กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 625.2 ผู้ฝึกกระบี่
จากนั้นเฉินผิงอันก็โบกพัด พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความน้อยใจว่า “ผู้อาวุโสเฉิงอย่าได้อาศัยว่ามีเวทกระบี่อันลี้ลับ เห็นว่าตัวเองโดดเด่นในหมู่เซียนกระบี่มากมายแล้วจะพูดจาเหลวไหลรังแกเด็กรุ่นหลังอย่างข้าได้ แต่เวลานี้ผู้อาวุโสเฉิงดื่มเหล้าอ่านตำราและออกกระบี่แล้ว ปราณกระบี่เปิดตำรา สังหารปีศาจแกล้มสุรา ผู้อาวุโสเฉิงท่านช่างมีมาดของคนดังเสียจริง”
แม้ว่าเฉิงเฉวียนจะพลิกเปิดตำราตราประทับอย่างไม่ใส่ใจไปด้วย แต่กลับออกกระบี่ไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย ส่วนเฉินผิงอันที่แม้จะกลับมาเป็นร้านผ้าห่อบุญอีกครั้ง แต่ก็ออกกระบี่ได้อย่างราบรื่นไม่มีติดขัด
เฉิงเฉวียนอ่านตัวอักษรริมขอบของตราประทับชิ้นหนึ่งก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ แล้วทำท่าว่าจะเปิดผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ คิดไม่ถึงว่าหางตาของเฉิงเฉวียนจะเหลือบไปเห็นว่าเจ้าตะพาบน้อยหน้าไม่อายนั่นกำลังจ้องเป๋งมาที่ตน จากนั้นฝ่ายหลังก็ยิ้มอย่างเข้าใจ นั่นคงจะเป็นการบอกว่าข้าเข้าใจท่าน รับรองว่าแม้จะเห็นแต่จะไม่พูดแฉให้ผู้อาวุโสเฉิงลำบากใจแม้แต่น้อย เฉิงเฉวียนจึงไม่คิดมากอีก ยื่นมือไปลูบตัวอักษรเหล่านั้น โดยเฉพาะสองคำท้ายประโยคว่าคนงามที่ทำให้ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าท่านนี้ทอดถอนใจไม่หยุด
‘ลาขาเป๋หมวกขาดเสื้อผ้าเก่า ขุนเขาเขียวน้ำใสทางสายเดิม น้ำค้างรุ่งอรุณน้ำค้างยามค่ำธารดวงดาว จุดตะเกียงแจกันดอกไม้คนงาม’
เขาเฉิงเฉวียนกับจ้าวเก้ออี๋ คนทั้งสองแก่งแย่งชิงดีกันมาทั้งชีวิต ก็ไม่รู้ว่าสรุปแล้วนางชอบใครกันแน่ นางแค่บอกว่าใครเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้ก่อน นางก็จะชอบคนผู้นั้น
ตอนนั้นเขาเฉิงเฉวียนขอบเขตสูงกว่า พรสวรรค์ดีกว่า ดังนั้นเฉิงเฉวียนจึงบอกว่านางต้องชอบตนอย่างแน่นอน
แต่จ้าวเก้ออี๋กลับพูดมาตลอดว่านั่นเป็นความห่วงใยของนาง เพราะหวังว่าจะใช้เรื่องนี้มากระตุ้นจิตแห่งการฝึกตนของข้าจ้าวเก้ออี๋
ต่างคนต่างมีเหตุผล แข่งขันกันมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วน
เคยมีเซียนกระบี่หญิงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ท่านหนึ่งนามว่าซ่งอวิ๋นไฉ่ งดงามเลิศล้ำ
