กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 594.2 มีคนร่วมปณิธานเดินทางมาจากทิศไกล
ช่วงเสี่ยวหม่าน ดวงตะวันลอยสูงกลางนภา
เฉินผิงอันที่มาร้านเหล้าแต่ไม่ได้ดื่มเหล้า แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองโดนด่าไปกี่มากน้อยหิ้วม้านั่งไปนั่งที่มุมหัวเลี้ยวของตรอก อธิบายประวัติความเป็นมาของยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาลให้กับพวกเด็กๆ ที่กลับมารวมตัวกันใหม่และมีจำนวนเพิ่มกว่าเดิมอีกครั้ง ยกเอาถ้อยคำของบ้านเกิดอย่างประโยคที่ว่า ‘เสี่ยวหม่านเม็ดข้าวไม่เต็มเต่ง มิอาจเอาน้ำมาล้างจาน ธัญพืชอาจพาลโดนลมร้อน’ บางครั้งยังไม่ลืมโอ้อวดประโยคที่ตนจับโน่นมาผสมนี่ด้วยว่า ‘เหล่าเด็กน้อยแคว้นฉีร้องกินต้นข้าวน้อย ยามค่ำคืนพลันหลับฝันถึงกลิ่นหอมของข้าว’
น่าเสียดายที่วันนี้พวกเด็กๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องการอธิบายตัวอักษรหรือยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาลอะไรทั้งนั้น ส่วนบทกวีอะไรจากเฉินผิงอันนั่นก็ยิ่งฟังไม่เข้าใจ เอาแต่ถามเสียงจอกแจกจอแจว่าภาพเหตุการณ์ยามที่พี่สาวเทพธิดาหนิงเหยาแหกกฎออกกระบี่บนถนนเสวียนฮู่นั้นเป็นอย่างไรกันแน่ เฉินผิงอันที่ในมือถือกิ่งไผ่ โบกสะบัดกิ่งไม้พลางพูดจ้อเป็นต่อยหอย เด็กตัวเท่าก้นที่ชื่อว่าคังเล่อคนนั้น ตอนนี้พ่อของเขามาทำหน้าที่เป็นพ่อครัวทำบะหมี่หยางชุนอยู่ในร้านเหล้า ทุกวันนี้พอกลับไปถึงบ้านก็ร้ายกาจนักล่ะ กล้าพูดจาเสียงแข็งกับแม่เขาแล้ว และเด็กคนนี้ก็ยังคงชอบขัดคอคนเป็นที่สุด จึงถามว่าสรุปแล้วต้องมีเฉินผิงอันกี่คนถึงจะเอาชนะพี่หญิงหนิงได้ เฉินผิงอันอึ้งเงียบตอบไม่ถูก จากนั้นก็ถูกพวกเด็กๆ กลอกตามองบนใส่
เจ้าเด็กเฝิงคังเล่อส่ายหน้า ตบหัวเข่าเฉินผิงอัน พูดอย่างแก่แดดว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเอาแต่มาเดินเตร็ดเตร่แถวตรอกของพวกเราอยู่อย่างนี้ ไม่ตั้งใจฝึกวรยุทธฝึกกระบี่ให้ดี ข้าว่าน่ะ ไม่ช้าก็เร็วพี่หญิงหนิงต้องรังเกียจที่เจ้าไร้ความสามารถแน่ๆ เอาชนะผังหยวนจี้ได้แล้วอย่างไร ดูเข้าสิ ทำเจ้าดีใจจนหางชี้ฟ้าแล้ว ชอบมาแสร้งวางมาดเป็นนายท่านใหญ่กับพวกเรา สามวันตกปลาสองวันตากแห แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”
พวกเด็กๆ ที่อยู่ข้างกายพากันพยักหน้าเห็นด้วย
