กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 591.2 ฝนพรำติดต่อจนไม่รู้ว่าฤดูใบไม้ผลิกำลังจะจากไป
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 591.2 ฝนพรำติดต่อจนไม่รู้ว่าฤดูใบไม้ผลิกำลังจะจากไป
เยี่ยนจั๋วยิ้มกล่าว “นี่จะควักเงินแล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้นยังจะมีเจ้ามืออีกได้อย่างไร?”
ต่งฮว่าฝูเอ่ย “เดิมทีแบ่งกันสี่กับหนึ่ง ตอนนี้เป็นข้าสามเจ้าสองแล้ว”
เยี่ยนจั๋วเอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “ตกลง!”
เตี๋ยจ้างเองก็พลิกอ่านตราประทับพวกนั้น
มีประโยค ‘แสงจันทร์ใสกระจ่าง’
และยังมี ‘เด็กหนุ่มฝันเก่า ลมพัดฝนหวาน’
‘หนึ่งชีวิตก้มหัวกราบเซียนกระบี่’ ‘ทิศเหนืออยู่เบื้องหลัง ดวงเนตรงดงาม’
‘กวางส่งเสียงร้อง เสียงนกกังวานใส พาให้อาลัยอาวรณ์’
“ที่แห่งนี้ปราณกระบี่ยาวสุดในใต้หล้า’
‘มิกล้าพกกระบี่ขึ้นหัวกำแพงเมือง ด้วยกลัวขับไล่จันทร์สามดวงให้ถอยหนี’
ตอนที่เตี๋ยจ้างพลิกตราประทับชิ้นสุดท้ายนี้ เยี่ยนจั๋วพลันตาแดงก่ำ พูดกับเฉินผิงอันเสียงสั่นว่า “หากข้าต้องการตราประทับชิ้นนี้จะคิดเงินกันอย่างไร?”
เตี๋ยจ้างตะลึงงันไปเล็กน้อย ต่งฮว่าฝูก็ตกใจเช่นกัน
แต่เฉินซานชิวกลับมีสีหน้าเศร้าโศก
หลังจากที่บิดาของเยี่ยนจั๋วไม่มีแขนสองข้างแล้ว นอกจากครั้งที่แบกเจ้าอ้วนเยี่ยนที่บาดเจ็บสาหัสออกมาจากหัวกำแพงเมืองแล้ว เขาก็ไม่เคยขึ้นไปชมทัศนียภาพทิศไกลบนหัวกำแพงอีกเลย
เฉินผิงอันรับตราประทับมาจากมือของเตี๋ยจ้างเบาๆ แล้วยื่นส่งให้เยี่ยนจั๋ว “ทำการค้า พิถีพิถันในเรื่องการคิดบัญชีให้ชัดเจนแม้กระทั่งกับพี่น้องแท้ๆ ตราประทับชิ้นนี้ข้ามอบให้เจ้า ไม่ได้คิดจะขายเสียหน่อย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงิน”
……
ตอนที่หนิงเหยามาถึงที่นี่ก็เห็นว่าพวกเจ้าอ้วนเยี่ยนเดินถือร่มอยู่หน้าประตูกำลังจะกลับกันพอดี หลังจากที่หนิงเหยาเดินเข้าไปในลานบ้านพร้อมกับเฉินผิงอันก็ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เฉินผิงอันอธิบายให้ฟังคร่าวๆ หนิงเหยาจึงไปที่ห้องเก็บตราประทับ นั่งลงด้านข้าง หยิบตราประทับชิ้นหนึ่งขึ้นมา “หลายวันมานี้เจ้ามัวยุ่งกับเรื่องพวกนี้หรือ? คงไม่ได้แค่เพื่อหาเงินอย่างเดียวกระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่เพื่อหาเงินจริงๆ นั่นแหละ”
