กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 623.1 คุมเชิง
อันดับแรกก็มีบุรุษชุดลัทธิขงจื๊อขึ้นมาบนหัวกำแพงเมือง แล้วใช้วิชาอภินิหารประหลาดสังหารปีศาจตายเกลี้ยงไปเป็นแถบใหญ่ก่อน
ตามมาด้วยเซี่ยซงฮวาเรียกกระบี่ออกมาจากกล่องกระบี่ไม้ไผ่ โจมตีทำลายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่เผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบตนหนึ่งให้ย่อยยับ เป็นเหตุให้ขอบเขตของฝ่ายหลังถดถอยมาอยู่ที่ก่อกำเนิด อีกทั้งแม้แต่ขอบเขตก่อกำเนิดก็ยังโงนเงนไม่มั่นคง วันหน้ายังจะเรียกว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งได้หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก เพราะถึงอย่างไรตัวอ่อนเซียนกระบี่ก่อนกำเนิดก็เป็นสิ่งที่ได้แต่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครอง ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสูงแล้ว พอกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถูกทำลายไปแล้วจะสามารถฟูมฟักเล่มใหม่ขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย นี่จึงเป็นเหตุให้ปีศาจใหญ่ที่ลงมือแต่กลับเจอหายนะครั้งนี้พ่ายแพ้หมดตัว ไม่เพียงแต่สูญเสียขอบเขต ยังมีมูลค่ามากมายที่ได้มาจากสถานะของผู้ฝึกกระบี่ที่ล้วนหายไปด้วย หากจะบอกว่าให้หันไปฝึกวิชาอภินิหารอย่างอื่นเพื่อหวนกลับคืนสู่ห้าขอบเขตบน แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทำเช่นนี้ยิ่งยากดั่งเดินขึ้นสวรรค์
สถานการณ์การโจมตีของเผ่าปีศาจบนสนามรบแถบของเฉินผิงอัน หลิวเสี้ยนหยางและฉีโซ่วหยุดชะงักลงอย่างชัดเจน
ตามกฎของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนนี้เซี่ยซงฮวาได้ออกกระบี่อย่างเต็มกำลัง ฟ้าอำนวย ดินอวยพร คนสามัคคี ถือว่าสร้างคุณูปการอันเลิศล้ำ
คุณความชอบทางการรบครั้งนี้ไม่ถือว่าเล็กจริงๆ เนื่องจากเผ่าปีศาจที่ออกกระบี่ลอบโจมตีตนนั้นคือผู้ฝึกกระบี่ซึ่งถือว่าสูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ดังนั้นจึงถือว่าเซี่ยซงฮวาสังหารปีศาจขอบเขตเซียนเหรินไปครึ่งตัว หรือปีศาจขอบเขตหยกดิบเต็มตัว เพียงแต่ว่าจะเลือกอย่างไหนในสองอย่างนี้ก็ต้องดูที่การเลือกของคนออกกระบี่เอง หากเลือกอย่างแรกก็ต้องสังหารปีศาจขอบเขตเซียนเหรินอีกครึ่งตัวถึงจะสามารถแลกเปลี่ยนของเชลยศึกที่สมควรได้รับมาได้ หากเลือกอย่างหลังจะเสียเปรียบเล็กน้อย แต่ดีที่สามารถรับเงินหรือสมบัติจากใต้เท้าอิ่นกวานได้ทันที
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเซี่ยซงฮวายังไม่สาแก่ใจมากพอ ยังอยากจะออกกระบี่อีกครั้ง
ฉีโซ่วทอดถอนใจ “โชคดีล้วนถูกเซียนกระบี่เซี่ยเอาไปหมดแล้ว ข้าคงต้องเริ่มตั้งใจบ้างแล้ว”
ฉีโซ่วเรียกกระบี่บินเที่ยวจูซึ่งเป็นกระบี่เล่มสุดท้ายออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว มันสร้างค่ายกลกระบี่อยู่รอบกายเขา หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนเผ่าปีศาจแอบลอบโจมตี
ฉีโซ่วหันหน้ามาถาม “ผลกำไรก้อนใหญ่ขนาดนี้ เจ้ามีส่วนแบ่งด้วยหรือไม่?”
