กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 597.3 มีคนจะถามหมัดเฉินผิงอัน
บนเส้นทางของการฝึกตน หากขาดหลินจวินปี้ไปคนหนึ่ง สำหรับคนกลุ่มนี้แล้ว เรื่องที่คนอื่นเสียหายแล้วตัวเองยังไม่ได้รับผลประโยชน์ พวกเขากลับยินดีที่จะทำ แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีโอกาสช่วงชิงผลประโยชน์มาให้ตัวเองอยู่ด้วย
เพราะถึงอย่างไรอยู่ในราชวงศ์เส้าหยวน ผลประโยชน์ก็มีความพัวพันกันอยู่ จับมือเดินทางมาท่องเที่ยวร่วมกันครั้งนี้ หลินจวินปี้โดดเด่นมากเกินไปจริงๆ ต่อให้เป็นเด็กรุ่นหลังของราชวงศ์เส้าหยวนที่ฝึกตนอย่างพวกเขาก็ยังสังเกตเห็นความจริงข้อหนึ่งที่ว่า หากปล่อยให้หลินจวินปี้เดินขึ้นเขาอย่างราบรื่น ในอนาคตร้อยปีพันปี ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของราชวงศ์เส้าหยวนจะต้องเผชิญกับสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนที่ ‘คนผู้หนึ่งยึดครองมหามรรคาไปเพียงลำพัง’
หลินจวินปี้แห่งราชวงศ์เส้าหยวนก็เหมือนกับเฉาสือแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่เล่าเรียนอยู่บนเส้นทางของวิถีวรยุทธ
คนที่เป็นผู้ร่วมทางกับพวกเขา ล้วนเป็นคนน่าสงสาร
นอกจากคนเหล่านี้แล้ว จูเหมยและจินเจินเมิ่งก็เป็นคนอีกประเภทหนึ่ง เมื่อเทียบกันแล้วถือว่ามีกลอุบายน้อยกว่า
แต่เหยียนลวี่กลับไม่ชอบคบค้าสมาคมกับคนประเภทนี้เท่าใดนัก
ส่วนลึกในใจของเหยียนลวี่กลับชอบคบค้าสมาคมและยินดีจะทุ่มเทแรงใจไปสานสัมพันธ์กับกลุ่มพวกหมาป่าตาขาว (เปรียบเปรยถึงคนอกตัญญู ไม่รู้คุณคน) เลี้ยงไม่เชื่องซึ่งตรงข้ามกับพวกจูเหมยและจินเจินเมิ่งมากกว่า
คบหากับจูเหมยที่ชาติกำเนิดไม่แพ้ตนหรือสานสัมพันธ์กับจินเจินเมิ่งที่จิตแห่งเต๋ามั่นคง ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เหยียนลวี่ไม่ยินดีจะจ่าย หรือควรจะพูดว่าไม่เชี่ยวชาญจะจ่าย
หลินจวินปี้ทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาครึ่งตัว ขณะเดียวกันก็แบ่งสมาธิไปที่จุดอื่นแล้ว
บนหัวกำแพงเมืองแห่งอื่น ทุกๆ ระยะทางช่วงหนึ่งจะมีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งเฝ้าพิทักษ์
ส่วนทุกคนที่อยู่ข้างกาย รวมไปถึงเหยียนลวี่ผู้นั้น หลินจวินปี้ไม่เคยคิดว่าพวกเขาเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับตนอยู่แล้ว นิสัยใจคออ่อนแอเกินไป คุณสมบัติย่ำแย่เกินไป หัวสมองก็โง่เขลาเกินไป เป็นเหตุให้ที่พึ่งและภูมิหลังของพวกเขาล้วนเป็นเพียงมายาเลื่อนลอย บางครั้งหลินจวินปี้ยังนึกอยากจะหัวเราะ อยากหัวเราะแล้วพูดความในใจกับพวกเขาว่า พวกเจ้าควรจะทะนุถนอมและเห็นค่าช่วงเวลาตอนนี้ไว้ให้ดี สามารถมาเดินร่วมทางกับข้าหลินจวินปี้ได้อย่างถูไถ จะดีจะชั่วยามอยู่บนเส้นทางของมหามรรคาก็ยังสามารถมองเห็นแผ่นหลังของเขาหลินจวินปี้ และตอนนี้ก็ยิ่งโชคดีได้ฝึกกระบี่ร่วมกันบนหัวกำแพง ถือว่าได้นั่งทัดเทียมกัน
เปียนจิ้งไม่ได้มาเรียนกระบี่กับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยบนหัวกำแพงเมือง
แต่ไปร่วมความครึกครื้นที่หอมายา ที่นี่มีดีอยู่อย่างหนึ่ง บอกว่าเป็นลานประลองยุทธ แต่แท้จริงกลับคล้ายคลึงกับภูเขาตี่ลี่ของอุตรกุรุทวีป สองฝ่ายที่คุมเชิงกัน ไม่แบ่งแพ้ชนะ ได้แต่แบ่งเป็นตายเท่านั้น
