กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 618.2 ใครจะคู่ควรกับหนิงเหยา
การโจมตีเมืองครั้งนี้เป็นระเบียบขั้นตอน แบ่งออกเป็นแปดช่วง
ตอนนี้เพิ่งจะเป็นการเปิดฉากของช่วงที่หนึ่งเท่านั้น
หลังจากนี้พวกเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะต้องเจอกับเรื่องไม่คาดฝันอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตสิบเหมือนกัน มีเรือกระบี่ของสำนักโม่ที่เอาวางไว้บนยอดเขา ถึงขั้นที่ว่ายังจะเกิดภาพเหตุการณ์ยิ่งใหญ่อลังการที่ผู้ฝึกกระบี่ทั้งด้านบนและด้านล่างกำแพงเมือง ต่างก็ได้แต่หันกระบี่เข้าใส่กันและกัน และใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ก็จะมีผู้ฝึกตนสำนักการทหารมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก พวกเขาจะสวมเสื้อเกราะอาวุธล้ำค่าเป็นสีเดียวกัน ถึงเวลานั้นบนสนามรบจะมีภูเขาสูงใหญ่ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าเป็นแถบๆ คือขุนเขาทั้งห้าที่ถูกย้ายมาจากหลายสิบราชวงศ์ แล้วบนภูเขาแต่ละลูกจะมีผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนที่โปรยสมบัติอาคมลงมาดุจฝนห่าใหญ่ ตอนนี้เผ่าปีศาจทั้งหมดของฝ่ายตนบนสนามรบจำเป็นต้องแหงนหน้าสูงมองหัวกำแพงเมืองแห่งนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป สนามรบจะสูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายกำแพงเมืองปราณกระบี่จะกลายเป็นอาณาเขตของใต้หล้าเปลี่ยวร้างตามความหมายที่แท้จริง นับจากนี้ไปลมและน้ำจะเปลี่ยนทิศ ถึงเวลานั้นเมื่อต้องคุมเชิงกับใต้หล้าไพศาล มันก็จะกลายเป็นส่วนที่ทำให้เผ่าปีศาจได้ทั้งรุกและถอย
ป๋ายอิ๋งเริ่มดื่มเหล้า ได้ยินว่าที่ใต้หล้าไพศาลมีเหล้าหมักตระกูลเซียนอยู่มากมาย
เซียนกระบี่ที่หยิ่งทระนงบนหัวกำแพงเมืองพวกนั้นชอบออกกระบี่เต็มกำลังเพื่อสังหารปีศาจนักไม่ใช่หรือ ก็เชิญออกกระบี่มาได้เลย พยายามช่วงชิงคุณความชอบทางการรบมาให้ได้มากที่สุด ถึงอย่างไรก็ต้องอิ่มตายเพราะคุณความชอบทางการต่อสู้พวกนั้นอยู่แล้ว
อันที่จริงนับตั้งแต่ที่ศึกสิบสามครั้งนั้นเกิดขึ้น ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ได้เริ่มวางแผนเอาไว้แล้ว
ศึกโจมตีเมืองสามครั้งจะให้จบลงด้วยการที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างถอยร่นด้วยความพ่ายแพ้ยับเยิน แต่นั่นล้วนเป็นการฝึกปรือฝีมือการต่อสู้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเท่านั้น
ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพา กำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้มีผู้มากพรสวรรค์รุ่นเยาว์กลุ่มใหญ่ซึ่งมีหนิงเหยาเป็นผู้นำถือกำเนิดขึ้นมา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไยใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะไม่เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มหลีเจินที่ได้ครอบครองวิญญาณส่วนหนึ่งของนักโทษอาญาที่อายุมากที่สุดอย่างกวนจ้าวก็คือคนหนึ่งในนั้น ตายไปแล้วก็ตายไป ขนาดท่านบรรพบุรุษยังไม่เสียดาย ก็ยิ่งไม่ต้องให้เขาป๋ายอิ๋งรู้สึกเสียดายอะไรไปด้วย
