กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 605.3 ถามหมัดกับใคร ถามกระบี่จากใคร
เผยเฉียนหยิบยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้ชุยตงซานพลางเอ่ยเตือนว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ของอาจารย์พ่อก็ไม่ใช่อาจารย์ลุงใหญ่ของข้าหรอกหรือ? แต่ข้ายังไม่ได้เตรียมของขวัญให้กับอาจารย์ลุงใหญ่เลยนะ”
ชุยตงซานตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “อาจารย์ลุงใหญ่ที่หล่นลงมาจากฟ้าของเจ้าคนนั้นเป็นคนดุร้ายนักล่ะ บนหน้าผากสลักตัวอักษรใหญ่ๆ ห้าคำว่า ทุกคนล้วนติดเงินข้า”
เผยเฉียนหันหน้าไปมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหล อาจารย์ลุงใหญ่ของเจ้าคนนั้น หน้าตาเย็นชาจิตใจอบอุ่น คือคนที่มีวิชากระบี่สูงที่สุดในใต้หล้าไพศาล วันหน้าเจ้าสามารถร่ายวิชากระบี่มารคลั่งชุดนั้นให้อาจารย์ลุงใหญ่ของเจ้าดูได้”
เผยเฉียนกล่าวอย่างอกสั่นขวัญผวา “อาจารย์พ่อท่านลืมไปแล้วหรือว่าก่อนหน้านี้ข้าเดินได้ไม่ถนัดนัก ตอนนี้ขาก็เริ่มเจ็บขึ้นมาอีกแล้ว ตอนที่เดินละเมอไม่รู้ว่าไปชนอะไรเข้า ไม่สามารถร่ายวิชากระบี่ที่มีพลังน้อยนิดไม่มีค่าพอให้พูดถึงนั่นได้แล้ว อย่าให้อาจารย์ลุงใหญ่เห็นเรื่องตลกเลย ดีไหม”
อยู่ดีๆ ป๋ายโส่วก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าอีกครั้ง
เดินละเมอไปชนบางอย่างเข้า…
ฉีจิ่งหลงกลั้นยิ้ม แล้วจึงพาป๋ายโส่วไปยังจุดอื่นของหัวกำแพงเมือง ทุกวันนี้ป๋ายโส่วเองก็ต้องฝึกกระบี่ร่วมกับลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยด้วย
ตอนที่จากมา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ป๋ายโส่วรู้สึกว่าที่แท้การฝึกกระบี่ก็ทำให้คนรู้สึกสบายใจได้ถึงเพียงนี้
เฉินผิงอันเรียกเรือยันต์ออกมา พาพวกเผยเฉียนสามคนออกไปจากหัวกำแพงเมือง มุ่งหน้าไปยังนครทางทิศเหนือด้วยกัน
ในเมื่ออาจารย์ไม่อยู่ ชุยตงซานก็ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกริ่งเกรงอีก เขาเดินเป็นแนวขวางเหมือนปูอยู่บนหัวกำแพง สะบัดชายแขนเสื้อใหญ่ทั้งสองข้างกระโดดขึ้นสูงแล้วค่อยพลิ้วกายลงช้าๆ เดินขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้ไปหาศิษย์น้องเล็กในอดีต อาจารย์ลุงในปัจจุบัน พูดคุยเรื่องวันวานกันเสียหน่อย หึหึ พูดคุยเรื่องวันวานกับมารดาเจ้าน่ะสิ ข้าผู้อาวุโสไม่สนิทกับเจ้าจั่วโย่วเลยสักนิด ปีนั้นที่เล่าเรียน หากไม่เป็นเพราะในกระเป๋าของตนที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่พอจะมีเงินอยู่บ้าง กระเป๋าเงินของซิ่วไฉเฒ่าจะไม่ฟีบแบนไปนานหมื่นปี หมื่นๆ ปีเลยหรือ? แล้วเจ้าจั่วโย่วจะยังช่วยซิ่วไฉเฒ่าดูแลเงินกับผายลมอะไรได้อีก
