กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 617.2 แสงจันทร์ชำระล้างกระบี่เพื่อฟันโจร
เฉินผิงอันสอดนิ้วทั้งสิบประสานกัน นิ้วโป้งสองข้างดันกันเบาๆ เห็นได้ชัดว่าไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ร้อนใจจริงๆ เพียงแต่ว่ากำลังพยายามระงับความคิดของตัวเอง
คนแรกที่สอน ‘วิชาทางจิต’ วิชานี้ให้เขาคือผู้เฒ่าเหยา เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าพูดในสิ่งที่เลื่อนลอยเกินไป อีกทั้งหลักการเหตุผลในคำพูดก็มีน้อย สำหรับเฉินผิงอันที่เป็นลูกศิษย์เตาเผามังกรแต่ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเขาแล้ว ผู้เฒ่ามักจะเก็บปากเก็บคำราวกับคำพูดล้ำค่าดุจทองคำอยู่เสมอ ดังนั้นปีนั้นเฉินผิงอันจึงมักจะคิดมากในเรื่องของการขึ้นรูปเครื่องปั้น ทว่ายิ่งเขาคิดก็จะยิ่งใจร้อน ยิ่งตั้งใจก็ยิ่งวอกแวก ด้วยสาเหตุที่เรือนกายอ่อนแอ ตามักจะสูง ส่วนมือกลับต่ำ ใจเร็วแต่มือช้า กลับกลายเป็นว่าทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
คนที่เปิดสติปัญญาของเฉินผิงอันให้เปิดกว้างอย่างแท้จริง คนที่สามารถใช้เหตุผลข้อหนึ่งกับเรื่องราวนับร้อยนับพันในชีวิตมนุษย์ได้ แท้จริงแล้วก็คือหนิงเหยาที่ออกเดินทางไกลไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูเป็นครั้งแรก
บนเส้นทางของชีวิตคน ไม่ว่ามีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น ก็ควรระงับอารมณ์เอาไว้ก่อน แล้วใช้ความคิดทั้งหมดตรงดิ่งไปที่ปมของปัญหา
ทุกคำพูดทุกการกระทำของหนิงเหยารวดเร็วฉับไว ไม่เคยอืดอาดชักช้า แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกว่านางที่อยู่บนมหามรรคาแล้งน้ำใจ อำมหิตเย็นชาแม้แต่น้อย
ดังนั้นการอ่านตำราระหว่างเดินทางท่องเที่ยวในช่วงหลัง เฉินผิงอันที่เจอประโยค ‘ฤดูหนาวน่ารัก ฤดูร้อนน่ากลัว’ จากตำราประวัติศาสตร์เล่มหนึ่งจึงรู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง
หันกลับมามองหม่าขู่เสวียนซึ่งเป็นคนจำพวกลูกรักของสวรรค์ เขาก็เหมือนดั่งหน้าร้อนที่อากาศแผดเผา ดั่งดวงตะวันส่องแสงจ้าอยู่กลางนภา ไม่สนใจสักนิดว่าโลกมนุษย์ของพวกเจ้าจะแห้งแล้งพันลี้หมื่นลี้ หรือสรรพชีวิตจะมอดม้วยมรณา
สิ่งที่ประสบพบเจอในชีวิตคนจะเป็นตัวตัดสินระดับความใกล้ชิดที่ทุกคนมีต่อหลักการเหตุผล
บางคนแค่เห็นก็เกิดใจรัก เกิดใจเอนเอียงเข้าหา
บางคนเห็นแล้วไร้ความรู้สึก หรืออาจถึงขั้นมีอคติ
มิน่าเล่าชุยตงซานถึงเคยยิ้มกล่าวว่า หากยินดีตรวจสอบจิตใจดั้งเดิมของคนอย่างละเอียด อีกทั้งยังมีความสามารถที่เหมือนคนมองเห็นปลาในหุบเหวลึก บนโลกนี้จะยังมีอารมณ์แปรปรวนที่ไร้เหตุผลอยู่ได้อย่างไร การแสดงอารมณ์ออกมาภายนอกซึ่งเกิดจากความคิดจิตดั้งเดิมหลากหลายรูปแบบก็ล้วนเดินอยู่บนเส้นทางมากมาย ต่างกันแค่ว่าเดินช้าหรือเร็วก็เท่านั้น
