กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 618.1 ใครจะคู่ควรกับหนิงเหยา
ระยะช่วงแรกของศึกโจมตีและป้องกันกำแพงเมืองปราณกระบี่ทุกครั้งในประวัติศาสตร์ ภาพบรรยากาศเป็นเช่นไร ป๋ายเลี่ยนซวงเอ่ยแค่สี่คำ แต่กลับแม่นยำอย่างถึงที่สุด พาตัวมาตาย
บนหัวกำแพงเมือง เซียนกระบี่และผู้ฝึกกระบี่พากันออกกระบี่อย่างพร้อมเพรียง มืดฟ้ามัวดิน ปราณกระบี่ดุจน้ำขึ้นที่ถาโถมตัวอย่างดุดัน ไหลกรูกันเข้าหาทางทิศใต้ ทุกที่ที่ผ่านสรรพสิ่งล้วนกลายเป็นผุยผง
เผ่าปีศาจบนสนามรบที่กรูกันเข้าใส่กำแพงเมืองปราณกระบี่ดั่งต้นหญ้าที่ถูกฟันจึงล้มกองกันเป็นแถบๆ
กลางอากาศของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีดวงจันทร์สามดวง ทว่าตรงหัวกำแพงเมืองนี้กลับมีแสงจันทร์มากที่สุด
ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองมากมายดุจก้อนเมฆ เมื่อกระบี่บินพุ่งออกไป ราตรีดำมืดกลางดึกกลับสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน มากพอจะทำให้แสงจันทร์หม่นหมองได้
เผ่าปีศาจมากมายเนืองแน่นพากันทวนกระแสกระบี่บินขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร หมายจะสร้างสถานการณ์ฝูงมดโจมตีกำแพงเมือง ทว่าเวลายังเร็วเกินไปนัก เร็วอยู่มาก
ได้แต่อาศัยชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนมาเผาผลาญปราณวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่ แลกเปลี่ยนมาด้วยโอกาสที่จะได้ขยับเข้าใกล้กำแพงเมือง ทุกครั้งที่สนามรบขยับเข้าใกล้ทางทิศเหนือหนึ่งก้าว ล้วนจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล
มีปีศาจใหญ่กลุ่มหนึ่งเผยกายโดยเฉพาะ ภายใต้การนำของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานอย่างฉงกวง พวกเขาคอยรับผิดชอบแบกยอดเขาแต่ละลูกที่ดึงมาจากแผ่นดินของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาที่สนามรบทางทิศใต้ จากนั้นก็ทุ่มเข้าใส่กำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเต็มกำลัง
เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงที่ถูกขนานนามให้เป็นตัวสำรองลำดับสิบคนสูงสุดพกกระบี่สองเล่มไว้ตรงเอว เล่นหนึ่งคือสยบห้าขุนเขา อีกเล่มหนึ่งคือกระบี่ยาวที่สร้างขึ้นจากหอกระบี่ กระบี่ทั้งสองเล่มล้วนยังไม่ออกจากฝัก กระบี่บินสองเล่มที่ร่ายออกมาใช้ น้ำพุร้อยจั้งเล่มหนึ่งในนั้นประหนึ่งน้ำตกที่สาดเทลงมา ซัดให้ภูใหญ่แต่ละลูกที่ถูกขว้างเข้าใส่หัวกำแพงเมืองเต็มแรงร่วงลงพื้น แผ่นดินสั่นสะเทือน กระแทกให้เผ่าปีศาจตายไปนับไม่ถ้วน แล้วยังมีกระบี่บินกระจอกเมฆบนฟ้าที่ปราณกระบี่ดั่งฝนห่าใหญ่ที่เทลงมาบนสนามรบ
จุดที่ปลายกระบี่ของหานไหวจื่อเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยแห่งอุตรกุรุทวีปชี้ไป ไม่ใช่บนร่างของเผ่าปีศาจบนสนามรบที่พาตัวมาตาย แต่เป็นร่วมมือกับเยว่ชิงทำลายภูเขาที่ขว้างเข้าใส่หัวกำแพงเมือง
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูลเยี่ยน หลี่ทุ่ยมี่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินก็มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มเหมือนกัน เล่มหนึ่งเจียวขาว เล่มหนึ่งเฮยชือ (มังกรมีเขาประเภทหนึ่งในนิทานปรัมปราของจีน) หลังจากกระบี่บินถูกเรียกออกมาก็เหมือนมีเจียวหลงยาวร้อยจั้งสองตัวเลื้อยสะบัดหางเข่นฆ่ากับเผ่าปีศาจอยู่บนพื้นดินอย่างกำเริบเสิบสาน
