กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 614.2 สิบสี่บัลลังก์ มังกรข้าเชิดหัว
มีหอหยกเรือนอัญมณีที่ลอยสูงเคียงข้างกันอยู่บนนภากาศ มีปีศาจใหญ่ที่กลายร่างเป็นมนุษย์นั่งอยู่บนราวรั้วราวกับทาสเฝ้าทรัพย์ที่เฝ้าพิทักษ์กิจการยิ่งใหญ่เพียงลำพัง มันกำลังยิ้มตาหยีมองไปทางกำแพงเมืองปราณกระบี่ ได้ยินว่าห่างไกลไปทางทิศเหนือของหัวกำแพงเมืองแห่งนั้นมีหอถิงอวิ๋นที่สร้างขึ้นมาจากหยกมรกตของตระกูลเซียนอยู่หลังหนึ่ง และยังมีเรือนว่านเฮ้อที่มีลมเย็นจันทร์กระจ่าง ยามค่ำคืนก็ยิ่งมีเสียงลมพัดกิ่งไม้ต้นสนส่งเสียงดังดุจคลื่นกระทบฝั่ง ดูเหมือนว่าพอจะเอามาเพิ่มสีสันให้กับเรือนของตนเองได้ เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ได้แต่ยัดซอกฟันเท่านั้น หากควบรวมสถานที่ที่ตั้งของสกุลเฉินผู้รอบรู้ที่เป็น ‘สถานที่รวบรวมซุ้มประตูแห่งผู้ประสบความสำเร็จของใต้หล้า’ ในทักษินาตยทวีปแห่งนั้นเข้าไปด้วย มันถึงจะพอใจ แล้วถ้าได้หอบินทะยานเก่าแก่บางแห่งในแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แต่กลับมีฟ้าดินกว้างใหญ่เก็บเข้ามาไว้ในกระเป๋าได้ด้วยก็ยิ่งไม่เลว
โครงกระดูกของทวยเทพใหญ่ยักษ์ร่างหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ มีปีศาจใหญ่นั่งอยู่บนหัวของโครงกระดูก ข้างกายมีทวนยาวเล่มหนึ่งที่แทงทะลุหัวกะโหลกขององค์เทพตนนั้น ตัวของทวนผลุบหายเข้าไป มีเพียงปลายทวนแหลมและหางของทวนเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ด้านนอก ตรงปลายทวนแหลมพอจะมีเสียงฟ้าร้องคำรามให้ได้ยินแว่วๆ สะเทือนให้โครงกระดูกทั้งร่างสั่นไหว ปีศาจใหญ่ตบลงบนปลายแหลมคมเบาๆ ได้ยินมาว่าผู้ฝึกตนของใต้หล้าไพศาลเชี่ยวชาญเวทห้าอัสนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สามารถลองไปพบเจอกันดูได้
มีบัลลังก์โครงกระดูกแห่งหนึ่งที่สร้างจากกองกระดูกทับถมกัน โครงกระดูกหลายสิบล้านโครงมีทั้งของเผ่าปีศาจ แล้วก็มีทั้งของผู้ฝึกกระบี่ มีปีศาจใหญ่กระดูกขาวที่บนกายไร้เนื้อหนังตนหนึ่ง กระดูกทั่วร่างเป็นสีขาวแวววาวดุจหยก ใต้ฝ่าเท้าของมันคือศีรษะของเซียนกระบี่บรรพกาล ปีศาจใหญ่ที่ถือจอกเหล้าดื่มสุราใช้ปลายเท้าบิดศีรษะนี้กลับไปกลับมา ปีศาจใหญ่ไม่ได้เอาแต่ดื่มเหล้าอยู่กับตัวเองอีกต่อไป แต่เปลี่ยนท่านั่งเสียใหม่ เอนจอกเหล้าในมือลง สุราหมักสีแดงสดราดรดลงบนศีรษะนั้น ครู่หนึ่งต่อมาศีรษะก็ค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ ยิ่งสุราออกจากจอกมากเท่าไร ศีรษะนั้นก็เริ่มมีเลือดเนื้อ เส้นเอ็นงอกขึ้นมาทีละนิด สุดท้ายกลายเป็นผู้เฒ่าเรือนกายสูงหนึ่งจั้งตนหนึ่ง รูปโฉมไม่ต่างจากมนุษย์ ปีศาจใหญ่กระดูกขาวสะบัดชายแขนเสื้อ แสงสว่างเส้นหนึ่งที่พุ่งออกมาจากด้านใน ถูกผู้เฒ่าที่เรือนกายค่อนข้างแข็งทื่อนั้นกุมไว้ในมือ ชั่วขณะที่ผู้เฒ่าทึ่มทื่อดวงตากลวงโบ๋คว้าจับแสงนั้นไว้ ก็เหมือนเซียนกระบี่ถือกระบี่ที่พลังอำนาจเปี่ยมล้นน่าเกรงขาม