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม ยื่นมือมากดลงบนกระบี่เล่มยาวของหอกระบี่ที่วางพาดไว้บนหัวเข่า ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่”
เป็นเหยื่อล่ออยู่ตรงนี้ ไม่ได้กำไรส่วนต่างมาแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มถาม “พวกเจ้าสองคนเป็นเพื่อนกันหรือ?”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า
ฉีโซ่วหัวเราะเสียงเย็น “เพื่อนกะผายลมอะไรล่ะ เป็นศัตรูกันต่างหาก ขอแค่ลงไปจากหัวกำแพง เถ้าแก่รองท่านนี้ก็คงนึกอยากจะวางแผนเล่นงานข้าให้ตาย ข้าเองก็แทบอดใจเอาขอบเขตมาบดทับเขาให้ตายไม่ไหวแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต่างจากบ้านเกิดของพวกเราสักเท่าไร ขนบธรรมเนียมของชาวบ้านบริสุทธิ์เรียบง่าย”
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีทหารตรวจตรากองทัพและทหารที่คอยสังเกตการณ์การศึกเป็นจำนวนมาก หากเกิดลางว่าการโจมตีของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจหยุดชะงัก ก็จะเริ่มเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่
ดังนั้นสนามรบที่คนทั้งสามอยู่ในเวลานี้ เผ่าปีศาจจึงบุกรุดหน้าเข้ามาสังหารอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงเท่านี้ ดูเหมือนว่าจะมีวิธีการรับมือเพิ่มขึ้นมา จึงมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกลุ่มหนึ่งที่พอจะเข้าใจวิชาสายยันต์ปรากฏตัว พากันขว้างยันต์กระดาษเหลืองปึกใหญ่ใส่กำแพงเมืองอุตลุด หมายจะบดบังการมองเห็นบนสนามรบ ทันใดนั้นฝุ่นผงก็คลุ้งกระจาย ปราณวิญญาณปั่นป่วน เผ่าปีศาจที่อยู่ในแนวหน้าล้วนเป็นปีศาจร่างกายใหญ่โตที่รับหน้าที่พาตัวมาตายก่อน น่าจะเป็นเพราะหวังให้หลิวเสี้ยนหยางลงมือบ่อยๆ เพื่อที่จะได้สืบหาเบาะแสง่ายขึ้น
ฉีโซ่วยังคงรับมือเป็นปกติเหมือนเดิม บนสนามรบ เฟยหลวนและซินเสียนบินทะยานอย่างรวดเร็ว เผ่าปีศาจร่างสูงหลายจั้งจำนวนมากถูกแสงกระบี่ฟันแขนขาทั้งสี่ขาด เมื่อร่างล้มลงพื้นก็ร้องโหยหวนไม่หยุด
ฉีโซ่วออกกระบี่สังหารศัตรูมักเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด นอกจากจะปลิดชีพอย่างโหดเหี้ยมให้ตายคาที่ ถลกหนังเลาะเส้นเอ็น ไม่เห็นกระดูกขาวไม่ยอมเลิกราแล้ว ก็มีบ้างที่จะทำเช่นยามนี้ นั่นคือจงใจโจมตีให้บาดเจ็บสาหัสแต่ไม่ฆ่าให้ตาย ปล่อยให้พวกมันดิ้นรนอย่างเปลืองแรงเปล่าอยู่บนสนามรบ ได้แต่รอความตายแต่โดยดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่สามารถจำแลงร่างกลายเป็นมนุษย์ได้แล้วที่มักจะเจอกับหายนะเช่นนี้ภายใต้กระบี่บินของฉีโซ่ว ถูกคว้านท้องกระชากไส้ หากมีผู้ฝึกตนเฒ่าปีศาจทนมองไม่ไหวพยายามจะช่วยเหลือก็จะถูกลากติดร่างแหให้กลายมามีจุดจบแบบเดียวกัน