‘อ๋าวอวี๋’ (เต่ายักษ์ในทะเล สัตว์ในเทพนิยายของจีนสมัยโบราณ) กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหมี่ฮู่ขอบเขตเซียนเหรินออกจากหัวกำแพงไปได้ก็ผลุบหายเข้าไปในผืนแผ่นดิน ฉีกกระชากร่องลึกเส้นแล้วเส้นเล่าไว้บนสนามรบ รับผิดชอบคอยสกัดกั้นไม่ให้เผ่าปีศาจบุกรุดหน้าเข้ามาได้
หมี่อวี้ผู้เป็นน้องชายเรียกกระบี่บิน ‘เสียหม่านเทียน’ (แสงเรืองรองเต็มแผ่นฟ้า) ร่วมมือกับหมี่ฮู่ผู้เป็นพี่ชายสร้างปราณกระบี่แสงเรืองรองที่เข้มข้นราวกับน้ำให้เอ่อขึ้นมาเต็มร่องลึกเหล่านั้น ขัดขวางไม่ให้ปีศาจใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามเติมเต็มร่องลึกได้ ขณะเดียวกันก็บดขยี้เผ่าปีศาจทั้งหมดที่หล่นร่วงเข้ามาในร่อง
แล้วยังมี ‘ซวงเซวี่ย’ (น้ำค้างแข็งและหิมะ) กระบี่บินที่หยวนชิงสู่เซียนกระบี่จากทักษินาตยทวีปเรียกออกมาคอยช่วยสร้างความมั่นคงให้กับร่องลึกของเซียนกระบี่สองพี่น้อง ปราณกระบี่จึงเปี่ยมล้น เผ่าปีศาจหลายตนที่อยู่ในร่องน้ำใหญ่หลายสิบเส้นจึงเหมือนอยู่ในวันที่อากาศหนาวเย็นเสียดแทงเข้ากระดูก มีทั้งน้ำค้างแข็งและมีทั้งหิมะ บนพื้นมีหิมะกองทับถมกันเป็นชั้นหนา บนท้องฟ้าก็ปลิวปรายไปด้วยเกล็ดน้ำค้างแข็ง เท้าทั้งสองข้างของเผ่าปีศาจที่ขึ้นชื่อว่าเรือนกายแข็งแกร่งทนทานที่สุดในโลก ล้วนถูกปราณกระบี่หลอมละลายเลือดเนื้อ กระดูกขาวโพลนโผล่ให้เห็น เลือดสดเปรอะเลอะเต็มร่าง
อู๋เฉิงเพ่ยเซียนกระบี่ที่ติดค้างอยู่ในคอขวดขอบเขตหยกดิบนานหลายปี เวลานี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวกำแพง ‘น้ำค้างหวาน’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาคือกระบี่บินเล่มหนึ่งที่ถือว่าแปลกประหลาดที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ กระบี่บินน้ำค้างหวานนี้ไม่มีรูปแบบการโจมตีที่แน่นอน เมื่อมันจมลงไปในกองกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนที่ทับถมกันและบ่อเลือดบนสนามรบ อู๋เฉิงเพ่ยกลับรวบรวมสมาธิ ไม่ได้ออกกระบี่ใส่เผ่าปีศาจ แต่กลับเริ่มสงบจิตใจหลอมกระบี่
แม้ว่าขอบเขตของเซียนกระบี่หญิงโจวเฉิงจะไม่สูง แต่ก็แบกรับโชคชะตาไว้บนร่างเพียงลำพัง ในฐานะคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของสายนาง ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานที่ได้ฝึกตนอยู่บนหัวกำแพง ได้รับปณิธานกระบี่ที่สืบทอดมาจากบรรพจารย์รุ่นแล้วรุ่นเล่า เมื่อนำมาหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง สุดท้ายก็สร้างกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ‘เจ็ดสี’ ขึ้นมาได้ แสงกระบี่มีเจ็ดสี ราวกับว่าคนคนหนึ่งได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเจ็ดเล่ม
น่าหลันเซาเหว่ยและลู่จือที่ต่างก็ติดอันดับสิบเซียนกระบี่ใหญ่ขั้นสูงสุด เวลานี้พวกเขาไม่ได้ออกกระบี่ คนทั้งสองนำพาเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนหลายสิบคนที่กระบี่บินมีความเร็วอย่างถึงที่สุดคอยลาดตระเวนสนามรบ รับผิดชอบรับมือกับปีศาจใหญ่ที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจโดยเฉพาะ หากมีเผ่าปีศาจขยับเข้ามาใกล้หัวกำแพงเมืองก็จะออกกระบี่สังหาร จะไม่ยอมให้เผ่าปีศาจรุกคืบขยับเข้ามาใกล้เบื้องใต้ของหัวกำแพงเมืองง่ายๆ เด็ดขาด
บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่แต่ละคนต่างก็มีหน้าที่เป็นของตัวเอง
กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนอยู่ด้านหน้าสุดของกระแสน้ำขึ้นปราณกระบี่ ออกจากหัวกำแพงเมืองไปไกลที่สุด แน่นอนว่าต้องเผาผลาญปราณวิญญาณมากที่สุด แล้วก็อันตรายที่สุด
ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินอย่างก่อกำเนิด โอสถทองสองขอบเขตตามมาด้านหลังติดๆ ไม่ได้ต้องการให้ผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้สังหารปีศาจที่อยู่ห่างไปไกลอย่างเดียว แค่ให้พวกเขารักษาแนวรบที่ปราณกระบี่ดั่งสายน้ำพุ่งออกจากเมืองเส้นนี้ให้มั่นคงเท่านั้น หากมีกำลังเหลือก็สามารถหาโอกาสสังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่สวมชุดคลุมอาคม สวมเสื้อเกราะยันต์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ค่ายกลที่คนกลุ่มนี้จะให้การปกป้องอย่างแน่นหนา หากพบร่องรอยก็ต้องสังหารอีกฝ่ายให้ตายคาที่โดยไม่ต้องสนใจค่าตอบแทน
ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ต่ำกว่าโอสถทองลงไป ยามออกกระบี่จะต้องระวังมากยิ่งกว่า หน้าที่หลักไม่ใช่สังหารศัตรู แต่คือจัดขบวนรบอยู่บนหัวกำแพงเมือง
หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเผ่าปีศาจบางตนที่หมายหัวพวกเขาโดยเฉพาะทำร้ายไปถึงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต
ผู้ฝึกกระบี่สามกลุ่มผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ถึงอย่างไรการแสร้งวางท่าข่มขู่ให้คนกลัวก็ไม่ทำให้คนตายได้จริงๆ ดังนั้นการออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่จึงมักจะแสวงหาในผลลัพธ์ที่แน่นอนจริงแท้เสมอ
เพราะถึงอย่างไรการโจมตีเมืองของเผ่าปีศาจก็ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือน แต่มักจะยาวนานไปหลายปี
เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างโจมตีเมืองสามวันสามคืนก็เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยจานหนึ่งจริงๆ
เรื่องไม่คาดฝันเพียงหนึ่งเดียวระหว่างนี้ ก็คือมีหนึ่งในปีศาจใหญ่สิบสี่ตนซึ่งเป็นเพียงตนเดียวที่เผยตัว ก็คือป๋ายอิ๋(หยกขาว) ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกขาว ราวกับขุนเขาตระหง่านที่คอยควบคุมกองทัพอย่างไรอย่างนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาลุกขึ้นยืนแล้วร่ายวิชาอภินิหารพิศกระดูกขาว บนสนามรบที่เลือดสดไหลนองเป็นพันลี้ก็พลันมีโครงกระดูกของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจหลายพันตนลุกขึ้นยืน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่ได้มาโจมตีเมือง แล้วก็ไม่ถอยร่น เพียงแค่ยืนทื่ออยู่บนสนามรบอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ปราณกระบี่ทำลายจนย่อยยับ สูญเสียมูลค่าอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ส่วนสุดท้ายไปอย่างสิ้นเชิง
ป๋ายอิ๋งนั่งกลับลงไปบนบัลลังก์ ผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา ราวกับกำลังบอกเป็นนัยให้เหล่าผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เชิญออกกระบี่กันต่อ
ป๋ายอิ๋งมองอู๋เฉิงเพ่ยเซียนกระบี่ขอบเขตหยกคนนั้นนานหน่อย เขาค่อนข้างสนใจ ‘น้ำค้างหวาน’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของอีกฝ่ายอยู่มาก
สายตาของป๋ายอิ๋งมองไปไกลกว่าสนามรบเบื้องหน้า หากหลังจากที่กระดูกลุกขึ้นยืนแล้ว ยังได้อาบไล้อยู่ท่ามกลางน้ำค้างรสหวาน ช่วยหล่อหลอมจิตวิญญาณ ก็พอจะเป็นประโยชน์ต่อมหามรรคาอยู่ไม่น้อย
