กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 595.2 คนแก่และเด็กบนภูเขาลั่วพั่ว
ชุยเหวยหยิบหินไข่ห่านก้อนหนึ่งออกจากชายแขนเสื้อมามอบให้เฉินผิงอัน ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองท่านนี้ไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
เฉินผิงอันรับมาไว้ในมือ คือหินก้อนที่ชุยตงซานเก็บมาได้จากลำธารของหน้าผาอวี้อิ๋งแห่งสวนน้ำค้างวสันต์
เฉินผิงอันเอาก้อนหินที่รับมาเก็บใส่ชายแขนเสื้อ ยิ้มกล่าวว่า “วันหน้าเจ้ากับข้าพบกัน ก็อย่าให้เป็นที่จวนหนิงอีกเลย พยายามไปที่ร้านเหล้าดีกว่า แน่นอนว่าพวกเราควรพบกันให้น้อยหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นเกิดความสงสัย หากข้ามีเรื่องอยากพบเจ้าก็จะไปขยับแผ่นป้ายสงบสุขของเจ้าชุยเหวย นับตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป ไม่พูดถึงยามที่ข้ามีเวลาว่างไปดื่มเหล้ากับสหาย หากต้องการส่งจดหมายหรือรับจดหมาย ก็จะไปขยับป้ายสงบสุขแผ่นนั้นไว้ก่อน จากนั้นจะมาพบเจ้าเฉพาะวันแรกของเดือนเท่านั้น หากไม่มีข้อยกเว้น เดือนถัดถัดไปก็จะขยับไปเป็นวันที่สองของเดือน หากมีข้อยกเว้น ยามที่ข้าพบเจ้าก็จะบอกล่วงหน้าไว้ก่อน โดยทั่วไปแล้วการรับและการส่งจดหมายภายในหนึ่งปี อย่างมากสุดแค่สองครั้งก็เพียงพอแล้ว หากมีวิธีติดต่อที่ดีกว่านั้น หรือเจ้ามีเรื่องอะไรที่ต้องกังวล ก็สามารถคิดหาวิธีมาได้ แล้ววันหน้าค่อยมาบอกข้า”
“รับทราบ”
ชุยเหวยลุกขึ้นยืนแล้วจากไปอย่างเงียบเชียบ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ไม่ได้ไปส่ง
น่าหลันเย่สิงปรากฏตัวใต้ชายคา พูดอย่างสะท้อนใจว่า “คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ควรดีใจที่ ‘หมื่นหนึ่งที่ไม่ดี’ ข้างกายตนลดน้อยลงไปอย่างหนึ่ง”
ส่วนข้อที่ว่าให้ช่วยพูดจาดีๆ เกี่ยวกับชุยเหวย หรือช่วยน่าหลันเย่สิงด่าชุยเหวยอะไรนั่น ล้วนไม่มีความจำเป็น
น่าหลันเย่สิงยิ้มจืดเจื่อน ยิ่งสะท้อนใจหนักกว่าเก่า
เฉินผิงอันพาผู้เฒ่าไปยังห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ผู้เฒ่าหยิบกาเหล้าออกมาสองกา ไม่มีกับแกล้มก็ไม่เป็นไร
จากนั้นเฉินผิงอันก็เล่าสถานการณ์ถามใจที่ทะเลสาบซูเจี่ยนให้น่าหลันเย่สิงฟัง เรื่องวงในมากมายพูดไปก็ไร้ประโยชน์ แต่ก็ยังเล่าภาพรวมคร่าวๆ เพื่อให้ผู้เฒ่าสบายใจ และการแพ้ให้ชุยฉานก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
น่าหลันเย่สิงฟังแล้วก็อดดื่มเหล้าเพิ่มอีกกาหนึ่งไม่ได้ สุดท้ายถามว่า “เรื่องที่ชวนให้จิตใจย่ำแย่ขนาดนี้ ท่านเขยผ่านมันมาได้อย่างไร”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่านปู่น่าหลันก็บอกคำตอบออกมาแล้วไม่ใช่หรือ?”