นอกจากดื่มเหล้าที่เป็นยาโอสถน้ำในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้ว เฉินผิงอันก็ยังคอยออกกระบี่ต้านทานศัตรูต่อไป ชูอีสืออู่เน้นคร่าชีวิตในการโจมตีเดียว หากเรือนกายของเผ่าปีศาจแข็งแกร่งเกินไป หรือไม่ถูกแทงทะลุช่องโพรงสำคัญแล้วก็ยังไม่ตาย ซงเจินกับไฮเหลยก็จะเข้าไปแทงซ้ำหนึ่งถึงสองครั้ง ระหว่างนี้ใช่ว่าจะไม่มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เป็นนักรบเดนตายซึ่งซ่อนตัวอยู่พยายามจะใช้วิชาลับกักขังกระบี่บิน หมายจะให้พินาศวอดวายไปด้วยกัน เพียงแต่ว่าการวางอุบายปัดแข้งปัดขากันเช่นนี้ แข่งกันที่ความเสแสร้ง ในด้านนี้เฉินผิงอันคือมืออาชีพแล้ว บวกกับกระบี่บินชูอีที่ความเร็วเป็นรองสืออู่หนึ่งระดับ แต่กลับมีระดับความทนทานเหนือเกินกว่าที่คาดคิด เคยมีครั้งหนึ่งที่นักรบเดนตายเผ่าปีศาจตนหนึ่งซึ่งอำพรางตัวได้ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุดจงใจแสร้งทำเป็นว่าได้รับบาดเจ็บไปตลอดทาง ทั่วร่างเปรอะโชกไปด้วยเลือด ยังลากเอาเผ่าปีศาจตัวหนึ่งมาทำหน้าที่เป็นโล่ต้านทานชูอี ผลกลับกลายเป็นว่าชูอีเพียงแค่แทงทะลุหว่างคิ้วของเผ่าปีศาจที่อยู่เบื้องหน้ามันไปแล้วก็เปล่งแสงวูบ ถอยกลับมาทันที นักรบเดนตายด้านหลังที่คำนวณเวลาระเบิดโอสถปีศาจอย่างแม่นยำ ก่อนจะตายจึงได้แต่มองมาทางหัวกำแพงเมืองอย่างเหม่อลอย คล้ายมึนงงไม่เข้าใจ ส่วนชูอีที่ไม่ได้หล่นลงไปในกับดัก เพียงแค่ถูกปราณวิญญาณแผ่มาโดนกลับไม่มีความเสียหายแม้แต่น้อย เพียงแต่เฉินผิงอันกลับต้องผลาญพลังจิตไปไม่น้อย
ก็เหมือนอย่างที่ฉีโซ่วพูด หากปล่อยเวลานานเข้า สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ จิงชี่เสินย่อมไม่พอให้ประคับประคองการออกกระบี่
และตอนนี้ก็ยังเป็นแค่การเปิดฉากของสงครามโจมตีและป้องกันเท่านั้น
แต่ฉีโซ่วเองก็รู้ดีว่า รอกระทั่งผู้ฝึกกระบี่ล้วนจำเป็นต้องออกจากหัวกำแพงเมืองไปเปิดฉากเข่นฆ่า เฉินผิงอันจะเป็นเหมือนปลาที่ได้น้ำ
หลิวเสี้ยนหยางยังคงไม่พกกระบี่ให้เห็น ไม่เผยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต แล้วก็ไม่เห็นว่าเขาลงมืออย่างไร ทว่าบนเส้นแนวป้องกันจากเหนือจรดใต้ที่แต่เดิมเป็นของเซี่ยซงฮวา กลับกลายเป็นว่ามีปีศาจพาตัวมาตายมากเท่าไรก็ตายไปมากเท่านั้น
ไม่มีเหตุผลมาอธิบาย
เฉินผิงอันอดไม่ไหวเอ่ยว่า “ระวังหน่อย เดี๋ยวจะดึงดูดความสนใจจากปีศาจใหญ่เข้า”
หลิวเสี้ยนหยางใช้ริ้วคลื่นเสียงในหัวใจพูดกับเฉินผิงอัน “เวทกระบี่ของข้า มีปัญหาใหญ่ที่สุดเพียงหนึ่งเดียวก็คือระดับความสูงของพลังพิฆาตอยู่ไกลเกินกว่าจะเรียกได้ว่าโดดเด่นเหนือฝูงชน นอกจากนี้ก็ไม่มีปัญหาอย่างอื่นอีก”
จากนั้นหลิวเสี้ยนหยางก็เอ่ยต่อว่า “ต่อจากนี้ตั้งใจฟังให้ดี ห้ามให้ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว จำให้ครบถ้วน”
แค่ได้ยินประโยคเริ่มต้น เฉินผิงอันก็เตรียมจะพูดแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางไม่แม้แต่จะมองเฉินผิงอัน เขายิ้มเอ่ยว่า “หยุดพูดจาไร้สาระกับข้าเสียที นายท่านใหญ่หลิวพูด เจ้าก็จงรับฟังแต่โดยดี สอนคาถาและเคล็ดลับทั้งหมดแก่เจ้า แล้วเจ้าจะเรียนเป็นทั้งหมดเลยหรือ?”