นอกจากนี้ป๋ายอิ๋งก็ไม่คิดว่าการเข่นฆ่าตรงหน้านี้มีค่าอะไรให้ตนมองไปมากกว่านี้
หากไม่นับสหายหลายคนที่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ซึ่งอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยแตกกิ่งก้านสาขา รวมถึงภูเขากระดูกขาวของเขาป๋ายอิ๋งเองด้วย กองกำลังและสำนักอื่นๆ ที่เหลืออยู่ รวมไปถึงผู้ที่อยู่ใต้อาณัติทั้งหมด ล้วนระดมพลกันออกมาหมดแล้ว ดังนั้นใต้หล้าเปลี่ยวร้างในเวลานี้ หากมีคนที่สามารถก้มมองพื้นดินจากดวงจันทร์สามดวงได้เหมือนปีศาจใหญ่นักพรตเต๋าที่หลอมแก่นวิญญาณของดวงจันทร์คนนั้น ก็จะมองเห็นว่าบนอาณาบริเวณที่กว้างขวางมีเมล็ดงาเล็กๆ หลายเมล็ดปรากฎขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ตามมาด้วยเส้นเล็กๆ หลายเส้นที่พากันขยับเข้าหากำแพงเมืองปราณกระบี่ นั่นล้วนเป็นเผ่าปีศาจที่พากันดาหน้ามาลงสนามรบอย่างไม่ขาดสาย
เส้นเล็กๆ ทุกเส้นก็คือเผ่าปีศาจที่มีจำนวนหลายหมื่นหลายแสน แต่ที่มากกว่านั้นคือหุ่นเชิดที่ยังไม่มีสติปัญญาซึ่งถูกผู้ฝึกตนควบคุมเอาไว้ ในบรรดานี้ก็มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เดินไปบนเส้นทางการฝึกตน กลายร่างเป็นมนุษย์อีกนับไม่ถ้วน แล้วยังมีวีรบุรุษของแต่ละพื้นที่อีกมากมายที่สร้างราชวงศ์ขึ้นมาเลียนแบบใต้หล้าไพศาล ปีศาจดุร้ายตามเขาลึกหนองบึงทั้งหลายจะยึดครองพื้นที่กันดารห่างไกลแห่งหนึ่ง เมื่อได้ครอบครองพื้นที่ฮวงจุ้ยพิเศษแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำภูเขา ผีร้ายวิญญาณอาฆาตทั้งหมดในพื้นที่ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเอาทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตัวเองออกมาใช้โจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่เหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
หากโจมตีเมืองไม่สำเร็จ แน่นอนว่าก็คือการพาตัวไปตาย
แต่หากคิดจะโจมตีเมืองให้สำเร็จก็จำต้องพาตัวไปตาย ขอแค่รับการเผาผลาญได้ไหว ตัดใจทิ้งมดตัวน้อยไร้ประโยชน์จำนวนมากไปได้ ยิ่งตายไปมากเท่าไร กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มองดูเหมือนสูงส่งจนมิอาจปีนป่าย แข็งแกร่งมิอาจทำลายก็จะยิ่งสูญเสียฟ้าอำนวย ดินอวยพร คนสามัคคีไปเรื่อยๆ นาทีที่ไม่เหลือทั้งสามสิ่งนี้อยู่แล้ว ก็คือนาทีที่เฉินชิงตูผู้นั้นกายดับมรรคาสลาย จิตวิญญาณซ่านเซ็นอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่กลายเป็นฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เฉินชิงตูรักษาความได้เปรียบนี้ไว้อย่างไร ใต้หล้าเปลี่ยวร้างควรจะกำจัดข้อเสียเปรียบนี้ไปอย่างไร นี่ก็คือกุญแจที่สำคัญที่สุดในสงครามโจมตีและพิทักษ์ ถึงขั้นพูดได้ว่าเป็นเพียงเรื่องเดียวที่ควรทำ
เซียนกระบี่ออกกระบี่ ฝูงมดโจมตีอะไรนั่น ก็ล้วนช่วงชิงกันในเรื่องนี้ทั้งสิ้น
ขอแค่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเอากำลังทรัพย์ครึ่งหนึ่งที่มีออกมา กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องรักษาไว้ไม่ได้แน่นอน