มีเสากลมเก่าแก่สูงพันจั้งเสาหนึ่ง ด้านบนสลักอักขระยันต์ที่หายสาบสูญไปนานแล้ว และยังมีงูตัวยาวสีแดงสดตัวหนึ่งล้อมพันเอาไว้ บริเวณโดยรอบๆ มีไข่มุกของเจียวหลงที่หม่นหมองไร้ประกายคอยหมุนวนไม่หยุดนิ่ง งูตัวยาวแลบลิ้น สายตาจ้องเขม็งไปยังกำแพงแห่งนั้น ทุบทำลายรั้วผุพังที่ทอดขวางมานานหมื่นปีนี้เสร็จค่อยทุบภูเขาห้อยหัวลูกนั้นให้เละ เป้าหมายของมันมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือเจ้าตัวน้อยที่พอจะถือว่าเป็นมังกรตัวสุดท้ายบนโลกมนุษย์ตัวนั้น นับจากนี้ไปมหามรรคาก็จะได้รับการชดเชยจนครบถ้วน การโปรยพิรุณและวิชาวารีแห่งสรวงสวรรค์ของสองใต้หล้าก็ล้วนมีมันเป็นคนตัดสิน
ชุดคลุมตัวยาวชุดหนึ่งที่ขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดีลอยขึ้นมาช้าๆ ด้านในชุดคลุมไม่มีสิ่งใดอยู่ มันลอยไปลอยมา ส่งเสียงสะบัดดังพึ่บพั่บไปตามลม
เมื่อชุดคลุมยาวไร้เจ้าของตัวนี้ปรากฏขึ้นมา ระหว่างฟ้าดินที่อยู่ใกล้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีปณิธานกระบี่บรรพกาลที่ลิงโลดเหมือนเจอกับสหายเก่า
แล้วก็มีปณิธานกระบี่ที่มากกว่านั้นกำลังส่งเสียงสะอึกสะอื้น ส่วนปณิธานกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนกลับมีท่าทางฮึกเหิมดุร้าย ยิ่งนานก็ยิ่งเกรี้ยวกราด ราวกับกำลังตำหนิชุดคลุมยาวสีเทาตัวนั้นอย่างเดือดดาล
โฉมสะคราญงามเลิศล้ำคนหนึ่งที่สวมมงกฎจักรพรรดิ สวมชุดคลุมมังกรสีหมึก หัวเป็นคนร่างเป็นงูนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรที่สูงกว่าเทือกเขาน้อยใหญ่ ร่างงูที่ยาวเหยียดเลื้อยส่ายอยู่บนพื้น ทุกครั้งที่หางตีลงบนพื้นดินเบาๆ พื้นดินในรัศมีร้อยลี้ก็จะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ฝุ่นดินคลุ้งตลบ เมื่อเทียบกับนางที่มีเรือนกายใหญ่โตมโหฬารแล้ว เหล่าสตรีร่างอรชรบอบบาง สวมชุดสีสันสดใสพลิ้วไสว กอดผีผาไว้ในอ้อมอกประหนึ่งภาพนางฟ้าบนฝาผนังนับร้อยนับพันคนที่อยู่ข้างกายนางก็ดูเล็กจ้อยราวกับฝุ่นธุลี
มีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยขี่กระบี่ลอยตัวอยู่กลางอากาศคนหนึ่ง สองแขนยาวดุจแขนวานร บนบ่าแบกกระบองยาวหนึ่งอัน มือทั้งสองข้างวางไว้บนกระบองอย่างผ่อนคลาย ทั้งเส้นผมและหนวดเคราของเขาล้วนเป็นสีขาว แต่กลับสวมชุดสีดำ กระบี่ยาวหมุนวนช้าๆ บางครั้งที่สูดลมหายใจหนึ่งครั้ง สตรีอุ้มผีผาหนึ่งคนสองคนที่อยู่ใกล้ๆ ก็จะถูกดูดเข้าปาก แล้วเขาค่อยขบเคี้ยวอย่างละเอียด