นางกับเฉิงเฉวียนและจ้าวเก้ออี๋ต่างก็มีชาติกำเนิดมาจากตรอกยากจนเส้นเดียวกัน ในช่วงเวลาหลายปีที่คนทั้งสามต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบน คอยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ตรอกเล็กที่มีเซียนกระบี่ถือกำเนิดพร้อมกันถึงสามคนแห่งนั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือจนแม้แต่ภูเขาห้อยหัว สำนักอวี่หลงที่ห่างไปไกลยิ่งกว่า หรือแม้แต่ทักษินาตทวีปที่ห่างไปอีกก็ยังเคยได้ยินชื่อ
เฉงิเฉวียนโยนตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่เล่มนั้นกลับคืนให้เฉินผิงอัน พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “วันหน้าเมื่อเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วก็อย่าไปยุ่งกับเรื่องทางโลกให้มากนัก”
เฉินผิงอันเก็บตำราตราประทับมา วันนี้ขายของอะไรไม่ออกสักอย่าง แล้วยังต้องเสียเหล้าหมักตระกูลเซียนไปเปล่าๆ อีกสองกา แต่ในเมื่อเฉิงเฉวียนพูดถึงเรื่องผู้ฝึกกระบี่ขึ้นมาแล้ว บวกกับที่เรื่องเดิมไม่ควรทำซ้ำสาม ก็ถือเสียว่าคำพูดนี้เป็นนิมิตหมายอันดี เขาจึงยิ้มเอ่ยว่า “ขอให้สมพรปากท่านผู้อาวุโส วันหน้าได้เป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วค่อยว่ากัน”
แล้วคนทั้งสองก็เงียบงันไป ต่างคนต่างออกกระบี่
ฉีโซ่วรู้สึกอิจฉาเถ้าแก่รองผู้นี้นิดๆ ไม่ว่ากับใครก็ล้วนพูดคุยได้หมดจริงๆ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
เฉิงเฉวียนพลันเอ่ยขึ้นว่า “ตามความเห็นของข้า หากไม่นับวิชาหมัดหรือสมบัติอาคม เจ้านับว่ามีสติปัญญาเฉียบไวไม่น้อย นี่ต่างหากจึงจะเป็นความสามารถติดตัวที่ดีที่สุด หากข้าให้เจ้าแกะสลักตราประทับชิ้นเมื่อครู่ ไม่ต้องเปลี่ยนอักษรริมขอบ เพียงแต่เปลี่ยนตัวอักษรของตราประทับ เจ้าจะสลักเนื้อหาว่าอะไร? ถ้าถามข้านะ ตัวอักษรบนหน้าตราประทับที่อยู่ในตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่แล้วก็บนหน้าพัด มีตัวอักษรเยอะแยะมากมายขนาดนั้น หากใครเคยอ่านตำรามาก่อนก็ล้วนสามารถคัดลอกเอามาใส่ได้ อย่างมากก็แค่ดัดแปลงสักเล็กน้อย ไม่ถือว่าเป็นความสามารถที่แท้จริงอะไร ลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งมีความรู้อยู่เต็มท้อง ก็ไม่ควรจะถูกจำกัดอยู่แค่นี้”
คราวนี้ถึงตาเฉิงเฉวียนที่ได้เปิดโลกทัศน์บ้างแล้ว เพราะเถ้าแก่รองผู้นั้นถึงขั้นหยิบตราประทับชิ้นหนึ่งออกมาโดยตรง แล้วยิ้มเอ่ยว่า “รบกวนผู้อาวุโสเฉิงช่วยดูแลสนามรบของข้าไปพร้อมกันด้วย แต่แน่นอนว่าคุณความชอบยังต้องเป็นของข้านะ”
มีเฉิงเฉวียนคอยช่วยออกกระบี่ต้านทานศัตรู สถานการณ์ย่อมมั่นคง
