กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 620.1 ไม่มีข้าหลิวเสี้ยนหยางไม่ได้หรอก
ชิวหล่งและหลิวเอ๋อต่างก็ตื่นตะลึงอย่างมาก เพราะเถ้าแก่รองแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยถูกคนรังแกเช่นนี้มาก่อน ดูเหมือนว่ามีแต่เถ้าแก่รองเท่านั้นที่จะหลอกลวงต้มตุ๋นคนอื่น
เถาป่านที่เป็นเด็กดื้อรั้นขนาดนั้น เขาที่คอยปกป้องกิจการของร้านเหล้า สามารถทำให้พี่หญิงเตี๋ยจ้างกับเถ้าแก่รองได้เงินมาทุกวันก็คือความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดของเถาป่านในทุกวันนี้ ทว่าเถาป่านในเวลานี้ก็ยังล้มเลิกโอกาสที่จะเอ่ยคำพูดผดุงความเป็นธรรม เขายกถ้วยจานออกมาจากโต๊ะเงียบๆ อดไม่ไหวหันกลับไปมองครั้งหนึ่ง เด็กน้อยก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าบุรุษหนุ่มเรือนกายสูงใหญ่ที่สวมชุดเขียวคนนั้นร้ายกาจจริงๆ วันหน้าตนจะต้องกลายเป็นคนแบบนี้ อย่าได้เป็นคนแบบเถ้าแก่รองเด็ดขาด ต่อให้เขามักจะพูดคุยยิ้มแย้มกับคนอื่นๆ ที่มาดื่มเหล้าที่ร้าน ทั้งๆ ที่ทุกวันสามารถหาเงินมาได้มากมายขนาดนั้น อีกทั้งชื่อเสียงในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็โด่งดังมากแล้ว แต่ยามที่มีคนน้อยกลับมีสภาพอย่างวันนี้ มีเรื่องในใจให้ต้องกังวลมากมาย ดูแล้วไม่ค่อยมีความสุขนัก
หลิวเสี้ยนหยางปล่อยตัวเฉินผิงอัน นั่งลงบนม้านั่งตัวยาวข้างกายเฉินผิงอันที่ขยับที่ว่างให้เขา ก่อนหันไปกวักมือเอ่ยกับเถาป่าน “เจ้าตัวน้อยนั่น เอาเหล้าดีๆ มาหนึ่งกาและชามมาหนึ่งใบ ลงในบัญชีของเฉินผิงอันเอาไว้”
เถาป่านมองเถ้าแก่รอง เถ้าแก่รองพยักหน้าให้เบาๆ เถาป่านถึงได้ไปหยิบเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กาที่ถูกที่สุดมา แม้จะไม่ค่อยอยากเป็นคนอย่างเถ้าแก่รองสักเท่าไร แต่คัมภีร์การค้าของเถ้าแก่รอง ไม่ว่าจะเป็นขายเหล้าหรือเป็นเจ้ามือ ถามกระบี่หรือถามหมัดก็ล้วนร้ายกาจทั้งสิ้น เถาป่านคิดว่าเรื่องพวกนี้สามารถเรียนรู้ได้ ไม่อย่างนั้นวันหน้าตนจะแย่งภรรยากับเฝิงคังเล่อได้อย่างไร
เหล้ากานั้นของเฉินผิงอันยังมีเหลืออยู่ เขาจึงช่วยรินให้หลิวเสี้ยนหยางหนึ่งชาม ถามว่า “ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ?”