แต่เมื่อเทียบกับภูเขาตี่ลี่ก็มีบางอย่างที่ต่างออกไป บนลานประลองยุทธนี้มีเพียงแค่การเข่นฆ่าของขอบเขตเดียวกัน เดิมพันด้วยชีวิตของทั้งสองฝ่าย หากชนะก็ได้กำลังทรัพย์ทุกอย่างของอีกฝ่าย รวมไปถึงส่วนแบ่งจากการเดิมพันที่มีจำนวนน่าทึ่งอย่างถึงที่สุด
การช่วงชิงกันของผู้ฝึกกระบี่ แท้จริงแล้วไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด อีกทั้งโอกาสก็มีไม่มาก โดยทั่วไปแล้วก็หนีไม่พ้นสองฝ่ายผูกปมแค้นที่ต้องตายกันไปข้าง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางมาที่นี่ นอกจากนี้การเข่นฆ่ากันของผู้ฝึกกระบี่สองคน ส่วนใหญ่มักจะสิ้นสุดลงในเสี้ยววินาที ไม่มีอะไรให้น่าดู นั่งยังไม่ทันก้นร้อนก็ต้องลุกจากมาแล้ว จืดชืดไร้รสชาติยิ่งนัก
จุดที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริงคือการเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกกระบี่กับผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ ส่วนที่มีสีสันที่สุด แน่นอนว่ายังคงเป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งสามารถโชคดีแลกชีวิตกับผู้ฝึกกระบี่ที่พลังการเข่นฆ่าสูงสุดมาได้
เหตุใดผู้ฝึกกระบี่จำนวนน้อยถึงเป็นฝ่ายมาเสี่ยงอันตรายที่นี่ นอกจากขัดเกลาตบะของตัวเองแล้ว แน่นอนว่าเพื่อหาเงินมาหล่อเลี้ยงกระบี่บิน
เหตุใดผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ ถึงได้ยินดีเสี่ยงอันตรายพาตัวมาตายที่นี่ แน่นอนว่าไม่ใช่พวกเขารนหาที่ตายเอง แต่เป็นเพราะชีวิตไม่เป็นของตัวเอง ผู้ฝึกลมปราณเหล่านี้ถูกเรือข้ามทวีปจับยัดใส่ห้องลับแล้วพาตัวมาส่งที่นี่แทบทุกคน คือพวกผู้ฝึกตนอิสระในทวีปใหญ่ๆ ของใต้หล้าไพศาล หรือไม่ก็พวกวิญญาณผีเร่ร่อนที่สำนักถูกกวาดล้าง หากสามารถเอาชนะผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเดียวกันได้สามครั้ง ก็จะสามารถมีชีวิตอด หากยังกล้าเป็นฝ่ายลงสนามเข่นฆ่ากับผู้อื่น ก็จะได้รับเงินไปตามกฎ หากสามารถสังหารผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งได้อย่างราบรื่น แค่ครั้งเดียวก็จะกลับคืนมามีอิสระอีกครั้ง
เคยมีลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่เจ็บปวดใจกับเรื่องนี้ รู้สึกว่าการกระทำที่ไร้สาระนี้เหยียบย่ำชีวิตคนเกินไป เคยซักถามกล่าวโทษกำแพงเมืองปราณกระบี่ว่าทำไมถึงไม่ห้ามปราม ปล่อยให้เรือข้ามทวีปลำแล้วลำเล่าพาผู้ฝึกตนอิสระมากมายขนาดนั้นให้มาตายอยู่ที่นี่
และยิ่งมีสตรีจากชนชั้นสูงของราชวงศ์ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคนหนึ่งที่มีที่พึ่งแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ครอบครัวของนางได้ครอบครองเรือข้ามฟากลำหนึ่ง เมื่อมาถึงภูเขาห้อยหัวก็ตรงมาเข้าพักที่จวนหยวนโหรว และการที่นางทุ่มทองพันชั่งจับจ่ายซื้อของที่เรือนหลิงจือด้วยมาดของเจ้านายหญิงก็ยิ่งดึงดูดสายตาผู้คน ผู้ติดตามสองคนที่อยู่ข้างกายนาง นอกจากปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งที่แสดงตัวอย่างชัดเจนแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนสำนักการทหารห้าขอบเขตบนที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำอีกคนหนึ่ง เมื่อไปถึงลานประลองยุทธของหอมายา หลังจากที่สตรีได้ชมศึกแล้วก็ไม่เพียงแต่สงสารผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลที่ถูกจับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังสงสารผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่ถูกมองเป็น ‘หินลับกระบี่’ อีกด้วย รู้สึกว่าในเมื่อพวกมันได้กลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว ก็ถือว่าเป็นคนแล้ว ได้รับการปฏิบัติอย่างทารุณเช่นนี้โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรมมากเกินไป ไม่สอดคล้องกับมารยาทพิธีการ ดังนั้นสตรีจึงอาละวาดอยู่ที่ลานประลองยุทธของหอมายาไปรอบหนึ่ง แล้วจึงจากมาอย่างหยิ่งผยอง ผลคือวันนั้นองค์รักษ์ที่เป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนนั้นของนางถูกเซียนกระบี่ในท้องถิ่นท่านหนึ่งที่ออกจากหัวกำแพงเมืองมาทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ส่วนผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้านั้นก็ไม่กล้าออกหมัดแม้แต่น้อย เพราะนอกจากเซียนกระบี่ที่ออกกระบี่แล้ว เห็นได้ชัดว่ายังมีเซียนกระบี่ที่รออยู่ในทะเลเมฆเตรียมจะออกกระบี่ได้ทุกเวลาอยู่อีก นางจึงได้แต่ข่มกลั้นความเจ็บแค้น วิ่งไปขอความช่วยเหลือจากซุนจวี้เฉวียนเซียนกระบี่ที่สนิทสนมกับตระกูล ผลคือต้องเจอกับน้ำแกงประตูปิด ข้าวของทั้งหมดของกลุ่มพวกนางล้วนถูกโยนไว้บนถนนใหญ่นอกจวนซุน และยังถูกซุนจวี้เฉวียนประทานคำว่าไสหัวไปให้อีกหนึ่งคำ
สตรีร้องไห้ดุจดอกสาลี่พร่างพรมพิรุณ ถูกคนพาหนีออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างฉุกละหุก ว่ากันว่าพอกลับไปถึงใต้หล้าไพศาล นางได้อาศัยวงศ์ตระกูลและกำลังทรัพย์ให้คนรวบรวมลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อและนักประพันธ์มีฝีมือในวงการวรรณกรรมกลุ่มใหญ่ เขียนโจมตีขนบธรรมเนียมอันป่าเถื่อนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ประโยคหนึ่งในนั้นที่ถ้อยคำรุนแรงอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็น ‘ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีอะไรต่างจากเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง?’ เพียงแต่ว่านับแต่นั้นมาคนในตระกูล คนในสำนักและคนในราชวงศ์ของนางก็ไม่มีใครที่สามารถเข้ามาเยือนภูเขาห้อยหัวได้อีก ไม่ใช่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ทว่าแม้กระทั่งภูเขาห้อยหัวก็ไม่อาจเข้าไปได้ หากค้นพบว่ามีคนกล้าแอบขึ้นภูเขาห้อยหัวมา ย่อมต้องมีเซียนกระบี่ที่เฝ้าประตูปล่อยกระบี่ฟันเข้าใส่มหาสมุทร จุดจบเป็นอย่างไร เป็นตายอยู่ที่ชะตาฟ้าลิขิต
ปีนั้นเรื่องนี้สร้างความครึกโครมไปมาก
แต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกลับไม่ได้เอ่ยอะไร ตระกูลต่งที่เคยรับผิดชอบจัดการเรื่องนี้ก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
วันนี้เปียนจิ้งไม่เพียงแต่ไปร่วมชมศึก ยังลงเดิมพันอยู่หลายอย่าง การเดิมพันเป็นตายส่วนใหญ่คนจะมั่นใจอยู่แล้วว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ นักพนันที่มามั่วสุมอยู่ที่นี่หลายปี แต่ละคนล้วนสายตาดีกันทั้งนั้น ดังนั้นจะเป็นกำไรที่ได้มาจริงๆ หรือเป็นการเดิมพันที่ขาดทุน ก็ยังคงเป็นการเดิมพันในข้อที่ว่านานแค่ไหนจึงจะมีคนเสียชีวิต ส่วนการลงเดิมพันว่าทั้งสองฝ่ายล้วนตายคู่ ขอแค่ลงเดิมพันถูก ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ชนะก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเหล้าไปอีกสองปีสามปี เพราะคิดจะดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ราคานั้นก็ไม่ใช่ถูกๆ เลยจริงๆ