น่าหลันเย่สิงอึ้งตะลึงไปพักหนึ่ง จากนั้นก็เข้าใจได้จึงหัวเราะเสียงดังกังวาน
……
กำแพงเมืองปราณกระบี่กำลังอยู่ในช่วงที่อากาศร้อนระอุ เขตการปกครองหลงเฉวียนของแจกันสมบัติทวีปใต้หล้าไพศาลกลับเกิดหิมะใหญ่เท่าขนห่านครั้งแรกหลังจากเข้าสู่ช่วงหน้าหนาว
ศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่วไม่ได้อยู่บนยอดเขาหลัก แต่ห่างจากเรือนที่พักไปช่วงระยะทางหนึ่ง ทว่าทุกๆ ห้าวันเฉินหน่วนซู่จะไปเยือนศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี้เซ่อ เปิดประตูใหญ่ ทำความสะอาดอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
วันนี้เผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่ก็ตามเฉินหน่วนซู่มาด้วย บอกว่าจะมาช่วย ระหว่างที่เดินไป เผยเฉียนยื่นมือออกมา ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วก็ยื่นสองมือประคองส่งไม้เท้าเดินป่าให้อย่างนอบน้อม เผยเฉียนร่ายกระบวนท่าวิชากระบี่มารคลั่งไปตลอดทาง ฟาดให้เกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนแตกกระจาย
พอไปถึงประตูใหญ่ด้านนอกสุดของเรือนที่ตั้งศาลบรรพจารย์ เผยเฉียนเอาสองมือค้ำไม้เท้ายืนอยู่บนขั้นบันได กวาดตามองไปรอบด้าน เห็นเพียงหิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา อาจารย์ไม่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาอย่างนางจึงรู้สึกเงียบเหงาดั่งใต้หล้าไร้ศัตรูที่จะทัดทานนางได้
เฉินหน่วนซู่ที่หิ้วถังน้ำใบเล็กมาด้วยหยิบเอากุญแจออกมาเปิดประตูใหญ่ หลังเปิดประตูใหญ่แล้วก็เจอกับหลังคาสี่เหลี่ยมเปิดอ้า หลังจากนั้นถึงจะเป็นศาลบรรพจารย์ที่ไม่ได้ปิดประตู โจวหมี่ลี่รับถังน้ำมา สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ร่ายใช้วิชาอภินิหารชักเท้าวิ่งตะบึงอยู่บนพื้นด้านล่างเพดานเปิดโล่งที่มีหิมะกองสะสมกันหนา มือสองข้างที่ถือถังน้ำเหวี่ยงอย่างแรง ไม่นานก็มีน้ำใสๆ เอ่อขึ้นมาเต็มถัง แล้วจึงชูขึ้นสูง มอบมันให้กับหน่วนซู่ที่ยืนอยู่ในจุดสูง เฉินหน่วนซู่เตรียมจะเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปในศาลบรรพจารย์ที่แขวนภาพเหมือนและวางเก้าอี้เอาไว้ เผยเฉียนกลับรั้งตัวเฉินหน่วนซู่เอาไว้กะทันหัน ดึงนางมาไว้ด้านหลังตัวเอง เผยเฉียนค้อมเอวลงเล็กน้อย ในมือถือไม้เท้าเดินป่า จ้องเขม็งไปยังเก้าอี้ที่อยู่ใกล้กับเก้าอี้ตัวกลางซึ่งวางไว้ด้านหน้าสุดในศาลบรรพจารย์
นั่นคือเก้าอี้ของอาจารย์ตน
ริ้วคลื่นกระเพื่อมเบาๆ จากนั้นก็ปรากฏเป็นร่างของอาจารย์ผู้เฒ่าที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อ เส้นผมและหนวดเคราล้วนเป็นสีขาวหิมะ
เผยเฉียนมองผู้เฒ่าตัวเล็กผอมบางผู้นั้นด้วยสายตาเหม่อลอย
