กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 624.4 หลอมกระบี่
หลักการเหตุผลของใต้หล้าเปลี่ยวร้างนั้นเรียบง่ายมาโดยตลอด ตรงไปตรงมา ใครที่หมัดใหญ่คนนั้นก็มีเหตุผลมาก
หากใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีหนังสือประวัติศาสตร์ที่รวบรวมขึ้นอย่างถูกต้องเป็นของตัวเองฉบับหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นทุกหน้าก็จะต้องแทรกซึมไปด้วยกลิ่นคาวเลือดฉุนจมูกแน่นอน
กองกำลังในพื้นที่มากมายที่กว่าจะรวบรวมกันจนมีเค้าโครง มีลางของแคว้นใหญ่ได้อย่างยากลำบากล้วนถูกปีศาจใหญ่บนยอดเขาที่นิสัยชั่วร้ายวิปริตเหยียบย่ำและทำลายอย่างกำเริบเสิบสาน
เมืองหลวงหลายแห่งที่กษัตริย์หลายยุคหลายสมัยต้องอาศัยการอุทิศตัวเหน็ดเหนื่อยแสนเข็ญกว่าจะสร้างขึ้นมาได้ ทว่าทุกสิ่งที่ทำมากลับต้องกลายเป็นซากปรัก พื้นดินเจิ่งนองไปด้วยเลือดภายในค่ำคืนเดียว
ยกตัวอย่างเช่นแม่ทัพใหญ่คนรู้ใจหกคนใต้บังคับบัญชาของป๋ายอิ๋งปีศาจใหญ่โครงกระดูกที่ยิ่งชอบทำให้อาณาบริเวณพันลี้ของหนึ่งแคว้นกลายเป็นสุสานแห่งแล้วแห่งเล่า ทุกคนในแคว้นล้วนกลายเป็นหุ่นเชิดโครงกระดูก จากนั้นก็ทำเหมือนการเลี้ยงกู่ที่สุดท้ายแล้วจะเหลือแค่พวกที่ใช้งานได้จริงๆ เท่านั้น
มีเพียงผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่ว่าขอบเขตจะสูงหรือต่ำเท่านั้นที่สามารถรอดพ้นหายนะนานาประการมาได้
เพราะว่านี่ก็คือกฎที่ภูเขาทัวเยว่ตั้งไว้
ตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เหมือนกับเมล็ดพันธ์บัณฑิตของใต้หล้าไพศาล ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าถูกปกป้องไว้ดียิ่งกว่าเสียอีก
อันที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องที่ประหลาดที่สุดเช่นกัน
ศัตรูที่มีร่วมกันของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็คือกำแพงเมืองปราณกระบี่ คือผู้ฝึกกระบี่เหล่านั้น
แต่ไม่ว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะโจมตีเมืองอย่างไร ต้องมีจุดจบที่อนาถน่าสังเวชมากแค่ไหน
สำหรับผู้ฝึกกระบี่และเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว พวกเขาล้วนมีความเคารพเลื่อมใสที่บริสุทธิ์อยู่เสมอ
ยามเข่นฆ่าบนสนามรบ ไม่เคยออมมือ
ยามออกจากสนามรบและพูดถึงเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้น บางทีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ผ่านสงครามมาด้วยตัวเองอาจรู้สึกเคียดแค้นเข้ากระดูก แต่กลับไม่เคยด่าทอหรือพูดประณามให้ร้าย
……
หนิงเหยากลับไปที่จวนหนิงเพียงลำพัง บอกว่าจะปิดด่านหลอมกระบี่
คนอื่นๆ ที่เหลือไปดื่มเหล้าที่ร้านของเตี๋ยจ้าง ฟ่านต้าเช่อยอมรับชะตากรรมมานานแล้ว จึงยืมเงินมาเลี้ยงเหล้าทุกคน
เหล้ามื้อนี้ดื่มจบอย่างรวดเร็ว พวกเฉินซานชิวต่างกลับบ้านใครบ้านมัน กวอจู๋จิ่วเดินไต่ผนังผ่านหลังคาบ้านคนอื่นไปตลอดทางเพื่อกลับไปหาหีบไม้ไผ่ใบเล็กนั่น ไม่ได้เจอกันนาน นางคิดถึงมันมากเป็นพิเศษ