เปียนจิ้งนั่งอยู่ในมุมแห่งหนึ่งของอัฒจันทร์ที่เต็มไปด้วยผู้คน ดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ รอคอยให้สองฝ่ายที่จะเดิมพันกันด้วยชีวิตวันนี้เข้ามาในสนามประลอง
จากนั้นคนที่ปรากฏตัวก่อนเป็นคนแรกก็คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรของใต้หล้าไพศาลคนหนึ่งที่มาฝึกประสบการณ์ที่นี่ แล้วจึงตามมาด้วยผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจขอบเขตเดียวกันที่เสื้อผ้าขาดรุ่ย เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยบาดแผล แต่กลับไม่ส่งผลกระทบต่อพลังการสู้รบของเขา แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีเผ่าปีศาจก็มีเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานอยู่แล้ว ยิ่งได้รับบาดเจ็บ นิสัยดุดันก็ยิ่งสำแดงเดช และในฐานะผู้ฝึกกระบี่ พลังสังหารก็ยิ่งมาก
การคุมเชิงเช่นนี้ไม่ได้มีให้พบเห็นบ่อยนัก
เปียนจิ้งมองผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจอายุน้อยที่สีหน้าเฉยชาคนนั้น ได้ยินมาว่าในใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ห่างเพียงหนึ่งกำแพงกั้นแห่งนั้น ขอแค่กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้ก็ล้วนถูกขนานนามให้เป็น ‘เมล็ดพันธ์แห่งมหามรรคา’ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับเมล็ดพันธ์บัณฑิตของใต้หล้าไพศาล
ว่ากันว่าหลังจากที่ศึกใหญ่ครั้งหนึ่งปิดฉากลง ปีศาจตนนี้ก็แอบลอบเข้ามาในซากปรักสนามรบเพื่อหวังเสี่ยงดวง พยายามจะขโมยเอาเศษซากโครงกระดูกของผู้ฝึกกระบี่ไป แต่กลับถูกผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มาลาดตระเวนจับตัวไป เอากลับมาขังไว้ในคุก สุดท้ายก็มีจุดจบไม่ต่างจากเผ่าปีศาจส่วนใหญ่ที่ถูกจับโยนมาที่นี่ ส่วนที่ตายก็ตายไป แต่หากมีชีวิตรอดมาได้ก็จะถูกพากลับมาที่คุกอีกครั้งเพื่อรักษาบาดแผลให้หายดี รอคอยการจับคู่เข่นฆ่าครั้งต่อไปที่ไม่มีทางรู้เลยว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร
เปียนจิ้งไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อยว่าทำไมคนไม่น้อยของใต้หล้าไพศาลที่มาฝึกประสบการณ์ที่นี่ถึงได้เกิดความเห็นอกเห็นใจ
ดังนั้นเวลานี้เปียนจิ้งที่ดื่มเหล้าจึงรอคอยวันที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกตีแตก รอคอยว่าถึงเวลานั้นเมื่อเผ่าปีศาจยึดครองใต้หล้าไพศาล จะเกิดจิตเมตตาของคนดี เกิดความเห็นอกเห็นใจเช่นนี้หรือไม่
ความคิดและจิตใจของเปียนจิ้งจมจ่อมอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็ก บางสิ่งบางอย่างที่รับรู้ความคิดทั้งหมดของเขาแอบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของทะเลสาบหัวใจเปียนจิ้ง พอเห็นดวงจิตขนาดเท่าเมล็ดงาของเปียนจิ้งแล้วก็แสยะยิ้ม ทั่วร่างของสิ่งนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเปลี่ยวร้าง เพียงแค่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ก็ชักนำให้ปราณวิญญาณในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตหลายแห่งของผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองพากันส่ายไหวแล้วเดือดพล่านดุจน้ำมันในกระทะร้อน โชคดีที่ปราณขุมนั้นแค่กระจายออกไปเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องให้เปียนจิ้งใช้จิตกำราบก็ถูกตัวของสิ่งนั้นเก็บมาเองอย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเปิดเผยพิรุธ เพราะจากนั้นก็คงต้องถูกเซียนกระบี่ในท้องถิ่นล้อมฆ่าอย่างไม่ต้องสงสัย เซียนกระบี่พวกนี้ไม่ใช่หมาแมวขอบเขตหยกดิบอะไรทั้งนั้น เพราะหากเป็นเช่นนั้นยังไม่พอจะยัดร่องฟันของมันด้วยซ้ำ แต่ไม่แน่ว่าในบรรดานี้อาจมีพวกตาแก่บางคนของแซ่ต่ง ฉี เฉินรวมอยู่ด้วย นี่ต่างหากที่จะยุ่งยาก กลายเป็นว่าทุกอย่างที่ทำมาจะเสียเปล่าทั้งที่อยู่ห่างความสำเร็จอีกแค่ก้าวเดียว ยามที่บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลร่ายหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ขึ้นมา นับว่ายังพอจะน่าสนใจอยู่บ้าง
มันเพียงแค่เอ่ยประโยคหนึ่งกับดวงจิตเมล็ดงาของเปียนจิ้ง “หลังจากทำสำเร็จ คุณความชอบของข้ามากพอจะทำให้เจ้าได้รับอาวุธเซียนบางชิ้นได้ บวกกับข้อตกลงก่อนหน้านี้ ข้ารับรองได้ว่าเจ้าจะสามารถกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน ส่วนจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตบินทะยานได้หรือไม่นั้น ก็คงต้องดูที่โชควาสนาของตัวเจ้าเองแล้ว กลายเป็นขอบเขตบินทะยาน อีกทั้งยังมีกระบี่ดีๆ เล่มหนึ่ง ยังจะมีใต้หล้าไพศาล ใต้หล้าเปลี่ยวร้างอะไรอยู่อีก? จะมีที่ใดที่เจ้าไปเยือนไม่ได้บ้าง? ที่ใดใต้ฝ่าเท้าที่ไม่ใช่ยอดเขา? คนอย่างพวกหลินจวินปี้ เฉินผิงอัน ไม่ว่าจะมิตรหรือศัตรูก็ล้วนเป็นเพียงแค่มดตัวเล็กที่ไม่มีค่าคู่ควรให้เปียนจิ้งก้มหน้าลงมอง”
……
การไปมาระหว่างภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ มีประตูใหญ่อยู่สองแห่ง
คู่อาจารย์และศิษย์อย่างฉีจิ่งหลงและป๋ายโส่ว รวมไปถึงสหายสองคนอย่างหลูสุ้ยและเริ่นหลงฉง คนทั้งสี่เดินทางเข้าไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยกัน
ป๋ายโส่วเวียนหัวตาลาย นั่งอาเจียนแห้งๆ อยู่กับพื้น ฉีจิ่งหลงย่อตัวลงช่วยกดบ่าเด็กหนุ่มเบาๆ
เริ่นหลงฉงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร เพียงแต่ฝืนข่มกลั้นเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ถูกหลูสุ้ยกุมมือช่วยสร้างความมั่นคงให้ปราณวิญญาณในช่องโพรงวิญญาณ เริ่นหลงฉงที่สีหน้าซีดขาวถึงพอจะรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
และแทบจะเวลาเดียวกันนั้น ประตูบานใหญ่อีกบานก็มีสตรีคนหนึ่งออกจากตำหนักสุ่ยจิงมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง ตอนที่หยุดยืนนิ่ง ปณิธานหมัดทั่วร่างของนางไหลรินออกมา สำหรับการกดกำราบที่พุ่งมามืดฟ้ามัวดินของกำแพงเมืองปราณกระบี่ขุมนั้น ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกปรับตัวไม่ทันเลยแม้แต่น้อย
นางเดินทางมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้ เดิมทีคิดจะไล่ตามรอยเท้าของเฉาสือ ไปพักอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็กที่เฉาสือสร้างขึ้นมาบนหัวกำแพงเมืองเพื่อขัดเกลาขอบเขตร่างทองของตัวเอง หวังว่าจะสามารถใช้ขอบเขตเจ็ดที่แข็งแกร่งที่สุดมาเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตเดินทางไกล เพียงแต่พอได้ยินเรื่องราวบางอย่างตอนอยู่ในตำหนักสุ่ยจิ่งก็ทำให้นางรู้สึกว่านี่คือบัญชาจากสวรรค์! นี่จึงเป็นเหตุให้สิ่งเดียวที่นางต้องการในเวลานี้ก็คือ ใช้หมัดปะทะหมัดกับคนที่เฉาสือและหลิวโยวโจวพูดถึงอยู่บ่อยครั้งบนหัวกำแพง ให้เขาต้องแพ้ติดต่อกันสามครั้งอีกครา!