เฉินผิงอันสามารถแอบอู้ได้อย่างสบายใจ เขาเก็บกระบี่บินสี่เล่มมา สามเล่มล้วนผลุบหายเข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เพื่อพักผ่อนครู่หนึ่ง แค่ใช้กระบี่บินสืออู่มาทำเป็นมีดแกะสัก เพียงแต่ว่าเขาไม่เพียงแต่เปลี่ยนตัวอักษรของตราประทับ แม้แต่เนื้อหาที่เป็นลายริมขอบก็ยังเปลี่ยนด้วย
หลังมอบให้เฉิงเฉวียน เฉิงเฉวียนก็กำไว้ในมือแน่น พอยกขึ้นมาดูก็พยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “พอใช้ได้”
ตราประทับใหม่เอี่ยมชิ้นเมื่อครู่นี้ที่มองดูเหมือนถูกตา แต่กลับไม่ได้ชื่นชอบจริงๆ ถูกเฉิงเฉวียนเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ
เพื่อนเก่าแก่ก็คือคนงาม ห้าวหาญมากความพิเศษ
ในใจเด็กหนุ่มมีหนึ่งยอดเขา พลันถูกก้อนเมฆขโมยจากไป
ตัวอักษรบนหน้าตราประทับคือ ไม่ทันระวัง
เฉินผิงอันไม่รีบร้อนออกกระบี่ใหม่อีกครั้ง ยังคงปล่อยให้เฉิงเฉวียนช่วยเก็บกวาดสนามรบ เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ในใจมีความงดงามยิ่งใหญ่ ไม่กลัวว่าใครจะเห็นเข้า”
เฉินผิงอันใช้พัดพับไม้ไผ่หยกที่ลูกศิษย์อย่างชุยตงซานมอบให้พัดลมเข้าใส่ตัว แล้วก็ช่วยพัดลมเย็นๆ ให้กับผู้อาวุโสเฉิงด้วย เขายิ้มร่าเอ่ยว่า “ตราประทับที่ทำขึ้นเพื่อผู้อาวุโสโดยเฉพาะชิ้นนี้ ไม่เพียงแต่วัสดุดีเยี่ยม แต่ละตัวอักษรที่ใช้มีดแกะสลักยังสลักด้วยความตั้งใจ ราคาเดิมไม่สูง หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช บวกกับที่ผู้อาวุโสเฉิงคือเซียนกระบี่ ลดให้แปดส่วน อีกทั้งตอนนี้ยังช่วยผู้น้อยสังหารศัตรู จึงลดเหลือห้าส่วน แค่ห้าเหรียญเงินร้อนน้อยเท่านั้น!”
แล้วเฉินผิงอันก็กดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “หากเปลี่ยนมาเป็นข้า คงไม่ต้องลดอะไรแล้ว หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชก็คือหนึ่งเหรียญไปเลย!”
เฉิงเฉวียนไม่ได้สนใจคนหนุ่ม สีหน้าของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเลื่อนลอย บนใบหน้าที่แก่ชรานั้นค่อยๆ ปรากฎรอยยิ้มบางๆ พึมพำว่า “ปีนั้นนางคือสตรีที่งดงามที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่เรา งดงามมากๆ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉิงเฉวียนก็หันหน้ามาพูดกับเฉินผิงอันด้วยสีหน้าจริงจัง “โดดเด่นกว่าหนิงเหยาของเจ้าเสียอีก”
คิดไม่ถึงว่าบัณฑิตจะเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ
เฉินผิงอันสบถด่าออกมาทันทีวา “ผายลมสุนัขกับมารดาเจ้าเถอะ!”