หนิงเหยาเอ่ย “เมื่อครู่ป๋ายหมัวมัวบอกแล้วว่า วัตถุดิบวิเศษฟ้าดินที่ช่วยหล่อหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สี่แอบรวบรวมได้ครบถ้วนแล้ว วางใจเถอะ วัตถุทั้งหลายที่อยู่นอกคลังของจวนหนิง ท่านปู่น่าหลันเป็นคนดูแลด้วยตัวเอง ไม่มีใครเล่นตุกติกได้แน่นอน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ควรจะพยายามให้มากขึ้นแล้วจริงๆ วันๆ อยู่รวมกับกลุ่มของผู้อาวุโสโอสถทอง ต้องคอยระมัดระวังรอบคอบ ทำเอาข้าไม่กล้าพูดจาเสียงดังเลยด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเส้นเอ็นหลิวที่ยอดเขาสิงโตของอุตรกุรุทวีป ตอนนี้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่ปราณกระดูก ผู้ฝึกตนลัทธิขงจื๊อที่อยู่ในขอบเขตนี้จะมีข้อได้เปรียบด้านสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ความสามารถในการหล่อเลี้ยงลมปราณโดดเด่นที่สุด ส่วนขอบเขตที่ห้าของผู้ฝึกลมปราณอย่างขอบเขตสร้างกระท่อมที่ ‘มนุษย์มีชีวิตอยู่ในฟ้าดิน เรือนกายคือเตาหลอม’ นั้น ผู้ฝึกลมปราณของสองลัทธิอย่างเต๋าและพุทธกลับมีข้อได้เปรียบมากกว่า การที่สามลัทธิอยู่เหนือเมธีร้อยสำนัก สองขอบเขตนี้ต่างก็ถือเป็นข้อได้เปรียบที่เด่นชัดอย่างถึงที่สุด แล้วก็เป็นสาเหตุที่สำคัญมากข้อหนึ่ง ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่แม้ว่าจะขอบเขตต่ำ แต่กลับถูกขนานนามให้เป็นห้าขอบเขตขึ้นเขา คือรากฐานของมหามรรคา
หลังจากนี้จะเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตของห้าขอบเขตกลางได้หรือไม่ก็สำคัญอย่างถึงที่สุดเหมือนกับว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจะสามารถฝ่าด่านแห่งความเป็นตายด่านที่สามนี้ไปได้หรือไม่
หนิงเหยาฟุบตัวลงบนโต๊ะ พลิกดูตราประทับทีละชิ้นพลางเอ่ยเนิบช้าว่า “ประตูจวนเปิดอ้ารับลมปราณ ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์มีทะเลมปราณแตกแยกออกไปเป็นร้อยสาย นี่ก็คือขอบเขตถ้ำสถิต นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผู้ฝึกตนจึงจะสามารถหลอมปราณวิญญาณฟ้าดินได้อย่างเป็นขั้นตอนอย่างแท้จริง ช่องโพรงลมปราณสามร้อยห้าสิบหกแห่งก็เหมือนถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติสามร้อยห้าสิบหกแห่งที่กำลังรอให้ผู้ฝึกตนเดินขึ้นเขามาสร้างกระท่อมฝึกตน เหมือนอย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรานี้จะสามารถฟูมฟักตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดได้หรือไม่ ก็คือเส้นแบ่งระหว่างผู้มีพรสวรรค์กับคนธรรมดาทั่วไป หลักการเดียวกัน ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เผ่าปีศาจจะสามารถจำแลงร่างกลายเป็นมนุษย์โดยเร็ว หันมาฝึกตนหลอมลมปราณด้วยร่างของมนุษย์ได้หรือไม่ นี่ก็เป็นกุญแจสำคัญเช่นกัน ในชั้นของถ้ำสถิตนี้ ผู้ฝึกตนชาย