ไม่เพียงแต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่จะพิทักษ์ไว้ไม่อยู่ หลายทวีปหลายพื้นที่ของใต้หล้าไพศาลก็ต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นทักษินาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุด ฝูเหยาทวีปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ใบถงทวีปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ดังนั้นหลังจากที่ผู้เฒ่าชุดเทาซึ่งเก็บตัวเงียบนานนับหมื่นปีเผยกายอีกครั้ง เรื่องใหญ่ที่ทำเป็นเรื่องแรกก็คือแบ่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างออกเป็นยี่สิบเขตอิทธิพล ปีศาจใหญ่ทั้งสิบสี่ตน ไม่ว่าใครก็จำเป็นต้องเอาดึงเอากองกำลังอย่างน้อยครึ่งหนึ่งในเขตอิทธิพลของตนออกมา มุ่งหน้าสู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หากทำภารกิจเล็กๆ นี้ไม่สำเร็จก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อ เมื่อสงครามเกิดขึ้น ก็เดินนำขึ้นหัวกำแพงเมืองไปก่อน ไปลิ้มรสเวทกระบี่ของเฉินชิงตูดูว่าสูงหรือต่ำ หากไม่ยินดี ก็จงอยู่ก้นบ่อโบราณไปเถอะ
พื้นที่อิทธิพลยี่สิบแห่ง หากอิงจากผู้ฝึกตนแล้วขอบเขตโดยรวมไม่สูงพอ ถ้าอย่างนั้นก็อาศัยจำนวนมาผสมกันให้ได้มาก แต่ก็มีอยู่ข้อหนึ่งที่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จ ปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนทุกตนจำเป็นต้องเดินทางขึ้นเหนือไปให้ครบทุกตน ไม่ว่าใครที่หลบเลี่ยงไม่ยอมทำสงคราม กล้าไปแอบซ่อนตัวก็จะถูกสังหารทันที แต่จะบังคับบุคคลที่ดิ้นรนป่ายปีนขึ้นมาเป็นห้าขอบเขตบนอย่างยากลำบากพวกนี้มากเกินไปก็ไม่ได้ ดังนั้นขอแค่ยินดีออกศึก นอกจากของรางวัลที่จะได้รับในอนาคตจะไม่น้อยลงแล้ว ก่อนจะนำทัพออกรบก็ย่อมต้องได้รับของขวัญใหญ่ชิ้นหนึ่ง หากบุคคลเหล่านี้รบตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่อาจได้เห็นใต้หล้าไพศาลกับตาตัวเอง ถ้าอย่างนั้นทายาทหรือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของคนผู้นั้นก็จะได้รับการรับรองว่าจะมีอาณาเขตอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างแน่นอน เหมือนการแต่งตั้งอ๋องไปให้อยู่ในพื้นที่ศักดินาของตน ส่วนอาณาเขตที่ได้ครอบครองจะเล็กหรือใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับขอบเขตและคุณความชอบในการทำสงครามของปีศาจใหญ่ที่รบตายไป ภายในเวลาพันปี ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรุกราน หากตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้แตกได้แล้ว ไม่เพียงแต่จะได้รับรางวัลที่บ้านเกิด อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นปีศาจห้าขอบเขตบนตนใดก็ตาม ก็ล้วนสามารถก่อพรรคตั้งสำนักไว้ที่ใต้หล้าแห่งใหม่ที่อุดมสมบูรณ์อย่างแทบไม่น่าเชื่อแห่งนั้นได้ทุกตน
สัญญาที่มีภูเขาทัวเยว่เป็นผู้นำ ร่วมมือกับปีศาจใหญ่สิบสี่ตนลงนามร่วมกันนี้ ตอนนี้ได้แพร่ไปทั่วทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว
เขตอิทธิพลยี่สิบแห่ง ทุกแห่งหากขอบเขตของผู้ฝึกตนขั้นสูงมากพอ แต่ขาดชุดคลุมอาคม เสื้อเกราะ สมบัติอาคม ผู้เฒ่าชุดเทาก็บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า ขอรบกวนให้ทั้งสิบสี่ท่านช่วยออกแรงกันหน่อย อย่ามัวเก็บซ่อนกำลังทรัพย์กันอีกเลย ไม่ว่าจะควักกระเป๋าของตัวเองหรือไปยืมมาจากใครก็ควรมอบไปให้ ถึงอย่างไรเมื่อไปถึงใต้หล้าไพศาล ตามแผนการที่กำหนดไว้ ต่างคนก็ต่างกวาดหาสมบัติกันเอาเองได้เลย ไม่ต้องสนใจวิธีการ รับรองว่าอย่างน้อยที่สุดต้องได้ชดเชยกลับคืนมาถึงสองเท่า หากไม่พอ ถึงเวลานั้นก็มาขอชดเชยจากเขาและภูเขาทัวเยว่ได้เลย