ต้องรู้ว่าตอนนี้เผ่าปีศาจก็มีคำกล่าวที่ว่าร้อยเซียนกระบี่รุ่นเยาว์อยู่เหมือนกัน ซึ่งจะกำหนดโดยดูจากคุณสมบัติบนมหามรรคาว่าดีหรือเลว ผลสำเร็จในอนาคตว่าสูงหรือต่ำ ไม่ได้ดูจากความตื้นลึกของขอบเขตหรือพลังการต่อสู้ว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ เปยเชี่ยลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของชายฉกรรจ์เคราดก ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ร้อยคน ก็ยังอยู่แค่อันดับที่สามเท่านั้น
ตามความเคยชินของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในอดีตหากถึงช่วงเวลาที่สงครามเข้าสู่สภาะสมดุลหรือเลวร้าย เซียนกระบี่จะออกจากหัวกำแพงเมือง แบ่งสนามรบออก แล้วปรากฏตัวอยู่แนวหน้าสุด ขัดขวางการโจมตีต่อจากนั้นของเผ่าปีศาจอย่างสุดกำลัง
จากนั้นก็ถึงคราวที่พวกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินและผู้มีพรสวรรค์อย่างหนิงเหยาจะออกจากหัวกำแพงเมืองบ้างแล้ว บนสนามรบแห่งนั้นทั้งสองฝ่ายจะเข่นฆ่าเอาชีวิตกัน เป็นๆ ตายๆ ต่างคนต่างอาศัยความสามารถ ต่างขึ้นอยู่กับชะตากรรมของตัวเอง
เมื่อถึงช่วงเวลานั้นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างที่เรือนกายอ่อนแอก็จะปรากฏตัวอยู่บนหัวกำแพงเมือง หากปีศาจใหญ่ขึ้นหัวกำแพงเมืองได้สำเร็จ ต่อให้ถูกเซียนกระบี่ที่เหนื่อยล้าซึ่งอยู่คอยเฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองขัดขวาง ก็ยังต้องมีมดน่าสงสารจำนวนนับไม่ถ้วนติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วยอยู่ดี
มีกระบี่บินบินออกจากหัวกำแพงอย่างต่อเนื่อง แสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนลากเส้นแสงแวววาวมาตามด้านหลัง ระหว่างนี้ก็จะมีผู้ฝึกกระบี่หลายคนคอยดึงเอากระบี่บินกลับไปที่หัวกำแพงเมือง จากนั้นผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้ก็จะถอยออกไปจากเส้นแนวหน้าของบนหัวกำแพงเมือง ไปบำรุงกระบี่ กินยา เข้าฌานทำสมาธิ สะสมปราณวิญญาณใหม่อีกครั้งในนครที่อยู่เหนือไปจากกำแพงเมือง เวลาเดียวกันนั้นผู้ฝึกกระบี่กลุ่มถัดไปก็จะมาชดเชยตำแหน่งที่ว่างอย่างรวดเร็ว ผลัดเปลี่ยนกันลงสนามรบ ออกกระบี่ขัดขวางศัตรู
นี่ก็คือจุดที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ทำให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างปวดหัวมากที่สุด
ผู้ฝึกกระบี่สามารถนั่งพิทักษ์อยู่บนหัวกำแพงเมือง ค่อยๆ เผาผลาญจำนวนของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจไปทีละนิด
เผ่าปีศาจเองก็มีปีศาจใหญ่ที่คอยสังเกตการณ์ศึกสงครามเคยเห็นภาพเหตุการณ์นี้กับตาตัวเองมาก่อน แล้วก็จำต้องทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังประโยคหนึ่งว่า เผ่าของเราโจมตีเมือง ก็เหมือนมีวัตถุใหญ่โตอ้วนฉุมานั่งอยู่บนสนามรบแล้วคอยแล่เนื้อพวกเรา สภาพนั้นอเนจอนาถไร้ทางช่วยเหลือแค่ไหน ต้องเสียแรงเปล่ากันไปมากเท่าไร
บนกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่งปรากฏตัวอย่างลับๆ ล่อๆ ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะกลัวตายมาก หลังจากขึ้นมาบนหัวกำแพงแล้ว ก็ไปรับชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งมาจากที่ร้านซึ่งหอกระบี่และหอภูษาสร้างขึ้นไว้ในบริเวณใกล้เคียงชั่วคราว เขาสวมชุดคลุมอาคมไว้บนร่าง ตรงเอวห้อยกระบี่ยาวของหอกระบี่ จากนั้นก็ชักเท้าเผ่นหนี ระหว่างนี้มีภูเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ถูกเซียนกระบี่โจมตีจนแหลกสลาย เศษหินกระเด็นว่อน กำแพงเมืองปราณกระบี่นั้นยาวมาก ต่อให้กระบี่ของเซียนกระบี่จะตีหินให้แตกไปได้เกินครึ่ง แต่กระนั้นก็ยังมีปลาที่หลุดลอดออกจากหว่างแห ยามที่หล่นลงบนหัวกำแพงก็ยังมีพลังอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ดี เด็กหนุ่มชุดดำยื่นมือทั้งสองออกไปต้านนรับหินยักษ์ที่ใหญ่ราวกับบ้านแทนผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยห้าขอบเขตกลางบางคนที่หลบไม่ทัน แม้ว่าเด็กหนุ่มชุดดำที่เรือนกายสูงเพรียว โฉมหน้าธรรมดาจะรับหินใหญ่เอาไว้ได้ แต่ก็กระอักเลือดไม่หยุด ไม่รอให้ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยเหล่านั้นเอ่ยขอบคุณ เด็กหนุ่มก็เช็ดคราบเลือดแล้ววิ่งตะบึงโซเซไปต่ออีกครั้ง
ในที่สุดเด็กหนุ่มคนนี้ก็พบเจอคนคุ้นเคย
ก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้เจอคนที่หากว่ากันตามเหตุตามผลแล้วก็ถือว่าคุ้นเคยอยู่หลายคน ยกตัวอย่างเช่นผังหยวนจี้ผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทอง รวมไปถึงเกาโย่วชิงเด็กสาวที่ไม่อยู่ข้างกายเกาเหย่โหวผู้เป็นพี่ชาย แต่กลับมาออกกระบี่อยู่ด้านข้างผังหยวนจี้
แล้วก็เจอกับคนหลายคนที่ไม่ค่อยสนิทสนม แล้วก็คาดไม่ถึงเท่าใดนัก พวกเขาล้วนเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาต่อสู้กับศัตรูอยู่ข้างกายเซียนกระบี่จั่วโย่ว ก็คือพวกหลินจวินปี้ จูเหมย จินเจินเมิ่ง
ผู้ฝึกกระบี่มีความสามารถอายุน้อยที่มาจากราชวงศ์เส้าหยวนของปทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างเหยียนลวี่ เจี่ยงกวนเฉิงต่างก็ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว โดยสารเรือข้ามฟากของภูเขาห้อยหัวออกไป ว่ากันว่าเดินทางไปท่องเที่ยวที่ทักษินาตยทวีปแล้ว
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยอยู่ต่อ เด็กหนุ่มชุดดำไม่ประหลาดใจ แต่พวกหลินจวินปี้สามคนอยู่ต่อ ไม่เพียงแต่ไม่ไปหลบชมศึกอยู่ไกลๆ ในนคร ยังกล้าเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ด้วยตัวเองด้วย เด็กหนุ่มจึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
หนิงเหยา เตี๋ยจ้าง เฉินซานชิว ต่งฮว่าฝู เยี่ยนจั๋ว ฟ่านต้าเช่อ
คนทั้งหกรวมตัวอยู่ด้วยกัน ต่างคนต่างออกกระบี่สังหารปีศาจ
เตี๋ยจ้างสะพายกระบี่เล่มยักษ์เจิ้นเยว่ (สยบขุนเขา) นี่ก็เป็นเรื่องน่าสนใจของกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นกัน เพราะว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งของเซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงก็มีชื่อว่าสยบห้าขุนเขา