เฉินผิงอันวางกิ่งไผ่พาดขวางไว้บนหัวเข่า ยื่นสองมือมาบีบแก้มคังเล่อ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เจ้าหุบปากเลยนะ”
เด็กน้อยตัวเท่าก้นยื่นมือมาทุบเฉินผิงอัน น่าเสียดายที่แขนสั้น เอื้อมไม่ถึง
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่นอกสุดของวงนึกถึงมรสุมก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ จึงยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “คังเล่อ เจ้าก็พูดให้ดังๆ หน่อยว่า ข้าเฉินผิงอันที่เป็นถึงลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ได้ยินไม่ชัดเจน”
เสียงหัวเราะครืนดังสนั่นหวั่นไหวมาจากรอบด้าน
ตอนนี้ข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเถ้าแก่รองผู้นี้ มีมากนักล่ะ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็เพราะข้าเห็นว่าลูกกระต่ายอย่างพวกเจ้าอายุน้อย ไม่อย่างนั้นคงจะโดนกันคนละหมัดสองหมัด เท้าสองเท้าไปแล้ว หรือฟันกระบี่ฉับเดียว พวกเจ้าก็ต้องเผ่นแน่บแน่”
เฝิงคังเล่อนวดคลึงซีกหน้า ขยับก้นขึ้น ยืดคอยาวออกไปมอง แย่แล้ว แม่นางน้อยตรอกเหยียนชือที่หน้าตางดงามที่สุดในใต้หล้านี้กำลังยืนมองตนอยู่ห่างไปไม่ไกลจริงๆ ด้วย
จะทำอย่างไรดี?!
แรกเริ่มสุดอาศัยเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำจากเฉินผิงอัน ทำให้นางยอมเป็นภรรยาตัวน้อยของตนตอนเล่นพ่อแม่ลูกกัน ภายหลังก็อาศัยความหมายของชื่อตรอกเล็กเส้นนั้นที่เฉินผิงอันอธิบายให้ฟัง แล้วเขานำไปเล่าให้นางฟังต่ออีกที ตอนนี้เวลาพบเจอนางบนถนน แม้ว่านางจะยังไม่ค่อยพูดคุยกับตัวเองมากนัก แต่ดวงตาคู่นั้นก็กะพริบปริบๆ นั่นไม่ใช่ว่ากำลังทักทายเขาหรอกหรือ? นี่เป็นเรื่องที่เฉินผิงอันบอกกับเขาหลังจากได้ยินได้ฟังมา ทำให้ทุกวันก่อนที่เขาจะนอนหลับต้องนอนกลิ้งไปกลิ้งมาในผ้าห่มอย่างมีความสุข
ดังนั้นเฝิงคังเล่อจึงรีบนั่งตัวตรงทันที แอบหันไปขยิบตาให้เฉินผิงอัน จากนั้นก็พูดบ่นเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน ต้องโทษเจ้า วันหน้าหากนางไม่สนใจข้าแล้ว ดูสิว่าข้าจะด่าเจ้าจนตายหรือไม่”
เฉินผิงอันจึงยิ้มกล่าว “เห็นแก่บะหมี่หยางชุนของพ่อคังเล่อ วันนี้ข้าจะเล่าเรื่องประหลาดเกี่ยวกับผีพรายให้พวกเจ้าฟังมากหน่อย! รับรองว่าสนุกมากแน่ๆ!”