หลิวเสี้ยนหยางไม่ได้รีบร้อนให้คำตอบ เขาจิบเหล้าหนึ่งคำแล้วตัวสั่นเยือก ก่อนจะทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม “ยังคงดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนพวกนี้ไม่ชินจริงๆ ชะตาอาภัพ ชั่วชีวิตคงได้แต่รู้สึกว่าเหล้าหมักข้าวเหนียวนั้นอร่อยที่สุดแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหล้าหมักข้าวเหนียวของต่งสุ่ยจิง อันที่จริงข้าก็เอามาด้วย เพียงแต่ว่าข้าดื่มไปหมดแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางเอาศอกถองไหล่เฉินผิงอัน “แล้วเจ้าจะพูดกับผายลมอะไรเล่า”
เฉินผิงอันนวดไหล่ แล้วดื่มเหล้าของตัวเองไป
หลิวเสี้ยนหยางกระดกเหล้าดื่มอีกอึกใหญ่ ยกหลังมือขึ้นเช็ดปาก ชูหัวแม่โป้งชี้ไปยังถนนใหญ่ด้านหลังตัวเอง “ติดตามพวกสหายร่วมเรียนมาหาประสบการณ์ที่นี่ ระหว่างทางที่มาถึงเพิ่งรู้ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่มีสงครามอีกแล้ว ทำเอาข้าตกใจแทบตาย กลัวว่าเลือดร้อนจะพุ่งขึ้นหัวพวกอาจารย์ แล้วพวกเขาจะเอาบทกลอนบทประพันธ์ทั้งหลายที่มีอยู่เต็มท้องออกมาให้พวกลูกศิษย์ได้เห็นความซื่อสัตย์เที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่ จากนั้นก็พาพวกเราขึ้นหัวกำแพงเมืองไปสังหารปีศาจ ข้าก็อยากจะหลบอยู่ในเรือนชุนฟานหนึ่งในสี่เรือนส่วนตัวขนาดใหญ่ของภูเขาห้อยหัว ตั้งใจอ่านตำรา คอยมองดูจวนหยวนโหรว สวนดอกเหมยและตำหนักสุ่ยจิงที่ชื่อเสียงเทียบเท่ากับเรือนชุนฟานอยู่หรอก แต่พวกอาจารย์และเพื่อนร่วมเรียนดันมีคุณธรรมยิ่งใหญ่ ข้าคนนี้รักศักดิ์ศรีหน้าตาเป็นที่สุด ชีวิตถูกคนตีจนหายไปครึ่งหนึ่งได้ แต่ใบหน้าจะถูกคนตบให้บวมแดงไม่ได้ ก็เลยแข็งใจตามมาด้วย แน่นอนว่าตอนอยู่ที่เรือนชุนฟานก็ได้ยินเรื่องราวของเจ้ามาไม่น้อย นี่ก็คือเหตุผลที่สำคัญที่สุด ข้าต้องมาห้ามปรามเจ้า ไม่ให้เจ้าทำตัวเหลวไหลแบบนี้อีกแล้ว”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่ดื่มเหล้าเท่านั้น
คนที่ขี้บ่นที่สุดในใต้หล้านี้ก็คือหลิวเสี้ยนหยาง
เฉินผิงอันมีประสบการณ์ตรงมาหลายปีแล้ว