ชุยตงซานเคยเปิดเผยความลับสวรรค์บางอย่าง บอกว่าสิ่งที่เขาเรียนรู้และจุดประสงค์ของการเรียนก็คือนำแนวคิดที่พร่าเลือนไม่ชัดเจนอย่างความเป็นความตาย เจ็ดอารมณ์หกปรารถนามาตั้งเป็นเค้าโครงคร่าวๆ ในแนวเดียวกันเก้าข้อ จากนั้นก็แบ่งออกมาเป็นกฎข้อย่อยอีกสามสิบหกข้อ นอกจากหัวข้อพวกนี้แล้วยังมีกฎการคำนวณที่ถือว่าเป็นรากฐานที่สุดสามข้อ ถักทอตัดสลับกันเอง และอันที่จริงมันก็คือกระดานหมากกระดานหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่คนคิด ทุกความคิดที่เกิดขึ้นล้วนเกิดและดับอยู่บนกระดานหมากนี้ ทำไมถึงเกิด ทำไมถึงดับ ล้วนมีเหตุผลและเป็นไปตามขั้นตอน
ชุยตงซานที่เป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องน่ากลัวมาก
เฉินผิงอันถึงขั้นมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า ในอนาคตขอแค่พิทักษ์แจกันสมบัติทวีปเอาไว้ได้ ถ้าอย่างนั้นความเร็วในการเติบโตของชุยตงซานมีแต่จะเร็วยิ่งกว่าและสูงยิ่งกว่าราชครูชุยฉาน
ดังนั้นจึงต้องการเฉินผิงอันที่เป็นเหมือนอาจารย์ที่แท้จริง
เพียงแค่ถ่ายทอดมรรคกถา สอนวิชาหมัดให้แก่ลูกศิษย์ พรสวรรค์ของลูกศิษย์ดียิ่งกว่า โชควาสนายอดเยี่ยมยิ่งกว่า วันใดที่มรรคกถาและวิชาหมัดสูงยิ่งกว่าอาจารย์ ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ก็มักจะซับซ้อนเสมอ
เพียงแค่ถ่ายทอดหลักการเหตุผลในตำราให้แก่ลูกศิษย์ แต่หากตัวของอาจารย์ที่เป็นผู้สั่งสอนยังยืนได้ไม่ตรง รอจนความรู้ของลูกศิษย์เพิ่มสูงขึ้นแล้ว จะยังคาดหวังให้ลูกศิษย์เต็มใจเคารพนับถืออาจารย์จากใจจริงอีกได้อย่างไร?
อยู่ดีๆ ป๋ายหมัวมัวก็ยิ้มเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านเขยบอกว่าหากหลีเจินผู้นั้นได้เติบโตจะต้องน่ากลัวมากแน่ๆ แต่นาทีก่อนหน้าที่หลีเจินจะตาย เขาคงรู้สึกแล้วว่าท่านเขยเป็นคนที่น่ากลัวมากคนหนึ่ง”
กรรมตามสนองเร็วไปสักหน่อย
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “แต่ข้าอยากให้ศัตรูทุกคนรู้สึกว่าข้าเฉินผิงอันเป็นคนที่พูดง่ายรังแกง่ายมากกว่า”
ป๋ายหมัวมัวลุกขึ้นเดินจากไปพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่รบกวนการรักษาตัวของท่านเขยแล้ว คุณหนูสั่งความไว้ว่า ให้ท่านเขยรักษาตัวอย่างสบายใจ นางกับพวกเตี๋ยจ้าง ต่งถ่านดำที่อยู่บนหัวกำแพงสามารถดูแลตัวเองได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ลุกขึ้นตาม แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ขั้นตอนการเข่นฆ่าระหว่างข้ากับหลีเจินอย่างละเอียด ยังไม่แพร่ออกไปกระมัง?”