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งทำสีหน้าไม่เห็นด้วย เอ่ยว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเล่าเรื่องพระเอกที่กำจัดปีศาจปราบมาร ช่วยสวรรค์ผดุงความเป็นธรรมคนนั้นก่อนสิ สรุปว่าเขามีขอบเขตอะไรกันแน่ ไม่ใช่ว่าถึงท้ายที่สุดแล้วดันเป็นห้าขอบเขตล่างเละเทะอะไรนั่นอีกนะ ไม่อย่างนั้นตามคำบอกของเจ้า ผู้ฝึกกระบี่มากมายในกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรา พอไปถึงบ้านเกิดของเจ้า แต่ละคนก็คือจอมยุทธใหญ่ในยุทธภพและเทพเซียนบนภูเขาแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไร”
มีคนเอ่ยคล้อยตามว่า “นั่นสิๆ ทุกครั้งที่พวกภูตผีตัวประหลาดปรากฏตัว เจ้าจงใจเล่าให้น่ากลัว ทำเอาทุกครั้งข้าต้องรู้สึกว่าพวกมันก็ไม่ต่างจากปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเลย”
เฉินผิงอันกระแอมสองสามที นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็หันหน้ากลับไป แบฝ่ามือออก แม่นางน้อยคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกายรีบเทเมล็ดแตงกำมือหนึ่งลงบนมือเฉินผิงอัน เฉินผิงอันยิ้มแล้วคืนให้นางครึ่งหนึ่ง แล้วถึงได้แทะเมล็ดแตงพลางพูดไปด้วยว่า “เซียนกระบี่หนุ่มที่พกกระบี่ลงจากเขาไปหาประสบการณ์ในยุทธภพที่จะเล่าถึงวันนี้ ขอบเขตของเขาเพียงพออย่างแน่นอน อีกทั้งยังหน้าตาหล่อเหลา สง่างามดุจต้นไม้หยกรับลม ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธหญิงในยุทธภพและเทพธิดาบนภูเขากี่มากน้อยที่เลื่อมใสและแอบชื่นชอบเขา น่าเสียดายที่เซียนกระบี่ซึ่งมีแซ่ฉีนามว่าจิ่งหลงผู้นี้ไม่เคยให้ความสนใจ เพราะเขายังไม่เจอสตรีที่ตัวเองรักอย่างแท้จริง ส่วนผีพรายที่มาพบเจอเขาบนทางแคบตนนั้นก็น่ากลัวอย่างมาก น่ากลัวแค่ไหน? รอฟังจากข้าได้เลย นั่นคือไม่ว่าเจ้าเจอแอ่งน้ำขังในที่ใดก็ตาม ยกตัวอย่างเช่นแอ่งน้ำเล็กๆ แห่งใดก็ตามในตรอกหลังฝนตก และยังมีน้ำในถ้วยบนโต๊ะที่บ้านพวกเจ้า ถังน้ำใบใหญ่ที่ถูกเปิดฝาออก มันก็จะโผล่พรวดออกมา ช่างน่ากลัวนัก! อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ที่ชื่อฉีจิ่งหลงผู้นั้น ยามเดินผ่านลำคลองวักน้ำมาดื่มแล้วพลันเห็นใบหน้าซีดขาวที่โผล่ออกมาจากกอหญ้าน้ำ เขาเองก็ตกใจจนหน้าเผือดสีเหมือนกัน”
เด็กคนหนึ่งตกใจจนกระโดดโหยงขึ้นมา ก่นด่าหน้าเบ้ “เฉินผิงอัน ท่านปู่เจ้าเถอะ!”
มีคนคนหนึ่งพลันถามว่า “ฉีจิ่งหลงผู้นี้คือใครกัน?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คือเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่ชอบดื่มเหล้ามาก แต่กลับแสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่ชอบดื่มเหล้า เจ้าหมอนี่ชอบอธิบายเหตุผลเป็นที่สุด น่าเบื่อยิ่งนัก”
เฝิงคังเล่อถาม “เป็นเซียนกระบี่อายุเท่าไร?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่ถึงร้อยปีกระมัง”
เฝิงคังเล่อจุ๊ปาก “แบบนี้ก็ยังกล้าเรียกว่าเป็นเซียนกระบี่หนุ่มอีกหรือ? เจ้ารีบเปลี่ยนเลย ต้องเรียกว่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่า”
เฉินผิงอันบิดแก้มของเจ้าเด็กน้อยตัวเท่าก้น “เขาเป็นเพื่อนสนิทของข้าเฉินผิงอันเชียวนะ เจ้ากล้าพูดจากำเริบเสิบสานแบบนี้กับเขาหรือ?”
เฝิงคังเล่อแยกเขี้ยว ขยับก้น พลิกมือทุบไหล่ข้างหนึ่งของเฉินผิงอัน “ขนาดเจ้าข้ายังไม่เกรงใจ แล้วยังต้องเกรงใจเพื่อนเจ้าด้วยหรือ?”
