กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 626.2 ก่อกบฏ
สุดท้ายตรงตีนเขาของขุนเขาทั้งห้าล้วนมีแม่น้ำที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากปรากฏขึ้น โอบล้อมภูเขาทั้งห้าลูกได้อย่างพอดิบพอดี กระแสน้ำรุนแรง กลิ่นอายดุร้ายพวยพุ่งทะยานฟ้า ภูตผีวิญญาณเร่ร่อนมากมายที่โชคดีอยู่รอดบนสนามรบ เดิมทีไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องถูกปราณกระบี่หล่อหลอม เพียงแต่ว่าเมื่อพวกมันร่วงลงไปในน้ำกลับกลายเป็นผีร้ายผีอาฆาตที่พากันล่องลอยอยู่ในสายน้ำของแม่น้ำใหญ่ไม่หยุดนิ่ง
อันที่จริงก่อนหน้าที่ขุนเขาสายน้ำจะแอบอิงกัน เซียนกระบี่มากมายที่ต่างคนต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเองล้วนออกกระบี่อย่างเด็ดเดี่ยวแทบจะพร้อมเพรียงกัน มีทั้งคนที่ออกกระบี่ฟันภูเขา แล้วก็มีทั้งคนที่ช่วยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางมากมายที่ถอยหนีมาไม่ทัน
ทว่าต่อให้เซียนกระบี่จะออกกระบี่ได้เร็วยิ่ง แต่ก็ยังมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตร้อยกว่าเล่มของผู้ฝึกกระบี่ที่ถูกภูเขาห้าลูกซึ่งจู่ๆ ก็โผล่ออกมาสยบทับ แตกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยคาที่
หากไม่เป็นเพราะเซียนกระบี่ท่านหนึ่งที่ไม่ได้มีพลังพิฆาตมากนักใช้กระบี่บินของตัวเองจำแลงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างทองตนหนึ่ง ใช้ไหล่แบกยอดเขาที่หล่นลงมา สกัดขวางการหยั่งรากของยอดเขาไว้ได้สำเร็จครู่หนึ่ง ความเสียหายบนสนามรบของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ออกกระบี่ตรงจุดนั้นจะต้องมากมายจนมิอาจจินตนาการได้ถึง
ครั้งนี้แม้แต่น่าหลันเซาเหว่ยก็ยังไม่ออมแรง ส่งกระบี่หนึ่งออกไป กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสีแดงสดที่เล็กบางเหมือนต้นกกพลันพุ่งไปถึงในเสี้ยววินาที สุดท้ายกลายร่างเป็นเจียวหลงสีแดงสดที่ตัวยาวมากตัวหนึ่ง ตลอดทั้งร่างลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิง เมื่อมันใช้เรือนกายของตัวเองล้อมพันภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง ร่างผลุบหายเข้าไปในภูเขาใหญ่ ไม่เพียงแต่เศษหินจะร่วงกราวลงมาจากบนภูเขา ต้นไม้ต้นหญ้าจำนวนนับไม่ถ้วนหักโค่น แม้แต่ภูเขาทั้งลูกก็ยังเริ่มโยกคลอน
เจียวหลงกระบี่บินของน่าหลันเซาเหว่ยกับแม่น้ำสายยาวของปีศาจใหญ่บนยอดเขาหย่างจื่อเข่นฆ่ากัน เจียวหลงเลื้อยขยับสะบัดตัวทำให้เกิดคลื่นลูกยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ฟาดตีลงบนตัวภูเขา
ลู่จือเองก็ออกกระบี่ฟันภูเขาแทบจะเวลาเดียวกัน เยว่ชิง เหยาเหลียนอวิ๋น หลี่ถุ่ยมี่ก็พากันออกกระบี่ด้วย