สุดท้ายเหลือเพียงเถ้าแก่ใหญ่และเถ้าแก่รอง รวมไปถึงผีขี้เหล้ามากมายที่แล่นมาดื่มเหล้าดับกระหาย เตี๋ยจ้างยุ่งอยู่กับกิจการของร้าน เฉินผิงอันไปนั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างทาง
ไม่นึกว่าอวี้เจวี้ยนฟูกับจูเหมยก็จะมาดื่มเหล้าที่ร้านด้วย
อวี้เจวี้ยนฟูหิ้วกาเหล้าเดินมาทางเฉินผิงอัน ผู้ฝึกกระบี่ที่นั่งอยู่ข้างเถ้าแก่รองรีบขยับตัวเว้นที่ว่างให้พร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก แต่ละคนกลายเป็นคนเข้าอกเข้าใจผู้อื่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น
อวี้เจวี้ยนฟูนั่งลงบนขั้นบันไดที่อยู่ด้านข้าง จูเหมยยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล นิสัยห้าวหาญเปิดเผยอย่างชาวยุทธของพี่หญิงไจ้ซีนี้ ถึงอย่างไรเด็กสาวก็เรียนรู้มาไม่ได้เสียที
อวี้เจวี้ยนฟูถาม “เฉินผิงอัน วิชาหมัดนั้นของเจ้าไม่แพร่หลายในแจกันสมบัติทวีปหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “คนที่เรียนมีน้อยมาก น้อยจนนับนิ้วได้ หากกำหนดจากจำนวนคนที่เรียนก็จะถือเป็นวิชาหมัดเล็ก แต่หากดูจากระดับความสูงต่ำของปณิธานหมัดก็ถือเป็นวิชาหมัดใหญ่”
อวี้เจวี้ยนฟูพยักหน้ารับ “เฉินผิงอัน พยายามเลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกลให้เร็วหน่อย เจ้ากับเฉาสือ หากไม่พูดถึงว่าใช่ผู้มีพรสวรรค์หรือไม่ บนเส้นทางของการฝึกยุทธ ต่อให้พวกเจ้าเดินอยู่เบื้องหน้าก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย อย่างน้อยที่สุดสำหรับข้าแล้วก็เป็นเช่นนี้ อย่าได้เลียนแบบผู้ฝึกตนบนภูเขาที่เอาแต่เดินบนสะพานไม้อย่างเดียว”
เฉินผิงอันชูถ้วยเหล้าขึ้น ยิ้มเอ่ยว่า “เห็นด้วย”
อวี้เจวี้ยนฟูดื่มเหล้าแล้วก็พาจูเหมยจากไป
เฉินผิงอันเอ่ยทักทายเด็กน้อยเถาป่านคำหนึ่งก็กลับไปที่จวนหนิง เพียงแต่ว่าพอไปถึงประตูใหญ่กลับบอกป๋ายหมัวมัวว่าจะไปที่หัวกำแพงเมืองสักครั้ง
จากนั้นก็ขับเรือยันต์ออกมาจากนคร ด้านล่างคือจวนส่วนตัวของเซียนกระบี่มากมาย
พอไปถึงหัวกำแพงเมืองก็ไปหาศิษย์พี่ใหญ่จั่วโย่ว
หลังจากบอกความคิดของตัวเองไปแล้ว จั่วโย่วก็ยิ้มกล่าวว่า “คิดแบบนี้ได้ย่อมดีที่สุด จะได้ลดปัญหายุ่งยากบางอย่างของข้าไปได้ ด้วยตบะน้อยนิดของเจ้าในเวลานี้จะทำเรื่องใหญ่ได้สักแค่ไหนกันเชียว? สุดท้ายสถานการณ์ใหญ่ดำเนินไปในทิศทางใด ควรเดินไปอย่างไรก็เดินไปอย่างนั้น การพยายามซ่อมแซมปะชุนที่เจ้าทำ เจตนาดี แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น ไม่ได้มีประโยชน์สักเท่าไร แต่ว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้น ข้ากลับมีคำถามหนึ่งจะถามเจ้า ยังไม่พูดถึงขอบเขตหรือสถานะ พูดถึงแค่ความเป็นไปได้ หากเจ้าตายอยู่ที่นี่แล้วจะสามารถพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่เอาไว้ได้ เจ้าจะยอมตายหรือไม่?”