เฉินผิงอันจึงเงียบไป
หลิวเสี้ยนหยางใช้เสียงในใจถ่ายทอดคาถา รู้ว่านับแต่เด็กมาเฉินผิงอันก็ความจำดีเยี่ยม ดังนั้นหลิวเสี้ยนหยางจึงบอกคาถาพลางอธิบายรายละเอียดไปด้วย ไม่กังวลสักนิดว่าเฉินผิงอันจะจำผิด แม้หลิวเสี้ยนหยางจะพูดรายละเอียดปลีกย่อยมากมายและซับซ้อนอย่างถึงที่สุดก็ตาม
เนื้อหาที่เขาพูดก็คือเนื้อหาจากคัมภีร์กระบี่ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลหลิวเสี้ยนหยางเล่มนั้น
วัตถุที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยาง แท้จริงแล้วปีนั้นมีอยู่สองชิ้น นอกจากคัมภีร์กระบี่ ก็ยังมีเสื้อเกราะโหวจื่อเก่าแก่สีเขียวเข้มเกือบดำเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลที่ไม่อาจเรียกได้ว่างดงามอะไรนั่น ปีนั้นเมื่อสตรีสกุลสวี่แห่งนครลมเย็นได้ไปครอง และเจ้าประมุขสกุลสวี่รับเสื้อเกราะวิเศษตัวนั้นไปแล้วก็เหมือนพยัคฆ์ติดปีก กลายเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแจกันสมบัติทวีป พลังพิฆาตสูงมาก อีกทั้งยังมีเสื้อเกราะวิเศษที่แข็งแกร่งมิอาจทำลายอยู่ติดกาย เป็นเหตุให้นครลมเย็นถูกมองเป็นตัวสำรองที่จะได้เลื่อนเป็นสำนักอักษรจงลำดับถัดไปในแจกันสมบัติทวีป เป็นรองแค่ภูเขาตะวันเที่ยงที่เป็นพันธมิตรเท่านั้น
สกุลสวี่สามารถแต่งงานสานสัมพันธ์กับสกุลหยวนเสาคานของแคว้นต้าหลีได้ ต่อให้จะให้บุตรสาวสายตรงแต่งกับบุตรชายอนุภรรยา แต่หากดูจากระยะยาวแล้วก็ยังถือเป็นการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ที่มีแต่จะได้กำไรไม่มีขาดทุน ทั้งๆ ที่สกุลสวี่นครลมเย็นทำตัวเลอะเลือนอยู่ในสถานการณ์ใหญ่ แต่สกุลหยวนกลับยังยอมตอบรับการแต่งงานที่ไม่เป็นที่น่ายินดีครั้งนี้ ตบะของเจ้าประมุขสกุลสวี่และความหวังที่เขาจะได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนก็คือกุญแจสำคัญ
ปีนั้นหลิวเสี้ยนหยางคิดจะขายเสื้อเกราะเก็บคัมภีร์กระบี่เอาไว้ ค่าตอบแทนของการเก็บคัมภีร์กระบี่ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเล่มนั้นเอาไว้ก็คือต้องจ่ายชีวิตออกไปครึ่งหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะอาศัยกฎของถ้ำสวรรค์หลีจู วานรย้ายภูเขาตัวนั้นต้องไม่ถือสาที่จะเอาอีกครึ่งชีวิตของเขาไปด้วยแน่นอน
นี่ก็ไม่มีเหตุผลมาอธิบายเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าตอนนี้หลิวเสี้ยนหยางกลายเป็นบัณฑิต ตอนนั้นที่นอนป่วยอยู่บนเตียงในร้านกระบี่ของตระกูลหร่วน กลับได้รับโชคหลังเคราะห์ร้าย ระหว่างเส้นแบ่งความเป็นความตาย เขาได้เรียนวิชากระบี่อยู่ในความฝัน ดังนั้นกฎเกณฑ์ก็ต้องรักษา แค้นก็ต้องชำระ ทั้งสองอย่างนี้ไม่ถ่วงรั้งกันและกัน
หลิวเสี้ยนหยางถาม “จำได้หมดแล้วหรือยัง?”
ระหว่างที่พูด รอบกายหลิวเสี้ยนหยางมีปณิธานกระบี่เป็นเส้นๆ ล้อมวนเวียน ราวกับว่าคอยให้การปกป้องหลิวเสี้ยนหยาง
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ จากนั้นก็เอ่ยว่า “ข้าคิดว่าตัวเองน่าจะเรียนไม่ได้ ธรณีประตูสูงเกินไป”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ทำแบบเดิม แค่ทำใจให้สบายก็พอ คิดจะแข่งเรื่องพรสวรรค์กับใครก็อย่ามาแข่งกับนายท่านใหญ่หลิว เรื่องอย่างการเรียนกระบี่นี้ยากนักหรือ? สำหรับข้าแล้ว ธรรมดามากๆ สำหรับเจ้าแล้ว แน่นอนว่าต้องยากมาก แต่จะว่าไปแล้วงานฝีมือที่ใหญ่ที่สุดของบ้านเกิดเราคืออะไร? ไม่ใช่เผาเครื่องกระเบื้องหรอกหรือ? แต่พวกเราก็เรียนรู้กันมาได้ไม่ใช่หรือ ดังนั้นตอนนี้เจ้าก็มีสภาพไม่ต่างจากตอนที่เรียนปั้นเครื่องกระเบื้องสักเท่าไร ปีนั้นเจ้าคิดว่าชั่วชีวิตนี้ตัวเองไม่มีทางเรียนได้ดี ไม่อาจกลายเป็นช่างเผาเครื่องปั้นเต็มตัวได้ไม่ใช่หรือ? วันๆ เอาแต่ทำหน้าหงอยเหงา ปิดปากเงียบเหมือนน้ำเต้าตัน แล้วดูสิ ตอนนี้เจ้ากลายเป็นอย่างไรแล้ว? ต่อให้ตาเฒ่าฮ่องเต้มาขอให้เจ้าเผาเครื่องปั้นให้สักชิ้นสองชิ้น เจ้าจะเต็มใจหรือ? ก็ยังต้องดูว่าตัวเจ้าเองอารมณ์ดีหรือไม่ ไม่ใช่หรือไร? เวทกระบี่ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษวิชานี้ของข้า แน่นอนว่ามีข้อพิถีพิถันไม่น้อย ถึงอย่างไรเจ้าก็เรียนรู้อะไรช้ากว่าข้ามากอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็เรียนได้อยู่ดี แล้วจะต้องรีบร้อนไปไย ทุกเรื่องสู้นายท่านใหญ่หลิวอย่างข้าไม่ได้ ต้องให้ข้าคอยสอนเจ้าทุกเรื่อง ข้อนี้เจ้าแค่ยอมรับชะตากรรม ชินแล้วก็ดีไปเองนั่นแหละ”
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ชินแล้วจริงๆ นั่นแหละ”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะเสียงดัง “เป็นความเคยชินที่ดี ไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว!”