บนข้อมือข้างหนึ่งของผู้เฒ่าสวมสร้อยประคำ เพียงแต่ลูกประคำค่อนข้างหยาบ เป็นเพียงแค่ก้อนหินน้อยใหญ่ที่ยังมีเหลี่ยมมุมชัดเจน
สตรีที่สวมมงกุฎจักรพรรดินั่งอยู่บนบัลลังก์ข้างกายผู้เฒ่าก็ไม่ถือสา ยังโบกชายแขนเสื้อ เป็นฝ่ายตบ ‘สาวใช้’ หลายสิบคนให้ลอยเข้าไปหาผู้เฒ่า ปล่อยให้มันกลืนลงท้องได้ตามใจชอบ
ผู้เฒ่าสวมชุดคลุมเต๋าสีขาวหิมะคนหนึ่งนั่งอยู่กลางอากาศ ใบหน้าพร่าเลือน เรือนกายสูงสามร้อยจั้ง ไม่ใช่กายธรรม แต่กลับเป็นร่างที่แท้จริง ด้านหลังผู้เฒ่ามีจันทร์เสี้ยวสว่างไสวลอยอยู่ ราวกับว่าไปเด็ดเอามาไว้ในโลกมนุษย์
มียักษ์สามเศียรหกกรนั่งอยู่บนเบาะรองนั่งขนาดมหึมาที่คลี่ปูมาจากตำราสีทองเล่มแล้วเล่มเล่า ต่อให้จะนั่งอยู่อย่างนี้ ร่างก็ยังสูงกว่านักพรตเต๋าที่เป็น ‘เพื่อนบ้าน’ คนนั้นอยู่ดี ตรงหน้าอกมีรอยกระบี่ที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงอยู่เส้นหนึ่ง ลึกดั่งร่องน้ำ และยักษ์ตนนี้ก็ไม่ได้จงใจปิดบัง ความอัปยศใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ ยามใดที่กอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาได้ ยามนั้นก็สามารถยกมือปาดมันให้ราบเรียบได้อย่างง่ายดาย
จุดที่สูงอย่างถึงที่สุดมีชายฉกรรจ์เคราดกสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านคนหนึ่ง ตรงเอวห้อยดาบ ด้านหลังสะพายกระบี่ ข้างกายมีคนหนุ่มแบกชั้นวางกระบี่คนหนึ่งยืนอยู่ เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น บนชั้นวางสอดกระบี่ไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อคนหนุ่มร่างผอมแห้งผู้นี้สะพายเอาไว้จึงมองดูเหมือนนกยูงรำแพนหาง
คราวก่อนเหล่าผู้กล้ามารวมตัวกันปรึกษาธุระในตำหนักอิงหลิง ทั้งๆ ที่เขาได้รับคำสั่งแล้วก็ยังไม่ยอมมาเข้าร่วม แม้แต่จะเผยโฉมก็ยังไม่ยินดี ทว่าตอนนั้นกลับไม่มีใครกล้าพูดอะไรมาก
จุดที่สูงยิ่งกว่าคือบุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่กำลังนั่งอย่างสำรวมคนหนึ่ง ใบหน้าประดับรอยยิ้ม สองมือวางทับซ้อนกันไว้ตรงหน้าท้อง ฝ่ามือประคองถือกลุ่มแสงขนาดใหญ่เท่ากำปั้นกลุ่มหนึ่ง บางครั้งก็ส่องสว่างเป็นสีขาวหิมะ บางครั้งก็เป็นสีดำมืดมิด ไม่ก็สลับสับเปลี่ยนกันหลากสีสัน
คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอย่างถึงที่สุดคนหนึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่เพียงแต่กลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว เรือนกายยังมีความสูงพอๆ กับมนุษย์ทั่วไป เพียงแต่หากมองอย่างละเอียด ใบหน้านั้นของเขากลับเกิดจากการนำเนื้อหนังมาประกบติดกัน ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่งที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ด้านในล้วนบรรจุเศษซากวิญญาณของเซียนกระบี่กับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ปณิธานถูกกร่อนทอนให้เสียหายเอาไว้เป็นจำนวนมาก เขาเองก็ไม่ต่างจากปีศาจใหญ่ที่ตำแหน่งที่นั่งสูงๆ ต่ำๆ ไม่เท่ากันข้างกายมากนัก ต่างก็ไม่ได้เผยตัวบนโลกมานานมากๆ แล้ว ของเล่นที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ล้วนเป็นของบรรณาการที่ศิษย์ลูกศิษย์หลานแต่ละยุคสมัยนำมามอบให้
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำสวมเกราะทองคนหนึ่ง เท้าทั้งคู่เหยียบอยู่บนพื้นดิน สองมือกำเป็นหมัดแน่น มีแสงสีทองเข้มข้นดุจน้ำมันไหลซึมออกมาจากร่องเสื้อเกราะอย่างต่อเนื่อง เกราะทองระดับขั้นอาวุธเซียนแต่กลับใกล้จะปริแตกชิ้นนี้ไม่ใช่สมบัติที่เขาตั้งใจเอามาสวมไว้บนร่างด้วยตัวเอง แต่เป็นกรงขังที่เหมือนฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เผ่ามนุษย์เดินขึ้นสู่ที่สูง เผ่าปีศาจถูกขับไล่ให้ไปอยู่ยังพื้นที่กันดารเปลี่ยวร้างที่แม้จะมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลทว่าปราณวิญญาณกลับแร้นแค้น จากนั้นผู้ฝึกกระบี่ก็ถูกเนรเทศให้มาอยู่ในแถบกำแพงเมืองปราณกระบี่ของทุกวันนี้ แล้วเริ่มสร้างกำแพงเมืองขึ้นป้องกัน นี่ก็คือใต้หล้าเปลี่ยวร้างในทุกวันนี้ คือหนึ่งในสี่ส่วนของโลกมนุษย์ที่ถูกตัดแบ่งในอดีต ช่วงแรกที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพิ่งจะกลายเป็น ‘ใต้หล้าแห่งหนึ่ง’ อย่างเป็นทางการ ฟ้าดินเพิ่งจะก่อกำเนิดก็เหมือนชีวิตที่เพิ่งเกิดใหม่ มหามรรคายังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ยังไม่มั่นคง ผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นนักโทษอาญาสามท่านของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มีเฉินชิงตูเป็นผู้นำมาถามกระบี่ที่ภูเขาทัวเยว่ หลังจากนั้นมาบรรพบุรุษเผ่าปีศาจก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อฝูงมังกรไร้หัว ก็ถึงได้ทำให้เกิดการคุมเชิงกันระหว่างใต้หล้าเปลี่ยวร้างกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนบ่อโบราณที่ถูกเรียกว่าตำหนิงอิงหลิงแห่งนั้นก็เป็นทั้งสถานที่ปรึกษาธุระเรื่องสำคัญของปีศาจใหญ่ในภายหลัง แล้วก็เป็นสถานที่กักขังแห่งหนึ่ง อันที่จริงภูเขาทัวเยว่ต่างหากที่ช่วงแรกสุดถึงจะเหมือนพระราชวังในราชวงศ์โลกมนุษย์มากที่สุด เพียงแต่ว่าเมื่อศึกที่ภูเขาทัวเยว่ผ่านไป เฉินชิงตูหวนกลับไปกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง ตอนนั้นภูเขาทัวเยว่ผุพังไม่เหลือชิ้นดี จึงได้แต่สร้าง ‘เมืองหลวงแห่งที่สอง’ อย่างตำหนักอิงหลิงมาไว้ใช้ปรึกษาหารือ เพียงแต่ในประวัติศาสตร์นับหมื่นปีมานี้ บัลลังก์สิบสี่แห่งไม่เคยมีคนมารวมตัวกันครบมาก่อน อย่างมากสุดมีปีศาจใหญ่แค่หกเจ็ดท่านก็ถือว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีเรื่องใหญ่ให้ต้องปรึกษากันแล้ว ส่วนน้อยก็คือมีแค่ปีศาจใหญ่สองสามตนก็สามารถตัดสินชี้ขาดได้แล้ว