นี่ก็เหมือนกับที่ ‘เกาจู๋’ (แสงเทียนส่องสว่าง) กระบี่ประจำกายของเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งแจกันสมบัติทวีปบังเอิญมีชื่อตรงกับอาวุธกึ่งเซียนของฉีโซ่ว
เจ้าอ้วนเยี่ยนที่พกกระบี่จื่อเตี้ยนกำลังสบถด่าว่าพวกเผ่าปีศาจหน้าด้านไร้ยางอาย ถึงขนาดกล้าใช้วิธีสกปรกเล่นงานข้านายท่านเยี่ยนใหญ่
‘หงจวง’ กระบี่ที่ชื่อมีกลิ่นอายความเป็นสตรีอย่างยิ่งของต่งถ่านดำนั้น เวลานี้วางพาดอยู่บนหัวเข่าของเขา หลานชายตระกูลต่งที่ไม่เคยควักเงินซื้อของผู้นี้ไม่ได้ด่าสัตว์เดรัจฉานเผ่าปีศาจพวกนั้น แต่กลับด่าเจ้าอ้วนเยี่ยนว่าออกกระบี่นุ่มนวลเกินไป ล่องไปลอยมา เหมือนเฉินซานชิวเวลาเมาอย่างไรอย่างนั้น แต่ไหนแต่ไรมาคำพูดคำจาของต่งฮว่าฝูก็มักจะชอบกวาดรวบทุกคนไปด้วยเสมอ เยี่ยนจั๋วจึงบอกว่าวิธีการบังคับกระบี่ประเภทนี้ของตน ต้องเรียกว่าไม่มีร่องรอยให้จับได้ ไม่ใช่ว่าปล่อยกระบี่ไปส่งเดช แต่แท้จริงแล้วมีความพิถีพิถันอย่างถึงที่สุด ไม่เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามที่มองไม่ออก แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ ดังนั้นนี่ต่างหากถึงจะร้ายกาจที่สุด
เฉินซานชิวสวมชุดสีขาว คือชุดคลุมอาคมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลเฉินบนถนนไท่เซี่ยง คุณชายผู้หล่อเหลาสง่างามคนนี้ ฝักกระบี่ของกระบี่พกอวิ๋นเหวินของเขาหายสาบสูญไปนานแล้ว มันเคยเป็นกระบี่ของเสี่ยวชวีชวีผู้เป็นสหาย เมื่อเสี่ยวชวีชวีตายไป เฉินซานชิวก็เอามาถือไว้ในมือ ครั้งนี้ขึ้นมาบนหัวกำแพงเขาได้นำฝักกระบี่ที่หอกระบี่เป็นผู้สร้างมาด้วย จึงสอดอวิ๋นเหวินไว้ด้านใน
ส่วน ‘อวิ๋นเหวิน’ กระบี่เล่มแรกสุดที่เป็นของเขาเฉินซานชิวเองนั้น ตอนนี้ได้ให้ฟ่านต้าเช่อสหายสนิทที่จะทำอย่างไรก็ไม่อาจเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองได้สักทียืมไปใช้ชั่วคราว
การบังคับกระบี่ให้ออกจากเมืองไปสังหารปีศาจ ไม่ใช่เรื่องง่ายดายอะไร
ในบรรดากลุ่มของเผ่าปีศาจก็ไม่ได้มีแค่พวกที่เรือนกายแข็งแกร่งผิดปกติ อีกทั้งพลังการต่อสู้ไม่ธรรมดาอยู่เท่านั้น ยังมีวิธีการอำมหิตชั่วร้ายมากมายที่คอยทำลายกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่โดยเฉพาะ และยิ่งมีเผ่าปีศาจเดนตายจำนวนมากที่สักยันต์เอาไว้บนร่างเพื่อคอยหลอกล่อและกักกันกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ หากกระบี่บินหลงติดกับ พวกมันก็จะทำลายโอสถปีศาจของตัวเองเพื่อระเบิดกระบี่บินให้แตกโดยไม่ลังเล เผ่าปีศาจที่ไม่มีทางสักสองคำว่านักรบเดนตายไว้บนหน้าผากตัวเองพวกนี้ยังจะแสร้งทำเป็นว่าได้รับบาดเจ็บ หรือไม่ก็แกล้งทำเป็นว่าไม่ระวังเปิดเผยช่องโหว่ที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิตบนสนามรบ หากกระบี่บินพุ่งเข้าไปติดกับยันต์บนร่างของพวกมัน กระบี่บินก็อาจเจอจุดจบที่ไม่อาจหวนคืนกลับมาได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกกระบี่ยังจะกล้าออกกระบี่เต็มที่เพื่อสังหารปีศาจอีกได้อย่างไร? ยามออกกระบี่จะยังมีแก่นของปณิธานกระบี่ที่บุกรุดไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวสิ่งใดอยู่อีกหรือ?
เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ทดสอบสายตาและยิ่งขัดเกลาจิตแห่งเต๋าของผู้ฝึกกระบี่อย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง
หนิงเหยาที่ทั้งสะพายกระบี่และพกกระบี่ชำเลืองตามองเด็กหนุ่มชุดดำแล้วก็ให้อ่อนใจ เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรกับเขา ไหนๆ ก็มาแล้ว หรือจะให้ไล่เขาออกไปจากหัวกำแพง แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้นางพูด แต่เขาจะฟังหรือ?
ดังนั้นหนิงเหยาจึงหมุนตัวกลับไปบังคับกระบี่ต่อ
แน่นอนว่านางไม่ได้มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแค่เล่มเดียว แต่ระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงยี่สิบปี ในศึกใหญ่สามครั้งที่เกิดขึ้นติดต่อกัน เผ่าปีศาจกลับเคยได้เห็นกระบี่บินของหนิงเหยาแค่เล่มเดียวเท่านั้น
เฉินผิงอันที่แปลงโฉมเป็นเด็กหนุ่มชุดดำมองอยู่ไม่กี่ครั้งก็มองเส้นสนกลในออก
ฟ่านต้าเช่อออกกระบี่อย่างจำกัดจำเขี่ยเกินไป ไม่ควรเป็นพลังสังหารที่ผู้ฝึกกระบี่คอขวดประตูมังกรคนหนึ่งสมควรมี
ไม่ใช่ว่าจิตใจของฟ่านต้าเช่อไม่แข็งแกร่งมากพอหรือขี้ขลาดกลัวตาย แต่สาเหตุเป็นเพราะสถานการณ์ของเขาค่อนข้างจะกระอักกระอ่วน ลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรู ไม่ได้ประลองฝีมืออยู่ที่ลานประลองยุทธของจวนหนิงและตระกูลเยี่ยน
ฟ่านต้าเช่ออยากจะไล่ตามการออกกระบี่ของพวกเตี๋ยจ้าง เฉินซานชิวให้ทันมากเกินไป หวังให้กระบี่บินของตนร่วมมือกับของพวกสหายได้อย่างสมบูรณ์ไร้ช่องโหว่เกินไป เวลานานเข้าก็กลายเป็นความผิดที่เชื่อมต่อกันเป็นทอดๆ ผิดก้าวหนึ่งก็ผิดไปทุกก้าว กลับกลายเป็นว่าต้องให้พวกเฉินซานชิวคอยช่วยเหลือ
เดิมทีหากมองจากหัวกำแพงเมืองทางฝั่งนี้ออกไป ต่อให้เป็นสุดความสามารถในการมองเห็นของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินคนหนึ่ง ก็ยังเห็นสนามรบที่ห่างไปไกลได้อย่างพร่าเลือนเต็มที ทว่าตอนนี้ขอแค่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางเพ่งมองไปยังจุดหนึ่งก็จะเห็นทุกอย่างกระจ่างชัด
เฉินผิงอันรู้ว่านี่ก็คือความดีความชอบของอริยะสามลัทธิทั้งสามท่าน นี่คือวิชาอภินิหารที่คล้ายคลึงกับโชควาสนาที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ช่วยสร้างความได้เปรียบก่อนกำเนิดที่สยบฟ้าดินคว้าชัยชนะให้แก่กำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินผิงอันมายืนอยู่ข้างกายฟ่านต้าเช่อที่สีหน้าเครียดเกร็ง สายตาหม่นหมองอย่างยากจะปกปิด ไม่ได้เดินไปบนหัวกำแพง เพียงแค่โผล่หัวไปมองสนามรบทางทิศใต้แวบหนึ่ง จากนั้นก็รวมเสียงให้เป็นเส้น