ป๋ายหมัวมัวยิ้มกล่าว “เหล่าเซียนกระบี่ที่อยู่บนหัวกำแพงต่างก็ไม่พูดอะไร แต่ในนครตอนนี้มีการเล่าต่อๆ กันไปสามฉบับแล้ว ซึ่งคนเผยแพร่ก็คือลวี่ตวน แม่นางตระกูลต่งและกู้เจี้ยนหลง ท่านเขยอย่างฟังฉบับไหน?”
เฉินผิงอันพลันรู้สึกหัวโต เอ่ยว่า “ฟังแค่ฉบับของกู้เจี้ยนหลงพอ”
ป๋ายหมัวมัวกล่าว “ฉบับนี้ไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจสักเท่าไร เรื่องเล่าของแม่หนูลวี่ตวนนั่นเกินจริงที่สุด ได้รับสืบทอดวิชาจากตัวตนนักเล่านิทานของท่านเขยมาโดยแท้ ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์คนเล็กของท่านเขย ลำพังเพียงแค่เล่าเรื่องของอาวุธเซียนสิบสองชิ้นที่อยู่บนร่างหลีเจินก็สามารถพูดได้นานหลายชั่วจิบชา เรื่องเล่าของแม่นางตระกูลต่งยาวที่สุด มีเพียงฉบับของกู้เจี้ยนหลงเท่านั้นที่สั้น กระชับและได้ใจความมากที่สุด เล่าแค่ว่าในศึกครั้งนั้น เถ้าแก่รองอดทนกับเจ้าเดรัจฉานน้อยอยู่นาน ภายหลังทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงกระโดดพรวดออกมาอย่างลึกลับ เงื้อกระบี่ฟันหลีเจินตายคาที่ ‘เจ้าตัวดี หลังจบเรื่องเขาแม่งยังได้กำไรมาเป็นกอบเป็นกำอีกด้วย ภายใต้สายตาของทุกคน ต่อหน้าเซียนกระบี่และปีศาจใหญ่ เขาวิ่งตุปัดตุเป๋คลำหาไปทั่วสนามรบอยู่นาน หากไม่เป็นเพราะยังพอจะมีความละอายอยู่บ้าง ดูจากท่าทางนั้นของเถ้าแก่รองก็คงคิดจะเอาจอบออกมาแล้วขุดพลิกดินกลับไปกลับมาเจ็ดแปดรอบแล้ว ใต้หล้านี้ไม่มีการค้าใดที่เถ้าแก่รองขาดทุนจริงๆ’ ท่านเขย นี่คือคำพูดของกู้เจี้ยนหลงเอง ข้าแค่พูดตามเขาเท่านั้น”
กล่าวมาถึงตรงนี้หญิงชราก็หัวเราะปากกว้าง
อันที่จริงยังมีคำพูดที่น่าสนใจยิ่งกว่านี้ที่หญิงชราไม่ได้เอ่ยออกมา
‘ด้วยหนังหน้าของเถ้าแก่รองที่หนาปานนั้น แค่ฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพง เอาหน้าแนบลงกับพื้น คาดว่าคงไม่ต้องให้เซียนกระบี่คนใดลงมือจัดการกับศัตรู แค่ยกม้านั่งมานั่งแทะเมล็ดแตงดื่มเหล้ารอดูเรื่องสนุกไปพลางก็พอ ถึงอย่างไรต่อให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างลงมือสุดกำลัง ต่อสู้กันแปดสิบปีร้อยปีก็คงยังขึ้นหัวกำแพงเมืองมาไม่ได้อยู่ดี’
กู้เจี้ยนหลงที่บ้านอยู่บนถนนไท่เซี่ยงคนนั้นขึ้นชื่อเรื่องความปากเปราะมาตั้งแต่เด็ก นิสัยไม่ได้เลวร้าย แต่เพราะความสัมพันธ์ด้านครอบครัวจึงสนิทสนมกับภูเขาลูกเล็กของฉีโซ่วมาตั้งแต่เยาว์วัย แต่ภายหลังความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพวกผังหยวนจี้และเกาเหย่โหวก็ไม่แย่เหมือนกัน
เฉินผิงอันสอดสองแขนไว้ในชายแขนเสื้อ เดินอยู่ข้างกายของหญิงชรา ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “กู้เจี้ยนหลงผู้นี้ไม่เสียแรงที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตชื่อว่า ‘พีซวง’ (สารหนู) ข้าเองก็ทนเขามาไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว คราวหน้าจะต้องเชิญเขาไปดื่มเหล้าที่ร้านให้จงได้”
หญิงชราเองก็สงสัยใคร่รู้ขึ้นมาบ้างแล้ว “มีเรื่องอะไรกันหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าตะพาบน้อยคนนี้ชอบพูดว่าข้าขายเหล้าเป็นเจ้ามืออย่างใจดำเกินไป นี่ไม่ใช่การใส่ร้ายข้าหรอกหรือ?”
