กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 605.1 ถามหมัดกับใคร ถามกระบี่จากใคร
อันที่จริงอวี้เจวี้ยนฟูเป็นสตรีใจกว้างตรงไปตรงมา ในเมื่อแพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว นางไม่มีทั้งความดึงดันไม่ยอมแพ้ ยิ่งไม่มีความอาฆาตแค้นใดๆ ลุกขึ้นยืนอย่างผ่าเผย ไม่ลืมเอ่ยลาเฉินผิงอันคำหนึ่ง แล้วก็จากไป
ตอนนี้เรื่องที่อวี้เจวี้ยนฟูคิดก็คือการถามหมัดครั้งที่สามที่เฉินผิงอันปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมไปแล้ว
หมัดข้าสู้คนอื่นไม่ได้ ยังจะทำอย่างไรได้อีก ก็มีแต่ต้องเพิ่มพูนปณิธานหมัด ออกหมัดให้เร็วกว่าเดิมเท่านั้น!
นางไม่เชื่อคำพูดของเฉาสือที่บอกว่าหากแพ้ให้เฉินผิงอันครั้งหนึ่งแล้วก็ยากที่จะไล่ตามได้ทันหรอกนะ
เฉินผิงอันกุมหมัดบอกลาอีกฝ่าย ไม่ได้เอ่ยคำใด
เรือยันต์จอดลงบนหัวกำแพง คนทั้งสี่พลิ้วกายลงบนพื้น
ผู้ฝึกกระบี่หลายคนต่างแยกย้ายกันไป บ้างก็เรียกหาสหายให้กลับไปพร้อมกัน บ้างก็เอ่ยลาบอกกล่าวกัน ช่วงเวลานั้นกลางอากาศสูงทางทิศเหนือของหัวกำแพงจึงมีแสงกระบี่หลายเส้นตัดสลับ แต่คนที่สบถด่าเสียงดังขรมก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรต่อให้เรื่องครึกครื้นนี้จะสนุกแค่ไหน ทว่ากระเป๋าเงินฟีบแบนก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร ซื้อเหล้าต้องติดเงินไว้ก่อน แค่คิดก็กลุ้มแล้ว
เฉินผิงอันสวมรองเท้า ลูบชายแขนเสื้อให้เรียบ ทาบมือโค้งคารวะอาจารย์จ้งเป็นอันดับแรก จ้งชิวกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มเรียกด้วยความเคารพว่าเจ้าขุนเขา
ก่อนจะออกมาจากพื้นที่มงคลรากบัว จ้งชิวได้ลาออกจากตำแหน่งราชครูกับฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นหนันเยวี่ยนแล้ว ตอนนี้ยังได้มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อยู่ในอีกใต้หล้าหนึ่ง จ้งชิวคิดว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างแท้จริงดูสักครั้ง จะลองขัดเกลาปณิธานหมัดในสถานที่ที่มีปราณกระบี่มากที่สุดในโลกอย่างตั้งใจ ไม่แน่ว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่งอาจจะยังมีโอกาสได้กลับมาพบเจอกับอวี๋เจินอี้อีกครั้ง ถึงเวลานั้นตนไม่ใช่ราชครูแล้ว อวี๋เจินอี้ก็น่าจะเป็นคนในกลุ่มเทพเซียนที่บรรลุมรรคาแล้ว เหตุผลของทั้งสองฝ่ายย่อมเข้ากันไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นจ้งชิวก็จะใช้สองหมัดถามวิชาเซียน
เฉินผิงอันมองสบตากับเฉาฉิงหล่างอยู่ก่อนแล้ว เฉาฉิงหล่างรับรู้อยู่ในใจจึงไม่รีบร้อนคารวะทักทายอาจารย์ของตน เพียงแค่ยืนอยู่ข้างกายอาจารย์จ้งเงียบๆ
และเวลานี้เฉินผิงอันก็ยิ้มมองเผยเฉียน ถามว่า “ตลอดทางมานี้ได้พบเห็นอะไรมามากไหม? ได้ถ่วงเวลาการทัศนศึกษาของอาจารย์จ้งหรือไม่?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับรัวๆ ดั่งไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือกก่อน จากนั้นก็ส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง ท่าทางยุ่งอยู่ไม่น้อย
ดูเหมือนว่าอาจารย์พ่อจะตัวสูงขึ้นอีกแล้ว ร้ายกาจอะไรอย่างนี้ วันนี้สูงแล้ว พรุ่งนี้ก็จะสูงอีก วันหน้าจะไม่สูงกว่าภูเขาลั่วพั่วและภูเขาพีอวิ๋นเลยหรือ จะสูงกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ด้วยหรือไม่นะ?