หากช่องโพรงเปิดออกเก้าแห่งก็จะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตชมมหาสมุทร แต่สตรีจะยากลำบากกว่าเล็กน้อย จำเป็นต้องเปิดช่องโพรงสิบห้าแห่ง ดังนั้นจำนวนของผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นขอบเขตถ้ำสถิตจึงมีเยอะกว่าผู้ชายมากนัก เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตชมมหาสมุทรกลับมีพลังการรบสู้ผู้ชายไม่ได้”
“เจ้าค่อนข้างพิเศษเพราะมีช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตสามแห่ง แล้วก็มีช่องโพรงอีกสามแห่งที่ถูกปราณกระบี่อาบย้อมมานานหลายปี บวกกับที่การไปกลับของปราณกระบี่สิบแปดหยุด และยังมีชูอีกับสืออู่เฝ้าพิทักษ์ช่องโพรงสองแห่งในนั้น จึงถือว่ามีห้าช่องโพรงครึ่งแล้ว รอจนเจ้าหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เหลืออีกสองชิ้น พอจะรวบรวมครบห้าธาตุได้ นั่นก็เท่ากับว่าเปิดถ้ำได้เจ็ดแห่งครึ่งแล้ว ขอแค่เจ้าเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิต ก็ไม่แน่ว่าอาจสามารถฝ่าทะลุขอบเขตกลายเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรได้อย่างรวดเร็ว เดิมทีขอบเขตถ้ำสถิตก็พูดถึงการที่ประตูใหญ่ของจวนเปิดออกกว้างต้อนรับผู้มาเยือนจากแปดทิศ ผู้ฝึกตนทั่วไปจะต้องเจอกับความยากลำบากอย่างยิ่งในขอบเขตนี้ เพราะไม่อาจแบกรับความทรมานจากปราณวิญญาณที่กรอกเทเข้ามาราวกับกระแสน้ำขึ้นได้ ถูกมองว่าเป็นอุทกภัยอย่างหนึ่ง หากเรือนกายที่เป็นเนื้อหนังมังสาและจิตวิญญาณไม่มั่นคง ส่วนใหญ่แล้วเมื่อเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนก็มักจะเดินสามก้าวถอยสองก้าว ยากที่จะก้าวเดินไปเบื้องหน้าได้ เจ้าไม่กลัวเรื่องนี้มากที่สุด ขอบเขตชมมหาสมุทรต่อจากนี้ สำหรับเจ้าแล้วก็ไม่ใช่ด่านใหญ่อะไร ขณะเดียวกันเจ้าก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง ลมปราณที่แท้จริงหมุนเวียนอย่างดุดัน เดิมทีผู้ฝึกตนควรจะสั่งสมปราณวิญญาณทีละนิด แล้วจึงค่อยๆ บุกเบิกขยับขยายเส้นทาง สำหรับเจ้าแล้วก็ไม่ใช่ปัญหายากใดๆ มีเพียงไปถึงขอบเขตประตูมังกร เจ้าถึงจะต้องเจอกับความยุ่งยากอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลำบากเจ้าแล้ว”
เรื่องยิบย่อยพวกนี้นางต้องไปถามมาจากน่าหลันเย่สิงอย่างแน่นอน
เพราะเดิมทีการฝึกตนของหนิงเหยาก็ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้
หนิงเหยาหยิบตราประทับชิ้นหนึ่งขึ้นมากำไว้ในฝ่ามือแล้วแกว่งเบาๆ เอ่ยชวนคุยว่า “เจ้าน่าจะรู้เรื่องพวกนี้ชัดเจนดียิ่งกว่าข้า ถ้าอย่างนั้นก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกัน”
เฉินผิงอันเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ วางคางบนแขนอีกที สายตามองตราประทับเหล่านั้น
ด้านนอกฝนตกไม่หยุด หนึ่งเดือนมานี้ฝนตกค่อนข้างบ่อย
ฝนพรำติดต่อกัน ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะจากไปโดยไม่รู้ตัว
เฉินผิงอันเบี่ยงหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ที่บ้านเกิด เคยมีครั้งหนึ่งที่เผยเฉียนลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนนั่งอยู่กับอาจารย์ของนางบนบันไดขึ้นเขา เผยเฉียนมองสายลมที่พัดต้นสนต้นป่าย เงาต้นไม้ไหวพะเยิบพะยาบ นางแอบบอกกับอาจารย์ตัวเองว่า ขอแค่นางตั้งใจมอง ไม่ว่าสิ่งใดบนโลกใบนี้ จะเป็นสายน้ำไหลหรือว่าการเดินของคน ล้วนช้ามากๆ มากจนนางร้อนใจแทนพวกมัน
และเผยเฉียนก็มักจะฟุบตัวบนราวระเบียงของชั้นสองเรือนไม้ไผ่ มองดูฝนตกหรือไม่ก็หิมะตกกับหน่วนซู่และหมี่ลี่ มองแท่งน้ำแข็งที่ห้อยย้อยอยู่ใต้ชายคา ในมือถือไม้เท้าเดินป่ายกขึ้นฟาดพวกมันจนแตกกระจาย จากนั้นก็ถามสหายว่าเวทกระบี่ของตนเป็นอย่างไร บางครั้งที่หมี่ลี่ถูกรังแกอย่างหนักก็จะพาลโมโหใส่เผยเฉียน ตะเบ็งเสียงดังลั่นบอกเผยเฉียนว่าวันหน้าข้าจะไม่เล่นกับเจ้าแล้ว เสียงนั้นคาดว่าแม้แต่เจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ตรงตีนเขาก็น่าจะยังได้ยิน จากนั้นหน่วนซู่ก็จะทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย เผยเฉียนก็จะมอบทางลงให้กับหมี่ลี่ เพียงไม่นานก็กลับมาพูดคุยหัวเราะกันสนุกสนานได้อีก แต่ตอนที่เฉินผิงอันอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียนย่อมไม่กล้าเอาผ้าปูที่นอนมาทำเป็นเสื้อคลุมแล้วพาหมี่ลี่วิ่งเล่นไปทั่วอย่างแน่นอน
พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ อันที่จริงหากตั้งใจมองก็จะเห็นความน่ารักร่าเริงไม่แบบนี้ก็แบบนั้น
ยกตัวอย่างเช่นบางครั้งที่เฉินผิงอันไปฝึกกระบี่บนหัวกำแพงจะจงใจบังคับเรือยันต์ให้จอดลงในจุดที่ค่อนข้างห่างไปไกล จะได้เห็นเด็กกลุ่มหนึ่งยืนเรียงกันฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพง ขยับก้นดุกดิก ชี้ไม้ชี้มือใส่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่ทางทิศใต้พลางเล่าเรื่องหลากหลาย บ้างก็ง่วนอยู่กับการจัดอันดับสูงต่ำให้แก่เหล่าเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลำพังเพียงแค่เรื่องที่ว่าในกลุ่มของเซียนกระบี่ผู้เฒ่าทั้งสามท่านอย่างต่งซานเกิง เฉินซีและฉีถิงจี้ ใครกันแน่ที่ร้ายกาจยิ่งกว่ากัน พวกเด็กๆ ก็เถียงกันจนหน้าแดงคอขึ้นเอ็นแล้ว หากรวมเซียนกระบี่ทุกคนในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เข้าไปด้วย นั่นก็ยิ่งต้องมีลงไม้ลงมือกันบ้าง
