กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 624.1 หลอมกระบี่
เสียงแตรสัญญาณดังขึ้นบนสนามรบ เผ่าปีศาจเริ่มเก็บกองกำลังถอนทัพ
ศึกเปิดฉากครั้งนี้ยืดเยื้อกินเวลามายี่สิบวัน กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจยังคงไม่สามารถโจมตีมาถึงกำแพงเมืองได้
เซียนกระบี่บนหัวกำแพงเมืองยังคงมีมาดงามสง่าเลิศล้ำ จำนวนครั้งที่ปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างลงมือค่อนข้างน้อย ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานและขอบเขตเซียนเหรินที่ร่ายใช้วิชาอภินิหารก็มีแค่จำนวนสองมือนับ อีกทั้งยังไม่ได้เข้ามาติดกับค่ายกลอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าถูกกำแพงเมืองกระบี่กดหัวไว้ได้อย่างมั่นคง
ในช่วงเวลาระหว่างนี้ ศึกใหญ่สองครั้งที่ทุกคนให้การยอมรับว่าโดดเด่นสะดุดตาที่สุด ครั้งหนึ่งคือจั่วโย่วที่หนึ่งคนพกหนึ่งกระบี่บุกลึกเข้าไปในกองทัพศัตรูเพียงลำพัง เกือบจะทุบทำลายกระโจมทัพเกิงอู่ที่ตำแหน่งอยู่ค่อนมาด้านหน้าจนย่อยยับ ทำให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานสองตนพร้อมใจกันลงมือ แต่จั่วโย่วก็ยังไม่ถอยหนี ปณิธานกระบี่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร หากก้มหน้ามองจากหัวกำแพงเมืองไปยังพื้นดินที่ห่างไปไกลก็เหมือนว่ามีฟ้าดินขนาดเล็กที่จับต้องได้จริงแห่งหนึ่งก่อตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่า ปราณกระบี่สีขาวหิมะมากมายไร้ที่สิ้นสุดที่มีจั่วโย่วเป็นจุดศูนย์กลางก่อตัวเป็นครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ยักษ์บดบังฟ้าดิน ทุกที่ที่ปราณกระบี่พุ่งผ่าน เลือดเนื้อและจิตวิญญาณของเผ่าปีศาจล้วนแหลกสลาย มีจุดจบที่ต้องกลายเป็นผุยผง
ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่มองไม่เห็นตัวของจั่วโย่วด้วยซ้ำ
เห็นแต่ปราณกระบี่และแสงกระบี่
เซียนกระบี่หมี่ฮู่ที่ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเซียนเหรินอย่างเงียบเชียบยืนอยู่ข้างกายหมี่อวี้น้องชายที่ยังเป็นขอบเขตหยกดิบ สองพี่น้องอารมณ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หมี่ฮู่รู้สึกว่าหากปราณกระบี่ของจั่วโย่วมากกว่านี้อีกสักหน่อย นั่นถึงจะเรียกว่าสาแก่ใจ เซียนกระบี่ใต้หล้าก็ควรจะเป็นเช่นนี้
ส่วนหมี่อวี้มีสีหน้าขมขื่น รู้สึกว่าปราณกระบี่ของเจ้าชั่วจั่วโย่วผู้นี้มากเกินไปหน่อยไหม?