แม่นางน้อยผิวพรรณขาวนวลที่อยู่ห่างไปไกลคนนั้นอ้าปากค้างน้อยๆ คงเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่ายามอยู่กับเฉินผิงอัน คังเล่อจะใจกล้าขนาดนี้ ดูท่าคังเล่อจะไม่ได้โม้ให้นางฟังจริงๆ
เฉินผิงอันขยิบตาให้เฝิงคังเล่อ เด็กน้อยผงกศีรษะรับเบาๆ เป็นอันรู้กันว่าข้าเข้าใจ
เด็กหนุ่มตาดีคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างกลอกตามองบนอย่างอดไม่ไหว เถ้าแก่รองผู้นี้ก็ว่างงานจริงๆ ทุกวันไม่ต้องตั้งใจฝึกตนหรือ มาพูดคุยไร้สาระกับพวกเขาอยู่ที่นี่ แล้วตอนนี้ยังจะทำตัวเป็นผู้เฒ่าจันทราที่ผูกด้ายแดงให้คนอื่นอีก?
เล่าเรื่องขุนเขาสายน้ำที่ทำให้พวกเด็กๆ อกสั่นขวัญหายจบแล้ว เฉินผิงอันก็หิ้วม้านั่งลุกขึ้นยืน
พอไปถึงที่ร้านเหล้า มีเฉินซานชิวอยู่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง รับรองว่าต้องมีม้านั่งยาวให้นั่งแน่นอน
เด็กหนุ่มจางเจียเจินมาช่วยงานที่ร้าน รับผิดชอบคอยยกเหล้า ไม่ก็บะหมี่หยางชุนไปให้พวกผู้ฝึกกระบี่ เด็กหนุ่มพูดไม่เก่ง แต่ใบหน้ามีรอยยิ้ม แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
วันนี้เฉินผิงอันมานั่งที่โต๊ะเหล้า แต่กลับไม่ได้ดื่มเหล้า เพียงแค่สั่งบะหมี่หยางชุนหนึ่งถ้วยกับผักดองหนึ่งจานมาจากจางเจียเจิน สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังเป็นเพราะความสามารถในการยุให้คนดื่มเหล้าของพวกเฉินซานชิว เจ้าอ้วนเยี่ยนยังไม่เก่งกาจมากพอ
ก่อนจะกลับไปจวนหนิง เฉินผิงอันก็เอ่ยเตือนฟ่านต้าเช่อว่า “ต้าเช่ออ่า”
ฟ่านต้าเช่อที่กำลังก้มหน้าก้มตาพุ้ยบะหมี่หยางชุนรู้สึกเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจทันที เวลานี้พอเขาได้ยินเฉินผิงอันเรียกชื่อตัวเองสามคำนี้ก็จะต้องตระหนกลนลาน ฟ่านต้าเช่อจึงรีบเอ่ยว่า “ข้าเลี้ยงเหล้าราคาห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะไปแล้ว! เจ้าไม่ดื่มเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
เฉินผิงอันวางตะเกียบลง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าให้ไปจวนหนิงบ่อยๆ อย่าได้ไม่เห็นเป็นสำคัญ อย่าให้ข้าต้องคอยไปนั่งยองหน้าประตูบ้านเจ้าขอร้องให้เจ้าไปประลองฝีมือ ถึงเวลานั้นหากข้าไม่ระวังลงมือหนักไป อาจซ้อมจนเจ้าต้องคลานกลับบ้าน ผลกลับกลายเป็นว่าพ่อแม่จำเจ้าไม่ได้ เลยไล่เจ้าออกจากบ้านมาอีกรอบ”