เพราะวิธีการนี้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะทิ้งภัยร้ายไว้มากมายนับไม่ถ้วนจริงๆ
ผลกระทบที่จะมีต่อทิศทางการดำเนินไปของสนามรบจะลึกล้ำและยาวไกล หากไม่ระวังให้ดี ปล่อยให้อีกฝ่ายใช้ภูเขาทั้งห้าเป็นฐานทัพ ด้วยวิธีการที่มีมากมายนับไม่ถ้วนของปีศาจใหญ่ตนอื่นๆ ก็ง่ายมากที่จะทำให้สนามรบที่เดิมทีอยู่บนพื้นดิน ย้ายมาเป็นการคุมเชิงที่อันตรายระหว่างขุนเขากับหัวกำแพงเมือง
บริเวณโดยรอบของขุนเขาทั้งห้ามีนางฟ้าบนสวรรค์ที่สวมอาภรณ์สีสันสดใสพลิ้วไสว กอดผีผาไว้ในอ้อมอกบินล้อมวน ความสูงพอๆ กับสตรีชาวโลก แต่จำนวนมีมากนับหมื่น จึงเป็นการสร้างค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาไว้อีกแห่งหนึ่ง
พวกนางต่างก็ดีดผีผาของตัวเอง เสียงไพเราะจากสรวงสรรค์ดังแตกต่างกันไป มีทั้งเป็นจังหวะอ่อนหวาน แล้วก็มีท่วงทำนองที่แกร่งกร้าวดุจแม่ทัพสวมเสื้อเกราะเหล็ก ปราณวิญญาณโชคชะตาน้ำเป็นเส้นๆ ถูกเสียงของผีผาชักนำ ไอน้ำลอยอวลขึ้นมา สุดท้ายกลายเป็นเส้นด้ายสีเขียวมรกตที่พุ่งทะยานขึ้นสู่กลางอากาศสูง แล้วเชื่อมต่อติดกับสายเข็มขัดเส้นยาวหลากสีของพวกนาง ราวกับต้องกายจะห่มผ้าโปร่งบางสีเขียวสดให้กับภูเขาทั้งห้าลูก
หลี่ถุ่ยมี่ถามกระบี่ต่อขุนเขากลางโดยตรง แต่กลับถูกกายธรรมที่เป็นสีดำราวกับสีหมึกของสตรีสวมมงกุฎสวมชุดคลุมมังกรคนนั้นใช้มือกำกระบี่บินขนาดยักษ์ของหลี่ถุ่ยมี่เอาไว้
เดิมทีกระบี่บินเล่มนั้นคิดจะสังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจบางส่วนที่อยู่บนยอดเขา พอถูกปีศาจใหญ่หย่างจื่อลงมือขัดขวางแล้วก็ไม่เพียงแต่ไม่เป็นกังวลว่ากระบี่บินจะถูกยึดไปหรือไม่ รากฐานของเซียนกระบี่จะถูกทำร้ายหรือไม่ กลับกลายเป็นว่านิสัยดุร้ายของผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูลเยี่ยนอย่างหลี่ถุ่ยมี่ดันถูกกระตุ้น จึงเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สองอย่าง ‘เส้นเงิน’ ออกมา ระหว่างบนหัวกำแพงเมืองกับภูเขาจึงมีแสงกระบี่สีเงินเส้นยาวเส้นหนึ่งถูกดึงขึ้น มันทิ่มแทงเข้าใส่กลางหว่างคิ้วของกายธรรมนั้น ตัวหลี่ถุ่ยมี่เองก็ยิ่งทะยานลมพุ่งไปด้านหน้า มือถือกระบี่ยาว พุ่งไปเป็นเส้นตรงประดุจมีสายรุ้งเส้นหนึ่งพาดกลางอากาศ
กายธรรมใหญ่แค่ไหน ร่างของเซียนกระบี่เล็กแค่ไหน ก็เรียกได้ว่ามดแดงคิดเขย่าต้นไม้
คู่รักเทพเซียนของหลี่ถุ่ยมี่ รวมไปถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอดอีกสามคนของเขาต่างก็ตายด้วยน้ำมือของปีศาจใหญ่ที่อยู่ใต้อาณัติของแม่น้ำเย่ลั่ว
ถึงอย่างไรก็ต้องอยู่เดียวดายเพียงลำพังอยู่แล้ว
หากไม่ถามกระบี่ยามนี้ จะรอไปถึงเมื่อไหร่?!