เพียงแต่ว่าปีนั้นซิ่วไฉเฒ่ามีโรงเรียนแท้จริงที่เข้าท่าเข้าที แต่นั่นกลับไม่ใช่คุณความชอบของเขา เพราะถึงอย่างไรแจกันสมบัติทวีปก็อยู่ห่างจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมากเกินไป แรกเริ่มทางตระกูลก็ไม่ได้ส่งเงินมาให้มากนัก สิ่งที่ทำให้เอวของซิ่วไฉเฒ่าแข็งหยัดได้ตรง ดื่มเหล้าได้อย่างเต็มคราบ วันนี้ซื้อตำราพรุ่งนี้ซื้อกระดาษพู่กัน วันมะรืนก็รวบรวมสี่สมบัติแห่งห้องหนังสือและของประดับตกแต่งได้ครบถ้วนสำเร็จอย่างแท้จริง ยังเป็นเพราะซิ่วไฉเฒ่ารับลูกศิษย์คนที่สามมา ไอ้หมอนั่นถึงจะเป็นคนที่มีเงินมากที่สุดในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก แล้วก็เป็นคนที่เคารพนับถืออาจารย์มากที่สุด
‘เสี่ยวฉีอา เหตุใดจู่ๆ ถึงอยากเรียนหมากล้อมเล่า? นี่เป็นเรื่องดีนะ ไปหาศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าไป ฝีมือการเล่นหมากล้อมของเขานับว่าพอจะสอนคนอื่นได้ ก็แค่ในโรงเรียนไม่มีกระดานหมากและเม็ดหมากก็เท่านั้น โถเก็บเม็ดหมากของเรือนหลิวหลี กระดานหมากของหอเกือกม้าที่ผลิตจากเจี้ยงโจวที่แม้ว่าจะอยู่ใกล้กับโรงเรียน แต่เจ้าอย่าไปซื้อมาเด็ดขาด แพงเกินไป หากจะซื้อจริงๆ ก็ยอมเดินไกลพันลี้ยังดีกว่าเสียเงินเหรียญหนึ่งไปอย่างเปล่าประโยชน์’
‘ตกลงขอรับ อาจารย์’
‘เสี่ยวฉีอา ช่วงนี้อาจารย์คัดลอกตัวอักษรบนแผ่นศิลาดุจดั่งมีเทพช่วย ทักษะการเขียนตัวอักษรจ้วนซูพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เจ้าอยากเรียนหรือไม่?’
‘ทราบแล้วขอรับอาจารย์ ศิษย์อยากเรียน’
‘เสี่ยวฉีอา เจ้าอ่าน ‘รวมเล่มเมี่ยวหัว’ ฉบับพิมพ์ซ้ำของเอ้อร์โหย่วแล้วกระมัง? กระดาษและรูปเล่มล้วนเป็นเรื่องเล็ก แม้จะแย่ไปหน่อย แต่บัณฑิตอย่างพวกเราก็ไม่ได้ยึดติดกับความสวยงามภายนอกเหล่านี้ อย่าไปพูดถึงพวกมันเลย แต่ตำราของอริยะปราชญ์ล้วนมีความรู้ยิ่งใหญ่ มีคำผิด คำตกหล่นหลายจุด แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร ต่างกันแค่คำเดียว หลายๆ ครั้งก็ทำให้อยู่ห่างไกลจากจุดประสงค์ของอริยะปราชญ์ไปเป็นพันเป็นหมื่นลี้ บัณฑิตอย่างพวกเราไม่ตรวจสอบให้ดีไม่ได้นะ’
‘อาจารย์มีเหตุผล ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ’
แน่นอนว่าไอ้หมอนั่นยังชอบฟ้องเป็นที่สุด แถมแต่ละครั้งที่เอาไปฟ้องยังไม่เคยตกหล่นแม้แต่เรื่องเดียว