ฟ่านต้าเช่อพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันยิ้มมองฟ่านต้าเช่อ
ฟ่านต้าเช่อมีสีหน้ามึนงง
เฉินซานชิวหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มที่คอยจับตามองพวกลูกค้าร้านเหล้าอยู่ตลอดเวลา ตะโกนว่า “จางเจียเจิน เอาเหล้ามาให้ข้ากาหนึ่ง เอาแบบถูกที่สุดนะ! ข้าจะจ่ายเงิน แต่จำไว้ว่าต้องเตือนข้าด้วยว่าให้ลงบัญชีชื่อของฟ่านต้าเช่อเอาไว้ คราวหน้าที่มาดื่มเหล้าเจ้าก็ถามข้าสักคำว่า ฟ่านต้าเช่อจ่ายเงินให้แล้วหรือยัง”
จางเจียเจินพยักหน้ารับอย่างแรง รีบไปหยิบเอาเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กาหนึ่งออกมาจากในร้าน
สำหรับเด็กหนุ่มจากตรอกเก่าโทรมผู้นี้ อาจารย์เฉินก็คือคนบนฟ้า
เฉินซานชิวคุณชายที่อยู่อาศัยบนถนนไท่เซี่ยงก็เช่นเดียวกัน
หากไม่เป็นเพราะมาทำงานระยะสั้นที่ร้านเหล้า บางทีชั่วชีวิตนี้จางเจียเจินอาจไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเฉินซานชิวแม้แต่ครึ่งคำ ยิ่งไม่มีทางถูกเฉินซานชิวจดจำชื่อของตนได้
จางเจียเจินโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยไปที่ถนนไท่เซี่ยงและถนนเสวียนฮู่มาก่อน ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว
ไม่มีใครขัดขวาง ทว่าก็ไม่ใช่แค่จางเจียเจินเท่านั้น อันที่จริงพวกเด็กๆ จากตรอกหลิงซี ตรอกเหยียนชือที่ชื่อน่าฟัง แต่กลับยากจนอย่างถึงที่สุดเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่คิดจะไปเดินดูที่นั่นเหมือนกัน บางทีอาจจะมีคนคิดอยู่บ้าง แต่สุดท้ายกลับไม่มีความกล้าพอที่จะไปเยือนจริงๆ
เฉินผิงอันหันไปยิ้มให้จางเจียเจิน จากนั้นก็ชี้ไปที่ฟ่านต้าเช่อ แล้วหิ้วกาเหล้าลุกขึ้นเดินจากไป
ฟ่านต้าเช่อก้มหน้ากินบะหมี่หยางชุนของตัวเองต่อ
บอกตามตรง หากไม่มีประโยคสุดท้ายของเฉินผิงอัน ฟ่านต้าเช่อก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะไปจวนหนิงอย่างไร
หากเป็นแค่คำกล่าวที่เอ่ยไปตามมารยาทล่ะ? คำว่าประลองฝีมือกันบ่อยๆ คือบ่อยแค่ไหน? สามวันหนึ่งครั้ง หนึ่งเดือนหนึ่งครั้ง?
ประตูใหญ่ของจวนหนิงข้ามผ่านไปได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?
ฟ่านต้าเช่อเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของคนชุดเขียวที่อยู่บนถนนใหญ่ คนผู้นั้นเบี่ยงหน้าไปมองคำโคลงคู่ของร้านเหล้าน้อยใหญ่ข้างทาง บางครั้งก็ส่ายหน้า
มาถึงจวนหนิง น่าหลันเย่สิงเป็นผู้เปิดประตูให้