หญิงชรากลั้นยิ้ม พูดเออออไปว่า “นี่มันเกินไปแล้ว คราวหน้าท่านเขยต้องตำหนิเขาสักหน่อย”
เฉินผิงอันพาป๋ายหมัวมัวไปส่งที่หน้าประตู จากนั้นก็สาวเท้าเดินเร็วๆ ไปยังห้องที่วางตราประทับและพัดพับเอาไว้ หยิบเม็ดหมากกำใหญ่ออกมาจากโถที่วางไว้บนโต๊ะ มีดแกะสลักเล่มแรกสุดที่เคยใช้แกะสลักแผ่นไม้ไผ่นับไม่ถ้วนนั้นได้มอบให้ลูกศิษย์อย่างเฉาฉิงหล่างไปแล้ว ตอนนี้จึงได้แต่ใช้กระบี่บินสืออู่ในการแกะสลักตัวอักษร
ทุกครั้งที่แกะสลักตัวอักษรตัวหนึ่งบนเม็ดหมากเสร็จ ก็จะเขียนรายละเอียดในความทรงจำทั้งหมดลงไปบนกระดาษ
ตอนนั้นที่อยู่บนสนามรบ หลังจากใช้หนึ่งกระบี่สังหารหลีเจินแล้วเหยียบศีรษะของเขาให้แหลกเละ สะเทือนจิตวิญญาณให้แหลกสลาย สุดท้ายชี้กระบี่ไปที่ผู้เฒ่าชุดเทา คือการกระทำที่ใช้อารมณ์ แต่กลับไม่ได้ใช้แค่อารมณ์อย่างเดียวเท่านั้น
นั่นก็เพื่อให้ตัวเองสามารถมองปีศาจใหญ่ ผู้แข็งแกร่งบนยอดเขาสูงสุดทั้งหลายของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่ในระยะประชิดได้อย่างเปิดเผยนานหน่อย
เฉินผิงอันคิดว่าจะเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับปีศาจใหญ่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างใส่สมุดเล่มหนึ่ง
บนโต๊ะมีสมุดอยู่สองเล่ม เล่มหนึ่งเขียนเกี่ยวกับผู้ฝึกกระบี่แทบทุกคนในกำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกเล่มหนึ่งคือตำราที่หวงถงเซียนกระบี่ผู้คุมกฎของสำนักกระบี่ไท่ฮุยทิ้งไว้ให้ไฉ่ลี่ ภายหลังฉีจิ่งหลงคัดลอกสำเนาแล้วนำมามอบให้เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันหลับตาลง
กระบี่นั้นที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสส่งออกไป
อันที่จริงเป็นการบอกแก่เซียนกระบี่บางส่วนที่เก็บซ่อนตัว จำศีลอยู่ต่างถิ่นต่างแดนมานานหลายปี และพวกคนบนเส้นทางเดียวกันที่ทำเรื่องราวคล้ายกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเยว่หวงว่า
สามารถออกกระบี่ได้แล้ว
ดังนั้นหลังจากกระบี่นั้นผ่านไป
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างทางทิศใต้ที่ห่างจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปไกลยิ่งกว่าจึงเริ่มโกลาหลวุ่นวาย ความไม่สงบลามไปทั่วทุกหนแห่ง
เซียนกระบี่ที่เปลี่ยนชื่ออำพรางตัวตนอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ได้เปิดเผยสถานะเซียนกระบี่นับตั้งแต่ตอนนี้ แต่เริ่มรวบเก็บแหอย่างลับๆ ใช้สถานะและโฉมหน้าของพวกเขาแต่ละคนมาสร้างความวุ่นวายให้แก่ภายในของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