‘อาจารย์ ศิษย์พี่จั่วโย่วไม่มีเหตุผลอีกแล้ว อาจารย์ท่านช่วยดูหน่อยว่าใครผิดใครถูก…’
‘ว่าไงนะ? เจ้าเด็กบ้านั่นตีเจ้าอีกแล้วหรือ? เสี่ยวฉี เจ้าเช็ดเลือดกำเดาก่อนเถอะ ไม่ต้องรีบร้อนอธิบายเหตุผลกับอาจารย์ ไปๆๆ อาจารย์จะไปคิดบัญชีกับศิษย์พี่รองให้เจ้าเอง’
‘อาจารย์ เมื่อครู่นี้ศิษย์พี่จั่ววิเคราะห์ความหมายของตัวอักษรในตำรา เขาเถียงข้าไม่ได้ก็เลย…’
‘ทำไมหัวปูดแบบนี้เล่า?! ก่อกบฏแล้วๆ! ไป! เสี่ยวฉี เจ้าช่วยถือไม้ปัดขนไก่ไปให้อาจารย์ที เอาไม้บรรทัดไปด้วย! อ้อ ใช่แล้ว เสี่ยวฉีอา ม้านั่งนั่นไม่ต้องเอาไปหรอก หนักเกินไป’
‘อาจารย์…’
‘ไป! ไปหาศิษย์พี่รองของเจ้ากัน!’
‘อาจารย์ คราวนี้เป็นศิษย์พี่ชุย เขาเล่นหมากล้อมแล้วขี้โกง ข้าไม่อยากเรียนวิชาหมากล้อมกับเขาแล้ว ข้ารู้สึกว่าคนที่เล่นหมากล้อมแล้วล้มกระดานไม่ถือว่าเป็นนักเล่นที่แท้จริง’
‘หา?’
‘อาจารย์ล้มกระดานก็เพื่อสอนเคล็ดลับการเล่นวิชาหมากล้อมมากกว่าเดิมให้ศิษย์ แน่นอนว่าจะเหมารวมไม่ได้’
‘ไป คราวนี้พวกเราเอาม้านั่งไปด้วย! แต่ก็อย่าตีจริงๆ นะ เอาแค่ขู่ให้กลัว แค่ให้ดูน่าเกรงขามก็พอ’
……
บัณฑิตเรียนหนังสือ คนศึกษาหาความรู้ โดยเฉพาะยิ่งคนที่อายุยืนเพราะฝึกตน
อันที่จริงเรื่องเก่าๆ ในอดีตมีอยู่มากมาย
ชุยตงซานไม่ใช่เจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานผู้นั้น
แต่ชุยตงซานก็มักจะคิดถึงเรื่องราวที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรพวกนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องในอดีตของคนในอดีต
โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าทุกครั้งที่คนผู้นั้นไปฟ้องอาจารย์ให้เล่นงานศิษย์พี่ศิษย์น้อง หรือไม่ตัวเองก็ถูกอาจารย์แกล้งเสียเอง ศิษย์พี่ใหญ่ในอดีตผู้นั้นมักจะไปนั่งดูเรื่องสนุกอยู่หน้าประตูหรือไม่ก็นอกหน้าต่างอยู่เสมอ
ดังนั้นจึงเห็นมากับตา ได้ยินมากับหูตัวเอง
ชุยตงซานรู้เรื่องหนึ่งชัดเจนดียิ่งกว่าใคร
เรื่องในอดีตทุกเรื่องที่มองดูเหมือนว่าไม่มีความสำคัญ ขอแค่ยังจดจำได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วจริงๆ แต่เป็นเรื่องในวันนี้ เรื่องในอนาคต เพราะมันจะคอยวนเวียนอยู่ในหัวใจไปตลอดชีวิต
โดยไม่ทันรู้ตัว ชุยตงซานก็ขยับเข้ามาใกล้จั่วโย่วแล้ว
จั่วโย่วยังคงหลับตาทำสมาธิ นั่งอยู่บนหัวกำแพง บำรุงปณิธานกระบี่ด้วยความอบอุ่น
สำหรับการมาถึงของชุยตงซาน อย่าว่าแต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเลย แม้แต่จะเปิดตามองสักครั้งเขาก็ยังไม่ทำ