เฉินผิงอันเงียบงัน
จั่วโย่วเอ่ย “ถึงอย่างไรก็เป็นความเป็นไปได้ที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นคำตอบในใจคืออะไร ตัวเจ้ารู้เองก็พอแล้ว หากไม่งัดข้อกับตัวเองให้มาก แล้วจะไปงัดข้อกับฟ้าดินได้อย่างไร อย่ารู้สึกว่าการที่ตัวเองคิดมากเป็นเรื่องร้าย ลัทธิขงจื๊อของพวกเรามีคำกล่าวว่าวัตถุมีต้นมีปลาย เรื่องราวมีเริ่มต้นและจุดจบ รู้ต้นสายปลายเหตุก็จะเข้าใกล้กฎเกณฑ์การพัฒนาของเรื่องราว ลัทธิพุทธมีลำดับขั้นตอน ค่อยๆ ตระหนักรู้ เมื่อบรรลุแล้วก็เห็นแจ้ง ลัทธิเต๋าก็มีคำกล่าวว่าสะสมข้าวโพด ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถอะ”
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองสนามรบทางทิศใต้ เอ่ยเสียงเบาว่า “คำสั่งสอนของศิษย์พี่ จดจำไว้ขึ้นใจแล้ว”
จั่วโย่วนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เรื่องของการศึกษาหาความรู้จะเพิกเฉยไม่ใส่ใจไม่ได้ ข้าจะมอบปัญหาเล็กๆ ให้เจ้าอีกสองข้อ ลองคิดดูสิว่าเหตุใดสองลัทธิพุทธเต๋าถึงได้ปฏิบัติต่อการสร้างเทวรูปแตกต่างกันมากถึงเพียงนี้? อีกอย่างก็คือสี่หลักใหญ่ของลัทธิพุทธอย่าง ปัญญา เมตตา ปฏิบัติ ความหวัง เจ้าคิดว่าหากอิงตามทฤษฎีขั้นตอนของอาจารย์ อะไรควรมาก่อนมาหลังถึงจะดียิ่งกว่า ดีที่สุด เป็นสติปัญญามาก่อน จิตจึงเกิดเมตตา เกิดความหวังที่ยิ่งใหญ่ แล้วค่อยลงมือปฏิบัติ? หรือต้องมีใจเมตตา เกิดความหวัง เมื่อปฏิบัติแล้วจึงเกิดสติปัญญา? ลองไปคิดดูเอาเอง คิดให้มาก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”
จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ นี่ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ อะไรเลยนะ”
จั่วโย่วเอ่ย “สำหรับข้าแล้วก็คือปัญหาเล็กๆ สำหรับอาจารย์ก็ยิ่งไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย”
เฉินผิงอันบอกลาจากไป จิตของเขาขยับไหวเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้ไปหาเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่กระท่อม
เพราะกลับกลายเป็นว่ามีเรื่องเพิ่มมาอีกเรื่องที่ต้องให้เขาเฉินผิงอันไปทำ
จั่วโย่วขมวดคิ้ว “เจ้าช่วยทำอะไรให้รวดเร็วฉับไวหน่อยไม่ได้หรือ? จะต้องทรมานศิษย์น้องเล็กของข้าขนาดนี้ด้วยหรือไง?”