เฉินผิงอันลูบศีรษะของนาง
เผยเฉียนพลันร้องอั๊ยหยาหนึ่งที ไหล่พลันสะบัดไปเล็กน้อยราวกับว่าเกือบจะสะดุดล้ม นางขมวดคิ้วแน่น เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์พ่อ ท่านว่าแปลกหรือไม่ ไม่รู้ว่าทำไม ขาของข้าบางครั้งก็ยืนได้ไม่มั่นคงนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อาจารย์พ่อวางใจเถอะ ก็แค่อยู่ดีๆ เซไปบ้างเท่านั้น ไม่ได้ถ่วงรั้งการฝึกวิชาหมัดของข้ากับพ่อครัวเฒ่า ส่วนเรื่องการคัดตัวอักษรก็ยิ่งไม่เป็นปัญหาเข้าไปใหญ่ เพราะถึงอย่างไรส่วนที่บาดเจ็บก็คือขานี่นะ”
เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า ยกมือป้องปาก แอบกระซิบว่า “อาจารย์พ่อ หน่วนซู่กับหมี่ลี่บอกว่าข้ามักจะเดินละเมอเป็นประจำ ไม่แน่ว่าวันใดอาจพาตัวเองเดินไปชนนั่นชนนี่ อย่างเช่นว่าขาโต๊ะเอย ราวรั้วเอย อะไรพวกนี้น่ะ”
เฉินผิงอันทำท่ากระจ่างแจ้งโดยพลัน “แบบนี้เองหรือ”
เผยเฉียนเหมือนยกภูเขาออกจากอก เป็นเหตุผลที่รัดกุมจริงๆ เสียด้วย คราวนี้ทุกเรื่องล้วนราบรื่นแล้ว!
จากนั้นร่างของเผยเฉียนก็พลันแข็งทื่อ หันหน้ากลับไปช้าๆ
ฉีจิ่งหลงพาลูกศิษย์เดินช้าๆ มาทางนี้ ป๋ายโส่วหน้าตามู่ทู่ ตัวขาดทุนผู้นี้ไยบอกว่าจะมาก็มาถึงเลยล่ะ ทุกวันนี้เขาที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่จะต้องขอพรให้พระโพธิสัตว์สำแดงอิทธิฤทธิ์ ขอให้ขุนนางสวรรค์ประทานพร แล้วยังพร่ำพูดถึงชื่อของเซียนกระบี่ทั้งหลายให้พวกเขาช่วยมอบโชควาสนาแก่ตนสักนิด ทว่ากลับไม่ได้ผลเลยสักอย่าง
เฉินผิงอันถาม “พวกเจ้าจะประลองบู๊กันเมื่อไหร่? เลือกวันฤกษ์ดีไม่สู้เลือกวันฤกษ์สะดวก วันนี้เลยเป็นไง?”
ดวงตาเผยเฉียนเปิดประกายจ้า ป๋ายโส่วรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ คนทั้งสองสบตากัน จิตสื่อถึงกันได้อย่างเฉียบไว ป๋ายโส่วกระแอมหนึ่งที แล้วพูดขึ้นมาก่อนว่า “ประลองบู๊อะไรกัน แค่ประลองบุ๋นก็พอแล้ว!”
