนึ่งให้แก่เขา ไม่อย่างนั้นด้วยขอบเขตเละเทะนั่นของเขา เรื่องอะไรที่คิดถึงก็เป็นได้แค่ความเพ้อฝันอย่างเลื่อนลอยเท่านั้น ส่วนแท่นสังหารมังกรของภูเขาเจินอู่ก็ช่างเถิด เกี่ยวพันกับหลายฝ่ายมากเกินไป ง่ายที่จะชักนำปัญหามาได้ ข้าน่ะยังไงก็ได้ แต่นายท่านจะต้องปวดหัวอย่างมาก”
เรื่องบางอย่างไม่ใช่ว่านางทำไม่ได้ เพียงแต่ก็เหมือนอย่างที่เฉินชิงตูเป็นกังวลว่าใครกันแน่ถึงจะเป็นเจ้านาย เมื่อทำไปแล้วก็จะกลายเป็นปัญหาสำหรับเฉินผิงอัน
หลักการเหตุผลบางอย่าง อันที่จริงเฉินชิงตูพูดได้ไม่ผิดแม้แต่น้อย เพียงแต่นางรู้สึกว่าคนอย่างเฉินชิงตูไม่มีสิทธิ์จะมาพูดจาติติงวิพากษ์วิจารณ์นาง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “สักวันหนึ่ง ยามอยู่ต่อหน้าข้า ปัญหาก็เป็นแค่ปัญหาเท่านั้น”
นางดีใจอย่างถึงที่สุด
อ้อมไปอ้อมมา เดิมนึกว่าจะแยกทางไปไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ หากเป็นเช่นนี้ ไม่ถึงขั้นผิดหวังหรือไม่ผิดหวังอะไร เพียงแต่ว่าก็ยังอดเสียดายอยู่บ้างไม่มากก็น้อย คิดไม่ถึงว่าถึงท้ายที่สุด กลับกลายเป็นว่าเขากลายเป็นคนส่งกระบี่ที่ในใจตัวเองต้องการพอดี
นางยิ้มถาม “หากนายท่านสามารถเดินขึ้นสู่ที่สูงได้ สรุปแล้วอยากกลายเป็นคนแบบใดกันแน่?”
“พูดจามีเหตุผล ก้าวเดินมีเส้นทาง”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “จากนั้นก็ส่งกระบี่ออกไปนอกฟ้า หนึ่งหมัดปล่อยออกไป ทำให้ผู้ฝึกยุทธในใต้หล้ารู้สึกเพียงว่าสวรรค์อยู่เบื้องบน”