กลับกลายเป็นว่าเฉิงเฉวียนยิ่งอารมณ์ดี นี่เป็นเหตุการณ์ที่เขาคุ้นเคยดี จึงไม่คิดมากแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าดื่มเหล้าของคนอื่น เอาตราประทับของคนเขามา ถึงอย่างไรก็ไม่ควรด่ากลับไป จึงยิ้มเอ่ยว่า “ด่าคนอื่นแบบนี้ได้อย่างไร”
เฉินผิงอันถาม “หากเจ้ากดขอบเขตเหลือเท่าผู้ฝึกตนขอบเขตสาม ก็คอยดูเถอะว่าข้าจะด่าเจ้ายิ่งกว่านี้หรือไม่”
เฉิงเฉวียนยิ้มบางๆ เอ่ยเตือนว่า “เถ้าแก่รอง หากเจ้ายังไม่ยอมเลิกราอยู่แบบนี้ ข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ”
ฉีโซ่วรู้สึกระอาใจเล็กน้อย
หนึ่งคนแก่หนึ่งคนหนุ่มทางฝั่งนั้น คนสองคนทะเลาะกัน แต่กลับทำท่าทางเหมือนคนสองร้อยคนจับกลุ่มตีกันอย่างไรอย่างนั้น
โชคดีที่ไม่ถ่วงรั้งการออกกระบี่ขัดขวางศัตรู
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะท่านหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่มีประสบการณ์การเข่นฆ่ามาอย่างโชกโชน อีกคนหนึ่งก็คือเถ้าแก่รองที่คิดเล็กคิดน้อยยิ่งกว่าอะไรดี
เรื่องเดียวที่ฉีโซ่วคิดไม่ถึงก็คือ ทั้งสองฝ่ายด่ากันเก่งจริงๆ
ดูจากท่าทางแล้วเฉินผิงอันจะได้เปรียบ เพราะคำด่าบางคำ เฉินผิงอันด่าโดยใช้ภาษาท้องถิ่นของบ้านเกิดตัวเองหรือไม่ก็ภาษากลางของทวีปอื่น
เฉิงเฉวียนฟังไม่เข้าใจ แล้วยังต้องคอยเดาว่าอีกฝ่ายด่าว่าอะไร บางครั้งแววตาของเฉินผิงอันก็ฉายความเวทนา ใช้ภาษาท้องถิ่นของที่แห่งอื่นด่าคนชมคนปนกันไป บางครั้งก็พูดซ้ำด้วยภาษาถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกรอบ เฉิงเฉวียนคิดจะด่ากลับก็ยังต้องเดาอีกว่าที่อีกฝ่ายพูดมามีจริงเท็จกี่มากน้อย ดังนั้นจึงตกอยู่ในสภาวะที่ค่อนข้างยากลำบากอยู่บ้าง ความสามารถในการด่าคนที่ได้จากการฝึกปรือฝีมือกับจ้าวเก้ออี๋มานานหลายปีถูกลดทอนไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
ครึกครื้นยิ่ง
ตอนที่ฟ่านต้าเช่อเอาเหล้ามามอบให้เฉินผิงอัน เขาฟังแล้วรู้สึกขนลุกไปถึงหนังหัว
ฟ่านต้าเช่อจึงมาแค่ครั้งเดียวแล้วก็ไม่กล้ามาอีก บอกให้ต่งฮว่าฝูที่ถอยออกจากสนามรบมาพักผ่อนชั่วคราวเอาเหล้ามาส่งให้แทน ต่งฮว่าฝูกลับชอบความครึกครื้นนี้อย่างมาก เขานั่งอยู่ด้านข้าง เงี่ยหูตั้งใจฟัง ทั้งสามารถบำรุงกระบี่ แล้วยังได้ดูเรื่องสนุก รู้สึกว่าตัวเองได้เรียนรู้ความรู้ใหม่ๆ มาอีกไม่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่ความสามารถในการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง กระพือไฟให้โหมไหม้แรงของต่งฮว่าฝูยังเป็นพรสวรรค์อันมีเอกลักษณ์ที่ไม่ว่าใครก็ทำตามไม่ได้อีกด้วย
สองกองทัพที่คุมเชิงกันไม่เคยหยุดพักรบ สิบวันผ่านไป เฉิงเฉวียนกับเฉินผิงอันถึงได้หยุดพักรบอีกครั้ง
อันที่จริงฉีโซ่วถึงจะถือว่าเป็นคนที่ต้องทรมานมากที่สุด
เฉินผิงอันมักจะยกเรื่องของเขาไปพูด ปากพร่ำพูดว่าพี่ฉีของข้าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อายุน้อยๆ แค่สามสิบปีก็ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดแล้ว ตาเฒ่าเฉิงหากเจ้ามียางอายก็รีบไสหัวไปให้ไกลฉีโซ่วเลย ตาเฒ่าเฉิงขอบเขตของเจ้าไม่สูงก็แล้วไปเถิด ได้ยินมาว่าเพิ่งจะมีกระบี่บินแค่สองเล่ม เห็นไหมว่าพี่ฉีมีกระบี่บินกี่เล่ม? ประเด็นสำคัญคือกระบี่บินทุกเล่มของพี่ฉีล้วนมีระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดซึ่งพันปีไม่พานพบหมื่นปียากปรากฏ ตาเฒ่าเฉิงเจ้าจะเอาตัวไปเปรียบเทียบกับเขาได้อย่างไร?