เดินไปที่ลานฝึกวรยุทธด้วยกัน ในมือน่าหลันเย่สิงหิ้วเหล้ากานั้น ยิ้มถามว่า “ควักเงินเองหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เลียนแบบมาจากต่งถ่านดำ ดื่มเหล้าต้องจ่ายเงิน ไม่ใช่ลูกผู้ชายตัวจริง”
น่าหลันเย่สิงหัวเราะดังลั่นอย่างชอบใจ “อีกเดี๋ยวข้าขอดื่มเหล้าสักสองคำแล้วค่อยออกกระบี่ ช่วยปรับมังกรใหญ่ให้เจ้าก็จะมีเรี่ยวมีแรงมากขึ้นแล้ว”
เฉินผิงอันจึงเริ่มยิ้มไม่ออก
ทางฝั่งศาลาของหน้าผาสังหารมังกร หนิงเหยาที่บอกว่ากลับบ้านมาฝึกตน อันที่จริงเอาแต่คุยเล่นกับป๋ายหมัวมัวอยู่ตลอดเวลา พอพบว่าเฉินผิงอันกลับมาเร็วขนาดนี้ หญิงชราไม่ต้องให้คุณหนูของตัวเองเตือนก็ยิ้มร่าไปจากศาลา จากนั้นหนิงเหยาก็เริ่มฝึกตน
ในฟ้าดินขนาดเล็กเมล็ดงาของลานประลองยุทธ น่าหลันเย่สิงเก็บกาเหล้าที่ดื่มไปเกือบครึ่งกากลับมา แล้วเริ่มออกกระบี่อย่างเฉียบคม
จากนั้นด้วยความไม่ระวังที่ต่อให้น่าหลันเย่สิงจะระวังแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ เฉินผิงอันก็ต้องนอนอยู่บนเตียงนานสิบวันครึ่งเดือน
ป๋ายหมัวมัวรีบร้อนเดินมาที่ลานประลองยุทธ น่าหลันเย่สิงตกใจจนเกือบจะหนีออกจากบ้าน
ยังดีที่เฉินผิงอันอธิบายให้ป๋ายหมัวมัวฟังว่าครั้งนี้ตนได้รับผลเก็บเกี่ยวมากล้น เดินบนเส้นทางการฝึกตนสายนี้ถือว่าถูกต้องแล้ว อีกทั้งยังไม่ต้องต้มยา เพราะเดิมทีการรักษาบาดแผลด้วยตัวเองก็เป็นการฝึกตนอย่างหนึ่ง
น่าหลันเย่สิงไม่กล้าพูดจาเหลวไหล บอกไปตามตรงว่า “เป็นเช่นนี้จริง”
เฉินผิงอันถูกหนิงเหยาประคองกลับไปยังเรือนหลังเล็ก
น่าหลันเย่สิงเตรียมรอว่าตัวเองต้องโดนด่าจนหูชาอย่างกล้าๆ กลัวๆ คิดไม่ถึงว่าป๋ายเลี่ยนซวงเอาแต่มองแผ่นหลังของคนทั้งสองอยู่นานก็ยังไม่เอ่ยอะไร
น่าหลันเย่สิงคิดว่ารออยู่แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง โดนด่าเร็วหน่อยดีกว่าโดนด่าช้า ขณะที่กำลังจะเปิดปากขอให้ด่า หญิงชรากลับไม่มีท่าทีว่าจะเปิดปากสั่งสอนเจ้าเฒ่าสุนัขแม้แต่ครึ่งคำ เพียงแค่พูดอย่างปลงอนิจจังเสียงเบาว่า “เจ้าว่าท่านเขยกับคุณหนูเหมือนนายท่านกับฮูหยินตอนยังเป็นหนุ่มสาวหรือไม่?”
น่าหลันเย่สิงหยิบกาเหล้าออกมา พยักหน้าเอ่ยว่า “จะไม่เหมือนได้อย่างไร”
หญิงชราตีหน้าเคร่งเอ่ย “หลายวันมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”
น่าหลันเย่สิงถามอย่างฉงน “ว่าไงนะ?!”
หญิงชราจึงพูดอย่างเดือดดาล “เจ้าสุนัขเฒ่าไสหัวไปเฝ้าประตูเลยไป!”