ปีนั้นคนทั้งสามอยู่ด้วยกัน ก็คงเป็นเพราะพูดจาไม่เข้าหูกัน หลิวเสี้ยนหยางกับกู้ช่านจึงเริ่มด่าเริ่มตีกันทันที ขนาดเฉินผิงอันยังคร้านจะห้ามปราม ถ้าอย่างนั้นก็ทนฟังไปแล้วกัน ถึงอย่างไรหนึ่งเด็กโตหนึ่งเด็กเล็กก็ทะเลาะกันได้ไม่ถึงไหน เวลาทะเลาะกัน ดูเหมือนว่าหลิวเสี้ยนหยางจะไม่เคยแพ้ให้ใครมาก่อน เพราะว่าเขาไม่สนใจแพ้ชนะของการทะเลาะถกเถียงแม้แต่น้อย เขาจะเอาแต่หัวเราะร่าอย่างเบิกบาน ส่วนใหญ่มักจะเป็นกู้ช่านที่ปากเถียงชนะแล้ว ขุดเอาบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของหลิวเสี้ยนหยางมาด่าครบไปแล้วหนึ่งรอบ ผลกลับกลายเป็นว่าถึงท้ายที่สุดก็ยังเป็นกู้ช่านเองที่คับแค้นใจ ก็เลยไล่ตีหลิวเสี้ยนหยาง พอโมโหหนักๆ เข้า กู้ช่านก็จะฟาดกิ่งไม้ ขว้างก้อนหิน ส่วนหลิวเสี้ยนหยางที่ต่อให้จะโดนหินที่ขว้างมาโดยไม่ทันระวัง แต่กลับไม่เคยโกรธ กู้ช่านเคยบอกว่า หลิวเสี้ยนหยางคนนี้ไม่มีอะไรดีเลยสักนิด ชะตาอาภัพยากจนต้องขึ้นคาน แต่เรื่องเดียวที่พอจะใช้ได้ก็คือไม่เคยอาฆาตแค้นใคร ยิ่งไม่อาศัยพละกำลังที่มากกว่ามาซ้อมคนอื่น
เวลานั้นคนทั้งสามที่พึ่งพากันและกันด้วยชีวิต อันที่จริงต่างก็มีวิธีการใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ว่าหลักการเหตุผลของใครก็ไม่ใหญ่ไปกว่าใคร แล้วก็ไม่มีถูกผิดที่เห็นได้ชัดเจนอะไร หลิวเสี้ยนหยางชอบพูดหลักการส่งเดช เฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจเรื่องหลักการเหตุผลแม้แต่น้อย ส่วนกู้ช่านคิดว่าเหตุผลก็คือหากมีแรงมากหมัดก็จะแข็ง ในบ้านมีเงิน ลูกสมุนข้างกายมีมากแล้ว คนผู้นั้นก็จะคือคนที่มีเหตุผล หลิวเสี้ยนหยางกับเฉินผิงอันก็แค่อายุมากกว่าเขาเท่านั้น คนยากจนสองคนที่ชาตินี้จะหาเมียได้หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก จะเอาหลักการเหตุผลที่ไหนมาได้
ทว่าเวลานั้น ขึ้นไปจับนกในรังบนต้นไม้ ลงน้ำจับปลา ปลูกข้าวแย่งน้ำเข้านาด้วยกัน เด็ดต้นอ่อนถั่วที่ขึ้นในร่องหินของลานตากธัญพืช ช่วงเวลาที่มีความสุขของคนทั้งสามกลับมีมากกว่า
เฉินผิงอันถามคำถามระหว่างที่หลิวเสี้ยนหยางกำลังดื่มเหล้า “ไปขอศึกษาต่อที่สกุลเฉินผู้รอบรู้ ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “เป็นอย่างไรไม่เป็นอย่างไรอะไรกัน นี่มันตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว ก็ล้วนผ่านมันมาได้ไม่ใช่หรือ ต่อให้แย่แค่ไหนแต่จะแย่กว่าตอนอยู่เมืองเล็กได้หรือ?”