……
มองตรงไปทางทิศใต้จากเส้นแนวรบของเฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยาง ด้านหลังของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจมีกระโจมกองทัพขนาดใหญ่แห่งหนึ่งถูกโอบล้อมไว้อย่างแน่นหนา ตรงปากกระโจมห้อยแผ่นไม้เล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาไว้แผ่นหนึ่ง สลักแค่สองคำว่า ‘เจี่ยเซิน’
ในกระโจมใหญ่วางโต๊ะหนังสือขนาดเล็กใหญ่ไว้เต็มไปหมด ตำราม้วนเอกสารกองทับกันเป็นภูเขา หนึ่งในนั้นมีตำราของสำนักการทหารมากมายที่เสียหายอย่างหนัก และยังไม่ใช่ฉบับดั้งเดิม แต่เป็นฉบับคัดลอกสำเนา ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังถูกบูชาไว้ดั่งสมบัติล้ำค่าอยู่ดี หากผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเปิดอ่านตำราทหารก็ต้องระมัดระวังกันอย่างมาก
ตำรามีน้อย คนที่เปิดอ่านจะยิ่งรู้จักทะนุถนอมเห็นค่า ยินดีที่จะไล่อ่านไปทีละคำทีละประโยค เป็นการอ่านหนังสือ ไม่ใช่มองหนังสือ หวังจะขุดหาความหมายที่ซ่อนลึกอยู่ภายใน
อาณาเขตของกระโจมหลังนี้กว้างใหญ่มาก ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเกือบร้อยตนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าฝึกตนประสบความสำเร็จ มีวิชาคงความเยาว์วัย รูปโฉมถึงได้ดูอ่อนเยาว์ แต่เป็นเพราะแต่ละตนล้วนอายุไม่มากจริงๆ
หนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่มีนามว่าเป้ยเชี่ย เขานั่งขัดสมาธิ เอนหลังพิงชั้นวางกระบี่ได้อย่างพอดิบพอดี
ข้างกายมีคนวัยเดียวกันคนหนึ่งกำลังเปิดตำรา มีนามว่าอวี่ซื่อ คือผู้ฝึกกระบี่ที่ติดอันดับร้อยเซียนกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเป็นเหมือนเป้ยเชี่ยที่ยังไม่มีแซ่สกุล
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเลิกผ้าม่านเดินเข้ามาด้านใน
อวี่ซื่อเงยหน้ายิ้มถาม “ทุนทาน ผลการรบครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“สู้คราวก่อนไม่ได้ ทำลายกระบี่บินไปได้แค่สามเล่มเท่านั้น”
เด็กหนุ่มคนนั้นยื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว จากนั้นก็ส่ายหน้า นั่งลงข้างกายอวี่ซื่อและเป้ยเชี่ย พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ขยับเข้าใกล้ค่ายกลกระบี่แห่งที่สามได้ยากจริงๆ สนามรบของข้าตรงจุดนั้น ขอแค่มีความเคลื่อนไหวใหญ่โตหน่อยก็จะมีเซียนกระบี่วิ่งมาช่วยคุมท้ายขบวน ปกป้องพวกผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ออกกระบี่ได้ไม่มั่นคงพวกนั้น ข้าเกือบจะถูกปราณกระบี่เส้นหนึ่งผ่าเอวเสียแล้ว อันตรายมากเลย”
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ยิ้มกว้างสดใส “แต่ว่าข้าอยู่ห่างจากสนามรบที่เฉินผิงอันเป็นคนเฝ้าพิทักษ์มาไม่ไกลนัก เขากับฉีโซ่วเป็นเพื่อนบ้านกัน ฉีโซ่วฝ่าทะลุขอบเขตแล้วจริงๆ ด้วย ใช้กระบี่บินแค่สองเล่มก็สามารถพิทักษ์สนามรบเอาไว้ได้ ร้ายกาจไม่เบา จากนั้นก็มีบัณฑิตคนหนึ่งโผล่มา เวทคาถาประหลาดนัก หากพุ่งไปชน แม้แต่ตายอย่างไรก็ยังไม่รู้ตัว ฝีมือร้ายกาจจริงๆ”