น่าหลันเย่สิงพยักหน้า แบบนี้สิถึงจะถูก ตอนที่หมุนตัวเดินไปทางประตูใหญ่ ในใจของผู้เฒ่าก็รู้สึกสบายใจขึ้นอีกเยอะ
……
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเตียง เริ่มสูดหายใจทำสมาธิ จิตใจจมจ่อมอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายคน
หนิงเหยานั่งอยู่ด้านข้าง ฟุบตัวลงบนโต๊ะ มองเฉินผิงอัน ดูเหมือนว่าเขาจะได้เจอกับคนที่ตัวเองอยากพบเจอ จึงคลี่ยิ้มออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
นางรู้ว่าเป็นใคร เพราะวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สี่ เฉินผิงอันผ่านเส้นทางการหล่อหลอมมาอย่างลุ่มๆ ดอนๆ กว่าจะหลอมสำเร็จได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนที่ออกมาจากห้องลับแล้วเจอหนิงเหยา เขาก็ดึงนางเข้ามากอดต่อหน้าน่าหลันเย่สิงทันที หนิงเหยาไม่เคยเห็นเฉินผิงอันมีท่าทางเหมือนได้ปลดวางภาระแบบนี้มาก่อน ตอนนั้นน่าหลันเย่สิงก็รีบจากไปอย่างรู้อะไรควรไม่ควร นางรู้สึกสงสารเขาจึงกอดตอบเขา
เขาพูดด้วยความยินดีสีหน้าแช่มชื้นว่า เจ้าตัวน้อยนั่นยังอยู่ ที่แท้ก็อยู่ในหัวใจของเขา เพียงแต่ว่าตอนนี้ได้กลายเป็นคนตัวจิ๋วหัวโล้น พอพวกเขาได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง เจ้าโล้นน้อยที่ขี่มังกรเพลิงตัวนั้นก็ไล่ด่าเขามาตลอดทางบนเส้นทางหัวใจ
น้อยครั้งนักที่หนิงเหยาจะได้เห็นเฉินผิงอันเผยสีหน้าลิงโลดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ โดยเฉพาะเฉินผิงอันหลังจากเติบใหญ่ นอกจากเวลาที่อยู่กับนางแล้ว หนิงเหยาก็อดเป็นกังวลไม่ได้ เพราะสภาพจิตใจของเฉินผิงอันเป็นเหมือนภิกษุชราผิวหนังแห้งเหี่ยวที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน ได้พบเจอกับการพบพรากจากลามามากมายเหลือเกิน หนิงเหยาไม่อยากให้เฉินผิงอันเป็นเช่นนี้ ดังนั้นตอนที่นางได้เห็นเฉินผิงอันกลับไปเป็นเหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กหนุ่มและนางยังเป็นเด็กสาวอีกครั้ง หนิงเหยาจึงมีความสุขอย่างมาก
มีคนร่วมปณิธานเดินทางมาจากทิศไกล คือคนหัวโล้นตัวจิ๋วคนหนึ่ง
แต่กลับไม่ได้สวมจีวร ยังคงสวมชุดลัทธิขงจื๊ออยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่านอกจากจะพกกระบี่แล้ว คนจิ๋วยังมีคัมภีร์พุทธอีกเล่มหนึ่งซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อ
นั่นคือการกลับมาพบเจอกันอีกครั้งหลังจากกันไปเนิ่นนานที่เฉินผิงอันไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึง มีเพียงความรู้สึกผิดและละอายใจที่วนเวียนแม้ในความฝัน ยามตื่นนอนขึ้นมาก็ไม่เคยปล่อยวางลงได้ แต่กลับไม่อาจบอกกล่าวถึงความเสียดายและความละอายใจนั้นให้ใครฟัง
ชีวิตของเขามีการพรากจากโดยไม่ได้บอกลา การจากลาที่ไม่อาจได้กลับมาพบกันใหม่มากเกินไป
หนิงเหยาฟุบตัวลงบนโต๊ะจ้องนิ่งมองเฉินผิงอัน แล้วจู่ๆ นางก็หัวเราะกับตัวเอง จำได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนถนนเสวียนฮู่ เฉินผิงอันลังเลอยู่นาน ก่อนจะจับมือนางแล้วแอบถามว่า “ตอนที่ข้าอายุพอๆ กับหลินจวินปี้ ใครหล่อกว่ากัน”
ตอนนั้นหนิงเหยาย้อนถามไปก่อนว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
เฉินผิงอันเริ่มยกมือเกาหัว รู้สึกว่าคำตอบนั้นชวนให้คนกลัดกลุ้มจริงๆ
ดังนั้นหนิงเหยาจึงบอกคำตอบในใจตัวเองออกไปตามความสัตย์จริง อีกทั้งยังไม่ได้แอบเก็บถ้อยคำเหล่านั้นไว้ในใจ นางบอกกับเขาว่า “เจ้าหล่อกว่ามากเลยล่ะ!”
เฉินผิงอันจึงยื่นมือทั้งสองมาลูบคิ้วของนางเบาๆ “หนิงเหยาเด็กโง่ของข้าช่างสายตาดีจริงๆ!”