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มาเยือนอย่างกะทันหันครั้งนั้น การเข่นฆ่าสะท้านฟ้าสะเทือนดินผ่านพ้นไป งูและมังกรตามป่าเขาสายน้ำก็ลุกผงาดขึ้นมานับไม่ถ้วน พากันลุกฮือกรูเข้ามา ต่างคนต่างยึดเอาพื้นที่หนึ่งไปครอง ชายฉกรรจ์สวมเกราะทองท่านนี้ก็ยิ่งเป็นคนที่โดดเด่นในกลุ่มคนระดับบนๆ แผ่นดินที่กันดารเปลี่ยวร้าง เมื่อผ่านศึกใหญ่นั้นไปก็สูญเสียคนที่สามารถสยบฝูงชนได้ เขาจึงช่วงชิงสถานะของผู้ครอบครองใต้หล้ามา เพียงแต่ตามกฎแล้ว เมื่อการเดินขึ้นเขาทัวเยว่ล้มเหลวก็ต้องถูกลงโทษ ปีศาจใหญ่หลายตนที่รับผิดชอบเฝ้าภูเขาทัวเยว่จึงร่วมมือกันกักขังเขาไว้ใต้ก้นบ่อของตำหนักอิงหลิง
คิดไม่ถึงว่าเขาต้องวางแผนสารพัด ลอบติดต่อกับโลกภายนอก กว่าจะหลุดพ้นจากพันธนาการมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เวลานั้นกลับมีนักพรตน้อยขี่วัวคนหนึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างและมาถึงบ่อโบราณแห่งนี้พอดี อีกฝ่ายยืนอยู่บนปากบ่อ ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมากดเบาๆ ครั้งเดียว ปีศาจใหญ่ที่หลุดจากพันธนาการปีนขึ้นมาจากก้นบ่อได้อย่างยากลำบากตนนี้ก็ร่วงลงไปที่ก้นบ่ออีกครั้ง โชคดีที่นับแต่โบราณมาปีศาจใหญ่ก็มีอายุขัยยืนยาว เกินกว่าเผ่ามนุษย์ที่เคยเป็นอาหารของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลจะเทียบได้ติด หากเลือกที่จะจำศีลในระยะยาวแล้ว แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ไหลรินผ่านไปก็ยิ่งแทบไม่ส่งผลกระทบต่อพวกมัน และในที่สุดเขาจึงอดทนจนกระทั่งผู้เฒ่าคนนั้นปรากฏกายขึ้นมาอีกครั้ง อนุญาตให้เขาทำความดีชดใช้ความผิด
บนเส้นที่ทอดยาวแนวขวางซึ่งหยุดนิ่งไม่ขยับทางทิศใต้เส้นนั้น
มีปีศาจใหญ่สวมชุดคลุมสีทองของเทือกเขาที่ห้อยกลับหัว
มีปีศาจใหญ่ที่นั่งอยู่กลางหอหยกเรือนอัญมณีเพียงลำพัง ราวกับเซียนบรรพกาลที่ถูกบันทึกไว้ในตำราของใต้หล้าไพศาล
บุรุษที่อยู่บนศีรษะขององค์เทพ ข้างกายคือทวนยาวที่ปักทะลุหัวกะโหลกซึ่งซ่อนปณิธานเวทอสนีที่บริสุทธิ์ที่สุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเอาไว้
บนบัลลังก์กระดูก เซียนกระบี่ใหญ่บรรพกาลท่านหนึ่งถูกสร้างเป็นหุ่นเชิดที่กลับคืนสู่ขอบเขตเดิม
งูยาวสีแดงสดที่ล้อมพันเสากลมต้นนั้นปานประหนึ่งเจ้าของเทพแห่งสายน้ำทั้งหมดในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