ชุยตงซานกระโดดลงมาจากหัวกำแพง เดินห่างออกมาจากหัวกำแพงและแผ่นหลังของคนผู้นั้นประมาณยี่สิบก้าว
เด็กหนุ่มชุดขาวกระโดดผลุงขึ้น สองเท้าดีดปัดสะเปะสะปะอย่างว่องไว จากนั้นก็ร่ายกระบวนท่าหมัดมั่วซั่วใส่แผ่นหลังของจั่วโย่ว
พอขยับเปลี่ยนตำแหน่งแล้วก็ทำต่อ ล้วนเป็นกระบวนท่าหมัดและเท้าอันเผด็จการแห่งยุทธภพที่มีชื่อเสียงสะเทือนเลือนลั่นไปทั่ว
บางครั้งตอนที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศยังพยายามงอตัวเหยียดแขนไปแตะหลังเท้าให้ได้ด้วย เพราะคิดว่าท่านี้ต้องสง่างามอย่างถึงที่สุดเป็นแน่
สุดท้ายจึงยืนด้วยท่าไก่ทองขาเดียวอย่างงดงาม มือสองข้างแบออกทำท่ากดลมปราณสู่จุดตันเถียน พอทำทุกอย่างนี้เสร็จ สีหน้าก็ปลอดโปร่งสดชื่น
หนึ่งร้อยกระบวนท่าผ่านไป ใช้ตบะของขอบเขตหยกดิบเล็กๆ ก็สามารถต่อสู้ได้สูสีกับเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่ว อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ นี่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่ไม่เล็กไม่ใหญ่อย่างหนึ่ง
จั่วโย่วคร้านจะมองเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นด้วยซ้ำ เพียงเปิดปากถามด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “เจ้าอยากถูกข้าฟันตายด้วยกระบี่เดียว หรืออยากตายเพราะถูกสับหลายๆ ที?”
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ มีคนข่มขู่ข้า น่ากลัวยิ่งนัก”
ชุยตงซานเอายันต์แปะลงไปบนหน้าผากตัวเองเสียงดังเพี๊ยะ จากนั้นก็ร้องอ้อ “ลืมไปว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ได้อยู่ด้วย”
จั่วโย่วยื่นมือออกมาคว้าจับ ใช้ปณิธานกระบี่หลอมรวมกระบี่ยาวเล่มหนึ่งขึ้นมา
เขาถึงขั้นไม่ยินดีจะชักกระบี่ออกจากฝักจริงๆ ด้วยซ้ำ
คนที่อยู่ด้านหลังผู้นี้ไม่คู่ควรกับกระบี่ของเขาแม้แต่น้อย
เจ้าชุยฉานอาจจะไม่ละอายใจต่อแจกันสมบัติทวีป ไม่รู้สึกผิดต่อใต้หล้าไพศาล
แต่เจ้าไม่มีสิทธิ์บอกว่าถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย บอกว่าตัวเองไม่รู้สึกผิดต่ออาจารย์!
เพราะข้าจั่วโย่วคือลูกศิษย์ของอาจารย์ ในอดีตถึงได้เป็นศิษย์น้องของเจ้าชุยฉาน!
ทว่านับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สายของเหวินเซิ่ง ข้าจั่วโย่วต่างหากจึงจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่
ชุยตงซานตะเบ็งเสียง “เจ้าหัดเคารพศิษย์หลานของตัวเองบ้างนะ!”