หากบอกว่าการลงมืออย่างเหี้ยมหาญของจั่วโย่วที่ยังคงชอบไปไหนมาไหนเพียงลำพัง กับปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานสองตนนั้นคือการเข่นฆ่าที่อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลอย่างถึงที่สุด และสนามรบก็คือแผ่นดินของโลกมนุษย์
ถ้าอย่างนั้นสนามรบอีกแห่งหนึ่งก็เกิดขึ้นบนท้องฟ้าจริงๆ การลงมือของเฉินฉุนอันถึงขั้นกระชากเอาดวงจันทร์ดวงหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่สูงสุดบนม่านฟ้าลงมายังโลกมนุษย์
คนทั่วทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่างก็ตกอยู่ท่ามกลางความหวาดผวาพรั่นพรึงขีดสุด กังวลว่าดวงจันทร์กลมโตที่ยิ่งนานก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดวงนั้นจะหล่นลงมาในโลกมนุษย์จริงๆ
ผู้เฒ่าชุดเทาของภูเขาทัวเยว่ยังคงไม่ขัดขวาง กลับกันยังแหงนหน้ามองไปแล้วยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า บัณฑิตช่างมีฝีมือยอดเยี่ยม
ไม่เสียแรงที่เป็นเฉินฉุนอันซึ่งถูกขนานนามให้เป็นยอดเขาสูงอีกยอดหนึ่งของสายหย่าเซิ่ง
แปดทวีปใหญ่นอกเหนือจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เฉินฉุนอันแห่งทักษินาตยทวีป ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งอุตรกุรุทวีป เทพเจ้าแห่งโชคลาภนายท่านหลิวแห่งธวัลทวีป ต่างคนต่างก็มีความพิเศษเป็นของตัวเอง ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวใครก็ยังไม่กล้าพูดว่าบุคคลที่เป็นดั่งเสาหลักของสามทวีปเหล่านี้ไม่มีน้ำหนักมากพอ
ผู้เฒ่าชุดเทาปล่อยให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดที่เรียกตัวเองว่าเจ้าอารามดอกบัวลงมืออย่างเต็มที่ งัดข้อกับเฉินฉุนอันไป
ปีศาจใหญ่นักพรตเต๋าขอบเขตบินทะยานที่หลอมแก่นดวงจันทร์ได้ถึงครึ่งหนึ่ง ได้ยึดครองฟ้าอำนวยดินอวยพร
แต่ก็ยังไม่อาจหยุดยั้งฝีมืออันเลิศล้ำค้ำฟ้าของเฉินฉุนอันเอาไว้ได้ เป็นเหตุให้ดวงจันทร์กลมโตดวงหนึ่งไถลลงมาสู่พื้นดินอย่างเนิบช้า
คำว่าเนิบช้านี้ แท้จริงแล้วเป็นความรู้สึกที่ลวงตาอย่างหนึ่ง คาดว่าคงต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล หรือผู้บรรลุมรรคาที่อยู่บนดวงจันทร์จริงๆ ที่ถึงจะสัมผัสได้ถึงระดับความเร็วของการร่วงดิ่งลงสู่พื้นดินที่ไวปานสายฟ้าแลบนั้นได้
นอกสนามรบ ผู้ฝึกตนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ได้ฝึกตนบนมรรคา ขอบเขตไม่ต่ำ ยิ่งขยับเข้าใกล้ห้าขอบเขตบนก็จะยิ่งสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหายใจไม่ออกที่แผ่กลบฟ้าทับดินนั้น แล้วก็ยิ่งมองเห็นภาพ ‘ตำหนักดวงจันทร์’ ของพระจันทร์ดวงนั้นได้อย่างชัดเจน เห็นว่าในนั้นมีเทือกเขาเป็นเส้นๆ ที่ไร้พลังชีวิตทอดยาว หากเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่สายตาดียิ่งกว่าจะยังมองเห็นซากปรักของตำหนักทั้งหลาย ซากต้นไม้ใหญ่ยักษ์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตาย มองเห็นโครงกระดูกบรรพกาลแต่ละโครงที่สามารถกดทับเทือกเขาเส้นนั้นจนเกิดเป็นร่องแคบ และยังมีเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ล่องลอยซึ่งแต่ละตัวใหญ่เหมือนทะเลสาบ