สตรีผู้นั้นคลี่ยิ้มหยดย้อย “ความกล้าของเซียนกระบี่ใหญ่มีมากจริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าไม่เหลือความกล้านี้แล้วกัน”
ภูเขาห้าลูก ค่ายกลปกป้องภูเขาสองแห่งใหญ่ ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจหลายพันคนที่เชี่ยวชาญสายยันต์ สมบัติอาคมรวมกันพันกว่าชิ้น บวกกับหยางจื่อที่เฝ้าพิทักษ์ภูเขาลูกหนึ่งในนั้นด้วยตัวเอง
ต่อให้เซียนกระบี่ร่วมมือกันออกกระบี่เต็มกำลัง แต่จะสามารถเขย่าคลอนรากฐานของมันได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร
จั่วโย่วไม่สนเรื่องพวกนี้ ต่อให้ไม่รู้จักกับเซียนกระบี่ท่านนั้น ไม่เคยพูดคุยกันสักคำ เขาแค่รู้สึกว่าในเมื่อกล้าพูดว่าจะตายก็ตายเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งไม่ควรตาย!
รู้ดีว่าหลี่ถุ่ยมี่ที่เข่นฆ่าจนเลือดขึ้นตาคิดพาตัวไปตาย หมายระเบิดเรือนกายและเม็ดกระบี่สองเม็ดเพื่อทำลายขุนเขากลางให้ได้เกินครึ่ง หวังช่วงชิงโอกาสได้เปรียบให้แก่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ให้เซียนกระบี่รุ่นเดียวกันที่อยู่ด้านหลังได้มีโอกาสฝ่าทำลายขุนเขาพวกนี้ไปได้ หากปล่อยให้ขุนเขาทั้งห้าหยั่งรากลงบนพื้นดินอย่างมั่นคง ฐานภูเขาและชะตาน้ำแน่นหนามากขึ้นเรื่อยๆ สงครามต่อจากนี้มีแต่จะยิ่งยุ่งยาก
ห้าขุนเขารวมกันครบ กับสี่ขุนเขาที่ต่อให้จะขาดไปแค่ลูกเดียว ความต่างนั้นก็มากมหาศาลอยู่ดี
หลี่ถุ่ยมี่ก็แค่พกกระบี่มุ่งไปด้านหน้าเท่านั้น
ในศึกใหญ่ เซียนกระบี่รุ่นข้าไม่ตายสักคน หรือจะให้นิ่งดูดาย ปล่อยให้พวกเด็กรุ่นหลังอย่างเจ้าอ้วนเยี่ยนตายกันหมดไม่มีเหลืออย่างนั้นหรือ?
หมื่นปีที่ผ่านมา กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยมีคำกล่าวเช่นนี้
หนึ่งกระบี่ของจั่วโย่วฟันกายธรรมสีดำทมิฬนั้นขาดออกเป็นสองท่อน
ทว่าหลี่ถุ่ยมี่ไม่เพียงแต่ไม่ฉวยโอกาสนี้หนีกลับหัวกำแพง กลับกันแสงกระบี่ของทั้งร่างยิ่งส่องประกายแสงพร่างพราว ทั้งตัวเขาและกระบี่บินสองเล่มพากันพุ่งเข้าไปในยอดเขาของภูเขาลูกกลาง
“ทุกท่าน หลี่ถุ่ยมี่ขอล่วงหน้าไปก่อน”
หย่างจื่อขมวดคิ้ว ชุดคลุมมังกรสีหมึกที่อยู่บนร่างพลันหลุดลอยออกไป ประหนึ่งมีผ้าปกคลุมลงบนสวนกระถาง พริบตานั้นก็ห่มคลุมภูเขาทั้งลูกเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้เซียนกระบี่ที่รนหาที่ตายผู้นั้นทำลายค่ายกลและรากฐานของภูเขา เพราะหากเป็นเช่นนั้นย่อมต้านรับการโจมตีอย่างต่อเนื่องจากเซียนกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ ยิ่งจะทำให้แผนการที่เก็บซ่อนอำพรางไว้ในจุดลึกผุดลอยขึ้นมาเหนือน้ำก่อนกำหนด สนามรบที่ขุนเขามารวมตัวกัน หากกำลังโจมตีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มากพอ ฝ่ายตนย่อมหยัดยืนได้อย่างมั่นคง เท่ากับว่าผลักสนามรบเข้าหากำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อีกหลายร้อยลี้ หากพวกเซียนกระบี่ยังไม่ถอดใจ แต่ก็ไม่ถึงขั้นออกกระบี่อย่างเด็ดขาดอีก แบบนั้นจะยิ่งดี หากพวกเขาคอยเพิ่มกำลังทหารเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทว่าแต่ละครั้งขาดอีกเพียงเสี้ยวเดียวอยู่เสมอ ความเสียหายก็จะทอดยาวออกไป นี่ต่างหากจึงจะเป็นสถานการณ์ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างต้องการเห็นมากที่สุด เพราะคนที่มีคุณสมบัติจะถูกเพิ่มเข้ามาในกองกำลังของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต้องเริ่มต้นที่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบอย่างแน่นอน
ศึกเปิดฉาก ใต้หล้าเปลี่ยวร้างจงใจสู้แบบไม่เจ็บไม่คัน แต่ในสงครามครั้งที่สองนี้ต้องการโจมตีให้กำแพงเมืองปราณกระบี่บาดเจ็บไปถึงเส้นเอ็นและกระดูก! มีเซียนกระบี่ตายไปรวดเดียวกลุ่มใหญ่!
เพียงแต่ว่าการรนหาที่ตายของหลี่ถุ่ยมี่ทำให้สตรีอดีตเจ้าของแม่น้ำเย่ลั่วผู้นี้เดือดดาลอย่างหนัก
หย่างจื่อกับปีศาจใหญ่ยอดเขาอีกสี่ตนที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาที่เหลืออีกสี่ลูกความคิดเชื่อมโยงถึงกัน นางบอกพวกเขาว่าไม่ต้องรีบร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เฒ่าที่อยู่ในขุนเขากลางที่หย่างจื่อไม่อนุญาตให้เขาลงมือโดยพลการเด็ดขาด
ทว่าเรื่องที่ทำให้นางยิ่งประหลาดใจก็คือ เมื่อจั่วโย่วผู้นั้นช่วยคนไม่สำเร็จ เขากลับออกกระบี่อย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง ในขณะเดียวกันกับที่หลี่ถุ่ยมี่ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้วว่าจะทำลายโอสถทอง ก่อกำเนิด จิตวิญญาณทั้งหมดและเม็ดกระบี่ทั้งสองของตัวเอง อันที่จริงก็ได้ถูกชุดคลุมอาคมระดับอาวุธเซียนของหยางจื่อชิ้นนั้นสะกดพลานุภาพเอาไว้แล้ว หากไม่ผิดไปจากที่คาด ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาจะเสียหายแค่ครึ่งเดียว ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อรากภูเขามากนัก แต่จั่วโย่วกลับปล่อยกระบี่ ใช้ปณิธานกระบี่ที่หนาข้นแหวกผ่าภูเขาที่ถูกชุดคลุมมังกรสีหมึกปกคลุม ฟันตรงเข้าใส่หลี่ถุ่ยมี่!