เผยเฉียนเอ่ยคล้อยตามว่า “นั่นสิ ป๋ายโส่วคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์หลิว คือคนในกลุ่มผู้ฝึกตนบนภูเขา ข้าคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์พ่อ คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ข้ากับป๋ายโส่วต่อสู้กันไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แล้วนับประสาอะไรกับที่วันเวลาที่ข้าเริ่มเรียนวิชาหมัดก็ยังสั้นนัก วิชาหมัดไม่ยอดเยี่ยมมากพอ ตอนนี้มีแต่ต้องเป็นฝ่ายถูกพ่อครัวเฒ่าป้อนหมัด ไม่กล้าถามหมัดกับคนอื่นหรอก หากจะให้ประลองบู๊จริงๆ วันหน้ารอให้ข้าฝึกวชากระบี่มารคลั่งนั่นสำเร็จก่อนค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย”
ป๋ายโส่วร้อนใจขึ้นมาครามครัน “เจ้าฝึกวิชากระบี่นั่นสำเร็จก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธ คือมือกระบี่อยู่ดีนี่นา ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เสียหน่อย เรียกต่างกันคำเดียวก็ต่างราวฟ้ากับเหว ตีกันไปก็ยังไม่มีประโยชน์อยู่ดีนั่นแหละ”
เผยเฉียนเองก็ร้อนใจขึ้นมาเหมือนกัน หมายความว่าไง ดูแคลนวิชากระบี่ของข้า? นี่ก็เท่ากับว่าดูแคลนข้าเผยเฉียน ดูแคลนข้าก็เท่ากับว่าดูแคลนอาจารย์พ่อของข้า?! อาจารย์พ่อของข้าเรียกตัวเองว่ามือกระบี่ด้วยความภาคภูมิใจมาโดยตลอด เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงคนนั้นที่ให้เจ้าป๋ายโส่วยืมความกล้าอย่างนั้นหรือ?! เผยเฉียนโมโหอย่างหนัก ใช้ไม้เท้าเดินป่ากระแทกพื้นอย่างแรง “ป๋ายโส่ว พวกเราประลองบู๊กันวันนี้แหละ! ตอนนี้ ที่นี่เลย!”
เฉินผิงอันงอสองนิ้วเขกลงบนท้ายทอยของเผยเฉียน “ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวออกหมัดไม่หยุด คือให้ข้าในวันนี้ถามหมัดข้าในวันพรุ่งนี้ ห้ามทำอะไรโดยเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง หากเหตุผลนี้ใหญ่เกินไป ไม่เข้าใจก็จำไว้ก่อน วันหน้าค่อยๆ คิดไป”
เผยเฉียนหันหน้ามาพูดอย่างน้อยใจ “แต่ป๋ายโส่วดูแคลนมือกระบี่ อาจารย์พ่อเดินทางท่องอยู่ในยุทธภพมาเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ล้วนเรียกแทนตัวเองว่ามือกระบี่ด้วยความภาคภูมิใจมาโดยตลอด ป๋ายโส่วดูแคลนข้าก็ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้สนิทกับเขาสักหน่อย แต่เขาใช้สถานะผู้ฝึกกระบี่ของตัวเองมาดูแคลนอาจารย์พ่อที่เป็นมือกระบี่ ข้าไม่ยอมหรอกนะ”
ตอนนี้ป๋ายโส่วรู้สึกเพียงว่าสมองตนเลอะเลือนยิ่งกว่าอวี้เจวี้ยนฟูที่ถูกต่อยจนหัวแตกยับเสียอีก นึกอยากจะตบปากตัวเองแรงๆ สักครั้ง
ปณิธานหมัดทั้งร่างของเผยเฉียนไหลทะลักอย่างพลุ่งพล่าน ราวกับลำธารสายเล็กนับร้อยนับพันเส้นที่เดิมทีสงบนิ่งราบเรียบได้มารวมตัวกันแล้วกลายมาเป็นน้ำตกสายหนึ่งที่สายน้ำพุ่งทะยานลงสู่เบื้องล่าง
การป้อนหมัดของผู้อาวุโสชุยบนเรือนไม้ไผ่ในอดีต บางครั้งก็จะเอ่ยสัจธรรมของหมัดให้ฟังสองสามประโยค หนึ่งในนั้นก็คือประโยคว่า ‘น้ำตกอยู่ครึ่งท้องฟ้า บินทะยานดิ่งลงสู่โลกมนุษย์’ เปรียบเปรยว่าปณิธานหมัดมารวมตัวกัน ภาพบรรยากาศแห่งผู้ฝึกยุทธบังเกิดขึ้นท่ามกลางฟ้าดิน และยังมีประโยคที่ว่า ‘หนึ่งมังกรสี่กรงเล็บยกสี่ขุนเขา ยืดเอวแบกภูผาสูงตระหง่านบนแผ่นหลัง’ คือการอธิบายว่ารากฐานของปณิธานหมัดกระบวนท่าไอน้ำเหนือบึงใหญ่นั้นมาจากที่ว่า มังกรเฒ่าโปรยพิรุณในสมัยโบราณ ฝนรสหวานจะพร่างพรมลงมาจากฟ้า แต่ข้ากลับจะให้น้ำในสี่สมุทรห้าทะเลสาบย้อนกลับไปยังก้อนเมฆ ออกห่างจากโลกมนุษย์
เฉินผิงอันเอ่ย “หืม?”