จั่วโย่วถือกระบี่ลุกขึ้นยืน
เมื่อเทียบกับภาพบรรยากาศดั่งขุนเขาตั้งตระหง่านยามที่นักพรตน้อยผู้เฝ้าประตูภูเขาห้อยหัวลุกขึ้นยืนแล้ว การลุกขึ้นของจั่วโย่วกลับผ่อนคลายดั่งเมฆบางสายลมอ่อนเบา
ปราณกระบี่มากเกินไปหนักเกินไป แล้วปณิธานกระบี่จะน้อยได้หรือ ก็แค่สอดคล้องกับมหามรรคาจนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินก็เท่านั้น
ฟ้าดินถูกสกัดกั้น
ชุยตงซานเอียงคอ “เจ้าก็ฆ่าข้าให้ตายไปเลยสิ แล้วข้าก็จะไม่พูดเรื่องเป็นการเป็นงานแล้ว ถึงอย่างไรคนอย่างเจ้าก็ไม่เคยสนใจความเป็นความตายและมหามรรคาของศิษย์น้องตัวเองอยู่แล้ว มาๆๆ ฟันมาตรงนี้ แรงๆ หน่อย หากศีรษะนี้ไม่หล่นลงพื้นแล้วกลิ้งไปไกลเจ็ดแปดลี้ ชาติหน้าข้าเกิดใหม่จะใช้แซ่จั่วตามเจ้า”
จั่วโย่วหันหน้ามา “แค่ฟันให้ปางตายก็ยังพอจะพูดได้”
ชุยตงซานเปลี่ยนท่าใหม่ เอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าเศร้ารันทด “เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ!”
จั่วโย่วหันกลับมาทั้งตัว
ชุยตงซานรีบพูดทันที “ข้าไม่ใช่เจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานเสียหน่อย ข้าคือตงซานนะ”
วันนี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ราวกับก้อนเมฆล่องลอยถูกกระบี่ยาวสามฉื่อซึ่งเกิดจากการรวมตัวของปณิธานกระบี่กระแทกให้ร่วงจากหัวกำแพงเมืองทางทิศเหนือ หล่นไปยังพื้นดินที่ห่างออกไปไกลเจ็ดแปดลี้
จั่วโย่วกลับมานั่งขัดสมาธิใหม่อีกครั้ง หัวเราะเสียงหยันเอ่ยว่า “นี่เพราะข้าเห็นแก่ศิษย์น้องเล็กของข้าหรอก”
จั่วโย่วขมวดคิ้ว
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนั้นมายืนอยู่ข้างกายเขา ยิ้มกล่าวว่า “ภาพเหตุการณ์ประหลาดก่อนหน้านี้ เจ้าก็สัมผัสได้แล้วใช่ไหม?”
จั่วโย่วพยักหน้ารับ
หากไม่เป็นเช่นนี้ ชุยฉาน หรือควรจะพูดว่าชุยตงซานในปัจจุบัน ก็คงไม่กล้ามาพบตนเพียงลำพัง
เฉินชิงตูพูดอย่างสะท้อนใจ “นั่นคือเสียงในใจของศิษย์น้องเล็กของเจ้า วิชากระบี่ของเจ้าไม่สูงพอ จึงไม่ได้ยินก็เท่านั้น”
จั่วโย่วพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ผู้อาวุโสพูดเก่งขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนผู้อาวุโสพูดมากกว่านี้หน่อยได้หรือไม่?”
เฉินชิงตูส่ายหน้า “ข้าคงไม่พูดแล้วล่ะ หากให้ข้าเป็นคนพูดประโยคนั้น จะเกี่ยวพันไปถึงเรื่องของสามใต้หล้าแล้ว”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันเดินอยู่บนหัวกำแพงกับลูกศิษย์ มีเสียงในใจที่เขาไม่ได้เปิดปากเอ่ยออกมา เป็นเพียงเสียงที่ดังก้องอยู่ในห้องหัวใจเท่านั้น
ทว่าเพียงแค่เสียงในใจนี้กลับสามารถกระตุ้นให้เกิดความเคลื่อนไหวเล็กๆ ที่น่าสนใจบางอย่างได้
เฉินชิงตูจึงได้แต่เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เป็นคนหนุ่มนี่ดีจริงๆ”
คนหนุ่มที่ถือว่าอายุไม่น้อยแล้วคนนั้น ก่อนหน้านี้เขาได้พูดกับตัวเองว่า
‘ทุกท่านอย่าได้รีบร้อน’
‘รอให้ข้าเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบก่อน แล้วค่อยช่วงชิงขอบเขตสิบเอ็ด’
‘ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะถามหมัดต่อนอกฟ้า’
‘และเมื่อข้าเลื่อนสู่ขอบเขตบินทะยาน’
‘ข้าก็จะถามกระบี่ต่อป๋ายอวี้จิง!’