แล้วก็มีเซียนกระบี่ที่ปิดบังชื่อแซ่ฝึกตนอยู่เพียงลำพังในใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่แอบไปรวมตัวกันในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งตามคำสัญญาที่ตกลงกันไว้ก่อนจะออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
และยังมีเซียนกระบี่อีกส่วนหนึ่งที่เดิมทีคิดว่าตัดขาดความสัมพันธ์กับกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วที่เกิดเปลี่ยนใจ
เซียนกระบี่ที่อยู่บนภูเขาลึกเข้าไปกลางเมฆขาวบีบฝักกระบี่ให้แตก ถือกระบี่ไร้ฝักลงจากภูเขามา
มีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งขี่กระบี่ทะยานขึ้นจากแคว้นที่เต็มไปด้วยหนองบึงแห่งหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ในสถานที่เจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่งที่ไม่แพ้ให้กับเมืองหลวงของราชวงศ์ใดในใต้หล้าไพศาล เซียนกระบี่ปิดร้านที่เปิดอยู่ในหมู่ชาวบ้าน เงื้อกระบี่ตัดหัวฮ่องเต้ แล้วหิ้วกาเหล้าขี่กระบี่มุ่งหน้าไปยังทิศเหนือ
มีเซียนกระบี่คนหนึ่งที่ใช้ลาวาของภูเขาไฟหล่อหลอมคมกระบี่มาหลายร้อยปีหัวเราะเสียงดังกังวาน เก็บกระบี่สอดใส่ฝัก หวนคืนกลับมาตุภูมิ
มีเซียนกระบี่วัยชราคนหนึ่งที่มาก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ต่างบ้านต่างเมืองฝ่าออกจากด่าน พกกระบี่บุกรุดหน้าอย่างไม่กลัวตาย ไม่ใช่เพื่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ใช่เพื่อเฉินชิงตู เพียงแค่เพื่อผู้ฝึกกระบี่เผ่ามนุษย์ของตน
เฉินผิงอันยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าใดนัก สิ่งที่ทำได้มีเพียงเรื่องที่อยู่ตรงหน้า อยู่ข้างมือเท่านั้น
นั่นคือการทำตัวเป็นร้านผ้าห่อบุญที่ทำการค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงหยิบวัตถุจื่อชื่อแผ่นหยกขาวออกมา
ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าชุดเทาเปิดปากบอกกับเขาเองว่า ‘หยุดเมื่อพอสมควร’ (ภาษาจีนคือคำว่า 见好就收 หากแปลตรงตัวคือเห็นของดีก็เก็บ แต่เมื่อนำมาแปลเป็นภาษาไทยจะมีความหมายว่าได้ของดีไปแล้วก็ควรจะหยุด) เฉินผิงอันจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป ต่อให้อีกฝ่ายไม่พูด เฉินผิงอันก็ยังจะทำตัวเป็นร้านผ้าห่อบุญที่ตามเก็บเศษชิ้นส่วนผุพังมาอยู่ดี
ตอนนั้นเซียนกระบี่ผู้อาวุโสไม่ได้ขัดขวาง นี่ก็หมายความว่าของที่เหลืออยู่บนสนามรบไม่ได้ผ่านมือใครมาก่อน สามารถเก็บมาได้อย่างสบายใจ
สมบัติอาคมและอาวุธกึ่งเซียนสิบแปดชิ้นที่ใช้ในการสร้างค่ายกลของหลีเจิน สมบัติสำคัญที่เป็นใจกลางของค่ายกลใหญ่เสียหายไปเกินครึ่ง