แสงตะเกียงนับหมื่นดวงในโลกมนุษย์ดุจดั่งทางช้างเผือก
นั่นคือคสภาพจิตใจอย่างหนึ่งที่นางไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มองไปแล้วกว้างใหญ่ไพศาล ราวกับว่าไม่ว่านางจะเบิกตากว้างมองไปแค่ไหน ทัศนียภาพก็ยังกว้างสุดลูกหูลูกตาไม่มีสิ้นสุด
ซิ่วไฉเฒ่ายืนอยู่ข้างเก้าอี้ จุดสูงด้านหลังของตนก็คือภาพหมือนสามภาพ มองแม่นางน้อยนอกประตูที่ตัวสูงกว่าเดิมไม่น้อย เขาก็ให้รู้สึกปลงอนิจจังยิ่งนัก
ไม่เสียแรงที่ตนย่อมเอาหน้าแก่ๆ ไปเดิมพัน ทั้งยืมของจากคนอื่น แล้วก็ทั้งเดิมพันกับคนอื่น
จะว่าไปแล้วยังคงเป็นเพราะลูกศิษย์คนสุดท้ายของตนไม่เคยทำให้อาจารย์กับศิษย์พี่ผิดหวังนั่นเอง
เผยเฉียนถาม “ท่านผู้เฒ่าผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง?”
ซิ่วไฉเฒ่าอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ยังไม่เคยมีใครเรียกเขาแบบนี้มาก่อนจริงๆ จึงถามอย่างประหลาดใจว่า “เหตุใดถึงเป็นท่านผู้เฒ่าผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง?”
เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “จะได้ดูว่ามีวัยวุฒิสูงมากเป็นพิเศษอย่างไรเล่า”
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม พยักหน้ารับเบาๆ “แบบนี้ประเสริฐยิ่งแล้ว”
ความรู้บางอย่าง วิชาลับไม่แพร่งพรายที่รู้กันโดยนัยของสายเขา สืบทอดได้เจริญรุ่งเรืองเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
เผยเฉียนมองภาพเหมือนที่แขวนไว้สูงที่สุด ก่อนดึงสายตากลับมา พูดด้วยเสียงก้องกังวานว่า “ท่านผู้เฒ่าผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ท่านตัวเป็นๆ แบบนี้ ดูเหมือนว่าจะมีบารมีน่าเกรงขามยิ่งกว่าในภาพเหมือนเสียอีกนะ!”
เฉินหน่วนซู่กะพริบตาปริบๆ ไม่เอ่ยอะไร
โจวหมี่ลี่เอียงศีรษะ ขมวดคิ้วมุ่น มองกลับไปกลับมาระหว่างซิ่วไฉเฒ่ากับภาพเหมือน นางมองไม่ออกเลยจริงๆ
ซิ่วไฉเฒ่ากระแอมสองสามที ขยับคอเสื้อให้เข้าที่ ยืดเอวตั้งตรง ถามว่า “จริงหรือ?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับแรงๆ ย่นคอลง เอียงคอไปทางซ้ายแล้วก็ย้ายไปทางขวา เขย่งปลายเท้ามองบนมองล่าง สุดท้ายก็พยักหน้า “จริงแท้แน่นอน ถูกต้องไม่มีผิดเป็นแน่! ขนาดเจ้าห่านขาวใหญ่ยังชมว่าข้ามองคนได้แม่นยำนัก!”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะจนหุบปากไม่ลง เรียกให้แม่นางน้อยทั้งสามมานั่ง ถึงอย่างไรอยู่ที่นี่พวกนางก็มีเก้าอี้อยู่แล้ว ซิ่วไฉเฒ่ากดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “เรื่องที่ข้ามาภูเขาลั่วพั่ว พวกเจ้ารู้กันแค่สามคนก็พอแล้ว ห้ามเอาไปบอกคนอื่นเด็ดขาดเลยนะ”
เผยเฉียนกระแอมหนึ่งที “หน่วนซู่ หมี่ลี่!”