หากไม่เป็นเพราะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนี้มีเวทกระบี่สูงจริงๆ จั่วโย่วก็คงต้องเอ่ยประโยคหนึ่งว่าเจ้าคือหอมต้นไหนแล้ว
เฉินชิงตูมาหยุดอยู่ข้างกายจั่วโย่ว เอาสองมือไพล่หลัง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เวทกระบี่สูงที่สุดก็ดีอย่างนี้เอง ทุกวันถึงได้ปลอดโปร่งโล่งสบายนัก”
จุดที่สายตาของเฉินชิงตูมองไปก็คือฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลมาก
ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนั้นก็คือโรงเรียนตามแบบฉบับแห่งหนึ่งที่มีบุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อกำลังถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับเด็กหนุ่มเด็กสาว
เขาบอกจุดเริ่มต้นของความรู้กลอนบทประพันธ์ก่อน ใช้สองประโยคว่าแสงอาทิตย์เหนือขุนเขาส่องแสง ต้นหญ้าเขียวแตกหน่อริมขอบบ่อเป็นประโยคตัวอย่าง อธิบายว่าสองประโยคนี้มองดูเหมือนตื้นเขินตรงไปตรงมา แต่แท้จริงแล้วกลับบรรยายถึงทัศนียภาพได้อย่างชัดเจน ไม่เหลือพื้นที่ให้คนรุ่นหลังได้ขบคิด
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อท่านนี้มีนามแฝงว่าโจวมี่ ด้านหลังคือฉากกั้นภาพขุนเขาสายน้ำที่วาดโดยใช้หลักสามสีได้แก่สีทอง สีเขียวเข้ม สีเขียวอ่อนเป็นหลัก บนโต๊ะหนังสือที่อยู่ด้านหน้าจัดวางตำราและอุปกรณ์ของตกแต่งไว้จนเต็ม มีสี่สมบัติแห่งห้องหนังสือ และยังมีของชิ้นเล็กชิ้นน้อยอีกเก้าชิ้นอย่างพวกที่ทับกระดาษ แท่นฝนหมึก ฯลฯ
ยิ่งเป็นสมบัติวิเศษที่ดีแต่รูปลักษณ์แต่ใช้งานจริงไม่ได้ บางทีอยู่ในใต้หล้าไพศาลอาจเป็นแค่ของเล่นจุกจิกของบนภูเขาตระกูลเซียนทั่วไปหรือของราชวงศ์โลกมนุษย์ แต่กลับจะยิ่งถูกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจจำนวนมากของใต้หล้าเปลี่ยวร้างบูชาราวกับสิ่งของล้ำค่า
โจวมี่ผู้นี้ก็คือปีศาจใหญ่ที่มีบัลลังก์สูงเป็นลำดับที่สองอยู่ในบ่อลึกโบราณ เป็นรองแค่ผู้เฒ่าชุดเทาผู้นั้น ถึงขั้นที่ว่าตำแหน่งที่นั่งของเขายังสูงกว่าหลิวชาชายฉกรรจ์เคราดกที่พกดาบสะพายกระบี่ผู้นั้นเสียอีก
เขาถูกขนานนามว่า ‘มหาสมุทรแห่งความรู้’ ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง คือภูเขาทัวเยว่ในด้านวิชาความรู้
อ่านตำรามากมายมานับไม่ถ้วน ไม่มีเรื่องใดที่ไม่รู้ ไม่มีเรื่องใดที่ไม่เชี่ยวชาญ ความรู้ทุกแขนงล้วนแตกฉาน สามลัทธิขงจื๊อพุทธเต๋า เมธีร้อยสำนัก บทกวีบทกลอน วิชาคำนวณ การเขียนพู่กัน วาดภาพ แกะสลักตัวอักษร การอธิบายสัทศาสตร์ ล้วนเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง
โจวมี่เรียกตัวเองว่าหนอนหนังสือเฒ่า และยังถูกผู้คนขนานนามว่าจิ้งจอกเฒ่าเหนือเมฆ
ในบรรดาลูกศิษย์ของเขาอย่างโซ่วเฉิน ไฉ่อิ๋ง ถงเสวียน ถงอิน อวี๋จ่าว และยังมีหลิวป๋ายที่อยู่ในกระโจมเจี่ยเซินผู้นั้น ตอนนี้ล้วนติดอันดับเมล็ดพันธ์ร้อยเซียนกระบี่ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ก็ยังมีลูกศิษย์อีกกลุ่มใหญ่ที่ตอนนี้เป็นคนบนเส้นทางของสำนักการทหาร สำนักการค้า และสำนักคำนวณ
ลูกศิษย์ของโจวมี่ แซ่สกุลของทุกคนล้วนจำเป็นต้องรอให้ตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้แตกก่อนถึงจะได้รับมา
ในความเป็นจริงแล้ว คนที่รับผิดชอบถือพู่กันเขียนชื่อลงในทำเนียบวงศ์สกุลนี้ก็คือตัวโจวมี่เอง
เล่าลือกันว่าในประวัติศาสตร์ปีศาจใหญ่โครงกระดูกป๋ายอิ๋งเคยถามด้วยความใคร่รู้ว่า ‘อาจารย์โจวมี่อยากเป็นเจ้าแห่งสายบุ๋นของใต้หล้าเราหรืออย่างไร?’