เพียงแต่ว่าสมบัติที่แม้จะแตกเสียหาย ต่อให้จะยับเยินแค่ไหนก็ถือเป็นวัตถุวิเศษแห่งฟ้าดินลำดับหนึ่ง ไม่เก็บก็เสียเปล่า พอเก็บมาก็ได้มากองใหญ่
แต่ก็ยังมีสมบัติหนักที่ถือว่ายังสมบูรณ์แบบอยู่บ้างเหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่นตราประทับห้าอสนีของลัทธิเต๋าชิ้นนั้น
มีขนาดเท่าฝ่ามือ น้ำหนักมาก
ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไร เหมือนหยกแต่ไม่ใช่หยก เหมือนไม้แต่ไม่ใช่ไม้
ตราประทับที่ถูกเก็บรักษาไว้บนโต๊ะหนังสือในโลกมนุษย์ มีน้อยนักที่จะเป็นภาพบุคคล ส่วนตราประทับที่ปัญญาชนแกะสลักเป็นภาพเหมือนของตัวเองก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย
ทว่าตราประทับชิ้นนี้กลับแกะสลักภาพขององค์เทพบรรพกาลมากมายอย่างขุนพลสายฟ้า เจ้าแม่ฟ้าแลบ พ่อปู่วาโย เทพพิรุณ เสมียนเมฆา หลิงกวน เทียนเหริน ฯลฯ
ตราประทับมีตัวอักษรฉงเหนี่ยวอยู่สิบหกตัว สลักคำว่า ‘รวบรวมห้าอสนี บงการหมื่นคาถา กำจัดห้าช่องโหว่ กลไกฟ้าดิน’
ตัวอักษรทั้งสิบหกตัวนี้ถือว่าเป็นเนื้อหาที่เกินจริงอย่างมาก ต้องเรียกว่าใช้ถ้อยคำที่วางโตโอ้อวด ดั่งคนที่หวังกลืนกินฟ้าดิน
ขอแค่ฝึกวิชาห้าอสนีจากสายตรงดั้งเดิม อีกทั้งยังเป็นวิชาสูงส่งของลัทธิเต๋าอย่างแท้จริงได้ ก็สามารถบอกว่า ‘ตัวข้าทัดเทียมกับฟ้าดิน โชควาสนาล้วนควบคุมอยู่ในมือข้า’ ได้จริง
ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ก็คือผู้ที่มีความสามารถในเรื่องนี้
มีคำโคลงคู่บทหนึ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้า ไม่ใช่นักพรตของภูเขามังกรพยัคฆ์เขียนเอง แต่เป็นคนนอกที่มอบให้
‘สายลมสายฟ้าเมฆาสายฝนบังเกิดจากฝ่ามือ หมื่นคาถาอาคมเริ่มต้น ณ บัดนี้’
เฉินผิงอันถือประคองอาวุธหนักลัทธิเต๋าที่ ‘เพิ่งจะถดถอยไปหนึ่งขอบเขต’ ชิ้นนี้เอาไว้ในฝ่ามือ ยิ้มเอ่ยว่า “ห้าใจกลางบรรพบุรุษของสิ่งของจำนวนมาก เจ้ามีโอกาสที่จะกลับคืนสู่ระดับขั้นของอาวุธกึ่งเซียน เมื่อก่อนเจ้าเจอคนไม่ดี ไปเจอกับเจ้านายที่ไร้คุณธรรม ตอนนี้มาตกอยู่ในมือข้า ถือว่าเจ้าและข้ามีวาสนาต่อกัน วันหน้ารอให้ข้าเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางบนภูเขาได้อย่างแท้จริง ฝึกวิชาอสนีสำเร็จ เจ้าก็สามารถติดตามข้าไปกำจัดปีศาจปราบมารได้แล้ว”
เฉินผิงอันใช้ชายแขนเสื้อเช็ดมันให้สะอาด แล้วถึงได้วางลงบนโต๊ะเบาๆ วันหน้าสามารถเอามันไปหลอมใหญ่ แล้วห้อยไว้ตรงหน้าประตูของจวนไม้ เหมือนที่พวกชาวบ้านในเมืองเล็กห้อยกระจกทองแดงไว้ขับไล่ความชั่วร้าย
หยิบสมบัติล้ำค่าตระกูลเซียนที่ระดับถดถอยกลายเป็นสมบัติอาคมเหมือนกันอีกชิ้นหนึ่งออกมา คือเจดีย์วิเศษทองสัมฤทธิ์ที่สร้างจำลองป๋ายอวี้จิง