เฉินหน่วนซู่รีบพยักหน้ารับทันใด “ตกลง”
โจวหมี่ลี่แบกไม้เท้าเดินป่าที่เผยเฉียน ‘ประทานให้’ นางยืดอกตั้ง หุบปากแน่นสนิท
นับแต่บัดนี้ไป นางจะต้องทำตัวเป็นคนใบ้แล้ว อีกอย่างเดิมทีนางก็คือภูตน้ำใหญ่ที่มาจากทะเลสาบคนใบ้อยู่แล้วนี่นา
ซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ในศาลบรรพจารย์สืบเท้าเดินเนิบช้า เฉินหน่วนซู่เริ่มทำความสะอาดเก้าอี้แต่ละตัวด้วยความคล่องแคล่วคุ้นชิน เผยเฉียนยืนอยู่ข้างเก้าอี้ของตัวเอง โจวหมี่ลี่อยากจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่แปะกระดาษแผ่นเล็กว่าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา แต่กลับถูกเผยเฉียนถลึงตาใส่ ไม่มีมารยาทเอาซะเลย ผู้อาวุโสของอาจารย์ตนมาเยือนทั้งที ท่านอาจารย์ผู้เฒ่ายังไม่ได้นั่ง เจ้าจะมานงมานั่งได้อย่างไร โจวหมี่ลี่รีบขยับยืนตัวตรงทันที ในใจอดน้อยใจนิดๆ ไม่มี ตนก็แค่อยากให้อาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้นรู้ว่าตนเป็นใครแค่นั้นเอง
ซิ่วไฉเฒ่าเห็นอยู่ในสายตา รอยยิ้มประดับใบหน้า แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร
สามารถพาเผยเฉียนเดินทีละก้าวจนมาอยู่บนทางสายใหญ่อย่างทุกวันนี้ได้ ลูกศิษย์คนสุดท้ายของตนต้องสิ้นเปลืองสติปัญญาและความคิดจิตใจไปไม่น้อยเลยจริงๆ สั่งสอนนางออกมาได้ดีขนาดนี้ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยาก
อันที่จริงนี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ซิ่วไฉเฒ่ามาเยือนภูเขาลั่วพั่ว สองครั้งก่อนหน้านี้ไปมาอย่างรีบร้อน ไม่ทันได้เหยียบยืนนานๆ ด้วยซ้ำ และหลังจากครั้งนี้ไปเขาก็ต้องยุ่งวุ่นวายอีกแล้ว ชีวิตช่างลำบากเสียจริง
ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าแอบไปที่โรงเรียนของเมืองเล็กมารอบหนึ่ง เมื่อไปถึงที่นั่น เขาก็ไปยืนอยู่ในตำแหน่งหนึ่ง
ทอดสายตามองไป ในอดีตนั้น ห้องเรียนแห่งนี้น่าจะมีแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงนั่งตัวตรงอย่างสำรวม มองดูเหมือนตั้งใจเรียนหนังสือ แต่แท้จริงแล้วความคิดกลับล่องลอยไปไกล
แล้วก็มีหลินโส่วอีที่สีหน้ามุ่งมั่น อาจารย์พูดถึงเรื่องไหน เขาก็คิดตามไปถึงเรื่องนั้น
มีหลี่ไหวที่นั่งสัปหงกเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก
มีจ้าวเหยาที่ตอนนั้นย่อมไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าในอนาคตจะมีวันหนึ่งที่ตนต้องไปจากข้างกายอาจารย์ นั่งรถเทียมวัวเดินทางไปไกล สุดท้ายก็ไปท่องอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเพียงลำพัง
มีต่งสุ่ยจิ่งที่มองดูเหมือนโง่เขลาแต่กลับฉลาดหลักแหลม มีแม่นางน้อยที่มัดผมแกละสองข้าง
ตอนนั้นที่ผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงนั้นก็คิดถึงลูกศิษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อเหมือนกับเหมาเสี่ยวตง หม่าจาน เดินผิดไปก้าวหนึ่งก็ผิดไปทุกก้าว หลังจากตระหนักรู้กระจ่างแจ้ง ทั้งๆ ที่มีโอกาสแก้ไขความผิดพลาด แต่กลับยินดีที่จะใช้ความตายมาพิสูจน์ปณิธาน
ผู้เฒ่าค้นพบว่าถึงท้ายที่สุดแล้วดูเหมือนว่าความผิดพลาดทั้งหมดล้วนอยู่ที่ตัวเขาเอง ในฐานะอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาช่วยไขข้อข้องใจ ความรู้ที่ถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ไม่มากพอ วิชาที่ช่วยให้มีชีวิตหยัดยืนได้อย่างสงบสุขก็ยิ่งเละเทะไม่ได้เรื่อง
ซิ่วไฉเฒ่าก้มหน้าลูบหนวดด้วยความกลัดกลุ้มใจยิ่งกว่าเดิม
เพียงแต่ว่าวันนี้พอได้มาเยือนศาลบรรพจารย์บนภูเขาลั่วพั่วของลูกศิษย์คนสุดท้ายของตน ภาพเหมือนที่แขวนไว้สูง เก้าอี้ที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ ประตูหน้าต่างสะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นแม่นางน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูทั้งสามคน ซิ่วไฉเฒ่าจึงยิ้มออกได้หลายส่วน แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับยิ่งละอายใจมากกว่าเดิม เหตุใดภาพเหมือนของตนถึงได้แขวนไว้สูงที่สุด? อาจารย์ผายลมสุนัขไม่ได้ความอย่างตน ทำเพื่อลูกศิษย์ได้มากน้อยแค่ไหน? เคยตั้งใจสืบทอดวิชาความรู้ เคยช่วยไขข้อข้องใจให้เขาอย่างละเอียดบ้างหรือไม่? เคยพาเขาเดินทางไปท่องเที่ยวไกลเป็นหมื่นลี้อยู่ข้างกายเหมือนอย่างที่ทำกับชุยฉานหรือไม่? ลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขาเคยได้สอบถามอาจารย์ยามที่เกิดความสงสัยในใจเหมือนอย่างเหมาเสี่ยวตง อย่างหม่าจานหรือไม่? นอกจากทฤษฎีลำดับขั้นตอนที่กรอกเทให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งอย่างเลอะเลือนไม่กี่คำ แต่กลับทำให้ลูกศิษย์ที่อายุน้อยๆ ต้องติดอยู่กับที่ไม่อาจเดินหน้า กลายเป็นคนคิดมากกับทุกเรื่อง และปีนั้นก็ทิ้งไว้เพียงถ้อยคำเมามายไม่กี่ประโยคเท่านั้น แล้วจะกลายเป็นอาจารย์ของคนอื่นเขาได้อย่างไร?