ปณิธานหมัดทั่วร่างของเผยเฉียนพลันสลายหายไป ร้องอ้อรับอย่างว่าง่าย ไหล่ลู่คอตก ยังจะทำอย่างไรได้อีก อาจารย์พ่อโกรธแล้ว ศิษย์ก็ได้แต่ยอมรับผิด นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินแล้ว
ในบรรดาคนที่ผู้อาวุโสชุยสอนหมัดให้ ผู้ที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด ไม่ใช่เฉินผิงอัน แต่เป็นเผยเฉียน
อย่างน้อยที่สุดเฉินผิงอันก็รู้สึกเช่นนี้ เผยเฉียนเรียนรู้วิชาหมัดได้เร็วเกินไป ความหมายจากวิชาหมัดที่นางได้รับมามากเกินไปและหนักอึ้งเกินไป เฉินผิงอันที่เป็นอาจารย์จึงทั้งปลาบปลื้ม และทั้งกังวลใจ
ลูกตาของป๋ายโส่วแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
หากเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายโส่วอย่างข้าก็ลำเอียงเข้าข้างคนแซ่หลิว และให้ความเคารพอาจารย์เฉกเช่นเผยเฉียน คาดว่าคนแซ่หลิวคงจะไปจุดธูปกราบไหว้ศาลบรรพจารย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย จากนั้นก็คงจะแอบหลั่งน้ำตาให้กับภาพเหมือนของพวกบรรพจารย์ทั้งหลาย ริมฝีปากสั่นระริก ซาบซึ้งใจสุดขีด เอ่ยว่าในที่สุดตนก็รับลูกศิษย์ที่ร้อยปีมิอาจพานพบ พันปียากจะพบเจอมาให้เหล่าบรรพบุรุษทั้งหลายได้แล้วกระมัง? แต่เฉินผิงอันนี่เป็นอะไร ดื่มเหล้าจากที่ร้านมามากเกินไป สมองก็เลยเลอะเลือนอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเพราะก่อนหน้านี้ประมือกับอวี้เจวี้ยนฟู หน้าผากรับหมัดของอีกฝ่ายไปอย่างจัง หัวก็เลยถูกทุบจนใช้งานไม่ได้ไปแล้ว?