ได้ยินว่ากวอจู๋จิ่วที่อยู่ในบ้านก็ฝึกหมัดอยู่เป็นประจำ ก่อนฝึกหมัดนางจะเป่าลมใส่ฝ่ามือหนึ่งที แล้วบังคับปราณวิญญาณตะโกนประโยคหนึ่งว่านี่คือฝ่ามือเปลวเพลิงของข้า แล้วก็ร้องฮื่อฮ่าปล่อยกระบวนท่าหมัดนี้ตั้งแต่หน้าประตูใหญ่ของบ้านไปจนถึงสวนดอกไม้ด้านหลัง พอไปถึงสวนดอกไม้ก็จะต้องทำท่ากดลมปราณสู่จุดตันเถียน ยืนท่าไก่ทองขาเดียว ตามด้วยท่าเท้าพายุหมุนตัวสิบแปดรอบ ต้องห้ามขาดห้ามเกินแม้แต่รอบเดียว น่าสงสารดอกไม้ลำค่าที่เซียนกระบี่กวอเจี้ยอุตส่าห์ตั้งใจฟูมฟักทะนุถนอมเหล่านั้น หมัดและเท้าไร้ตา พืชพรรณที่ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วยจึงมีมากมาย จนถึงท้ายที่สุดตลอดทั้งจวนกวอก็ไก่บินหมากระโดดอลหม่านวุ่นวาย ทุกคนต่างก็กังวลว่าแม่หนูนี่จะธาตุไฟเข้าแทรก ไม่แน่ว่าเซียนกระบี่กวอเจี้ยอาจเสียใจภายหลังแล้วที่กักบริเวณบุตรสาวคนนี้ไว้ในบ้าน
ทุกวันนี้เมื่อเฉินผิงอันไปนั่งที่มุมหัวเลี้ยวของตรอกร้านเหล้าอีกครั้ง บางครั้งจางเจียเจินก็จะแวะมา ส่วนเด็กตัวเท่าก้นที่กอดไหเงินอยากเรียนวิชาหมัดก่อนใครผู้นั้นก็จะเป็นคนที่ยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งข้างกายเขาก่อนใคร ดังนั้นเมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกันแล้ว เขาจึงได้ฟังเรื่องเล่าอัศจรรย์พันลึกระหว่างขุนเขาสายน้ำมากกว่า ได้ยินว่าอาศัยเรื่องราวที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหล่านี้ ทำให้ตอนนี้เขาสนิทกับแม่นางน้อยหน้าตางดงามในตรอกติดกันอยู่มาก มีครั้งหนึ่งเล่นพ่อแม่ลูกกัน ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องเป็นแค่สารถี คนแบกเกี้ยว หรือคนงานอะไรอีกแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้เป็นสามีภรรยากับแม่นางน้อยคนนั้น ภายหลังตอนที่มานั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เด็กชายก็หัวเราะอย่างโง่งมอยู่เป็นนาน
ในห้องเงียบสงัดไร้เสียงใด เป็นความเงียบที่ดังชัดยิ่งกว่ามีเสียง
ภายหลังเฉินผิงอันก็ไปที่หัวกำแพงเมืองมาอีกรอบ ยังคงไม่อาจเดินเข้าใกล้ในระยะสามสิบก้าวได้ ดังนั้นศิษย์น้องเล็กจึงยังเป็นศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่ใหญ่ยังคงเป็นศิษย์พี่ใหญ่
ฝึกกระบี่เสร็จ จั่วโย่วก็ถามเจ้าคนน่าสงสารที่หยิบขวดยาออกมาทาว่ามีคำพูดอะไรจะฝากไปบอกอาจารย์หรือไม่
การฝึกกระบี่สองครั้งล่าสุดนี้ จั่วโย่วค่อนข้างรู้หนักรู้เบา
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร!”