ใต้หล้าไพศาลเคยมีอริยะสำนักการทหารเอ่ยประโยคหนึ่งที่เป็นไปในทางชื่นชมมากกว่าตำหนิว่า
‘น่าเสียดายที่ผู้รอบรู้ไม่กำเริบเสิบสาน บทความจึงยังไม่อาจเดินบนทางที่เชื่อมสู่ฟ้า’
หากคนที่เอ่ยประโยคนี้ได้มาเห็นการลงมือของเฉินฉุนอันที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้ด้วยตาตัวเอง ก็น่าจะไม่เอ่ยคำวิจารณ์ที่ไร้สาระเช่นนี้แล้ว
และเก้าทวีปใหญ่ของใต้หล้าไพศาล ทวีปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่คุ้นเคยดีที่สุด แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แต่เป็นทักษินาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุด เฉินฉุนอันผู้รอบรู้ก็ยิ่งไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับพวกเขา
นี่ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับการป่าวประกาศโพนทะนาไปทั่วของอาเหลียง บอกว่าในบรรดาบัณฑิต เฉินฉุนอันถือเป็นยอดฝีมือที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากบัณฑิตคนอื่น เรียกได้ว่าเป็นอาจารย์ผู้เฒ่าที่ในมือถือค้อน เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ สามารถเขียนบทความ แล้วก็สามารถต่อสู้ ร้ายกาจๆ
แต่ถึงอย่างไรดวงจันทร์ดวงนั้นก็ไม่ได้ถูกกระชากลงมาอยู่ในโลกมนุษย์อย่างสมบูรณ์ เจ้าอารามดอกบัวผู้นั้นลงมืออย่างเต็มที่ คุมเชิงอยู่กับเฉินฉุนอันนานถึงครึ่งชั่วยาม
เป็นเหตุให้ดวงจันทร์กลมโตดวงนี้อยู่ใกล้กับพื้นดินมากที่สุด จึงใหญ่โตและสว่างไสวมากเป็นพิเศษ
การต่อสู้สองครั้งนี้น่าจะเรียกว่าเป็นการต่อสู้ของเทพเซียนที่สมชื่อได้อย่างแท้จริงแล้ว
ช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่น้อย ผู้ฝึกกระบี่ออกกระบี่เร็วยิ่งขึ้น น้ำตกปราณกระบี่ที่เกิดจากการรวมตัวกันของกระบี่บินหลายหมื่นเล่มยิ่งไหลซัดสาดอย่างดุดัน
เพียงแต่ว่าการบุกโจมตีระลอกนี้ เมื่อเทียบกับกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่กรูกันเข้ามาตายแล้ว ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ติดกับดักอยู่ในค่ายกลอย่างแท้จริงนับว่ามีน้อยนัก
ดังนั้นผลงานการต่อสู้ที่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่สะสมมาได้จึงมีน้อยนิด
ดังนั้นเซียนกระบี่หญิงจากธวัลทวีปนามว่าเซี่ยซงฮวาผู้นั้นจึงเรียกได้ว่าไม่แสดงฝีมือก็ไม่โดดเด่นอะไร แต่พอแสดงฝีมือกลับทำให้คนตะลึงงัน และนางก็กวาดเอาผลงานการศึกไปได้ก้อนใหญ่เลยทีเดียว
หลังจากที่กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจหยุดการโจมตีก็ไม่เหมือนกับในอดีตที่ปล่อยให้ศพนอนตากแดดแห้งอยู่บนสนามรบ ปล่อยให้ผู้ฝึกกระบี่บางคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไป ‘เก็บเงิน’ บนสนามรบอีก