เห็นวัตถุชิ้นนี้ และได้มันมาครอบครอง เฉินผิงอันดีใจที่สุด
หลังจากหลอมใหญ่เสร็จแล้วจะวางมันไว้ในศาลภูเขา
สำหรับการบุกเบิกช่องโพรงลมปราณมากกว่าเดิมเพื่อจัดเก็บวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตน เฉินผิงอันไม่ได้คิดอะไรมากนัก ยิ่งตอนนี้กลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสองด้วยแล้ว คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์
สุดท้ายคือม้วนภาพวาดที่แกนไม้โบราณปริแตก แผ่นภาพขาดวิ่น เซียนกระบี่สิบแปดท่านที่มีชีวิตชีวาเหมือนจริง คือสุดยอดผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้ม้วนภาพเสียหายหนักเกินไป แทบจะไม่เหลือสภาพเดิมให้เห็นแล้ว
ตอนแรกเฉินผิงอันยังคิดว่าจะสามารถสะสมมากใช้ทีละน้อย หลังจากหลอมเสร็จแล้วค่อยมอบให้กับคนจิ๋วสีทองได้หรือไม่ คิดไม่ถึงว่าแค่ความคิดนี้บังเกิดขึ้นก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจราวกับหัวใจถูกคว้านทันที
สมกับเป็นนายท่านใหญ่จริงๆ ไม่เพียงแต่ดูแคลน ยังรังเกียจอีกด้วย
เฉินผิงอันจึงได้แต่เปลี่ยนความคิด จะเอามันไปเก็บไว้ในศาลภูเขาพร้อมกับเจดีย์ทองสัมฤทธิ์
เฉินผิงอันเก็บวัตถุทุกชิ้นกลับเข้าไปในวัตถุจื่อชื่อ เดินออกมาจากห้อง พอเดินไปถึงหน้าประตูของเรือนเล็กก็เดินย้อนกลับมาที่ลานบ้านอีก
ถึงอย่างไรก็ยังอดเป็นห่วงสถานการณ์ทางฝั่งของหัวกำแพงเมืองไม่ได้
เขาจึงเริ่มเดินนิ่งหกก้าว
เพียงแต่เดินฝึกท่าหมัดครบไปหลายรอบแล้ว ต่อให้จะสวมชุดคลุมอาคมก็ยังไม่อาจบดบังกลิ่นคาวเลือดจางๆ ได้
ผู้ฝึกตนขอบเขตถดถอยใช่เรื่องง่ายๆ สบายๆ เสียทีไหน
ก่อนหน้านี้การที่เฉินผิงอันทำเรื่องที่เกินความจำเป็นด้วยการถามป๋ายหมัวมัวว่าขั้นตอนการต่อสู้ครั้งนั้นได้เผยแพร่ไปหรือไม่
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแผนร้ายอะไรทั้งนั้น
เพียงแค่เฉินผิงอันไม่อยากให้คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่รู้จักตัวเองในอีกมุมหนึ่งมากเกินไป
บ่อสายฟ้าที่ยกตัวขึ้นกับทะเลเมฆที่ลดระดับลงมา ระหว่างขั้นตอนก่อนที่ฟ้าดินจะเชื่อมโยงติดต่อกัน อันที่จริงตอนนั้นร่างจริงและจิตหยางของเฉินผิงอันปะปนกันวุ่นวายแล้ว
ดังนั้นถึงแม้เฉินผิงอันในเวลานั้นจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นดั่งทางตัน แต่เขากลับรู้สึกสาแก่ใจกับการที่ได้ต่อสู้อย่างเต็มคราบ
ราวกับว่าชีวิตก็ควรจะเป็นเช่นนี้
นั่งอยู่จิตใจก็ไม่สงบ เดินนิ่งจิตใจก็กระวนกระวาย