เอ่ยพลางพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ไม่ได้ร่วมมือกันสังหารปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนเสียหน่อย เจ้าแค่ออกกระบี่ของเจ้าไปก็พอ อย่าได้ใส่ใจพวกต่งถ่านดำกับพวกเจ้าอ้วนเยี่ยนมากนัก ขอแค่กระบี่บินพวกเขาทำให้เผ่าปีศาจบาดเจ็บสาหัส ไม่ทันได้เอาชีวิตของอีกฝ่าย เจ้าก็บังคับกระบี่บินของตัวเองให้แอบทิ่มใส่ปีศาจตนนั้น แบบนี้คุณความชอบก็มีให้เก็บเหลือเฟือ เซียนกระบี่ใหญ่ขอบเขตโอสถทองพวกนี้จะกล้าแย่งความดีความชอบจากผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรตัวเล็กๆ อย่างเจ้างั้นหรือ? มีน้ำใจสหายบ้างหรือไม่ ถูกไหม?”
กระบี่บินของเตี๋ยจ้างบุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญ ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์เหมือนตัวนางเอง
ต่งฮว่าฝูออกกระบี่ไล่ตามเตี๋ยจ้างไปด้วยความเคยชิน สองคนนี้ล้วนเป็นคนอำมหิตที่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรม ดังนั้นเฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋วจึงจะให้ความร่วมมือกับเตี๋ยจ้างและต่งฮว่าฝู นอกจากนี้แน่นอนว่าก็ต้องฆ่าศัตรูของตัวเองด้วย คนทั้งสี่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาสามครั้งแล้ว จึงร่วมมือกันได้อย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย จึงมีบรรยากาศคล้ายฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ส่วนกระบี่บินไร้รูปลักษณ์ของหนิงเหยาเล่มนั้นคอยทำหน้าที่ตามราวีเผ่าปีศาจโดยเฉพาะ พวกเตี๋ยจ้างสี่คนทะลวงขบวนรบของศัตรู ในขณะเดียวกันก็เป็นการกวาดล้างและทำความเข้าใจกับเผ่าปีศาจบนสนามรบอย่างหนึ่งด้วย หนิงเหยาจึงเท่ากับว่าคอยคุมท้ายอยู่ด้านหลังเพียงลำพัง รับประกันว่าคนทั้งสี่จะออกกระบี่ได้อย่างไร้กังวล
ดังนั้นฟ่านต้าเช่อจึงกลายเป็นส่วนเกินอย่างเห็นได้ชัด ฟ่านต้าเช่อเองก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นภาระมากที่สุด
ก่อนหน้านี้ตอนที่ฝึกกระบี่อยู่ในจวนหนิง ต่อให้จะผ่านการฝึกปรือฝีมือการต่อสู้กับสหายพวกนี้ในฟ้าดินเล็กเมล็ดงามาหลายครั้ง ฟ่านต้าเช่อก็ยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ประเภทอ่อนหัดที่ไม่เคยลงจากหัวกำแพงไปเข่นฆ่าเอาชีวิตกับศัตรู
เพียงแต่ว่าสาเหตุเดียวก็คือ สหายเหล่านี้โดดเด่นเกินไป โอกาสยามที่อยู่บนสนามรบจึงหายวับไปในพริบตา ขณะเดียวกันอันตรายและเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นทันตาเห็นเหมือนกัน
ฟ่านต้าเช่อตามพวกเตี๋ยจ้างสี่คนไม่ทัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความคิดหรือระดับความเร็วของกระบี่บิน ก็ล้วนตามไม่ทัน