แต่เริ่มให้ความเคารพผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่รบตาย พยายามเก็บรวบรวมซากศพมาให้ได้มากที่สุด ทั้งโครงกระดูกและสิ่งของที่เหลือทิ้งไว้ต่างก็เก็บนับรวบรวมและลงบันทึกไว้อย่างชัดเจน ก่อนจะนำไปคืนให้คนรุ่นหลังของพวกเขา
แน่นอนว่าทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ย่อมไม่ยอมให้เผ่าปีศาจมาเดินอาดๆ เก็บกวาดสนามรบแน่นอน
ทว่ากุญแจสำคัญคือการถอนทัพชั่วคราวของเผ่าปีศาจได้ซ่อนแฝงความรู้ใหญ่เอาไว้
มีปีศาจใหญ่ตนหนึ่งเรียกกาสีทองที่แกะสลักรูปคล้ายหนูนำโชค (สู่ไหลเป่า วัตถุมงคลอย่างหนึ่งของศาสนาพุทธ) ออกมาประคองไว้บนฝ่ามือ สมบัติอาคมอาวุธวิเศษทั้งหมดที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น วัตถุที่ไร้เจ้าของทั้งหลายต่างก็พากันออกจากสนามรบด้วยตัวเองแล้วบินเข้าหากาสีทองใบนั้นอย่างรวดเร็ว
และยังมีปีศาจใหญ่ที่ในมือถือป้ายหยกสีหมึกสลักเป็นรูปมังกรทะยานเมฆไล่ไข่มุก พอบีบไว้ในมือ แสงสว่างก็เปล่งจ้าพร่าตา เจียวหลงสีดำแต่ละตัวที่ยาวเท่าแค่นิ้วมือพากันเลื้อยออกมาจากในแผ่นหยก พอออกห่างจากแผ่นหยกแล้วก็ราวกับเจียวชั่วร้ายที่สูญเสียการสยบกำราบ เรือนกายจึงพลันขยายใหญ่โตมโหฬาร กรงเล็บทั้งสี่ตะปบพื้นอย่างแรง ฝุ่นคลุ้งสูงหลายสิบจั้งก็แผ่กระเพื่อมขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย หมายจะสังหารพวกผู้ฝึกกระบี่ที่กำลังถอยออกไปจากหัวกำแพงเมือง
ฉงกวงปีศาจใหญ่ที่เคยทำหน้าที่รับผิดชอบบัญชาการณ์ทัพโจมตีเมืองครั้งหนึ่งเรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งของตัวเองออกมา คือน้ำถ้วยหนึ่ง เป่าลมใส่เบาๆ ให้ผิวน้ำเกิดรอยกระเพื่อม ทันใดนั้นน้ำวนขนาดเล็กแต่กลับลึกราวหาที่สิ้นสุดไม่ได้ก็บังเกิดขึ้น ประหนึ่งธารดวงดาวที่สว่างพร่างพราว
ดวงวิญญาณเผ่าปีศาจที่อยู่บนสนามรบกลายเป็นพายุงวงช้างที่ก่อตัวขึ้นจากพื้นดินหลายลูกม้วนตลบไปทางทิศใต้ พยายามจะหลอมรวมเข้ากับถ้วยน้ำใบนั้น
การเก็บรวบรวมดวงวิญญาณมานี้ ทั้งสามารถปล่อยกลับไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างนอกสนามรบ แล้วยังสามารถเก็บสะสมไว้เป็นสมบัติล้ำค่า หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกปราณกระบี่ ปณิธานกระบี่ของที่แห่งนี้หล่อหลอมไปอย่างที่ไม่มองไม่เห็น
ส่วนปราณวิญญาณฟ้าดินที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุดนั้น มองดูเหมือนมหามรรคาไม่เคยใกล้ชิดผู้คน แต่ในความเป็นจริงแล้วสำหรับผู้ฝึกตนที่ได้ครบทั้งฟ้าอำนวยดินอวยพรจะมีความใกล้ชิดอย่างลี้ลับมหัศจรรย์ ปณิธานกระบี่บรรพกาลมากมายขนาดนั้นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด
แต่เศษซากโครงกระดูกและเลือดสดที่แทรกซอนเข้าไปในพื้นดินจะส่งผลกระทบต่อโชคชะตาของสนามรบอย่างมาก
เซียนกระบี่จำเป็นต้องจัดการ แม้ไม่อาจกำจัดพวกมันได้อย่างสิ้นซาก แต่สามารถทำความสะอาดได้มากแค่ไหนก็แค่นั้น