หลี่ถุ่ยมี่ที่เดิมทีแสงกระบี่ของทั้งร่างถูกชุดคลุมมังกรสีหมึกพันธนาการไว้เกินครึ่งหัวเราะร่าไร้เสียง แล้วก็จากโลกมนุษย์ไปอย่างนี้
หลังการโจมตีนี้ผ่านไป หลี่ถุ่ยมี่กายดับมรรคาสลาย กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มระเบิดออก พลานุภาพดุจอสนีบาต ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินท่านหนึ่งที่แม้แต่ดวงวิญญาณก็ไม่เหลือเก็บไว้แม้แต่น้อย เป็นเหตุให้ภูเขาทั้งลูกระเบิดแตก ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ฝึกตนสายยันต์เผ่าปีศาจร้อยกว่าตนที่ชีวิตเชื่อมโยงอยู่กับค่ายกลใหญ่ของภูเขาซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ใครที่ขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิด ล้วนถูกแรงระเบิดตายคาที่ กระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง เป็นเหตุให้ภูเขาทั้งลูกที่เดิมทีรากภูเขากำลังแผ่ลามออกไปอย่างมั่นคงเกิดสั่นสะเทือน
หลังจากจั่วโย่วปล่อยกระบี่ที่ต้องนำมาซึ่งคำวิจารณ์จากใต้หล้าไพศาลอย่างแน่นอนนั้นออกไป เขากลับไม่คิดจะหยุดเมื่อพอสมควร ไม่เลือกถอยร่นหลังจากโจมตีสำเร็จ กลับกันปราณกระบี่ทั่วร่างยังเพิ่มทะยานพรวดพรวด เรือนกายพลิ้วลงบนยอดเขากลางที่ทรุดฮวบต่ำไปเกินครึ่ง สองมือกำกระบี่ ปักกระบี่ลงบนยอดเขา
ภูเขาลูกหนึ่ง ต่อให้ใหญ่ แต่จะใหญ่ได้สักแค่ไหนกันเชียว? สามารถรับปราณกระบี่จากข้าจั่วโย่วได้หรือ?!
ปีศาจใหญ่หย่างจื่อเดือดดาลยิ่งนัก นางเองก็เป็นคนอำมหิตเหมือนกัน ถึงขั้นยอมสละชุดคลุมอาคมอาวุธเซียน แต่ก็ต้องรักษาโชคชะตาภูเขาให้มั่นคงให้จงได้ ไม่เพียงเท่านี้ ยังห้ามไม่ให้ปีศาจใหญ่ยอดเขาที่ได้นั่งบนบัลลังก์ ขณะเดียวกันก็ยังถือเป็นคู่บำเพ็ญตนของนางครึ่งตัวคนนั้นลงมือ สังหารจั่วโย่วเป็นเรื่องยากเกินไป ปล่อยให้นางโรมรันตอแยจั่วโย่วไปก็พอ ภูเขาที่เหลืออีกสี่ลูกจะต้องสังหารเซียนกระบี่ใหญ่ที่เหมือนกับหลี่ถุ่ยมี่ให้ได้อีกหลายคน ไม่อย่างนั้นแผนการขั้นที่สองนี้จะไม่กลายเป็นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้าหรอกหรือ
นางเผยร่างจริง เรือนกายใหญ่โตมโหฬารพลันเลื้อยขึ้นไปถึงยอดเขา ส่วนเรื่องที่ว่าตลอดทางที่เลื้อยผ่านไปจะบดทับนักพรตสายยันต์ฝั่งของตนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวหรือไม่ หย่างจื่อไม่คิดสนใจแม้แต่น้อย
นอกจากขุนเขากลางที่ความเคลื่อนไหวค่อนข้างรุนแรงแล้ว ภูเขาที่เหลืออีกสี่ลูกนับว่าค่อนข้างจะมั่นคง แต่ก็แค่ค่อนข้างเท่านั้น
ใต้เท้าอิ่นกวานที่บิดผมแกละตัวเองเล่นอยู่ตลอดเห็นภาพนี้เข้า สีหน้าก็สดใสมีชีวิตชีวา สนุกนัก สนุกนัก
นางหันหน้าไปมองเฉินชิงตูไกลๆ
ผู้เฒ่าเอ่ย “ไปเล่นเองเถอะ”
ใต้เท้าอิ่นกวานงอสองเข่าลงเล็กน้อย หัวกำแพงพลันเกิดแรงสะเทือนรุนแรง ใต้เท้าอิ่นกวานที่อยู่ในร่างของแม่นางน้อยออกจากหัวกำแพงเมืองไปไกล
พุ่งทะลุภูเขาลูกหนึ่งไปโดยตรง
แม่นางน้อยที่ตัวเล็กบอบบางเพียงเท่านั้น พอร่วงลงพื้นแล้วก็ปัดฝุ่นมากมายที่ติดอยู่บนหัวตัวเอง จากนั้นก็เริ่มวิ่งตะบึงกลับไปกลับมาอยู่บนพื้นดิน ใช้หัวโหม่งทะลุตัวภูเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกครั้งที่แม่นางน้อยเจาะภูเขา ใบหน้าจะมอมแมมเล็กน้อย แต่ก็ยังเล่นสนุกไปเรื่อย มองดูแล้วอารมณ์ดีอย่างมากจริงๆ
สหายสนิทสองคนที่มาจากธวัลทวีปอย่างเซียนกระบี่จางเซาและเซียนกระบี่หลี่ติ้งที่มองดูแล้วไม่เหมือนเซียนกระบี่แม้แต่น้อย กลับเหมือนชาวประมงและคนตัดฟืนมากกว่า เวลานี้หันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