เฉินผิงอันจึงได้แต่ไปนั่งในห้อง แกะสลักตราประทับ ต่อให้ได้เงินมาแล้วก็ยังจะคืนให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ทั้งหมดโดยไม่เหลือเก็บไว้สักแดงเดียว ทว่าระหว่างขั้นตอนการหาเงินนี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่สนุกอย่างหนึ่ง ก็แค่ไม่เคยนำความรู้ของเรื่องนี้มาบอกกล่าวแก่คนนอกเท่านั้น
ผู้ฝึกกระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีมากมายนับไม่ถ้วน มีเพียงบัณฑิตที่มีอยู่แค่ไม่กี่คน สลักตราประทับก็ดี เขียนตัวอักษรบนหน้าพัดก็ช่าง หากคนที่ถือมีดแกะสลักและพู่กันจิตใจไม่สงบนิ่งมากพอ ต่อให้สลักผิดหรือเขียนผิดไปก็ไม่เป็นไร
เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ เรียกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมา คอยจิบเหล้าอยู่เป็นระยะ
ในมือถือกระบี่บินสืออู่ แกะสลักตราประทับเนื้อหินที่เป็นสีขาวหิมะเหมือนหยกก้อนใหม่
ลายริมขอบคือคำว่า ‘คนและเรื่องราวบนโลกมนุษย์ไร้เหตุการณ์ไม่คาดฝัน ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการช่วงชิงชื่อเสียงเกียรติยศไม่หยุดหย่อน ให้คนเก่าแก่ในยุทธภพอย่างเราๆ ดูแคลน’
ตัวอักษรที่สลักบนหน้าตราประทับคือ ‘ไปดื่มเหล้า’
แล้วก็แกะสลักอีกชิ้นหนึ่ง
ตัวอักษรริมขอบคือบทกลอนของนักกวีคนหนึ่งยุคโบราณ ‘นึกอยากจะสังหารคำว่าอารมณ์ความรู้สึก มีเพียงข้าที่เคียดแค้นที่ความรู้สึกไม่มาเยือน มารดามันเถอะไปดื่มเหล้าเสียดีกว่า ความเดือดดาลเกิดขึ้นในใจ ยกกระบองฟาดใส่หนังสือ ทุบตีตัวอักษรละมุนละไมให้แหลกเละ’
ตัวอักษรบนหน้าตราประทับคือ ‘ความกลัดกลุ้มสังหารชายโสด’
แล้วก็สลักตราประทับอีกชิ้นหนึ่ง
อักษรริมขอบคือ ‘เซียนกระบี่ไร้เงินไม่มีเหล้าให้ดื่มเมามาย สาวงามสะโอดสะองพลันเติมเต็มให้’
ตัวอักษรคือ ‘แบบนี้จะทำอย่างไรดี’
ตราประทับชิ้นสุดท้ายที่แกะสลัก
อักษรริมขอบ ‘ตะไคร่เขียวครึ้มล่างบันได หวังซุนโบกพัดไปเบาๆ ใบไม้เหลืองร่วงโรยริมบ่อ สายฝนเทกระหน่ำ’
เฉินผิงอันกำลังจะแกะสลักตัวอักษรต่อ แต่จู่ๆ กลับกำตราประทับนี้ไว้ในมือแล้วบีบให้แหลกสลายเป็นผุยผง
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
ลุกขึ้นเดินออกจากท้อง ท่ามกลางม่านราตรี เขาเดินไปหยิบเจี้ยนเซียนที่อยู่บนโต๊ะในห้องหลัก
ชักกระบี่ออกจากฝัก แสงจันทร์ดุจสายน้ำสาดส่องที่ตัวกระบี่ ราวกับกำลังชำระล้างกระบี่
เฉินผิงอันสอดกระบี่กลับใส่ฝัก ไม่ได้สะพายกระบี่ขึ้นหลัง แต่ห้อยไว้ตรงเอว จากนั้นเรียกเรือยันต์ออกมา มุ่งหน้าไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่
วีรบุรุษฟันโจร ผู้ฝึกกระบี่ฆ่าปีศาจ ข้าจะไม่เกิดความเลื่อมใสได้อย่างไร ถ้าอย่างนั้นก็ทำมันไปแม่งเลย