……
และเวลานี้คนหนุ่มผู้นั้นก็กำลังยืนสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่ตรงประตูใหญ่ของจวนหนิง
มีเรื่องไม่คาดฝันสองอย่าง
อย่างแรกคือหนิงเหยาถึงกับหยุดการปิดด่านกลางคัน ออกจากด่านมาอีกครั้ง มายืนรอต้อนรับพวกเขาอยู่หน้าประตู
อีกอย่างหนึ่งก็คือ
ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนพอได้พบหนิงเหยา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลงไปนั่งคุกเข่าโขกศีรษะให้นางดังตึงๆๆ อย่างแรงสามครั้ง
เฉินผิงอันกล่าวอย่างหน่ายใจ “เผยเฉียน เกินไปหน่อยหรือไม่”
เผยเฉียนไม่ได้ลุกขึ้น เพียงแค่เงยหน้าตะโกนว่า “เผยเฉียนคารวะใต้เท้าอาจารย์แม่!”
สีหน้าของเฉินผิงอันขึงเกร็ง ไม่เกินไปๆ มารยาทเหมาะสมกำลังดี
อันที่จริงคนที่กระอักกระอ่วนที่สุดไม่ใช่เฉินผิงอันก่อนหน้านี้
แต่เป็นเฉาฉิงหล่างต่างหาก
เวลานี้เฉาฉิงหล่างรู้สึกว่าดูเหมือนแค่การประสานมือคารวะจะยังไม่พอ ทว่าคุกเข่าโขกหัวกลับยิ่งดูไม่เข้าท่าเข้าไปใหญ่
หนิงเหยาจับหูของเผยเฉียนดึงตัวนางขึ้นมา เพียงแต่ว่ารอจนเผยเฉียนยืนตัวตรงแล้ว บนใบหน้าของนางกลับประดับรอยยิ้ม ใช้ฝ่ามือช่วยเช็ดฝุ่นบนหน้าผากออกให้เผยเฉียน มองแม่นางน้อยอย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว หนิงเหยาก็ยิ้มเอ่ยว่า “ต่อให้วันหน้าจะไม่ค่อยสวยเท่าไร แต่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นแม่นางที่หน้าตาพอดูได้”
เผยเฉียนน้ำตาร่วงเผลาะๆ สูดจมูกดังฟืด พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจยิ่ง “ไยอาจารย์แม่ถึงได้สายตาดีขนาดนี้นะ ตอนแรกก็เลือกอาจารย์พ่อ ตอนนี้ยังพูดแบบนี้อีก อาจารย์แม่หากท่านยังเป็นแบบนี้ ข้าคงต้องกังวลว่าอาจารย์พ่อจะไม่คู่ควรกับอาจารย์แม่แล้ว”
หางตาของหนิงเหยาชำเลืองมองคนบางคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เฉินผิงอันรีบพยักหน้าทันที “ความกังวลเช่นนี้มีเหตุผลอย่างถึงที่สุด”
หนิงเหยาย้ายสายตามองไปยังเด็กหนุ่มที่สวมชุดขงจื๊อแล้วยิ้มกล่าว “เจ้าก็คือเฉาฉิงหล่างกระมัง เหมือนบัณฑิตยิ่งกว่าอาจารย์ของเจ้าเสียอีก”
เฉาฉิงหล่างถึงได้ประสานมือคารวะ “คารวะอาจารย์แม่”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ จากนั้นจึงกุมหมัดเอ่ยกับจ้งชิว “หนิงเหยาคารวะอาจารย์จ้ง”
จ้งชิวกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มเอ่ยว่า “จ้งชิวผู้ถวายงานแห่งภูเขาลั่วพั่ว รบกวนท่านแล้ว”
เผยเฉียนพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงปลดห่อสัมภาระ หยิบเอาพู่กันสำหรับเขียนตัวอักษรขนาดเล็กและยังมีกระดาษจดหมายเมฆหลากสีออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วจึงเขย่งปลายเท้าประคองด้วยสองมือยื่นส่งให้อาจารย์แม่
จากนั้นก็เขย่งปลายเท้าขึ้นอีก พูดเสียงเบากับหนิงเหยาว่า “ใต้เท้าอาจารย์แม่ กระดาษจดหมายเมฆหลากสีนี้ข้าเป็นคนเลือกด้วยตัวเอง ท่านไม่รู้อะไร ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในภูเขาห้อยหัว ข้าต้องเดินไกลมากๆ หากยังเดินต่อไปอีกข้าก็กลัวว่าภูเขาห้อยหัวจะถูกข้าพาเดินหล่นไปในทะเลแล้ว ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเฉาฉิงหล่างเป็นคนเลือก อาจารย์แม่ ฟ้าดินเป็นพยาน ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ยินดีจะควักเงินจริงๆ นะ แต่เป็นเพราะมีเงินติดตัวมาไม่มาก แต่ว่าของขวัญของข้าชิ้นนี้แพงกว่าหน่อย สามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ของเขาน่ะถูก แค่เหรียญเดียว”
เฉาฉิงหล่างเกาหัว
เฉินผิงอันมองสบตาจ้งชิวแล้วยิ้มให้กัน
หนิงเหยาชำเลืองตามองพู่กันด้ามเล็ก แค่มองก็รู้ว่าแม่นางน้อยคงคิดจะนำมามอบให้กับอาจารย์พ่อของตัวเอง หนิงเหยาจึงลูบศีรษะเผยเฉียน แล้วหันไปยิ้มเอ่ยกับเด็กหนุ่มที่มีท่าทีระมัดระวังว่า “เฉาฉิงหล่าง ของขวัญพบหน้าติดไว้ก่อน วันหน้าจำไว้ว่าต้องเอามาชดเชยด้วย”
เฉาฉิงหล่างเกาหัวแล้วพยักหน้ารับ
เผยเฉียนปากอ้าตาค้าง
ว้าว!
สายตาของอาจารย์แม่นี่ ต่อให้มีเผยเฉียนร้อยคนก็ยังประจบนางไม่ไหว!
มิน่าเล่าท่ามกลางคนมากมายในสี่ใต้หล้า อาจารย์แม่ถึงได้หมายตาอาจารย์พ่อของตนตั้งแต่แรกเห็น!
บ้านของอาจารย์แม่ช่างเป็นเรือนที่ใหญ่โตมากจริงๆ
เผยเฉียนเดินอยู่ข้างกายหนิงเหยา พวกนางสองคนเดินอยู่หน้าสุด เผยเฉียนพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดปาก
เฉินผิงอันเดินเคียงบ่าไปกับเฉาฉิงหล่าง จ้งชิวจงใจเดินรั้งท้ายสุดอยู่เพียงลำพัง
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “หลังจากนี้หากมีเวลาว่าง เจ้าช่วยงานอาจารย์เล็กๆ เรื่องหนึ่ง มาแกะสลักตราประทับกัน”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับบอกว่าตกลง
เฉินผิงอันบิดข้อมือหนึ่งครั้ง ฉวยโอกาสตอนที่เผยเฉียนไม่สนใจตน พอมีอาจารย์แม่แล้วก็ลืมอาจารย์พ่อ เฉินผิงอันรีบส่งมีดแกะสลักเล่มเล็กให้เฉาฉิงหล่าง แล้วเอ่ยเตือนว่า “มอบให้เจ้าแล้ว ทางที่ดีที่สุดอย่าให้เผยเฉียนเห็น ไม่อย่างนั้นต้องแบกรับผลที่ตามมาเอาเอง”
เฉาฉิงหล่างยิ้มกล่าวว่า “ทราบแล้วขอรับ อาจารย์”