หากเป็นการเข่นฆ่าที่เป็นไปตามลำดับขั้นตอนทั่วไปก็แล้วไปเถิด พวกเขาสองคนมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหนก็นานแค่นั้น สังหารพวกสัตว์เดรัจฉานได้บ้าง ก็ไม่ถึงขั้นถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย หรือมโนธรรมในใจยากจะสงบลงได้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายใช้วิธียกขุนเขาสายน้ำนี้มาพอดี แล้วจะยอมให้พวกสัตว์เดรัจฉานที่ใต้หล้าของพวกมันมีหนังสือแค่ไม่กี่เล่มเอาชนะด้านชื่อเสียง ได้ชื่อเสียงที่ดีงามไปเพียงลำพังได้อย่างไร?
ไม่ได้ๆ
นี่จึงเป็นเหตุให้ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย เซียนกระบี่สองท่านจึงขี่กระบี่ออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แทบจะเวลาเดียวกัน ประหนึ่งดาวตกสองดวงที่พุ่งหล่นลงไปอย่างรวดเร็ว เลือกภูเขาลูกหนึ่ง คนหนึ่งพลิ้วกายลงที่ตีนเขา อีกคนพลิ้วกายลงที่กึ่งกลางภูเขา
ชาวประมงบนโลกมักชอบพายเรือ จางเซาที่เกิดมาก็ใกล้ชิดกับสายน้ำก็ยิ่งไม่ใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่การท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำครั้งสุดท้ายของชีวิตกลับไม่จำเป็นต้องจงใจให้มีมาดอันสง่างามที่ธรรมดาสามัญนั้นอีกแล้ว
เซียนกระบี่จางเซาก้าวตรงเข้าไปในแม่น้ำที่เป็นสายน้ำใต้อาณัติของแม่น้ำเย่ลั่ว แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จางเซา ผู้ฝึกกระบี่แห่งธวัลทวีป”
ส่วนหลี่ติ้งที่เดินขึ้นเขาช้าๆ หันหลังให้กับจางเซาที่ต่างคนต่างเดินหน้าไป เวลานี้แสงกระบี่สาดประกายออกมาจากทวารทั้งเจ็ดและทุกช่องโพรงของกระดูก เขาคลี่ยิ้มอย่างรู้ใจ “บังเอิญยิ่งนัก ข้าก็เป็นผู้ฝึกกระบี่จากธวัลทวีปเหมือนกัน”
เซียนกระบี่ทั้งสองท่านที่กระโจนเข้าหาความตายอย่างเยือกเย็นถึงกับทำลายรากภูเขาเส้นสายน้ำของภูเขาทั้งลูกไปได้โดยตรง
บนหัวกำแพงเมือง เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสหรี่ตาจ้องไปยังจุดหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
ผู้เฒ่าชุดเทาที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูทางทิศเหนือของกระโจมเจี่ยจื่อหัวเราะ “ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าและข้าแค่รอเก็บฉากปิดงานก็พอ ขอแค่เจ้าไม่ลงมือ ข้าก็ไม่มีทางลงมือแน่นอน ถึงอย่างไรความสามารถที่ใหญ่ที่สุดของเฉินชิงตูก็มีเพียงมองดูคนรุ่นหลังแต่ละคนตายไปต่อหน้าต่อตาอยู่แล้ว”
ผู้เฒ่าชุดเทามองไปยังปีศาจใหญ่หย่างจื่อที่อยู่ขุนเขากลาง แล้วเอ่ยสั่งความนางคำหนึ่ง
ในภูเขาทั้งห้าลูก ท่าไม้ตายที่ใหญ่ที่สุดล้วนไม่อำพรางตัวอีกต่อไป บ้างก็เป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยาน บ้างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินที่พากันออกมาจากจุดที่ซ่อนตัวก่อนหน้านี้ ส่วนเรื่องที่ว่าจะหยั่งรากภูเขาปักหลักลงบนสนามรบต่อไปได้หรือไม่ ความเป็นความตายของผู้ฝึกกระบี่สายยันต์หลายพันคนบนภูเขา ค่ายกลใหญ่จะสามารถต้านรับการออกกระบี่ของเซียนกระบี่ได้นานเท่าไร ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว
ปีศาจใหญ่สี่ตนบินไปยังขุนเขากลางอย่างพร้อมเพรียงกัน หมายจะไปรวมตัวกับหย่างจื่อที่เผยร่างจริงอยู่ในขุนเขากลาง
เพื่อล้อมสังหารจั่วโย่ว!
อาณาเขตของขุนเขากลางมีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยขี่กระบี่ลอยตัวอยู่กลางอากาศคนหนึ่งเผยตัว แล้วทันใดนั้นร่างของเขาก็ขยายสูงไปอีกสิบกว่าจั้ง ทั้งเส้นผมและขนคิ้วล้วนเป็นสีขาว บนบ่าแบกกระบองสีแดง ค่อยๆ ขี่กระบี่ทะยานขึ้นกลางอากาศช้าๆ ระหว่างนี้ทุกครั้งที่อ้าปากสูดลมหายใจก็จะมีสตรีอุ้มผีผาหลายสิบคนถูกสูดเข้าไปในปากของเขา ก่อนจะถูกเขาเคี้ยวเหมือนเมล็ดถั่วเหลือง
ต่งซานเกิงหัวเราะเสียงดัง “ไอ้ลูกพันธ์ผสม”
เฉินซีกับฉีถิงจี้อยากจะติดตามต่งซานเกิงออกไปจากหัวกำแพงเมืองด้วย
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าทั้งสามท่านนี้ต่างก็เคยสลักตัวอักษรใหญ่ไว้บนกำแพงเมืองแล้ว
แต่เฉินชิงตูกลับเอ่ยว่า “ให้จั่วโย่วใช้ความเป็นความตายหลอมกระบี่ไป ใต้หล้าไพศาลไม่มีใครสู้ได้ แต่ที่นี่กลับมีให้เลือกมากมายนัก ชีวิตราบรื่นเกินไป ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง เวทกระบี่ไม่มีทางสูงได้หรอก”
ต่งซานเกิงที่กระโจนสู่สนามรบ กับใต้เท้าอิ่นกวานที่ยังเล่นสนุกอยู่บนสนามรบ บวกกับจั่วโย่ว
จำเป็นต้องคุมเชิงกับปีศาจใหญ่บนยอดเขาสูงสุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสองตนอย่างหย่างจื่อและผู้เฒ่าขี่กระบี่ รวมไปถึงปีศาจใหญ่อีกสี่ตน
บนหัวกำแพงเมือง เยี่ยนจั๋วกัดริมฝีปาก เงียบงันไม่เอ่ยคำใด
อีกจุดหนึ่ง เฉิงเฉวียนและฉีโซ่วต่างก็เพ่งสมาธิไปที่สนามรบ ไม่ทันสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันนั่งนิ่งไม่ขยับ แต่สีหน้ากลับบิดเบี้ยวดิ้นรน
เมื่อจิตหยินที่ออกจากร่างของเฉินผิงอันสามารถขยับได้ดังใจต้องการ ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว
บนสนามรบเกิดเรื่องไม่คาดฝันที่ใหญ่ยิ่งกว่าขุนเขาโผล่มากะทันหัน
ใต้เท้าอิ่นกวานใช้หนึ่งหมัดต่อยผ่านปราณกระบี่ทะลุทะลวงหน้าท้องของจั่วโย่ว
หากไม่เป็นเพราะจั่วโย่วหลบเส้นแบ่งเป็นตายนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด หมัดนี้ย่อมต่อยหัวใจของเขาให้แหลกเละ
จั่วโย่วที่ถอยกรูดออกมาหลายลี้ในเสี้ยววินาทีถูกต่งซานเกิงคว้าจับหัวไหล่ และต่งซานเกิงก็ยิ่งต้องต้านทานการโจมตีสุดแรงของผู้เฒ่าถือกระบองยาวเพื่อพาจั่วโย่วออกจากสนามรบ
ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ นอกจากผู้ฝึกกระบี่เพียงไม่กี่หยิบมือแล้ว ทุกคนที่เหลือล้วนตื่นตะลึงทำอะไรไม่ถูก ตกใจจนตกใจไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นถ่มเลือดออกมาหนึ่งคำ จากนั้นก็เอียงศีรษะมองเฉินชิงตู ชูนิ้วกลางให้อีกฝ่าย “เจ้าแก่หนังเหนียวสมควรตายที่สุด เจ้าไปตายซะเถอะ!”
เฉินชิงตูสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงแค่ปรายตามองอิ่นกวานแวบหนึ่ง แล้วก็มองเลยไปทางต่งซานเกินกับจั่วโย่ว พูดพึมพำกับตัวเองว่า “จั่วโย่ว ก่อนหน้านี้ศิษย์น้องเล็กของเจ้าเคยบอกกับข้าว่า ให้ระวังใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้น”
นอกจากต่งซานเกิงแล้ว ต่อให้เป็นเฉินซีและฉีถิงจี้ก็ยังต้องระวัง เพราะเฉินซีมีความอาฆาตแค้นอย่างใหญ่หลวง ฉีถิงจี้ทะเยอะทะยานมากเกินไป ที่สำคัญที่สุดก็คือเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่มีผลงานการรบเหี้ยมหาญสองท่านนี้ต่างก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความละอายใจใดๆ ต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่กลับอาฆาตแค้นใต้หล้าไพศาลอย่างยิ่ง แค้นลึกเข้าไปถึงกระดูกดำ แต่เกี่ยวกับเรื่องในอดีตของเซียนกระบี่สองท่านนี้ เขาเฉินผิงอันเพียงแค่สรุปเรื่องน้อยใหญ่รวมแล้วสามสิบเจ็ดเรื่อง กับถ้อยคำที่เป็นกุญแจสำคัญได้หกประโยคเท่านั้น ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าทั้งสองจะต้องสวามิภักดิ์ต่อฝ่ายศัตรู จึงยังต้องให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสตัดสินใจเอาเอง
บนพื้นดิน ใต้เท้าอิ่นกวานกวักมือ เซียนกระบี่สองท่านอย่างจู๋อานและลั่วซานที่เดิมทีโจมตีภูเขาลูกที่อยู่ใกล้เคียงรีบหยุดกระบี่ มาหยุดอยู่ข้างกายนาง พากันหันหลังให้กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วมุ่งหน้าไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผังหยวนจี้ร่างโงนเงน สุดท้ายทรุดนั่งลงบนหัวกำแพง ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนี้น้ำตาไหลอาบหน้าโดยที่ไม่รู้ตัว
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
เฉินผิงอันที่ไม่มีการสยบกำราบจากฟ้าดิน ในที่สุดก็สามารถขยับตัวได้ แต่เขาทั้งไม่ได้ด่าเฉินชิงตูที่จงใจปิดบังความจริง แล้วก็ไม่ได้ไปดูศิษย์พี่จั่วโย่วที่บาดเจ็บสาหัส ความถูกความผิดบนโลก ดีเลวพลิกกลับสลับเปลี่ยน มีหรือจะเรียบง่าย ดังนั้นเฉินผิงอันจึงทำเพียงแค่นั่งอยู่ที่เดิม คลี่พัดพับออก ยกขึ้นบังใบหน้าเกินครึ่ง เผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่นั้นที่จ้องเขม็งไปยังสนามรบทางทิศใต้ เอ่ยเนิบช้าว่า “ต้องได้ตีกันแล้ว”