นักพรตสวมชุดเต๋าสีขาวหิมะหลอมแก่นวิญญาณครึ่งหนึ่งของหนึ่งในดวงจันทร์สามดวงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้กลายเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของตนเอง
ยักษ์สามเศียรหกกรเคยบุกมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ โดนกระบี่หนึ่งของเฉินชิงตูไปแล้วยังไม่ตาย ไปเยือนใต้หหล้าไพศาลครั้งนี้ ไม่ว่าที่แห่งใดที่มีศาลบรรพจารย์ จะเล็กหรือใหญ่ ล้วนต้องแตกหักยับเยินสิ้น
สตรีสวมชุดคลุมมังกรสวมมงกุฎมีปณิธานอยู่ที่การได้เป็นผู้ครองด้านล่างขุนเขาของเก้าทวีปใหญ่ในใต้หล้าไพศาล ควันธูปในโลกมนุษย์หมุนเวียนอย่างมีระเบียบ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดกลับคืนมาอีกครั้ง ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของนาง ส่วนของแลกเปลี่ยนก็คือนางจะมอบแม่น้ำเย่ลั่วที่อยู่ในการครอบครองของตนให้กับปีศาจใหญ่อีกตนหนึ่งที่เป็นคนรุ่นเดียวกัน นับจากนี้ไม่แย่งชิงบนมหามรรคากับอีกฝ่ายอีกแล้ว ซึ่งก่อนหน้านั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้เชื่อใจกัน อีกทั้งต่างคนก็ต่างอยากฮุบกลืนอีกฝ่าย ทว่าตอนนี้กลับไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะแต่ละคนต่างก็มีสิ่งที่ต้องการที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
เจ้าของชุดคลุมยาวขาดวิ่นผู้นั้นเคยติดตามเฉินชิงตูออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ คือหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่รุ่นเดียวกันที่มาถามกระบี่บนภูเขาทัวเยว่ เคยเป็นสหายรักของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส
ชายฉกรรจ์เคราดกที่ยืนอยู่ข้างกายซึ่งเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวก็เคยต่อสู้กับอาเหลียง แล้วก็เคยดื่มเหล้าด้วยกันมาก่อน ยามที่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็เคยช่วยผู้เฒ่าตาบอดย้ายขุนเขาใหญ่
ชายสวมชุดลัทธิขงจื๊อต้องการไปเยือนใต้หล้าไพศาล และเมื่อโลกมนุษย์สิ้นราบพนาสูรไปแล้ว เขาจะสร้างขุนเขาสายน้ำขึ้นมาใหม่ ใช้ความรู้ของเขาคนเดียวมาอบรมสั่งสอนปวงประชา ไม่ว่าใครก็ล้วนมีโอกาสได้เล่าเรียน
ปีศาจใหญ่ที่ถูกเกราะทองกักขังมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วนไม่เพียงแต่จะไปเยือนใต้หล้าไพศาล แต่จะยังนำทัพไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว ไปเยือนป๋ายอวี้จิงแห่งนั้น
ผู้เฒ่าที่ขี่กระบี่ต้องการหลอมขุนเขาทั้งห้าที่มีชื่อเสียงทั้งหมดในใต้หล้าไพศาลให้กลายมาเป็นของตน เขาต้องการทุบทำลายหอพิทักษ์เมืองทั้งเก้าแห่งให้เละด้วยมือตัวเอง จากนั้นก็ถามไป๋เจ๋อผู้นั้นกับปากตัวเองว่าคิดอะไรอยู่กันแน่