ดูเหมือนว่าหลิวเสี้ยนหยางจะไม่ชินกับการดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ จึงมักจะจิบคำเล็กๆ มากกว่า “ดังนั้นข้าจึงไม่เสียใจเลยสักนิดที่ได้ออกมาจากเมืองเล็ก อย่างมากสุดตอนที่เบื่อก็จะคิดถึงทิวทัศน์ของบ้านเกิดอย่างพวกผืนไร่ผืนนา ที่พักในเตาเผามังกรที่รกรุงรัง ขี้หมาขี้ไก่ในตรอกก็คิดถึงเหมือนกัน แต่ก็แค่คิดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากนัก หากไม่เป็นเพราะยังมีบัญชีเก่าให้ต้องชำระ ยังต้องเจอกับใครบางคน ข้าก็ไม่รู้สึกว่ามีความจำเป็นต้องกลับไปยังแจกันสมบัติทวีปด้วยซ้ำ กลับไปแล้วจะไปทำอะไร น่าเบื่อจะตายไป”
หลิวเสี้ยนหยางส่ายหน้า พูดซ้ำว่า “น่าเบื่อจริงๆ”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยชื่อหนึ่งขึ้นมา แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก “กู้ช่าน”
หลิวเสี้ยนหยางหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าขี้มูกยืดน้อยอยากให้เจ้าเป็นพ่อเขามาตั้งแต่เด็ก เจ้าก็เลยคิดว่าตัวเองเป็นพ่อเขาจริงๆ หรือไร สมองมีปัญหาหรือไงเจ้า ไม่ฆ่าก็คือไม่ฆ่า มโนธรรมในใจไม่สงบก็เพราะเจ้าหาเรื่องใส่ตัวเอง ถ้าอย่างนั้นก็ยอมรับมันซะ หากฆ่าก็ฆ่าไป ความเคียดแค้นเสียดายในใจ เจ้าก็จงทนรับไว้แต่โดยดี ตอนนี้จะนับเป็นอะไรได้ นับตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าก็ใช้ชีวิตอย่างนี้มาโดยตลอดไม่ใช่หรือ? ทำไม พอความสามารถมากแล้ว ได้อ่านตำราแล้วเจ้าก็คือวิญญูชน คืออริยะปราชญ์ พอได้เรียนวิชาหมัด ได้ฝึกตน เจ้าก็คือเทพเซียนบนภูเขาแล้วอย่างนั้นรึ?”
หลิวเสี้ยนหยางพูดไปพูดมาก็เริ่มมีโทสะ จึงใช้มือผลักหัวเฉินผิงอัน “กู้ช่าน? แม้แต่เจ้าขี้มูกยืดน้อยก็ไม่เต็มใจจะเรียกแล้ว?!”
หลิวเสี้ยนหยางยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห คราวนี้ไม่ดื่มเหล้าแล้ว แต่ด่าแทน “ก็เพราะนิสัยเหยาะแหยะ ไม่มีเรื่องก็ชอบหาเรื่องของเจ้านั่นแหละ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า กู้ช่านออกไปจากเมืองเล็ก แล้วมีความสามารถมากขนาดนั้น เขาจะทำอะไรลงไป แล้วมันเกี่ยวกับข้ากะผายลมอะไร ข้าแค่รู้จักเจ้าขี้มูกยืดน้อยของตรอกหนีผิงเท่านั้น เขาเป็นมารน้อยแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน ฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อ รนหาที่ตายเองก็ไปตายซะ หากทำเรื่องชั่วแล้วมีชีวิตดียิ่งกว่าใคร นั่นก็ถือเป็นความสามารถของเจ้าขี้มูกยืดน้อย อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีแต่ความสกปรกโสมมแห่งนั้น