จั่วโย่วจึงถามว่า “กิจการร้านเหล้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฉินผิงอันกล่าว “ดีมาก”
จั่วโย่วหันหน้ามามอง
เฉินผิงอันจึงรีบพูดเสริมเหมือนคนวัวหายล้อมคอกทันทีว่า “แต่ว่ายังต้องรบกวนให้ศิษย์พี่ช่วยปักบุปผาลงบนผ้าแพร”
จั่วโย่วถึงได้ไม่เอาเรื่องต่อ แต่เปลี่ยนหัวข้อคุย “ถามฟ้าตอบฟ้าที่บอกเจ้าก่อนหน้านี้ เจ้าได้อ่านหรือยัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “อ่านแล้ว”
จั่วโย่วเอ่ย “เจ้ามาตอบคำถามหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามข้อ”
เฉินผิงอันตั้งตัวไม่ทันเล็กน้อย จั่วโย่วกลับเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “เริ่มได้แล้ว หากมีข้อไหนที่ไม่รู้ก็ข้ามไป”
เฉินผิงอันจึงแข็งใจอธิบายไปทีละข้อ ตอบคำถามได้ประมาณครึ่งหนึ่งอย่างถูไถ
จั่วโย่วเอ่ย “คำตอบคืออย่างไรไม่สำคัญ ก่อนหน้าที่อาจารย์จะกลายเป็นอริยะ การอภิปรายครั้งหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็เป็นแค่การถกเถียงเรื่องสองเรื่องเท่านั้น เรื่องแรกคือ ‘จะศึกษาหาวิชาความรู้อย่างไร’ คือการลงมือไปทีละเรื่องทีละอย่าง สั่งสมไปอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ สร้างคุณความชอบ หรือจะต้องกำหนดเรื่องใหญ่ในชีวิตเอาไว้ก่อน ไม่อาจจมจ่อมอยู่กับเรื่องยิบย่อยด้วยดวงตาที่มืดบอดได้ อันที่จริงเมื่อหวนกลับมามองดู ผลลัพธ์เป็นอย่างไร สำคัญไหม? อริยะปราชญ์ทั้งสองท่านไม่เพียงแต่เถียงกันไม่เลิก หากจะต้องเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้จริงๆ อริยะปราชญ์ทั้งสองท่านจะกลายเป็นอริยะปราชญ์ได้อย่างไร? ตอนนั้นอาจารย์ก็บอกกับข้าแล้วว่า เรื่องการศึกษาหาความรู้ มีได้ทั้งความละเอียดลึกซึ้งและเรียบง่าย คนหนุ่มเรียนหนังสือกับคนแก่ศึกษาหาความรู้คือขอบเขตสองอย่าง ตอนเป็นเด็กหนุ่มก็ควรครุ่นคิดให้มากและคิดให้ลึกซึ้ง แต่พอแก่กลับหวนสู่จุดดั้งเดิมด้วยการแสวงหาความเรียบง่าย ส่วนจำเป็นต้องตั้งปณิธานยิ่งใหญ่ไว้ก่อนหรือไม่ก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น หากตั้งปณิธานเอาไว้แต่เนิ่นๆ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหยัดยืนได้จริง แต่แน่นอนว่าก็ยังดีกว่าไม่มีเสียเลย หากไม่มี ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ตอนอยู่บนเส้นทางของการเล่าเรียนก็ไม่สู้ค่อยๆ สั่งสมไปจนกลายเป็นภูเขา เดิมทีความรู้บนโลกก็ไม่มีค่ามากที่สุดอยู่แล้ว ก็เหมือนถนนใหญ่เส้นหนึ่งที่มีบ้านหลังโตโอ่อ่าตั้งเรียงราย มีสวนดอกไม้อยู่นับไม่ถ้วน มีคนเพาะปลูก แต่กลับไม่มีคนเฝ้าดูแล ประตูเรือนเปิดอ้า สวนถูกเหยียบย่ำจนเละ ไม่ว่าใครก็สามารถมาเด็ดมาปลิดเอากลับไปพร้อมผลเก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “อาจารย์มีความรู้กว้างขวาง ศิษย์พี่มีความรู้ที่แข็งแกร่ง”
จั่วโย่วอดไม่ไหวหันหน้ากลับมาถามว่า “เจ้าไม่เคยอยู่ข้างกายอาจารย์นานๆ มาก่อน ไปเรียนรู้คำพูดพวกนี้มาจากไหน?”
เฉินผิงอันพูดอย่างน้อยใจ “ก็จากในตำราน่ะสิ โดยเฉพาะผลงานของอาจารย์ ข้าอ่านจนจำได้ขึ้นใจแล้ว”
จั่วโย่วตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “ดีมาก”