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ป๋ายโส่วถือเป็นคนกันเองครึ่งตัวแล้ว เวลาปกติหากเจ้าเล่นสนุกกับเขาก็ไม่เป็นไร แต่หากแค่เพราะเขาเอ่ยไม่กี่คำ เจ้าก็จะถามหมัดอย่างจริงจัง จะประลองบู๊อย่างเป็นทางการ? ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเมื่อเจ้าต้องออกท่องยุทธภพเพียงลำพัง เวลาเจอกับพวกคนที่ไม่รู้จัก แล้วบังเอิญได้ยินพวกเขาพูดจาแรงๆ พูดจาไม่น่าฟังเกี่ยวกับอาจารย์และภูเขาลั่วพั่วแค่ไม่กี่คำ เจ้าก็จะใช้หมัดที่เร็วยิ่งกว่าและหนักยิ่งกว่าพูดคุยกับพวกเขาแทนเหตุผลใช่หรือไม่? แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไรเรื่องในอนาคตไม่ว่าใครก็ไม่กล้ายืนยัน อาจารย์เองก็ไม่กล้า แต่ตัวเจ้าลองบอกมาสิว่าจะมีโอกาสที่เรื่องแย่ที่สุดแบบนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่? เจ้ารู้หรือไม่ว่า หมื่นหนึ่ง หมื่นหนึ่ง ขอแค่มีหนึ่งนั้นจริงๆ นั่นก็คือหนึ่งหมื่นแล้ว!” (หนึ่งหมื่นเปรียบเปรยถึงเรื่องที่อยู่ในการคาดการณ์ ดังนั้นหมื่นหนึ่งจึงหมายถึงเรื่องไม่คาดฝัน)
“หากเป็นเช่นนี้ ใต้หล้ามีผู้ฝึกตนที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์มากมายขนาดนี้ ภูเขาลูกหนึ่งมักจะสูงกว่าภูเขาลูกหนึ่งเสมอ น้ำในยุทธภพลึกล้ำ ทุกหนทุกแห่งมองดูเหมือนเป็นแค่บ่อน้ำ แต่แท้จริงกลับเป็นบ่อลึก เจ้าอยู่ข้างนอกตัวคนเดียว ต้องเสียเปรียบคนอื่นก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเจอกับความลำบากใหญ่หลวงหรือ ความผิดเล็กๆ ของคนอื่น แต่เจ้ากลับอาศัยว่าตัวเองมีปณิธานหมัดปล่อยหมัดที่เป็นความผิดใหญ่ออกไป จากนั้นญาติมิตร ผู้อาวุโสของเขาก็ลงมือกับเจ้า หลังจบเรื่องต่อให้อาจารย์ยินดีจะทวงความเป็นธรรมให้เจ้า แต่อาจารย์จะยังออกหมัดอย่างเต็มแรงโดยที่ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายได้อีกหรือ? พอพบเจอกับคนผู้นั้น อาจารย์จะยังออกหมัดเต็มที่โดยไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงได้อีกหรือ? หลังจากที่อาจารย์ต่อยให้เขาล้มคว่ำได้ด้วยหมัดเดียวแล้ว จะยังเอ่ยประโยคที่ว่า ‘ลูกศิษย์ของข้าแค่หมัดเล็กเหตุผลใหญ่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในฐานะอาจารย์จึงใช้หมัดใหม่มาพูดเหตุผลเก่ากับเจ้า’ กับเขาได้อย่างไร?”
เผยเฉียนก้มหน้าลง ไม่เอ่ยคำใด
หัวสมองของป๋ายโส่วว่างเปล่า เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดหนีไม่พ้นการมีความคิดโง่เขลา ไร้คุณธรรมแล้งน้ำใจ เด็กหนุ่มรู้สึกเพียงว่าชีวิตนี้ของตนจบสิ้นแล้ว
ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์หลิว อาจารย์จ้ง พวกเราไปเดินเล่นกันดีไหม?”