และด้วยนิสัยของเฉิงเฉวียน พอเลือดขึ้นหน้าก็อย่าว่าแต่ด่าฉีโซ่วเลย แม้แต่บรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของตระกูลฉีเขาก็ยังไม่ละเว้น
เวลานี้เฉิงเฉวียนยิ้มเอ่ยว่า “น้องเฉิน หลังจากได้ประมือกับเจ้า หากไปทะเลาะกับเจ้าจ้าวเก้ออี๋ที่นิสัยอ้อนแอ้นเหมือนสตรีผู้นั้น พี่ใหญ่อย่างข้าก็ชนะได้อย่างมั่นคงแล้ว”
เฉินผิงอันโบกพัด ยิ้มบางๆ “ให้ข้าผู้อาวุโสได้พูดจาอย่างเป็นธรรมสักคำ ข้าคนเดียวก็ด่าพวกเจ้าสองคนได้แล้ว”
เฉิงเฉวียนถลึงตาใส่ “ให้หน้านิดๆ หน่อยๆ ก็ลามปามใช่ไหม? มาปล่อยกระบวนท่ากันอีกหน่อยไหมล่ะ?!”
มองดูเหมือนเฉินผิงอันเงียบงัน แต่แท้จริงแล้วกลับรวมเสียงให้เป็นเส้น แอบพูดกับเฉิงเฉวียน
เฉิงเฉวียนคล้ายกำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย สุดท้ายพยักหน้ารับ แล้วพูดกับฉีโซ่วว่า “เจ้าลูกกระต่ายตระกูลฉีที่ตาไปขึ้นอยู่บนหัวผู้นั้นน่ะ (ตาขึ้นบนหัว เปรียบเปรยถึงคนหัวสูง เย่อหยิ่ง ไม่เห็นหัวใคร) ท่านปู่เฉิงเห็นว่าฐานกระดูกของเจ้าพิเศษ จะมอบโชควาสนาให้เจ้าครั้งหนึ่งดีไหมล่ะ?”
ฉีโซ่วแสร้งทำเป็นคนใบ้
ในมือของเฉิงเฉวียนมียันต์เพิ่มมาสองปึก แล้วเขาก็เดินไปหาฉีโซ่ว
ครู่หนึ่งต่อมา เฉิงเฉวียนก็ย้อนกลับมาทางเดิม ไม่ได้มานั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน แต่กลับไปอยู่บนแถบหัวกำแพงเมืองที่ตอนแรกเซียนกระบี่หญิงเซี่ยซงฮวาและบัณฑิตหลิวเสี้ยนหยางเคยมาเฝ้าพิทักษ์
ฉีโซ่วคีบยันต์ออกมาสองแผ่น แบ่งออกเป็นยันต์นำทางกับยันต์ข้ามสะพาน เขามองประเมินมันอย่างละเอียด ยันต์ทั้งสองแผ่นนี้ระดับขั้นสูงกว่าที่คิดไว้ เมื่อเอามาวาดลงบนกระดาษราคาถูกคุณภาพเลวแบบนี้ก็ช่างเป็นการย่ำยียันต์นี้เสียจริง ฉีโซ่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ใช้เสียงในใจเอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “สรุปแล้วเจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่?”
เฉิงเฉวียนบอกว่ากระบี่บินเที่ยวจูของฉีโซ่ว ตอนนี้ยังไม่ถูกหล่อหลอมจนถึงขอบเขตที่สูงที่สุด แค่มีจำนวนมากเท่านั้น ยังขาดพลานุภาพบางอย่างไป จากนั้นก็เอ่ยคำสั่งสอนของผู้อาวุโสที่ฉีโซ่วจำต้องขบคิดอย่างตั้งใจ นั่นล้วนเป็นประสบการณ์ที่ได้มาจากการบังคับกระบี่ของทั้งเฉิงเฉวียนและจ้าวเก้ออี๋ ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหมาะกับการออกกระบี่ของฉีโซ่ว แต่สำหรับผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่อาจตกอยู่ในขอบเขตแน่นิ่งไม่ขยับดุจขุนเขาได้ง่ายแล้ว ต่อให้จะมีประโยชน์ต่อมหามรรคาเพียงแค่เสี้ยวเดียว ก็มิอาจดูแคลนได้
นอกจากนี้เฉิงเฉวียนยังแนะนำฉีโซ่วว่าไม่สู้ลองทำการค้ากับเฉินผิงอันดู ไม่ขาดทุนแน่นอน หากขาดทุนก็ไปขอให้จ้าวเก้ออี๋ช่วยใช้หนี้ให้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ช่วยคนอื่นก็คือช่วยตัวเอง”
แล้วเฉินผิงอันก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “ส่วนจะมอบเรื่องน่าประหลาดใจเล็กๆ ให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือไม่ ก็ตามใจเจ้า ข้าไม่เคยทำการค้าที่ต้องประจบเอาใจใคร พิถีพิถันในคำว่าเจ้ายินยอมข้าพร้อมใจเสมอ หาเงินมาได้ด้วยความเบิกบาน ใช้จ่ายเงินออกไปด้วยความชื่นมื่น”
ฉีโซ่วเข้าสู่ภวังค์ความคิด
แผนการที่เฉิงเฉวียนบอกกับเขาก่อนหน้านี้เรียบง่ายมาก แต่ขณะเดียวกันก็ซับซ้อนอยู่ไม่น้อย
เรียบง่ายก็เพราะกระบี่บินเที่ยวจูที่ในอนาคตมีหวังว่าจะได้เลื่อนเป็นอาวุธเซียนเล่มนั้นสามารถจำแลงเป็นกระบี่บินร้อยพันเล่มที่เป็นของจริงจับต้องได้โดยที่ปณิธานกระบี่ไม่ลดลงแม้แต่น้อยได้จริงๆ ในเมื่อจำนวนมากพอ ถ้าอย่างนั้นก็เพิ่มของบางอย่างเข้าไป เหมือนกับการเพิ่มวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอย่างหนึ่งให้กับกระบี่บิน
ซับซ้อน ก็เพราะว่าคำว่า ‘เพิ่ม’ ที่พูดง่ายนี้มีขั้นตอนยิบย่อยอย่างถึงที่สุด จำเป็นต้องมีคนคอยเพิ่มยันต์ช่วยประคับประคองกระบี่บินทุกเล่ม และระหว่างกระบี่บินแต่ละเล่มก็จำเป็นต้องเชื่อมโยงถึงกัน เที่ยวจูทุกเล่มจะต้องช่วยกันสร้างค่ายกลยันต์ สุดท้ายกระบี่บินเที่ยวจูทั้งหมดจึงจะกลายเป็นค่ายกลยันต์ขนาดใหญ่
นอกจากนี้แล้วยังมีสิ่งที่ทำให้ฉีโซ่วกลัดกลุ้มยิ่งกว่า เขากังวลว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย แล้วจะทำให้เฉินผิงอันคุ้นเคยกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเที่ยวจูของตัวเองมากขึ้นจากขั้นตอนของการสร้างค่ายกลยันต์นี้
เพราะถึงอย่างไรกระบี่บินเที่ยวจูเล่มนี้ก็เป็นรากฐานมหามรรคาของฉีโซ่วมากยิ่งกว่า ‘เกาจู๋’ กระบี่ประจำกายซึ่งเป็นอาวุธกึ่งเซียนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเล่มนั้น
ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ช่วงชิงชีวิตกับคนอื่น หรือลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรู เมื่อฉีโซ่วบังคับกระบี่บินเที่ยวจูหนึ่งพันเล่มที่เป็นของแท้แน่นอน จะเป็นภาพบรรยากาศอย่างไร?
คนที่เป็นศัตรูกับเขา จะมีความรู้สึกอย่างไร?
ก็เหมือนอย่างที่ฉีโซ่วเคยพูดไว้ เมื่อออกจากหัวกำแพงเมืองไป เขากับเฉินผิงอันก็คือศัตรูมิใช่มิตร
เฉินผิงอันพลันยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ด้วยรากฐานอันลึกล้ำของตระกูลฉี ขอแค่คิดถึงข้อนี้ได้ ก่อนหน้าที่กระบี่บินเที่ยวจูของเจ้าจะเดินขึ้นสู่จุดสูง วิชาอภินิหารสายยันต์ที่เรียนไปจากข้า ขอแค่เจ้าสามารถทำตามได้ ที่เจ้าต้องเสียก็เป็นแค่การทุ่มเงินเท่านั้น แต่เจ้ากลับได้รับผลประโยชน์ใหญ่หลวงในรูปแบบใหม่? ถูกข้าทำความคุ้นเคยกับวิชาอภินิหารเฉพาะตัวของเที่ยวจูจะเสียเปรียบ หรือเจ้าฉีโซ่วได้รับคุณความชอบทางการต่อสู้ที่เป็นของแท้แน่นอนมาเพิ่มจะได้กำไรมากกว่า พี่ฉีเอ๋ยพี่ฉี เจ้าลองชั่งน้ำหนักดูเอาเถิด”
ฉีโซ่วก้มหน้าลงมองยันต์สองแผ่นที่ยังไม่ได้เอาวางกลับคืนในกองยันต์ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หลังฝ่าทะลุขอบเขต ตอนนี้ข้าสามารถบังคับกระบี่บินเที่ยวจูได้เกือบเจ็ดร้อยเล่ม ยันต์กระดาษเหลืองนี้ของเจ้าสามารถสร้างค่ายกลได้จริงๆ หรือ? ราคาของยันต์แต่ละแผ่นจะคิดอย่างไร? หากมันเป็นแค่ซี่โครงไก่ ถึงเวลานั้นต้องคุมเชิงกับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนของเผ่าปีศาจจะไม่ถูกทำลายได้อย่างง่ายดายหรอกหรือ? แบบนั้นจะคิดกันอย่างไร? ประเด็นสำคัญคือเจ้าจะถ่ายทอดความรู้ที่เป็นแก่นแท้ของค่ายกลยันต์ทั้งหมดให้ข้าจริงหรือ? ถอยไปพูดหมื่นก้าว ข้าเป็นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวคนหนึ่ง เจอสงครามใหญ่ติดต่อกันเรื่อยๆ นี่ก็ไม่สู้ให้ข้าไปเรียนวิชายันต์เอาเอง หากเจ้าเพียงแค่วาดแผ่นแป้งใหญ่ๆ ให้ข้าแผ่นหนึ่ง ข้าจ่ายเงินแต่กลับกินไม่ได้ มันจะคุ้มค่าได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “พี่ฉีไม่ใจป้ำเอาเสียเลย ร่วมมือกับข้าทำการค้าไม่มีทางขาดทุนแน่ มีแค่ได้กำไรมากหรือน้อยเท่านั้น นี่ไม่ใช่ว่าข้าพูดเองส่งเดช แต่เป็นเรื่องจริงที่ทำให้พวกเจ้าได้เห็นเองกับตากันมาแล้ว”
สุดท้ายเฉินผิงอันหันหน้ามา หุบพัดพับ ส่ายหน้าถอนหายใจพูดด้วยสีหน้าเสียดายว่า “พี่ฉี มองข้าเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่ต้องตายกันไปข้างนอกสนามรบ คู่ควรแก่มหามรรคาของเซียนกระบี่ที่พี่ฉีมองว่าต้องเป็นของในกระเป๋าตัวเองแล้วจริงหรือ?”