โจวมี่ยิ้มตอบ ‘แค่นั้นยังไม่พอ’
และวันนี้โจวมี่ก็ได้พูดถึงเรื่องความรู้ยิบย่อยที่ว่า เป็นคนต้องจริงใจไร้เดียงสา ลงมือกระทำให้เป็นดั่งการสร้างเรื่องราว พูดทีหนึ่งก็นานเกือบครึ่งชั่วยาม
อีกทั้งเขายังจะต้องถามคำตอบจากพวกลูกศิษย์ก่อน จากนั้นโจวมี่ที่เป็นอาจารย์ผู้สอนหนังสือถึงจะให้คำตอบของตัวเอง หากมีใครที่ตอบคำถามได้อย่างยอดเยี่ยม โจวมี่ก็จะมอบของตกแต่งบนโต๊ะหนังสือไปให้ชิ้นหนึ่ง และวันนี้เขาก็มอบตราประทับส่วนตัวที่สลักคำว่า ‘ลำธารขุนเขาไร้ที่สิ้นสุด’ ด้วยมือตัวเองให้กับลูกศิษย์
ช่วงแรกๆ ที่โจวมี่เริ่มถ่ายทอดวิชาความรู้เคยพูดกับลูกศิษย์รุ่นแรกทุกคนอย่างตรงไปตรงมาว่า ทุกวันนี้บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลไม่คิดว่าหลักการเหตุผลล้ำค่าอีกต่อไปแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาย่อมมีหลักการเหตุผลเป็นของตัวเอง ความผิดความถูกและความดีความเลวในหลักการเหตุผลเหล่านั้นซับซ้อนอย่างมาก แต่บัณฑิตของใต้หล้าเปลี่ยวร้างยังอยู่ไกลเกินกว่าจะไปได้ถึงขอบเขตนั้น ไม่มีคุณสมบัติที่ทุกคนจะมีเหตุผลได้เลย เพราะพื้นฐานแย่เกินไป ดังนั้นช่วงแรกของการศึกษาหาความรู้จึงต้องมีใจที่เคารพศรัทธา การบ้านของลูกศิษย์ทุกคนของโจวมี่มีแค่อย่างเดียว นั่นคือทุกวันต้องคัดตำราของเมธีร้อยสำนัก
วันนี้ปัญหาข้อสุดท้ายคือ โจวมี่พูดถึงคนและเวลา
นี่เกี่ยวพันไปถึงจุดประสงค์อันเป็นรากฐานอย่างหนึ่ง โจวมี่เชื่อว่าต่อให้เผ่าปีศาจสติปัญญาเปิดโล่ง จำแลงร่างกลายเป็นมนุษย์ได้แล้ว ก็มีเพียงต้องอ่านตำราศึกษาเล่าเรียนเท่านั้นถึงจะถือว่าเป็นมนุษย์ได้อย่างแท้จริง
ใบหน้าของโจวมี่ประดับรอยยิ้ม พูดเจื้อยแจ้วถึงสิ่งที่คิดอยู่ในใจไม่หยุด
ก่อนอายุสิบปี กาลเวลาคือลำธารเส้นเล็กที่ค่อยๆ ไหลริน ช้าจนราวกับว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่เติบโตอีกแล้ว มองไม่เห็นทัศนียภาพที่ห่างไปไกล
หลังจากอายุยี่สิบ ไม่สนใจการไหลหายไปของกาลเวลาแม้แต่น้อย ช้าเร็วตามแต่ใจ มองนานหน่อยยังรู้สึกเบื่อหน่ายด้วยซ้ำ
หลังอายุสามสิบ กาลเวลาเริ่มชักเท้าวิ่งตะบึง กระชากให้คนเดินไม่ทันตั้งตัว