คนทั้งกลุ่มพากันเดินจากไปอย่างใจตรงกัน ทิ้งไว้เพียงแค่คู่อาจารย์และศิษย์ที่ไม่ถือว่ากลับมาพบกันใหม่หลังจากจากกันไปนาน แต่กลับอยู่ห่างไกลกันโดยมีพันภูเขาหมื่นสายน้ำสองใต้หล้ากั้นขวาง
เฉินผิงอันเอ่ย “อาจารย์พูดเหตุผลของตัวเองไปแล้ว ตอนนี้ถึงคราวเจ้าพูดบ้างแล้ว อาจารย์จะรับฟังความในใจของเจ้า ขอแค่เป็นความในใจ ไม่ว่าจะถูกหรือไม่ถูก อาจารย์ก็ไม่มีทางโกรธ”
เผยเฉียนยังคงไม่เอ่ยอะไร
นางกำไม้เท้าเดินป่าเอาไว้แน่น
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย จึงได้แต่เอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หากเป็นเมื่อก่อน อาจารย์ไม่มีทางตำหนิเจ้าต่อหน้าพวกชุยตงซาน มีแต่จะคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว แต่ตอนนี้เจ้าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วแล้ว อีกทั้งช่วงเวลาที่อาจารย์ได้อยู่กับเจ้าน้อยยังมีน้อย และตอนนี้เจ้าเองก็เติบใหญ่ขึ้นไม่น้อย ยังได้เรียนวิชาหมัด แทนที่จะพูดคุยกับเจ้าดีๆ เป็นการส่วนตัวเพราะเห็นแก่ความรู้สึกของเจ้า แต่เจ้าอาจไม่เก็บไปใส่ใจ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้ให้อาจารย์ตำหนิเจ้าต่อหน้าคนมากมาย ให้เจ้ารู้สึกว่าอาจารย์ทำให้เจ้าเสียหน้า ตำหนิอาจารย์ในใจว่าไม่รู้จักเห็นแก่ความรู้สึกคนอื่น แต่ก็ต้องทำให้เจ้าจดจำหลักการเหตุผลเหล่านี้ให้แม่นยำให้จงได้ หมื่นสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ สิ่งอื่นๆ ที่เหลือไว้ถือเป็นความโชคดี มีเพียงเรื่องหลักการเหตุผลเท่านั้นที่จะเหลือค้างเอาไว้ไม่ได้ วันนี้พูดได้ก็ควรพูดวันนี้ ข้อบกพร่องของเมื่อวานก็ควรชดเชยในวันนี้ เลี้ยงดูไม่ดีเป็นความผิดของบิดามารดา สั่งสอนไม่เข้มงวดเป็นความผิดของอาจารย์ อาจารย์พูดถึงกฎเกณฑ์ที่ชวนให้คนหงุดหงิดใจกับเจ้ามากมายขนาดนี้ ไม่ใช่ต้องการให้เจ้ารู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ไม่เป็นตัวของตัวเองยามที่ออกท่องยุทธภพด้วยตัวเอง แต่เพราะหวังว่าไม่ว่าเจ้าพบเจอเรื่องใดจะคิดให้มาก เมื่อคิดจนเข้าใจแล้วรู้สึกว่าไม่ผิดต่อหลักเหตุผลก็สามารถออกหมัดได้อย่างไร้ยำเกรง ออกท่องยุทธภพครั้งหนึ่งเป็นเช่นนี้ สิบครั้งร้อยครั้งก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ต่อให้จะได้รับความอยุติธรรมแค่ไหนก็แค่กลับภูเขาไปหาอาจารย์ อาจารย์ไม่ต้องการให้ลูกศิษย์ทวงความเป็นธรรมให้อาจารย์ ในเมื่ออาจารย์คืออาจารย์ ตามเหตุตามผลก็ควรจะปกป้องลูกศิษย์ เผยเฉียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าในใจอาจารย์มีความปรารถนาใด? นั่นก็คือหวังให้คนที่ข้าเฉินผิงอันสั่งสอนมา ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ก็ดี นักเรียนก็ช่าง ลงจากภูเขาไปแล้ว ไม่ว่าจะไปอยู่แห่งหนใดในใต้หล้า วิชาหมัดสู้คนอื่นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ความรู้สู้คนอื่นไม่ได้ก็ไม่มีปัญหา วิชาคาถาไม่จำเป็นต้องสูงส่ง แต่มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่ว่าใครก็ตามในใต้หล้า ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ล้วนไม่ต้องให้พวกเขามาเป็นคนสอนพวกเจ้าว่าควรวางตัวเช่นไร มีอาจารย์พ่อ มีอาจารย์แค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว”
เผยเฉียนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่นานแล้ว นางกอดไม้เท้าเดินป่าที่ตัวเองรัก อยู่ร่วมกันมานาน และมักจะพูดความในใจของตัวเองให้มันฟังบ่อยๆ ไว้ในอ้อมอก ยกมือขึ้น ใช้มือซ้ายปาดน้ำ มือขวาเช็ดหน้า เพียงแต่ว่าน้ำตาไม่หยุดไหลสักที นางจึงล้มเลิกความคิด แหงนหน้าขึ้น กลั้นสะอื้นจนใบหน้ายับยู่ “อาจารย์พ่อ ที่ก่อนหน้านี้ข้าพูดไปอย่างนั้นเพราะรู้สึกว่าหากจะต้องประลองบู๊กันจริงๆ ขอแค่ป๋ายโส่วตั้งใจรับมือ ข้าต้องเอาชนะเขาไม่ได้แน่นอน แต่ศิษย์โกรธเขามากจริงๆ ต่อให้จะเอาชนะเขาไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องออกหมัด ศิษย์คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์พ่อ จะไม่ยอมให้เขาดูถูกอาจารย์พ่อและมือกระบี่เด็ดขาด ต่อให้สู้ไม่ได้ก็จะสู้!”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
เฉินผิงอันเกาหัว “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็ผิดไปแล้ว อาจารย์ต้องขอโทษเจ้าด้วย”
เฉินผิงอันค้อมตัว ยื่นมือไปช่วยเช็ดน้ำตาให้นาง
เผยเฉียนรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ใบหน้าตนเปื้อนไปทั้งน้ำมูกน้ำตามอมแมมเกินไป จึงรีบหันหน้าไปด้านหลัง พอหันกลับมาอีกครั้งก็คลี่ยิ้มกว้าง “อาจารย์พ่อจะผิดได้อย่างไร อาจารย์พ่อเอาคำว่าขอโทษกลับคืนไปเถอะ”
เฉินผิงอันบีบแก้มนาง “เจ้านี่ดื้อจริงๆ”
เมื่อครู่เขาเกือบอดไม่ไหวเรียกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้า แต่เวลานี้ไม่มีความคิดอยากดื่มแล้ว เอ่ยว่า “รู้หนักเบาของหมัดที่ตัวเองปล่อยออกไป หรือควรจะพูดว่าก่อนจะออกหมัด เจ้าสามารถคิดถึงเรื่องนี้ได้ นี่ก็หมายความว่าการออกหมัดของเจ้ายังคงเป็นคนที่ออกหมัด หาใช่คนเดินตามหมัด ดีมาก ดังนั้นอาจารย์ผิดก็คือผิด อาจารย์เต็มใจพูดขอโทษเจ้า ส่วนคำพูดที่อาจารย์บอกไป เจ้าก็ตั้งใจหน่อย จำได้มากแค่ไหนก็แค่นั้น หากมีตรงไหนที่ไม่เข้าใจ รู้สึกว่ายังไม่ถูกก็พูดกับอาจารย์ตามตรง ถามอาจารย์ตามตรง อาจารย์ไม่เหมือนคนบางคน ไม่มีทางรู้สึกขายหน้าแน่นอน”
เผยเฉียนโคลงศีรษะ พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “‘คนบางคน’ ใช้ไม่ได้ ไม่เหมือนอาจารย์พ่อกับข้าหรอก”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่หนึ่งที
เผยเฉียนทำตาเหลือก มือข้างหนึ่งถือไม้เท้า มืออีกข้างยื่นไปข้างหน้าปัดป่ายสะเปะสะปะอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ไม่รู้ว่าแสร้งทำเป็นละเมอหรือเมาเหล้า จงใจพูดพึมพำว่า “อาจารย์พ่อของใครกันน่ะถึงมีวิชาคาถาร้ายกาจได้ขนาดนี้ เขกมะเหงกทีหนึ่งก็ทำให้คนหลงทิศหาทางไม่เจอ ที่นี่คือที่ไหนกัน ใช่ภูเขาลั่วพั่วไหม…อิจฉาคนที่มีอาจารย์พ่อแบบนี้จริงๆ อิจฉาจนทำให้คนน้ำลายไหล หากได้เป็นลูกศิษย์เปิดขุนเขาก็ไม่ใช่ว่าขนาดตอนหลับฝันก็ยังยิ้มกว้างได้หรอกหรือ…”