ไม่อย่างนั้น ‘ฟ้าอำนวย’ ที่เดิมทีเป็นของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะเอนเอียงเข้าหาใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
นี่คือที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของผู้ฝึกกระบี่นอกเหนือจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสและกำแพงเมือง
ดังนั้นบนสนามรบจึงปรากฏภาพเหตุการณ์ที่ประหลาดที่สุด ทั้งๆ ที่กองทัพใหญ่ทั้งสองฝ่ายหยุดการสู้รบกันไปแล้ว
แต่การลงมือของปีศาจใหญ่กับเซียนกระบี่กลับยิ่งถี่มากขึ้นเรื่อยๆ
มีสมบัติแห่งการฝึกตน อาวุธวิเศษที่เสียหายซึ่งถูกทิ้งไว้บนสนามรบทยอยถูกทั้งสองฝ่ายร่ายใช้วิธีการของตัวเองบังคับเก็บเข้าไปไว้ในกระเป๋าอย่างต่อเนื่อง
เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการคุมเชิงของสองกองทัพก่อนหน้านี้ ต่อให้ความเคลื่อนไหวจากการลงมือของเซียนกระบี่และปีศาจใหญ่บนสนามรบอันกว้างขวางเวลานี้จะรุนแรงแค่ไหน ภาพบรรยากาศนั้นก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ดี
ตามกฎในอดีตที่ผ่านมา หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายหยุดการทำสงครามก็จะมีเวลาหยุดพักในช่วงสั้นๆ ผู้ฝึกกระบี่จะมีโอกาสหายใจหายคอได้นานหน่อยก็ห้าวัน สั้นหน่อยก็สองสามวัน
เฉินผิงอันไม่ได้ออกไปจากหัวกำแพงเมืองทันที เขายังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น คอยสังเกตการณ์การลงมือของทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะฝ่ายตัวเองหรือฝ่ายของศัตรูอยู่ไกลๆ
หลิวเสี้ยนหยางเดินมานั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เขาจะต้องไปรวมตัวกับพวกเพื่อนร่วมเรียนแล้ว ครั้งนี้เดินทางมาทัศนศึกษาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ กุญแจสำคัญยังคงเป็นคำว่า ‘ศึกษา’ สำหรับเรื่องการสังหารปีศาจ ไม่ว่าลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสายหย่าเซิ่งคนอื่นๆ จะมองอย่างไร แต่สำหรับหลิวเสี้ยนหยางแล้วเขาไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจมากนัก หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงนี้ หลิวเสี้ยนหยางก็อาจจะไม่เต็มใจลงมือด้วยซ้ำ แต่ไหนแต่ไรมาหลิวเสี้ยนหยางก็ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายและอิสระเสรีมากกว่าเฉินผิงอันมาโดยตลอดอยู่แล้ว
ส่วนจะออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เมื่อไหร่ ไม่มีใครที่รู้ ต้องดูที่ความต้องการของอริยะสกุลเฉินท่านนั้น หลิวเสี้ยนหยางเกาหัว มองไปยังประกายแสงกระบี่คมกริบที่พลันผุดวาบขึ้นมาบนสนามรบในจุดที่ห่างไปไกล แล้วเอ่ยว่า “คุณความชอบในการรบของข้าทั้งหมดให้ลงบัญชีเป็นของเจ้า”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ยิ้มพลางยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ส่งไปให้
หลิวเสี้ยนหยางส่ายหน้า “ไม่ดื่ม ต่อให้คิดจะดื่มเหล้าให้จิตใจว้าวุ่น ข้างกายข้าก็ควรจะมีแม่นางที่หน้าตาดีอยู่สักคนไม่ใช่หรือ?”