ความรู้บางอย่างหากสัมผัสเร็วเกินไป ก็ยากเหมือนขึ้นเขาแล้วยังต้องย้ายภูเขา
อาจารย์ผู้เฒ่าละอายใจเกินจะทานทน
ตอนนั้นที่อยู่ในโรงเรียน ผู้เฒ่าหันไปมองข้างนอกก็เหมือนได้เห็นเด็กใบหน้าผอมตอบคนหนึ่งยืนเขย่งปลายเท้าอยู่นอกหน้าต่าง เด็กคนนั้นเบิกตากว้าง เงี่ยหูตั้งใจฟังเสียงท่องหนังสือ พอได้กลิ่นหอมของตำราก็มองเข้ามายังอาจารย์และลูกศิษย์ที่อยู่ในห้อง ในดวงตาที่สะอาดบริสุทธิ์คู่นั้นของเด็กที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ข้างนอกโรงเรียนเพียงลำพังเต็มไปด้วยแวววาดฝัน
ชีวิตในภายหลังของเด็กคนนั้น บางทียามที่ต้องแบกตะกร้าสานใบใหญ่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร เพื่อปลุกความกล้าให้ตัวเองก็คงตะโกนประโยค ‘แต่เดิมสันดานมนุษย์นั้นดีงาม’ ที่ตัวเองไม่เข้าใจออกมา ตอนที่เดินลงจากภูเขาก็อาจจะท่องประโยค ‘เดิมนั้นฟ้าดินกว้างใหญ่อึมครึม จักรวาลไพศาลไร้ขอบเขตสิ้นสุด’ อย่างเบิกบานใจ ระหว่างที่ขึ้นเขาและลงเขา แสงแดดแผดเผาจนเหงื่อท่วมเต็มตัว เด็กน้อยไปหลบพักอยู่ใต้เงาร่มไม้ เล่นดึงหญ้าอยู่กับตัวเอง แพ้ชนะก็ล้วนเป็นตัวเอง ชูมือขึ้นสูงร้องเสียงดังว่าชนะแล้วๆ นี่ต่างหากถึงจะเป็นความไร้เดียงสาของเด็ก
บนโลกใบนี้มีความยากลำบากมากมาย เด็กที่มีชีวิตแบบนี้ ไม่ถือว่าหายาก
เพียงแต่ว่าอายุน้อยๆ กลับต้องกล้ำกลืนฝืนทนขนาดนี้ กลับพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก
ซิ่วไฉเฒ่าถึงขั้นนึกเสียใจที่ตอนนั้นเอ่ยประโยค ‘บนไหล่ของเด็กหนุ่มควรจะแบกกิ่งหลิวกิ่งหยางและกอหญ้านกบินวนดั่งทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิ’ กับเฉินผิงอัน
หากพูดกับพวกเด็กๆ อย่างเผยเฉียนย่อมไม่มีปัญหา แต่พูดเรื่องแบบนี้กับเฉินผิงอัน จะเป็นดั่งคนยืนพูดไม่ปวดเอวเกินไปหน่อยหรือไม่?
แต่พอซิ่วไฉเฒ่าคิดอีกที ลองหันมามองภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้อีกครั้ง ก็ดูเหมือนว่าเอ่ยถ้อยคำเช่นนั้นกับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ กลับเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
สุดท้ายพวกเผยเฉียนก็สังเกตเห็นว่าอาจารย์ผู้เฒ่าที่เดินทางมาไกลท่านนี้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้กับธรณีประตูมากที่สุด เขานั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น เงยหน้ามองภาพแขวนทั้งสาม
ไม่มองภาพเหมือนของตัวเองที่อยู่ตรงกลาง แต่มองภาพเหมือนของชุยเฉิงอยู่นาน แล้วพยักหน้าเบาๆ พึมพำกับตัวเอง ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ยิน สุดท้ายผู้เฒ่าก็มองภาพลูกศิษย์ของตัวเองโดยไม่เอ่ยอะไรอีกเป็นนาน
อาจารย์ผู้เฒ่าพึมพำ “มีคนกล่าวว่า ‘ใช้คุณธรรมตอบแทนความแค้น จะเป็นเช่นไร?’”
แล้วอาจารย์ผู้เฒ่าก็ถามเองตอบเองว่า “ขงจื๊อกล่าวว่า ‘ยามที่คนอื่นปฏิบัติต่อเจ้าด้วยคุณธรรม เจ้าถึงจะต้องใช้คุณธรรมตอบแทนกลับคืน’”
……
เกาะกุ้ยฮวาเรือข้ามทวีปลำหนึ่งที่มาจากแจกันสมบัติทวีป มีอาจารย์และศิษย์ผู้ฝึกกระบี่คู่หนึ่งที่มาจากอุตรกุรุทวีปเดินลงมา
เซียนกระบี่ชุดเขียวคนที่เป็นอาจารย์นั้นคงยังไม่รู้ว่า ทุกวันนี้เขามีชื่อเสียงเล็กๆ น้อยๆ อยู่ท่ามกลางตรอกมากมายของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว