กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 625.3 ผู้ฝึกกระบี่ / บทที่ 626.1 ก่อกบฏ
บทที่ 625.3 ผู้ฝึกกระบี่
เฉินผิงอันใช้พัดพับกวักเรียกหนึ่งที บังคับยันต์สองปึกให้กลับมาอยู่ข้างกายตน ยิ้มเอ่ยว่า “ค้าขายไม่สำเร็จแต่คุณธรรมยังคงอยู่ จะมอบคำสอนของอริยะปราชญ์ให้พี่ฉีเปล่าๆ ประโยคหนึ่ง ‘วิญญูชนให้ความสำคัญกับความมานะของตัวเอง มิใช่หวังให้ฟ้าประทานให้ ดังนั้นจึงพัฒนาก้าวหน้าได้ทุกวัน’”
เฉิงเฉวียนใช้เสียงในใจยิ้มถามว่า “กิจการหดหายเช่นนี้น่ะหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ย “นี่เป็นความรู้สึกของคนทั่วไป หากเปลี่ยนมาเป็นข้าก็ไม่มีทางตอบตกลงง่ายๆ เหมือนกัน”
เฉิงเฉวียนพยักหน้า “เรื่องของยันต์ค่ายกลก็เหมือนกับซี่โครงไก่อยู่บ้างจริงๆ ฉีโซ่วไม่ถูกเจ้าหลอกก็นับว่าพอจะมีสมองอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก วิชายันต์นี้ของข้าได้มาไม่ง่ายเลย หากทำสำเร็จ พลานุภาพก็ไม่เล็กเลยจริงๆ …”
เฉิงเฉวียนอึ้งตะลึง “เดี๋ยวนะ ตามความหมายของเจ้า จะสำเร็จหรือไม่ เจ้าก็ยังรับรองไม่ได้อย่างนั้นหรือ?!”
เฉินผิงอันตอบกลับ “ข้าพูดกับเจ้าหรือฉีโซ่วว่าต้องสำเร็จแน่นอนทันทีทันใดหรือ? อีกอย่างการเขียนยันต์ก็พิถีพิถันในเรื่องของพรสวรรค์เป็นที่สุด จากนั้นจึงจะตามมาด้วยการฝึกปรือจนชำนาญ นี่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินดีแล้ว แค่แรกๆ สิ้นเปลืองยันต์ไปแค่ไม่กี่ร้อยแผ่นจะเป็นไรไป ฉีโซ่วมีเงินเยอะ ยังต้องกลัวความเสียหายน้อยนิดแค่นี้ด้วยหรือ? มารดาเขาเถอะ หากข้าไร้มโนธรรมกว่านี้สักหน่อยก็คงเอากระดาษยันต์เหลืองทองออกมาหลายๆ ปึกแล้ว นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าขนาดเทพเซียนก็ยังต้องเสียดายเงิน”
เฉิงเฉวียนหัวเราะฮ่าๆ “น้องเฉิน ช่วยคนอื่น แต่ตัวเองก็ได้ทั้งฝึกวาดยันต์แล้วก็ได้ทั้งเงิน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว ช่างดีดลูกคิดได้รอบคอบนัก”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “ฆ่าหมูจะยังรังเกียจว่าหมูอ้วนเกินไปด้วยหรือ?”
เฉิงเฉวียนหัวเราะอย่างชอบใจ
แต่สุดท้ายเฉินผิงอันกลับเอ่ยว่า “แต่พอได้เห็นสงครามที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าของที่นี่แล้ว ข้าก็คาดหวังรอคอยวันที่ฉีโซ่วจะเรียกกระบี่ออกมาทีเดียวพันเล่มจริงๆ ต่อให้จะยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่แค่จินตนาการถึงภาพนั้นก็ให้รู้สึกเลื่อมใสอยากทำให้ได้เหมือนเขาแล้ว”
วิญญูชนให้ความสำคัญกับความมานะของตัวเอง มิใช่หวังให้ฟ้าประทานให้ ดังนั้นจึงพัฒนาก้าวหน้าได้ทุกวัน
คำสั่งสอนของอริยะปราชญ์ประโยคนี้ หลักการเหตุผลที่ดีข้อนี้ แท้จริงแล้วมาจากผลงานของอาจารย์ของเฉินผิงอันเอง
หากสามารถอิจฉาในสิ่งที่คนอื่นมี แต่ขณะเดียวกันก็ยังหันกลับมาเคารพตัวเองมากขึ้น แบบนั้นจะดียิ่งกว่าหรือไม่?
วันหน้าข้อสงสัยเล็กๆ ความเข้าใจที่ได้จากการอ่านตำราซึ่งน้อยนิดจนไม่มีค่าพอให้กล่าวถึงข้อนี้ เขาจะต้องเอาไปถามอาจารย์ของตนให้ได้
ฉีโซ่วถาม “ยันต์เหลืองแต่ละแผ่นขายราคาเท่าไร?”
เฉินผิงอันเหน็บพัดพับไว้ที่เอว ลุกขึ้นยืนวิ่งก้มตัวมาอยู่ข้างกายฉีโซ่ว ปากก็พร่ำพูดว่า “รบกวนพี่ฉีช่วยสังหารศัตรูแทนข้าสักครู่ ข้าจะช่วยอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียดเอง สรุปก็คือข้าสามารถรับประกันได้ว่ายิ่งซื้อยันต์มากก็ยิ่งลดราคามาก! มิตรภาพพี่น้องที่แยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจนระหว่างเจ้าและข้านี้ ต่อให้มีทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้!”
จากนั้นพอมาถึงข้างกายฉีโซ่ว เฉินผิงอันก็หันหน้าไปตะโกนอีกหนึ่งประโยคว่า “พี่ใหญ่เฉิง ช่วยดูสนามรบของน้องฉีให้ด้วย เอามาดของผู้อาวุโสออกมาใช้หน่อย อย่างมากสุดครู่หนึ่งพี่ฉีก็สามารถหวนกลับมาที่หัวกำแพงเมืองได้แล้ว”
เฉินผิงอันพาฉีโซ่วออกไปจากหัวกำแพงเมือง ไปนั่งยองอยู่ในมุมหัวกำแพงตรงทางเดินม้าด้วยกัน กองยันต์กระดาษเหลืองทั้งหลายไว้ข้างเท้าตัวเองรวดเดียว แล้วรวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยเบาๆ ว่า “ยันต์แตกต่าง ราคาก็ไม่เหมือนกัน พี่ฉีไม่ใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อย เพราะฉะนั้นข้าก็จะคิดราคาเหมาแบบเป็นธรรมให้เลย ลดราคาให้ครึ่งหนึ่ง ยันต์หนึ่งพันแผ่น ไม่ขาดแม้แต่แผ่นเดียว เก็บเงินพี่ฉีแค่สามเหรียญเงินฝนธัญพืช”
ฉีโซ่วเตรียมจะลุกขึ้นเดินจากไป
ยันต์กระดาษเหลืองธรรมดาหนึ่งพันแผ่น อยู่ที่ใต้หล้าไพศาลสามารถขายได้แค่กี่ตำลึงกันเชียว? อย่างมากสุดก็ไม่กี่สิบตำลึงเท่านั้น
ต่อให้จะใช้ผงชาดมาวาดยันต์ ซึ่งคงต้องใช้ต้นทุนไปไม่น้อย แต่ด้วยนิสัยขี้เหนียวของเฉินผิงอัน สามารถเอาผงชาดตระกูลเซียนมาวาดยันต์รวดเดียวหนึ่งพันแผ่น ระดับขั้นของยันต์ต้องไม่ดีสักเท่าไรแน่นอน จะจ่ายเงินไปกี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะกันเชียว? อย่างมากสุดก็มีค่าใช้จ่ายแค่ไม่กี่เหรียญเงินร้อนน้อยเท่านั้น
เฉินผิงอันไม่ได้รั้งเอาไว้ แค่พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ยันต์ค่ายกลชุดนี้ของข้าเกี่ยวข้องกับยันต์ซานซานจิ่วโหว แน่นอนว่าไม่ได้เหมือนของดั้งเดิมแบบเป๊ะๆ บอกตามตรง ด้วยขอบเขตน้อยนิดของข้าในทุกวันนี้ ย่อมไม่มีความสามารถจะวาดยันต์เช่นนั้นออกมาได้ แต่รากฐานของค่ายกลยันต์กลับมีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่ เกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่นจริงๆ นอกจากนี้ข้าจะต้องเอาความสามารถในการวาดยันต์ทั้งหมดในชีวิตออกมา จะไม่ปิดบังอำพรางไว้แม้แต่น้อย สามารถช่วยให้พี่ฉีประหยัดยันต์ได้หนึ่งแผ่นก็จะประหยัดหนึ่งแผ่น แน่นอนว่าบอกไว้ก่อนว่า ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นค่ายกลยันต์ที่หายสาบสูญไปนาน ไม่ใช่แค่การวาดยันต์ธรรมดาเท่านั้น การเผาผลาญบางอย่าง พี่ฉีจะต้องเตรียมใจเอาไว้ก่อน ส่วนเรื่องที่ว่าจะสามารถเอาปณิธานยันต์ไปฝังในตัวกระบี่ได้อย่างไร ก็เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาลับเฉพาะอีกอย่างหนึ่ง”
ฉีโซ่วกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง
ขึ้นเขายากที่การเริ่มต้น ทองหมื่นชั่งยากจะซื้อเวทคาถาสักบท
นี่ก็คือกฎของการฝึกตนบนภูเขา
ฉีโซ่วยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ยันต์หนึ่งพันแผ่นที่วาดเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกนี้จะช่วยกระบี่บินเล่มนั้นของข้าได้อย่างไร? หรือเจ้าคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะทำการค้านี้กับข้า ดังนั้นยันต์แต่ละแผ่นที่วาดไว้จึงมีเป้าหมาย อีกทั้งแม้แต่เรื่องที่เจ้าและข้าต้องมาเป็นเพื่อนบ้านกัน เจ้าก็เดาไว้ได้นานแล้ว?”
“ดูสิ พี่ฉีใช้ความคิดของคนถ่อยมาวัดใจวิญญูชนอีกแล้ว ใส่ร้ายข้ายิ่งนัก”
เฉินผิงอันหยิบยันต์ปึกหนึ่งขึ้นมาด้วยท่าทางลำบากใจเล็กน้อย เขาใช้นิ้วคลี่ไล่นับยันต์ทีละแผ่น ที่แท้นอกจากยันต์ที่อยู่ด้านบนและด้านล่างไม่กี่แผ่นแล้ว ยันต์ที่เหลือล้วนว่างเปล่า
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจว่า “เส้นทางการวาดยันต์คือเรื่องยากที่เน้นในคำว่าละเอียดและรัดกุม คราวก่อนต่อสู้กับหลีเจินจนมืดฟ้ามัวดิน สูญเสียยันต์ที่มีมูลค่าควรเมืองไปมากนัก ข้าเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอบเขตถดถอยไปสามขั้นติด พี่ฉีเจ้าลองถามมโนธรรมในใจตัวเองดู นึกถึงความทุกข์ทรมานที่ข้าต้องเผชิญออกไหม? นับแต่นั้นมาข้าก็ต้องยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอด ทั้งต้องฝึกหมัด ทั้งต้องซ่อมแซมขอบเขต กระดาษยันต์พวกนี้ข้าจึงยังไม่มีเวลาได้วาด ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงลืมบอกไปว่า ค่าจ้างวาดยันต์กับคุณความชอบจากการสังหารปีศาจที่ต้องเสียไป…”
ฉีโซ่วหัวเราะเสียงเย็น “เฉิงเฉวียนช่วยเจ้าสังหารปีศาจ คุณความชอบนี้หนีไปไหนไม่ได้หรอก”
เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นก็พูดถึงแค่ค่าแรงวาดยันต์ ใต้หล้าไพศาลของพวกเราล้วนมีความพิถีพิถันในเรื่องค่าหมึกค่าพู่กัน พี่ฉีแค่มอบให้พอเป็นพิธีก็พอ สองสามเหรียญเงินร้อนน้อย เงินน้อยนิดดุจสายฝนบางเบา”
ฉีโซ่วเอ่ย “กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีคำกล่าวนี้”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเงินฝนธัญพืชสามเหรียญก็คงลดให้อีกไม่ได้แล้วจริงๆ”
ฉีโซ่วกล่าว “เจ้าคิดจะฆ่าหมูรึ?”
“พี่ฉี ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเหยียบย่ำตัวเองเช่นนี้ บอกว่าตัวเองเป็นคนหลอกง่ายก็ยังดีกว่านะ”
พอพูดจบ เฉินผิงอันก็หัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดีซึ่งนับว่าหาได้ยาก เขาตบไหล่ฉีโซ่ว “นึกถึงเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่พบเจอและจากลากันด้วยดี แล้วยังคิดอยากจะกลับมาพบกันใหม่อีก พี่ฉีจะต้องเป็นเหมือนเขาที่โชคดีอย่างถึงที่สุด มีชีวิตอยู่รอดจนถึงท้ายที่สุด”
ฉีโซ่วดีดมือของเฉินผิงอันออก ขมวดคิ้วมุ่น
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น จ้องฉีโซ่วนิ่ง ก่อนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ามองพี่ฉีไม่ผิดไปจริงๆ ด้วย ไม่จำเป็นต้องแบ่งเป็นตายบนสนามรบ”
ฉีโซ่วถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้ม “เจ้าก็เดาดูสิ”
ฉีโซ่วพลันหัวเราะ “เจ้าไม่กลัวข้าใช้แผนหนามยอกเอาหนามบ่งหรือ? อย่าลืมล่ะว่ากระบี่บินเที่ยวจูมีเยอะมาก ตอนนี้เจ้ายังไม่รู้ว่าสรุปแล้วข้ามีกี่เล่มกันแน่ เจ้าจะสามารถจับตามองทุกรายละเอียดบนสนามรบของข้าได้หรือไง?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ และนี่ยังเป็นเรื่องที่ข้าถนัดมากๆ ด้วย”
ฉีโซ่วนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
เขาเคยได้ยินมาจากบรรพบุรุษของตระกูลว่า ก่อนหน้านี้ไม่นานเซียนกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้รับคำสั่งที่ประหลาดอย่างหนึ่ง นั่นคือในแต่ละช่วงเวลาจะมีเซียนกระบี่แต่ละท่านที่ออกกระบี่โดยออมแรงไว้ก่อน
นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสยินดีทำอย่างแน่นอน
ใครยินดีสวามิภักดิ์กับศัตรู กล้าทรยศกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ตามสบาย
ขอแค่สามารถเก็บซ่อนได้ลึกพอก็ถือว่ามีความสามารถ แต่หากซ่อนได้ไม่ดี แล้วเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมองเบาะแสออก นั่นก็ต้องเจอกับคำเดียว ตาย
ดังนั้นนี่ต้องเป็นคำแนะนำจากคนนอกอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกกระบี่อีกไม่น้อยที่ได้รับยันต์ประหลาดชนิดหนึ่งมาจากทางหอภูษา เป็นยันต์ที่สามารถช่วยอำพรางตัวได้
ในอดีตใช่ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะไม่มีคนที่สามารถวาดยันต์ประเภทนี้ออกมาได้ เพียงแต่ว่าไม่มีผู้ฝึกกระบี่คนใดรู้สึกว่าเป็นสิ่งจำเป็น
อาจจะมีผู้ฝึกกระบี่บางคนที่คิดอยากทำเช่นนี้ แต่ก็ได้แค่เอาความคิดที่จะทำให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนขี้ขลาดหวาดกลัวสงครามนี้ฝังลึกไว้ในใจ
ดังนั้นก็ยังคงต้องเป็นคนนอกที่สามารถเกลี้ยกล่อมเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ฝืนบังคับให้ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์แปะยันต์นี้ไว้บนตัว
อีกทั้งบนหัวกำแพงเมือง นอกจากสิบท่านในอันดับสูงสุดและเซียนกระบี่ใหญ่บางท่านที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญไม่อาจย้ายที่ได้แล้ว เซียนกระบี่จำนวนมากกว่านั้นต่างก็เริ่มผลัดเปลี่ยนตำแหน่งการเฝ้าพิทักษ์พื้นที่กันอย่างเงียบๆ
ฉีโซ่วถาม “เจ้าพูดเรื่องอะไรบางอย่างกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้ไม่เพียงแต่สัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเท่านั้นที่ต้องการให้ข้าตาย เซียนกระบี่จำนวนไม่น้อยที่อยากหาทางหนีทีไล่เส้นใหม่ให้ตัวเองก็ยิ่งอยากให้ข้าตายเสียยิ่งกว่า”
ฉีโซ่วมีสีหน้าปั้นยาก “เจ้าไม่กลัวตายขนาดนี้เชียวหรือ? เพื่ออะไรกัน?”
เฉินผิงอันใช้พัดพับเคาะไปที่หัวไหล่ตัวเองเบาๆ “ตอนที่ข้าอยากตาย เจ้ายังนึกวิธีการของข้าไม่ออก ตอนที่ข้าอยากมีชีวิตอยู่ เจ้าก็ยิ่งคิดไม่ออกเข้าไปใหญ่”
ฉีโซ่วนั่งแปะลงไปบนพื้น เอนหลังพิงกำแพง ยื่นมือออกมา “เอาเหล้ามากาหนึ่ง”
เฉินผิงอันนั่งลงด้านข้าง โยนเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กาหนึ่งไปให้ ส่วนตัวเองปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ตอนนี้ยังหล่อเลี้ยงกระบี่บินสี่เล่มเอาไว้ลงมา
ได้ยินมาว่าเรือนชุนฟานของภูเขาห้อยหัวกำลังจะมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่สุกงอมหลายลูก ระดับขั้นล้วนสูงมาก เพียงแต่ราคาแพงเกินไป อีกทั้งยังมีคนจับจองไว้นานแล้ว
ฉีโซ่วเอ่ยกับเฉิงเฉวียน “ผู้อาวุโสเฉิง รอสักครู่ ขอข้าดื่มเหล้าเพิ่มสักกา”
เฉินผิงอันก็ตะโกนทันทีว่า “ผลงานการสู้รบทั้งหมดในขณะที่พี่ฉีของข้าดื่มเหล้า ล้วนคิดลงบัญชีของข้า”
ฉีโซ่วระอาใจไม่น้อย นี่ข้าผู้อาวุโสใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบในหัวใจพูดกับเฉิงเฉวียนนะนี่
ฉีโซ่วดื่มเหล้าแล้วก็ถามว่า “บัญชีเก่าระหว่างเจ้าและข้า?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ปีนั้นตระกูลฉีอาศัยอำนาจรังแกผู้อื่น ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นวิธีการที่โจ่งแจ้ง อันที่จริงข้าสามารถยอมรับได้ มีพละกำลังมาก หมัดใหญ่กว่า ตรงไปตรงมา ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจแบบหนึ่ง หลักการเหตุผลเช่นนี้ ไม่ว่าข้าจะชอบหรือไม่ก็ล้วนรับได้ เพราะว่ามันเรียบง่าย ประหยัดแรงกายแรงใจอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่ว่าเอาความผิดความถูกมาหักลบชดเชยกัน ลดๆ เพิ่มๆ หากถึงเวลาที่ข้าสามารถออกหมัดออกกระบี่ เรื่องราวมากมายก่อนหน้านี้ก็ไม่ลดไม่เพิ่ม นั่นก็เรียบง่ายเหมือนกัน แค่ให้ชูอีสืออู่เอาคืนพวกเจ้าให้หมดก็พอ ฉีโซ่ว ความยากที่แท้จริงหลายอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าข้าดูแคลนเจ้า แต่พอไปอยู่ใต้หล้าไพศาล นั่นต่างหากที่ชวนให้คนกลัดกลุ้ม ปัญหาจะมากกว่านี้ วันหน้าหากเจ้ามีโอกาสได้ไปเยือนที่นั่น จำไว้ว่าระวังให้มาก”
ฉีโซ่วส่ายหน้า “ข้าไม่มีความสนใจต่อใต้หล้าไพศาลอะไรนั่น แต่กลับอยากไปเยือนใจกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ถามกระบี่ต่อผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแบบอาเหลียงดูสักครั้ง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พกกระบี่ไปเยือนแคว้นอื่น ออกห่างบ้านเกิดไกลหมื่นลี้ ไร้ห่วงให้พะวงหา สมกับเป็นเซียนกระบี่อย่างมาก”
เฉินผิงอันเก็บน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ “ได้เวลาหาเงินแล้ว”
ฉีโซ่วเรียกกระบี่บินเที่ยวจูทั้งหมดเจ็ดร้อยสามสิบสองเล่มออกมาจับกลุ่มรวมกันอยู่ที่มุมกำแพงฝั่งนี้ ส่วนตัวเขาจะต้องกลับไปที่หัวกำแพงเมืองแล้ว
เฉินผิงอันพลันเอ่ยเสียงเบาว่า “หากยันต์ที่สำคัญทั้งหมดล้วนสามารถเปลี่ยนมาเป็นกระดาษยันต์เหลืองทองหรือกระดาษยันต์ที่ดียิ่งกว่านั้น ค่ายกลยันต์บวกกับค่ายกลกระบี่ นับว่าร้ายกาจยิ่ง ยามที่พี่ฉีออกกระบี่บนหัวกำแพงเมือง พลานุภาพยังใหญ่ยิ่งกว่าผืนฟ้าเสียอีก!”
ฉีโซ่วหยุดเดิน ถามอย่างใคร่รู้ “นั่นต้องใช้เงินเท่าไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็มองไปทางทิศเหนือ แล้วก็พลันคลี่ยิ้ม “ข้าอารมณ์ดีมาก จะเก็บแค่เงินเทพเซียนจากเจ้าในราคาเท่ากัน”
ฉีโซ่วเพิ่งจะหมุนตัวกลับก็ได้ยินคนผู้นั้นพูดว่า “ห้าเหรียญเท่านั้น”
ฉีโซ่วหันหน้ากลับมา
คนผู้นั้นถาม “พี่ฉีอ่า พวกเราพูดคุยแลกเปลี่ยนความในใจกัน ไม่มีค่าเท่าเหรียญเงินฝนธัญพืชสองเหรียญหรอกหรือ?”
ฉีโซ่วตีหน้าเคร่งส่ายหน้า พูดเสียงหนักแน่น “ไม่เท่า”
คนผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงหน่ายใจ “พี่ฉีมักจะดูแคลนตัวเองเช่นนี้ ไม่ดีเลยนะ”
ฉีโซ่วกระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง เอ่ยขอบคุณผู้อาวุโสเฉิงเฉวียนคำหนึ่ง
……
ในห้องลับของจวนหนิง
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น
เขาคิดไม่ถึงว่าร่างกายตัวเองจะสมบูรณ์แบบ ไร้ความเสียหายใดๆ
คิดร้อยตลบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ เฉินผิงอันเดินออกจากห้องลับมาอย่างมึนงง มาถึงลานประลองยุทธ ตลอดทางที่เดินมาฟ้าดินเงียบสงัด
ไม่เห็นป๋ายหมัวมัวปรากฏตัว จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าผาสังหารมังกรก็ราวกับว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ แต่กลับเหลือเพียงตนคนเดียว
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองม่านฟ้า มีคนทำเหมือนแหวกม่านฟ้ามาถึงลานประลองยุทธแห่งนี้
จิตของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อยก็ให้รู้สึกทรมานอย่างน่าประหลาดใจ ช่องโพรงลมปราณแห่งหนึ่งที่ไม่เคยตั้งใจจะบุกเบิกกลับสั่นไหวไม่หยุด เพียงแต่ว่าความรู้สึกประหลาดนี้เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีก็หายวับไป
คนที่มาเยือนจวนหนิงคือเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ก็แค่ดวงวิญญาณที่แบ่งออกมาจากร่างเท่านั้น
เฉินผิงอันกุมหมัดกล่าว “ขอบคุณเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่ออกกระบี่ และขอบคุณเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสอีกครั้งที่ช่วยปกปิดอำพราง”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ออกกระบี่เป็นเรื่องจริง แต่ช่วยปกปิดอำพรางนี่มาจากที่ใด?”
เฉินผิงอันยิ่งฉงนสนเท่ห์เข้าไปใหญ่
เฉินชิงตูกล่าว “หมื่นปีที่ผ่านมา มีผู้ฝึกกระบี่มากมายนับไม่ถ้วน แต่คนที่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแล้วแต่กลับไม่รู้ตัวกลับมีให้เห็นไม่บ่อยจริงๆ”
แล้วเฉินชิงตูก็หัวเราะ กวาดตามองรอบด้าน แล้วพยักหน้า “อยู่ในนี้ก็ช่างเป็นนกในกรงที่ดีจริงๆ”
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง
อารมณ์ดีขึ้นมาในฉับพลัน
เฉินชิงตูถาม “พันธนาการศัตรูอยู่ในฟ้าดิน แค่นี้ก็พอแล้วหรือ? กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สองล่ะ?”
พริบตานั้นระหว่างฟ้าดินนอกจากเฉินผิงอันและเฉินชิงตูแล้ว ล้วนมีแต่กระบี่บิน ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ แน่นขนัดเต็มล้น มากมายเกินกว่าจะนับได้หมด
ในฟ้าดินของข้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นนกในกรง
ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แล้วใครจะใช่?!
——
บทที่ 626.1 ก่อกบฏ
เฉินชิงตูมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันรีบเก็บกระบี่บินที่ยังไม่ตั้งชื่อ ‘เล่มนั้น’ ลงไปทันที จิตขยับไหวก็ไม่เห็นแสงกระบี่ใดๆ เพียงแต่กระบี่บินทั้งหมดกลับไปหลบซ่อนอยู่ในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญ สุดท้ายรวมตัวกันกลายเป็นกระบี่หนึ่งเล่ม
การไปกลับของกระบี่บินที่แทบจะมองข้ามการฉุดรั้งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาครั้งนี้ แท้จริงแล้วไม่มีเหตุผลอย่างยิ่ง
นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ พอมาอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกเล่มหนึ่งสร้างขึ้นมา สองวิชาอภินิหารทับซ้อนกัน นั่นจึงมีประสิทธิผลที่เรียกได้ว่าเทพไม่รู้ผีไม่เห็นเช่นนี้
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ผู้ฝึกลมปราณหลอมขึ้นภายใต้โชควาสนาเอื้ออำนวย ถึงอย่างไรก็เป็นของที่ผู้ฝึกกระบี่ท่านอื่นเหลือทิ้งไว้ เมื่อเทียบกับกระบี่บินของตัวผู้ฝึกกระบี่เองแล้ว ทั้งสองฝ่ายมีความต่างกันทั้งด้านรูปลักษณ์และจิตวิญญาณ และความต่างเช่นนั้นก็มากมหาศาลดุจถูกกางกั้นด้วยฟ้าดิน
ต่อให้ฝ่ายแรกจะผ่านการหลอมใหญ่มาแล้วก็ยังคงอยู่ในขอบเขตของวัตถุนอกกายครึ่งตัว แต่ฝ่ายหลังกลับเกี่ยวพันกับชีวิตอย่างจริงแท้แน่นอน มีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่น่าเหลือเชื่ออยู่หลายอย่าง
ซงเจินกับไฮเหลยคือกระบี่บินที่สร้างจำลองขึ้นจากภูเขาชังกระบี่ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดมาก ส่วนใหญ่แล้วเอามาใช้ควบคู่กับวิชายันต์ ถูกเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวนำมาใช้หนีเอาชีวิตรอดหรือไม่ก็แลกชีวิตกับผู้อื่น
ชูอีสืออู่คือวัตถุของเซียนบรรพกาลที่แท้จริง ทว่าต่อให้ถูกเฉินผิงอันหลอมใหญ่แล้วก็ยังไม่อาจร่ายใช้วิชาอภินิหารได้ ความมหัศจรรย์ในการออกกระบี่จะหยุดอยู่แค่ขอบเขตของความเร็วที่มีมากอย่างถึงที่สุด มีความทนทานและความคมเท่านั้น คำว่าย่ำยีวัตถุสวรรค์ก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง เพียงแต่ว่าหลังจากที่ทุ่มเทพลังกายพลังใจอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ยังหยุดอยู่แค่ที่ตรงนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเฉินผิงอันจึงไม่ตำหนิตัวเองมากเกินไปนัก
เฉินผิงอันเก็บวิชาอภินิหารที่ลี้ลับมหัศจรรย์ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกเล่มลงไป บนลานประลองยุทธ ฟ้าดินขนาดเล็กที่ปกคลุมตัวเฉิงผิงอันและเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเฉินชิงตูเอาไว้ภายในจึงสลายหายไป
ป๋ายเลี่ยนซวงยืนอยู่ตรงระเบียงที่ห่างไปไกล หลังจากที่หญิงชราพอจะแน่ใจในการคาดเดาของตัวเองแล้วก็หันหน้าไปอีกทาง ยกหลังมือเช็ดน้ำตา
อันที่จริงก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเหมือนคนเดินละเมอ ตอนที่เขาออกมาจากห้องลับของจวนหนิง หมัวมัววัยชราก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันยังสะลึมสะลือ ยังไม่คืนสติอย่างสมบูรณ์ ไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองไม่เพียงแต่ฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมาได้แล้ว ยิ่งไม่รู้ว่ากระบี่บินเล่มนี้ได้เผยกายขึ้นบนโลก อีกทั้งยังร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต เริ่มปกป้องเจ้านายของตัวเอง นั่นจึงเป็นเหตุให้สถานที่ที่เฉินผิงอันเดินผ่าน รอบด้านก็คือฟ้าดินขนาดเล็กที่แทบจะใกล้เคียงกับธรรมชาติความเป็นจริง
ป๋ายหมัวมัวเห็นผู้เฒ่าคนนั้น ระดับความตกตะลึงของนางก็ไม่แพ้ให้กับยามที่รู้ว่าในที่สุดท่านเขยของตนก็เลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้ นางรีบค้อมเอวกุมหมัดคารวะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม แล้วจึงจากไปเงียบๆ ตอนที่เดินจากไปยังคอยยกหลังมือขึ้นมาเป็นพักๆ
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กุมหมัดคารวะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก่อน จากนั้นจึงทาบมือประสานแล้วโค้งกายคารวะ แต่กลับไม่ได้เอ่ยคำใด
ทุกอย่างล้วนไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลัง เดินขึ้นไปบนแท่นสังหารมังกรช้าๆ เฉินผิงอันเดินตามติดมาด้านหลัง
เฉินชิงตูเดินไปพลางพูดไปพลาง “แรกเริ่มสุดนางมีบุญคุณต่อเผ่ามนุษย์ ปฏิทินเหลืองเก่าแก่เล่มนี้ข้ายังจำได้ จำได้นานนับหมื่นปี ครั้งแรกที่เจ้ามาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงข้าก็ค้นพบเบาะแสแล้ว แม้ว่าช่องโพรงลมปราณทั้งสามแห่งของเจ้าจะไม่มีปราณกระบี่สามเสี้ยวของนางล้อมวนอยู่อีกต่อไป แต่กลิ่นอายนั้นเป็นกลิ่นอายที่ข้าคุ้นเคยที่สุด เพราะถึงอย่างไรเวทกระบี่ของข้าก็ได้มาจากอดีตเจ้านายคนก่อนของนาง แต่นอกจากที่ข้าจะกังวลว่านี่จะเป็นแผนการของคนที่อยู่เบื้องหลังแล้ว ข้าก็ยังมีความเห็นแก่ตัว ข้าเฉินชิงตูควรจะคืนน้ำใจให้คนอื่นอย่างไร คืนเมื่อไหร่ ก็ต้องเป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นการบอกเป็นนัยของนาง ทั้งไม่ยอมสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะให้เจ้าใหม่ แล้วก็ไม่ออกแรงช่วยฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตให้เจ้าแม้แต่น้อย นี่ก็เพื่อให้ได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้งหลังผ่านไปนานหมื่นปี ข้าติดค้างน้ำใจของนาง หาใช่ติดค้างน้ำใจของเจ้าเฉินผิงอันไม่ หากนางไม่พอใจ ก็มาหาข้าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เลย”
เฉินชิงตูนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาว หันหน้าไปทางทิศใต้ มองเห็นหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วผู้เฒ่าก็พูดอย่างสะท้อนใจว่า “คนโบราณกี่มากน้อยที่ล้วนเป็นสหายเก่าของข้า หรือถึงขั้นเป็นเด็กรุ่นหลังของข้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล ปีศาจใหญ่ป่าเถื่อนกี่มากน้อยที่ล้วนเป็นศัตรูของข้า ถึงขั้นกลายเป็นวิญญาณใต้คมกระบี่ของข้า ความเปลี่ยวเหงาอาดูรที่ต้องเผชิญนี้ เจ้าไม่มีทางเข้าใจ”
แล้วเฉินชิงตูก็คลี่ยิ้ม “หลายปีมาแล้วที่ไม่ได้มองหัวกำแพงเมืองอยู่ไกลๆ เช่นนี้ จำได้ว่าช่วงแรกที่กำแพงเมืองเพิ่งถูกสร้างขึ้นมา ข้าเคยยืนอยู่บนถนนไท่เซี่ยงในทุกวันนี้ พูดคุยยิ้มแย้มกับหลงจวิน กวนจ้าวสหายรักทั้งสองคน บอกว่ามีกำแพงสูงแห่งนี้ ย่อมพิทักษ์ไว้ได้นานนับหมื่นปี และก็ทำได้แล้วจริงๆ”
เฉินชิงตูหันหน้ามามองเฉินผิงอัน พูดอย่างปลาบปลื้มว่า “โชคาสนาในวันนี้ หาใช่เจ้าร้องขอมาจากคนอื่น แล้วก็ไม่ใช่คนอื่นที่ทำทานให้เจ้า เป็นตัวเจ้าที่ช่วงชิงมาด้วยตัวเอง”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน กุมหมัดกล่าว “ยังต้องขอบคุณเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่ช่วยถ่ายทอดและพิทักษ์มรรคาให้”
เฉินชิงตูกล่าว “หากจะพูดอย่างนี้จริงๆ ก็ถือว่าพอจะมีเหตุผล ก็แค่ใช้ผลลัพธ์ที่ดีไปมองขั้นตอน ทุกเรื่องจึงดีงาม แต่หากใช้จุดจบแย่ๆ หันกลับไปมองชีวิตคน ทุกเรื่องล้วนเลวร้าย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้น้อยแค่ว่าไปตามสถานการณ์เท่านั้น เลือกเอาเรื่องดีๆ มาพูด คำบ่นและความไม่พอใจมากมาย ไม่มีความกล้าพอจะเอามาบ่นให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสฟังหรอก”
นี่คือความจริง แล้วก็เป็นคำพูดที่กล่าวไปตามสถานการณ์ หากครั้งแรกที่มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็สามารถสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นตัวอ่อนของเซียนกระบี่ ก็คงไม่มีเรื่องไม่คาดฝันมากมายขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องสะพายกระบี่ปราณยาวไปหาตงไห่ที่อารามกวานเต๋าของใบถงทวีป บางทีอาจไม่มีการเข่นฆ่าที่นครมังกรเฒ่าในภายหลัง ไม่มีทางเกิดสถานการณ์ถามใจในทะเลสาบซูเจี่ยนทั้งๆ ที่ขอบเขตยังไม่สูงพอ ได้แต่ฝึกฝนจิตใจข้ามผ่านมันมาให้ได้ ไม่มีสถานการณ์ที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายซึ่งเกิดจากการร่วมมือกันจัดฉากของเกาเฉิงแห่งชายหาดโครงกระดูกกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง รวมไปถึงไม่ได้แบกรับทัณฑ์สวรรค์ที่นอกจากจะเปลืองแรงแล้วยังไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ เรื่องราวมากมายต่อจากนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้น อาจจจะเป็นทัศนียภาพอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ส่วนชีวิตคนต่อจากนั้นจะดียิ่งกว่าหรือเลวร้ายยิ่งกว่า ถึงอย่างไรตนก็ไม่มีโอกาสได้รู้แล้ว
และยังมีสถานการณ์ยากลำบากในกำแพงเมืองปราณกระบี่ทุกวันนี้ หากจะให้เอามาพูดจริงๆ เฉินผิงอันก็สามารถร่ายยาวกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสได้หลายวันจริงๆ
เฉินชิงตูพยักหน้ารับ “เรื่องอื่นของเจ้าไม่ต้องพูดถึง แต่เรื่องโชควาสนากับคนอายุมากกว่านี่ นับว่าพอจะมีอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “วัตถุจื่อชื่อของข้าจะสามารถเปิดได้อีกครั้งเมื่อไหร่? เมื่อสงครามเริ่มเลวร้าย ข้าจะต้องออกจากหัวกำแพงเมืองไปเข่นฆ่าศัตรูพร้อมกับพวกหนิงเหยา”
ประโยคนี้เอ่ยแค่ครึ่งเดียว
ยังมีอีกครึ่งหนึ่งก็คือ หากใช้วัตถุจื่อชื่อไม่ได้จะถ่วงรั้งการเก็บตกของผุพังและการหาเงินอย่างมีมโนธรรมของตนเอาได้ หากต้องให้แบกถุงใหญ่ๆ วิ่งไปโน่นมานี่ พวกกู้เจี้ยนหลงจะไม่ต้องเอ่ยคำพูดด้วยความเป็นธรรมกันอีกเป็นกระบุงโกยหรอกหรือ
เฉินชิงตูถามอย่างสงสัย “เรื่องเล็กเท่าเมล็ดถั่วเมล็ดงาพวกนี้ เจ้าไม่ไปถามเยี่ยนหมิงล่ะ มาถามข้าทำไม?”
แรกเริ่มเฉินผิงอันยังกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย เพราะรู้สึกว่าด้วยนิสัยและการกระทำของท่านอาเยี่ยน สามารถถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเรียกตัวให้ช่วยพาตนไปส่งที่หอจิ้งเจี้ยนของภูเขาห้อยหัว แล้วจะปล่อยให้วัตถุจื่อชื่อที่บรรจุภาพวาดของเซียนกระบี่เอาไว้เกิดช่องโหว่ใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร? เพียงแต่ว่าไม่นานเฉินผิงอันก็กระจ่างแจ้ง เขาเข้าใจแล้ว นี่เป็นเรื่องเล็กเท่าเมล็ดงาจริงๆ วันหน้าก็แค่ขอยืมวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งมาจากท่านอาเยี่ยนผู้ใจกว้างร่ำรวยก็พอ
เฉินชิงตูไม่ถือสากับการดีดลูกคิดเล็กๆ นี้ของเฉินผิงอัน คาดว่าเจ้าเด็กนี่คงจะไปยืมจริง แต่จะคืนให้หรือไม่ก็คงบอกได้ยากแล้ว
แต่คำที่เฉินชิงตูบอกว่าเฉินผิงอันมีวาสนากับพวกผู้อาวุโสนั้น นับว่าถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะสำหรับเยี่ยนหมิงที่ฝากความหวังยิ่งใหญ่ไว้ให้กับบุตรชายโทนอย่างเยี่ยนจั๋วแล้ว ไม่ว่าจะทางส่วนตัวหรือส่วนรวม เขาก็ไม่มีทางขี้เหนียวกับวัตถุจื่อชื่อเพียงชิ้นเดียว
พรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่ของเยี่ยนหมิงไม่สูง แต่ฝีมือด้านการบุกเบิกเส้นทางหาเงินนั้นกลับดีเยี่ยม ดังนั้นเขาจึงชอบเฉินผิงอันมากเป็นพิเศษ นี่ไม่ค่อยเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงความประทับใจที่มีต่อคนหนุ่มต่างถิ่นของเยว่ชิง เพราะนับตั้งแต่แรกเริ่มเยี่ยนหมิงก็เป็นผู้อาวุโสของตระกูลใหญ่ที่เห็นดีในตัวเฉินผิงอันอยู่แล้ว
มองดูเหมือนว่าเฉินชิงตูไม่เคยสนใจเรื่องใด แต่แท้จริงแล้วกลับใส่ใจผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ทุกคน
เฉินชิงตูพลันเอ่ยว่า “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจ้าสองเล่มนี้ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่หนึ่งป้องกันหนึ่งโจมตีเท่านั้น พวกมันไม่ค่อยเหมือนกับของคนรุ่นเดียวกันอย่างฉีโซ่ว เกาเหย่โหว กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของพวกเขาอานุภาพในการสังหารไม่น้อย เคล็ดวิชาก็ไม่ตื้นเขิน เพียงแต่ว่ายิ่งเป็นช่วงท้ายๆ หากพูดถึงแค่ความเป็นไปได้ที่จะสร้างกระบี่บินออกมาให้ได้เยอะๆ ก็จะไม่มีทางเยอะได้เท่าของเจ้า”
ต้องรู้ว่าอริยะลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในสำนักศึกษากับซานจวินและเทพวารีที่เฝ้าพิทักษ์ขุนเขาสายน้ำ ล้วนมีขอบเขตสูงกว่าคนทั่วไประดับหนึ่ง
ส่วนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันเล่มที่ผู้เฒ่าชื่นชมว่า ‘ช่างเป็นนกในกรงที่ดีนัก’ เล่มนั้น จะได้ครอบครองวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ที่สูงกว่าคนอื่นระดับหนึ่งหรือไม่ ยังต้องรอให้ตัวเฉินผิงอันไปค้นพบและบุกเบิกด้วยตัวเอง
ขอแค่กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ข้ามผ่านด่าน ‘มีในความไม่มี’ ที่ยากลำบากที่สุดนี้ไปได้ เส้นทางการฝึกตนในวันหน้าก็จะมีความมั่นใจมากพอให้พูดถึงฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกล ร่างกายจิตใจล้วนอิสระเสรีแล้ว
เฉินชิงตูลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าว “ในที่สุดก็พอจะมีวิธีการที่เข้าท่าเข้าทีกับเขาบ้างแล้ว”
ขณะที่กำลังจะกลับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้เฒ่าก็หันหน้ามามองเฉินผิงอัน ถามว่า “ก่อนหน้านี้ถูกปณิธานกระบี่และแม่น้ำแห่งกาลเวลาชำระล้างร่างกายและจิตใจ รสชาติที่เรือนกายเหลือเพียงโครงกระดูกหยัดยืนนั้นเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันเองก็ลุกขึ้นตาม ยิ้มเฝื่อนเอ่ยว่า “เมื่อเทียบกับการฝึกวิชาหมัดที่บ้านเกิดเมื่อก่อนนี้ ทรมานกว่าหลายต่อหลายเท่านัก ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกแล้ว”
เฉินชิงตูยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บังเอิญยิ่งนัก”
หน้าผากของเฉินผิงอันมีเหงื่อผุดซึม ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ไม่ต้องบังเอิญก็ได้”
เฉินชิงตูยังคงกล่าวว่า “บังเอิญสิ”
เฉินผิงอันยอมรับชะตากรรม กล่าวอย่างจนใจว่า “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ผู้อาวุโส”
เฉินชิงตูหัวเราะร่า “ขั้นตอนของโครงกระดูกหยัดยืน จิตวิญญาณหลอมละลายในครั้งนี้จะช้ากว่าคราวก่อนมากๆ”
เฉินผิงอันถามเสียงสั่น “เป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว ยังต้องทำแบบนี้อีกหรือ?”
เฉินชิงตูให้คำตอบที่ต่อให้ตีให้ตายเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึง “คนหนุ่มไม่ควรมีความไม่พอใจนะ”
ผู้เฒ่าพูดจบร่างก็หายวับไป
ตลอดทั้งหน้าผาสังหารมังกรและศาลาหลังเล็กของจวนหนิงพลันมีฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ต่อให้เซียนกระบี่ออกกระบี่ร้อยปีก็ยากจะทำลายได้ปรากฎขึ้น เฉินผิงอันถูกสยบไว้ด้านใน ร่างเซทรุดลงนั่งกลางศาลา
แสงกระบี่เส้นหนึ่งเป็นเหมือนน้ำตกสายใหญ่แปลกประหลาดที่เดี๋ยวก็ไหลเร็วเดี๋ยวก็ไหลช้าพุ่งจากเพดานของศาลากระแทกเข้าใส่ศีรษะของเฉินผิงอัน เรือนกายของผู้ฝึกยุทธร่างทองเป็นเหมือนเครื่องกระเบื้องที่ถูกคนทุ่มลงพื้นแต่ก็ยังไม่แตกกระจาย จะทำให้แตกแต่ก็ไม่แตก ทว่ากลับมีรอยปริร้าวจำนวนนับไม่ถ้วนปริลามไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งศีรษะและใบหน้าที่ต้อง ‘อาบ’ น้ำตกปณิธานกระบี่ก่อนสัดส่วนอื่นๆ ซึ่งต้องทรมานเป็นที่สุด หากเฉินผิงอันยังปล่อยจิตหยินออกจากร่างได้อีกก็จะได้เห็นว่าร่างจริง สภาพที่ตัวเองต้องเผชิญในตอนนี้ เมื่อเทียบกับใบหน้าของฮูหยินเจ้าของป้อมอินทรีใบถงทวีปในปีนั้นแล้ว ยังมีสภาพน่าอนาถมิอาจทนมองมากยิ่งกว่า ไม่เพียงแต่ผิวหนังเท่านั้น แม้แต่ดวงตาคู่นั้นยังค่อยๆ ปริแตก จุดที่ทรมานที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ค่อยๆ แผ่ลามไปทีละนิดทีละเสี้ยว ประหนึ่งต้นหญ้าที่ค่อยๆ เติบโต เมื่อเทียบกับสิ่งที่เฉินผิงอันเผชิญตอนอยู่ในห้องลับจวนหนิงก่อนหน้านี้ก็เป็นหนึ่งช้าหนึ่งเร็ว คือความแตกต่างอย่างสุดขั้วสองอย่างพอดี
และเมื่อน้ำตกเส้นนั้นไหลกระทบพื้นก็ไม่ได้พุ่งออกจากฟ้าดินขนาดเล็กที่ครอบคลุมแท่นสังหารมังกรและศาลาขนาดเล็ก แต่กลับกลายเป็นเหมือนบ่อโบราณที่รองรับน้ำค้างรสหวานซึ่งตกลงมาจากฟากฟ้า บ่อน้ำค่อยๆ ลึกขึ้นเรื่อยๆ ระดับน้ำเริ่มขยับขึ้นมาเลยหัวเข่าของเฉินผิงอัน
นี่เป็นเพียงแค่ความทรมานเหมือนโดนมีดกรีดเนื้อเสียที่ไหน เห็นๆ กันอยู่ว่าคล้ายคลึงกับการบดขยี้เค้นฆ่าไปทีละนิดจากฟ้าและดินที่ขยับเข้ามาบรรจบกันแล้ว
ล้างกระบี่ ล้างกระบี่ แต่ไหนแต่ไรมามีเพียงผู้ฝึกกระบี่เท่านั้นที่ล้างกระบี่ ไหนเลยจะมีผู้ฝึกกระบี่ที่นำเรือนกายเนื้อหนังมังสาของตนมาชำระล้างหล่อหลอมแทนกระบี่เช่นนี้
หญิงชราที่สัมผัสได้ถึงภาพเหตุการณ์ประหลาดจากจุดที่ห่างไปไกลอีกครั้งเอ่ยอย่างปลาบปลื้มว่า “ไม่คิดว่าพอท่านเขยกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วจะยิ่งมานะหลอมกระบี่เช่นนี้”
ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จั่วโย่วเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ถือกระบี่ยาว หันปลายกระบี่ชี้เข้าหาบรรพบุรุษของสัตว์เดรัจฉานในใต้หล้าเปลี่ยวร้างก่อน จากนั้นก็ใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกักขังเฉินชิงตู เจ้าที่เป็นศิษย์พี่ยังอยากจะให้ศิษย์น้องของตัวเองเป็นอย่างไรล่ะ?”
จั่วโย่วตีหน้าเคร่ง พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ต้องเป็นศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์น้องเล็ก”
เฉินชิงตูจุ๊ปากพูด “ขอร้องสายเหวินเซิ่งอย่างพวกเจ้าเลิกทำตัวหน้าหนาสักทีเถอะ”
จั่วโย่วอารมณ์ดีอย่างมาก ครั้งนี้เขาไม่ถือสาอีกฝ่ายจริงๆ เพียงแต่อดขมวดคิ้วถามไม่ได้ว่า “ในเมื่อมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแล้ว ทำไมถึงไม่รีบมาที่สนามรบเล่า?”
เฉินชิงตูกล่าว “ข้าขอร้องให้เขามา แต่พอเจ้าเด็กนั่นกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วกลับวางมาดใหญ่โต ไม่ยอมมานี่นา”
จั่วโย่วหัวเราะชอบใจ “ยังคงเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่ยังต้องการหน้าตา”
เฉินชิงตูพลันเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรสงครามก็ไม่ใช่แค่การต่อยตีกัน ศิษย์น้องเล็กของเจ้าเข้าใจในเรื่องนี้มากกว่าเจ้า แต่คำพูดบางอย่างของเขา รอไปอีกหน่อยแล้วเดี๋ยวข้าค่อยบอกเจ้าเอง”
……
ทว่าเพียงไม่นานศึกโจมตีเมืองของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจครั้งนี้ก็สร้างความประหลาดใจที่ยิ่งใหญ่
บนสนามรบมีภูเขาจริงๆ โผล่ขึ้นมาตั้งตระหง่านถึงห้าลูก เรียงลำดับกัน ล้วนเป็นขุนเขาที่สูงอย่างถึงที่สุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง นี่คือวิชาอภินิหารย้ายขุนเขาจากการออกแรงเต็มกำลังของปีศาจใหญ่ฉงกวง การกระทำนี้ทำให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนนี้ได้รับบาดเจ็บไปถึงรากฐานมหามรรคา เท่ากับว่าต้องถอยออกจากศึกโจมตีเมืองต่อจากนี้แล้ว และต้องพักรักษาตัวอยู่ในกระโจมทัพเจี่ยจื่ออย่างสงบ การเคลื่อนย้ายขุนเขาทั้งห้า ค่าตอบแทนที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างต้องจ่ายไป ย่อมไม่ใช่แค่ตบะที่ถูกลดทอนของปีศาจใหญ่ฉงกวงอย่างแน่นอน
ยกตัวอย่างเช่นเทพภูเขาที่แต่เดิมเฝ้าพิทักษ์ภูเขาทั้งห้าลูกนี้ ว่ากันว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซานจวินห้าขอบเขตบนของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ตอนนี้ร่างทอง กระทั่งศาลภูเขาของพวกเขาล้วนถูกหลอมเข้าเป็นหนึ่งกับโชคชะตาของห้าขุนเขาแล้ว
หากไม่ทำเช่นนี้ ต่อให้ปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสามารถแบกห้าขุนเขามาไว้ ก็ไม่สามารถฝ่ากระแสปราณกระบี่ที่เชี่ยวกรากจนมาถึงสนามรบแห่งนี้ได้เป็นแน่
แม้จะบอกว่าเมื่อเทียบกับกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ภูเขาทั้งห้าลูกเหมือนจะสูงแค่ครึ่งหนึ่งของกำแพง แต่สำหรับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นี่ก็คือปัญหาใหญ่เทียมฟ้า
การบุกรุดหน้าในสนามรบของเผ่าปีศาจไม่เพียงแต่มั่นคงมากขึ้น อีกทั้งบนภูเขาใหญ่ทั้งห้าลูกที่จู่ๆ ก็โผล่มานี้ยังมีค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาที่แสงอัญมณีไหลเวียนวน ในค่ายกลใหญ่ล้วนมีแต่ผู้ฝึกตนใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่สร้างค่ายกลอยู่บนภูเขามานานแล้ว ซึ่งนี่เท่ากับว่ามอบชีวิตออกไปแล้วครึ่งหนึ่ง ปีศาจใหญ่ฉงกวงสามารถโยนภูเขาใหญ่ทั้งห้าลูกมาไว้ที่นี่ได้สำเร็จ นอกจากตบะของตัวเขาเองแล้ว ยังต้องมีการจัดวางอย่างลับๆ ของเผ่าปีศาจในศึกเปิดฉากครั้งแรก ทำให้สนามรบเกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ บวกกับวิชาคาถาและสมบัติวิเศษของผู้ฝึกตนบนภูเขา ร่วมกันสะบั้นรากภูเขาสายน้ำให้ขาดออกอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่เนิ่นๆ สุดท้ายร่วมแรงกันหลอมภูเขาทั้งห้า แล้วมอบให้แก่ปีศาจใหญ่ฉงกวงขอบเขตบินทะยาน ถึงได้มีผลงานชิ้นใหญ่นี้เกิดขึ้น
ดังนั้นสิ่งที่ต้องจ่ายไปจึงมหาศาล ทว่าขอแค่ทำสำเร็จ ก็ถึงคราวที่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องเอากระบี่บินและชีวิตไปใช้หนี้แล้ว
นอกจากนี้แล้ว ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่เคยเป็นเจ้าของน่านน้ำแม่น้ำเย่ลั่ว สตรีสวมชุดคลุมมังกรสวมมงกุฎจักรพรรดิคนนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะเข้ามาแทนที่ปีศาจใหญ่โครงกระดูกป๋ายอิ๋ง รับผิดชอบศึกโจมตีเมืองช่วงใหม่ล่าสุดนี้แทน
นางมีนามแฝงว่าหย่างจื่อ ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ว่าใครก็ไม่รู้ชื่อจริงของนาง เพียงแต่ว่าคนที่มีคุณสมบัติที่จะรู้เรื่องนี้ บุคคลเก่าแก่ที่ต่างคนต่างรู้ไส้รู้พุงกันดีกับนาง จะรู้หรือไม่รู้ จะเรียกชื่อจริงของนางออกหรือไม่ ก็ไม่ได้มีความหมายมากนัก และสองฝ่ายก็ยิ่งไม่คิดจะเดิมพันกันด้วยชีวิตจริงๆ ตอนนี้นางส่งมอบแม่น้ำลำคลอง ทะเลสาบที่อยู่ภายใต้เขตการปกครองทั้งหมดซึ่งรวมถึงแม่น้ำเย่ลั่วทั้งสายให้กับปีศาจใหญ่อีกตนหนึ่งแล้ว แต่ก่อนหน้าที่จะมอบทรัพย์สมบัติของตัวเองออกไป แน่นอนว่าต้องมีส่วนที่นางเก็บเอาไว้เองบ้าง กระแสน้ำของแม่น้ำใหญ่หลายสายจึงถูกเก็บไว้ในวัตถุแห่งชะตาชีวิตของนางแล้ว
ยามนี้ขุนเขาใหญ่ทั้งห้าตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดิน นางนั่งบัญชาการณ์อยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง ไม่ได้เผยร่างจริงที่ใหญ่โตมโหฬาร แต่อยู่ในร่างของสตรีเหมือนกับคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ออกมาเที่ยวเล่นตามขุนเขาสายน้ำ ภูเขาสูง คนตัวเล็กเท่าเมล็ดงา ขณะที่อยู่ตรงตีนเขาของภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งในนั้น นางคลี่ยิ้มหวาน ค้อมตัวลงเล็กน้อย สะบัดไข่มุกสีเขียวมรกตที่นับรวมกันแล้วได้ห้าเม็ดออกมาจากชายแขนเสื้อใหญ่ของชุดคลุมมังกร แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไปเถิด ภูเขาไม่ขยับสายน้ำไหลริน ไปเป็นลำคลองพิทักษ์เมืองดูสักครั้ง”