ได้ยินมาว่าไอ้หมอนี่เขียนตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ไว้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หลิวเสี้ยนหยางจึงคิดจะให้เฉินผิงอันช่วยสลักตราประทับให้ตนคู่หนึ่ง ตัวอักษรเขียนให้ตรงไปตรงมาสักหน่อย สลักคำว่า ‘เซียนกระบี่ใหญ่หลิว’ ส่วนอีกอันหนึ่งก็ให้ซื่อสัตย์สักหน่อย สลักคำว่า ‘รักษาตนบริสุทธิ์ผุดผ่องดุจหยก หลิวเสี้ยนหยาง’
เฉินผิงอันถามเบาๆ ว่า “ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจตนนั้นยังปลอดภัยดีทั้งๆ ที่เจอกระบี่จากเจ้าน่ะหรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “เป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งเหมือนกัน แล้วยังมีสมบัติปกป้องกาย ไม่มีทางตายได้ง่ายขนาดนั้นหรอก”
ทางฝั่งของฉีโซ่วที่อยู่ด้านข้างบรรยากาศครึกครื้นยิ่ง
มีคนมาไม่น้อย เพราะถึงอย่างไรฉีโซ่วก็เพิ่งฝ่าทะลุขอบเขต เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิดได้สำเร็จตอนที่ศึกใหญ่เริ่มต้นขึ้นพอดี อีกทั้งตอนนี้ยังได้เฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งหนึ่งเพียงลำพัง จึงควรจะฉลองอยู่บ้างจริงๆ
ไม่เสียแรงที่ฉีโซ่วคือผู้นำของภูเขาลูกเล็ก อีกทั้งเดิมทีเขาเองก็เป็นลูกหลานตระกูลฉี เพียงไม่นานข้างกายก็มีสหายสนิทหลายสิบคนมารวมตัวกัน มีครบทั้งหญิงและชาย
บางคนเฉินผิงอันก็คุ้นหน้าคุ้นตาดี ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกกระบี่ประตูมังกรอย่างเริ่นอี้ที่ตอนนั้นทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าด่านแรกบนถนนใหญ่
และยังมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองที่รับผิดชอบเฝ้าด่านที่สอง ผู่อวี๋ คือคุณชายหนุ่มสวมชุดขาวที่ค่อนข้างจะสง่างามดุจต้นไม้หยกรับลม
และยังมีสตรีผู้ฝึกตนหญิงที่อายุพอๆ กับพวกเขาอีกหลายคนที่มาเพราะต้องการเอ่ยแสดงความยินดีกับฉีโซ่วครึ่งหนึ่ง ส่วนเหตุผลอีกครั้งหนึ่งที่มาก็เพราะเพื่อนบ้านสองคนของฉีโซ่ว นิสัยของพวกนางแตกต่างจากคุณหนูตระกูลใหญ่ของใต้หล้าไพศาลอย่างสิ้นเชิง เวลานี้จึงมองมายังเฉินผิงอันกับหลิวเสี้ยนหยางอย่างเปิดเผย ไม่ปิดบังสายตามองประเมินของพวกนางแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่คิดจะซุบซิบพูดคุยกันเบาๆ
บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ระหว่างสองศึกใหญ่ที่ผลัดเปลี่ยนกันก่อนหน้านี้ ยามที่มีเวลาว่างพวกผู้ฝึกกระบี่ที่คุ้นเคยกันดีก็จะพูดคุยกันถึงสนามรบของจุดอื่นบ้าง หนึ่งในนั้นก็มีเรื่องของเถ้าแก่รองกับบัณฑิตจากทักษินาตยทวีป หัวข้อที่พูดคุยได้มีไม่น้อยเลยจริงๆ
ส่วนมีผู้ฝึกกระบี่คนใดตายไปบ้าง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของใครถูกทำลายในสนามรบ
อย่างมากสุดทุกคนก็แค่ร้องอ้อหนึ่งคำ พยักหน้าแสดงว่ารับรู้แล้ว แล้วก็ไม่มีอะไรต่ออีก
เฉินผิงอันแกว่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เอ่ยสัพยอก “ก็มีเหล้าอยู่นี่ไง จะดื่มไหมล่ะ?”
หลิวเสี้ยนหยางกระโดดลงมาจากหัวกำแพง พึมพำว่า “ไปล่ะๆ”
รอกระทั่งหลิวเสี้ยนหยางจากไปไกลแล้ว ผู้ฝึกกระบี่หญิงคนหนึ่งในนั้นก็ถามว่า “เถ้าแก่รอง เพื่อนของเจ้าคนนี้ชื่อแซ่อะไรหรือ? ตอนนี้มีภรรยา มีคู่บำเพ็ญเพียรหรือยัง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เมื่อครู่นี้เขาอยู่ ทำไมเจ้าไม่ถามเขาเองล่ะ?”
สตรีผู้นั้นหัวเราะคิกคัก “ก็ข้าอายนี่นา”