เกิดหายนะเช่นนี้ขึ้นใครจะขัดขวางไว้ได้? ข้าหลิวเสี้ยนหยางไปฆ่าใครหรือทำร้ายใครอย่างนั้นหรือ? เจ้าเฉินผิงอันอ่านตำรามาแค่ไม่กี่เล่มก็จะต้องเรียกร้องให้ตัวเองทำตัวเป็นอริยะปราชญ์ผู้ทรงคุณธรรมกับทุกเรื่องเลยอย่างนั้นหรือ? ตอนนั้นเจ้ายังไม่ถือเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมั่นใจเปี่ยมล้นสะท้านฟ้าไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกนักปราชญ์พวกวิญญูชนจะไม่ต้องพากันบินขึ้นสวรรค์ไปแล้วหรือไร? ข้าหลิวเสี้ยนหยางที่เป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อจริงๆ ก็ไม่ควรมาสังหารปีศาจที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้พร้อมกับบรรพบุรุษสกุลเฉินที่บนไหล่แบกตะวันจันทราตั้งแต่เมื่อเจ็ดแปดร้อยปีก่อนแล้วหรอกหรือ? ไม่อย่างนั้นตัวเองก็คงต้องกลัดกลุ้มตายไปแล้วกระมัง? ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมเจ้าถึงมีชีวิตจนกลายเป็นเฉินผิงอันคนนี้ไปได้ ข้าจำได้ว่าตอนเป็นเด็ก เจ้าก็ไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา ไม่ว่าเรื่องของใครก็ไม่เคยสนใจ ไม่ชอบพูดนินทาใครแม้แต่ครึ่งคำ แล้วใครเป็นคนสอนเจ้ากัน? อาจารย์ฉีของโรงเรียนผู้นั้น? เขาตายไปแล้ว ข้าจะตำหนิเขาไม่ได้ อีกอย่างคนตายนั้นใหญ่ที่สุด ย่อมต้องให้ความเคารพ หรือจะเป็นซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง? ดีมาก เดี๋ยววันหน้าข้าจะไปด่าเขาเอง หรือจะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่ว? ช่างเถิด อยู่ใกล้กันมากเกินไป ข้ากลัวว่าเขาจะซ้อมข้า”
ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากเอ่ยประโยคหนึ่ง “ข้าก็เป็นตัวเองอย่างที่เคยเป็นในอดีตมาโดยตลอด”
หลิวเสี้ยนหยางยกมือขึ้น เฉินผิงอันเบี่ยงหลบตามจิตใต้สำนึก
หลิวเสี้ยนหยางจึงกลอกตามองบน ยกชามเหล้าขึ้นดื่มหนึ่งคำ “รู้หรือไม่ว่าเรื่องใดที่ข้าคิดไม่ถึงมากที่สุด? ไม่ใช่เรื่องที่ทุกวันนี้เจ้ามีทรัพย์สิน มองดูแล้วมีเงินมาก กลายมาเป็นหนึ่งในคนที่ได้ดิบได้ดีที่สุดในกลุ่มของพวกเราปีนั้น เพราะข้าคิดมาตั้งนานแล้วว่าเฉินผิงอันจะต้องกลายเป็นคนมีเงิน มีเงินมากๆ ได้แน่นอน แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ทุกวันนี้เจ้ามองดูเหมือนมีหน้ามีตา แต่แท้จริงแล้วกลับมีสภาพอเนจอนาถน่าสงสารอย่างมาก เพราะข้ารู้มาตลอดอยู่แล้วว่าเจ้าเป็นคนดื้อดึง”
หลิวเสี้ยนหยางชูถ้วยเหล้าขึ้น “เรื่องที่ข้าคิดไม่ถึงที่สุดก็คือเจ้าจะหัดดื่มเหล้า แล้วยังชอบดื่มเหล้าจริงๆ เสียด้วย”
หลิวเสี้ยนหยางยกชามเหล้าขึ้นแล้วก็วางกลับลงไปบนโต๊ะเหมือนเดิม เขาไม่ชอบดื่มเหล้าจริงๆ จึงถอนหายใจทีหนึ่ง “เจ้าขี้มูกยืดน้อยกลายเป็นคนแบบนี้ แท้จริงแล้วเฉินผิงอันกับหลิวเสี้ยนหยางจะทำอะไรได้ล่ะ? ใครบ้างที่ไม่ต้องใช้ชีวิตของตัวเองให้ผ่านพ้นไป มีเรื่องมากมายขนาดนั้นที่ไม่ว่าพวกเราจะตั้งใจจะทุ่มเทแรงลงไปแค่ไหนก็ยังทำไม่ได้ ทำได้ไม่ดี มันเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ถึงขั้นที่ว่าต่อจากนี้ไปก็จะยังเป็นเช่นนี้ไปตลอด ช่วงเวลาที่พวกเราน่าเวทนามากที่สุด พวกเราก็อดทนจนผ่านมันมาได้แล้วไม่ใช่หรือ”