หลังอายุสี่สิบ ราวกับมันกลายมาเป็นมหานทีที่ไหลทะลักเข้าสู่มหาสมุทร
หลังอายุหกสิบ อยู่ดีๆ ก็คล้ายเปลี่ยนไปในฉับพลัน กลายมาเป็นทะเลสาบที่สงบนิ่ง หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว
ก่อนจะจากโลกนี้ไปก็เหมือนน้ำตกสายหนึ่งที่หล่นร่วงลงสู่บ่อลึก
มีลูกศิษย์ที่ฟังอย่างตั้งใจ แล้วก็มีลูกศิษย์ที่ไม่ค่อยเก็บมาใส่ใจ
และโจวมี่ก็ไม่แบ่งแยกพวกเขาว่าใครสูงหรือใครต่ำเพราะสาเหตุนี้ เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยิ่งเป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ มองจากภายนอกก็ยิ่งไม่มีความหมายที่จับต้องได้จริงมากเท่านั้น แต่หากถามความคิดของข้า อำนาจที่แท้จริงของโลกไม่ได้อยู่ตำแหน่งสูง ไม่ได้อยู่ที่หมัดแข็ง แต่อยู่ที่คนคนหนึ่งสามารถสร้างอิทธิพลให้ในใจของคนได้กี่มากน้อย พวกเจ้าฟังเข้าหู ดีมาก ฟังไม่เข้าหู ก็ไม่เป็นไร มีทักษะพิเศษที่ช่วยให้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขปลอดภัยนั้นอยู่ กาลเวลายาวนาน ขอแค่ไม่ขังตายห้องหัวใจตัวเอง พวกเจ้าก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้เดินขึ้นสู่ที่สูงทีละก้าว ทัศนียภาพของมหามรรคางามล้ำ เมื่อไปถึงใต้หล้าไพศาลก็จงเด็ดเอามาได้ตามใจชอบ”
โจวมี่กล่าวมาถึงตรงนี้ก็หันหน้ามาทางฉากกั้นขุนเขาสายน้ำอันนั้น ในความเป็นจริงแล้วคือมองไปยังมุมหนึ่งบนหัวกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อย่าคิดว่าฟ้าสูงแล้วจะไร้หูไร้ตา อย่าคิดว่าแผ่นดินหนาแล้วจะไร้ความกระตือรือร้น”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “คิดจะก่อสำนักตั้งตนเป็นบรรพบุรุษ เจ้ายังห่างชั้นอยู่ไกลนัก”
…..
ท่ามกลางม่านราตรี มีบุรุษท่าทางเฉยชาคนหนึ่งเดินผ่านประตูใหญ่ที่บุกเบิกใหม่ของภูเขาห้อยหัว ออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาถึงหอจิ้งเจี้ยน
คนที่เดินอยู่ข้างกายเขาคือบิดาของเยี่ยนจั๋วที่ร่ายใช้เวทอำพรางตา เจ้าประมุขตระกูลเยี่ยนที่ทำการค้ากับเรือข้ามฟากของใต้หล้าไพศาลมานานหลายปี เยี่ยนหมิง